ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Attack on titan เฮฮาไททัน ป่วนหน่วยสำรวจ (เอลวิน x oc)

    ลำดับตอนที่ #8 : ไม่ยอม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.52K
      146
      26 ก.พ. 62

         "เจสซิก้าตื่นเว้ยยย"
         เจคเขย่าคนนอนบนเตียงอย่างแรงเจสซิก้าโผล่หน้าออกมาเพื่อดูพระอาทิตย์ก่อนจะเอาหัวเข้าไปมุดในผ้าห่มต่อ
         "ยังไม่เช้าเลยนี่เจค ทำไมต้องมาปลุกด้วย"
         "หน่วยสำรวจมาหา ว่าที่เจ้าบ่าวเธอไง"
         อีกแล้วเหรอวะ!! เมื่อวันก่อนก็มาแล้วเมื่อวานตอนที่กลับมาที่ร้านบาร์รีไวล์ก็ตามมานั่งจิบชาในร้าน นี่ร้านของเธอเป็นเป็นแหล่งรวมประชุมหน่วยสำรวจรึไง
         "ก็ได้ๆ เดียวฉันตามไป"
         "รีบๆแต่งตัวซะ เดียวฉันไปชงโกโก้ให้"
         เจคพูดสั่งพี่สาวตัวเอง เจสซิก้าอ้าปากหาวก่อนจะตะโกนบอกให้คนอื่นชงให้เพราะไม่อยากจะเสียเงินซ่อมห้องครัวอีกแล้ว
         เมื่อวานลูกค้าก็เยอะจนไม่ได้ทำบัญชีนับสต๊อกของ เดียวต้องไปหยิบสมุดบัญชีมาให้เจคช่วยทำก่อนแล้วกัน เจสซิก้าที่อาบน้ำแต่งตัวแบบลวกๆเสร็จแล้วเดินไปนอกห้องในสภาพที่ไม่ได้หวีผม ระหว่างทางก็ได้เจอกับแอนนาที่มาทำการเก็บร้านในช่วงเช้าและยกอาหารเช้าที่มีโกโก้กับแซนวิชที่เธอไม่ค่อยจะชอบมันสักเท่าไร 
         "ขอบใจ ช่วยตามเจคมาที่ห้องทำงานด้วย ใครที่ยังไม่ได้กินอะไรมาก็ให้ไปหาอะไรกินที่ห้องครัวได้ตามสบายเลยนะ"
         "คะ"
         โกโก้ผลิตภัฑถ์ใหม่ที่ยังไม่วางขาย แต่เจสซิก้าก็คิดว่าควรเปิดร้านกาแฟขนมหวานเพื่อคนแบบรีไวล์ที่ชอบเข้ามานั่งจิบชาในร้านเหล้าโดยเฉพาะ สองชายหนุ่มที่มีข่าวลือตามตัวนั่งอยู่ในห้องเจสซิก้ามองอย่างเฉยๆเพราะเจคบอกมาอยู่แล้ว เจสซิก้าเมินเอลวินกับรีไวล์เดินไปที่โต๊ะทำงานเพื่อหาสมุดบัญชีจากบรรดากองกระดาษที่ถูกวางทับกับจดหมายอีกนับไมถ้วนจนเมื่อเจอสมุดบัญชีแล้วเจสซิก้าก็จัดการวางไว้อีกที่หนึ่งมือวางโกโก้ร้อนแต่ปากยังเคี้ยวแซนวิชที่แสนเกลียดอย่างช้าๆ
         "กินให้มันดีๆไม่ได้หรือไง"
         เจคที่เดินขึ้นมาเพราะแอนนาไปตาม เตือนพี่สาวตนเองที่ทำตัวเหมือนเป็นเด็กๆด้วยการคาบแซนวิชแล้วค่อยๆเคี้ยว
         "ฉันเกลียดขนมปัง..."

         "เออๆ แล้วพวกคุณไม่พูดธุระหรือไงครับ"
         รีไวล์มองตาขวางใส่เจคทันที และเจคเองก็มองกลับเช่นกันเอลวินเป็นไม่สนใจกับสงครามสายตาเดินไปหาเจสซิก้าที่เปิดจดหมายอ่านแล้วโยนทิ้งใส่ถังขยะ
         "เจ้ากระต่ายมันท่าทางที่ซึมไม่ยอมกินอาหาร"
         "อาห่ะ"
         "ผมต้องการให้คุณไปช่วยดูแลมันให้หน่อย"

         เจคมองหน้าคนที่โดนขอความช่วยเหลือไม่มีท่าทีว่าจะไป เมื่อวานก็ได้ไปเจอกับเจ้ากระต่ายยักษ์นั้นแล้วมันเหมือนกระต่ายที่อยู่ในสวนสัตว์เอามากๆจำได้ว่าตอนนั้นเคยขอให้เจสซิก้าไปช่วยปล่อยมันเพราะสงสาร  แต่ที่ตัวเองโครตเกลียดเลยเมื่อวานนี่คือการต้องเดินหนีเจ้ากระต่ายที่กระโดดตามมา จนหน่วยสำรวจจับตัวแทบม่ได้
        
          "เจสซิก้าตอบอะไรพวกเขาหน่อยสิ"
         "เอียวไอ"
         "อย่าเคี้ยวไปพูดไปสิ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องกินเรื่องเอกสารเดียวฉันจัดการให้เธอไปหน่วยสำรวจเถอะ"
         เจคกระชากแซนวิชออกจากปากอีกฝ่ายก่อนจะเดินอออกไปนอกห้องเพื่อหยิบเสื้อกั๊กตัวโปรดมาให้เจสซิก้าที่ดื่มโกโก้รองท้อง

         "บางทีฉันก็สงสัยนะว่าทำไมน้องชายที่ฉันเลี้ยงมาทำไมโตมาถึงกลายเป็นแม่ไปได้" ตอนที่โลกเก่ายังเป็นเด็กแบมือขอตัวค์อยู่เลย หรือเป็นเพราะต้องดูแลเรื่องธุรกิจเลยโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
         "เธอเป็นเลี้ยงเจ้าหมอนั้น?"
         รีไวล์ถาม
         "ใช่ เพราะแม่ของเราไม่ค่อยจะมีเวลาฉันเลยเป็นคนดูแลเจคตอนประมาณ 3 ขวบมั้ง"
         "แล้วคนอื่นละ"
         คราวนี่เป็นเอลวิน ทำไมพวกนายดูสนใจประวัติของเราจังเลยนะ
         "ไม่รู้สิ ฉันรู้แค่ว่าพ่อของเจคค่อนข้างอ่อนแอเลยไม่ได้พบกัน ส่วนญาติคนอื่นก็งานยุ่งกับเรื่องของตัวเอง"
         "เจสซิก้าเธอจะใส่ตัวไหน"
         เจคชูเสื้อกั๊กแขนสั้นสีน้ำตาลกับน้ำตาลแดงอีกตัวหนึ่ง
         "เฮ้อ น้องเจคที่น่ารักที่ตอนเด็กเคยเอาแต่ร้องว่าพี่เจสซิก้าผมอยากได้นู่นนี่นั้นหายไปไหนแล้วน้า"
         "พูดอะไรน่าอาย เอานี่รีบใส่แล้วรีบไปได้แล้วอย่าให้พวกเขารอนานสิ"
         เจคโยนเสื้อกั๊กใส่มือเจสซิก้าก่อนจะจับหัวของเจสซิก้ามาหวีผมให้มันไม่ยุ่ง 
         เจสซิก้าขี่ม้าของตัวเองไปที่หน่วยสำรวจ เพราะไม่อยากนั่งม้าตัวเดียวกับเอลวินเท่าไรจนถึงหน่วยสำรวจเจสซิก้าก็ถูกเจ้ากระต่ายกระโดดทับจากบนหลังม้าทันที

         "คุณเจสซิก้า!? บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า"
         "....คิดว่าไม่นะ"
         เจสซิก้าทีตกจากหลังม้าตอบคนถามอย่างเอื้อมๆที่ถูกกระโดดทับใส่ทุกครั้งเวลาเจอหน้ากัน

         "เอ้า"
         เจสซิก้ายืนแครอทให้เจ้ากระต่ายมันรีบตะครุบเข้าไปกินอย่างรวดเร็ว เจสซิก้านั่งมองเจ้ากระต่ายที่เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยตามองรั่วไม้ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเจ้านี่ แต่ทางหน่วยสำรวจคงลืมไปแล้วมั้งว่าเจ้านี่เป็นกระต่ายที่สามารถกระโดดได้
         เมื่อเจ้ากระต่ายกินอาหารเสร็จเรียบร้อยเจสซิก้าก็ีบจัดการพาตัวไปอาบน้ำทันทีเพราะต่อให้มีขนสีดำจนดูไม่ออกว่าตัวมันสกปรกมากแค่ไหน แต่ถ้าได้จับตัวมันทีก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นและเคษโคลน

         "นี่วิธีการดูแลมัน ฉันตั้งชื่อให้แล้วมันชื่อแบล็กมันจะฟังเอลวินเป็นหลักเพราะฉันสั่งมันเอาไว้"
         เจสซิ้ายื้นกระดาษที่เขียนรายละเอียดต่างให้ฮันซี่ที่ทำหน้าเสียใจอย่างรุงแรงเมื่อได้ยินว่ามันจะฟังเอลวินคนเดียว ทั้งๆที่ตนเองก็มีเรื่องที่อยากจะทดลองมันตั้งหลายอย่างแต่เจ้ากระต่ายก็เอาแต่ขู่เอาแต่กัด จนไม่สามารถทำอะไรได้
         คำสั่งที่ฉันสั่งมันไปจริงๆคือปกป้อง เชื่อฟังคำสั่งเอลวินต่างหากแต่เอาเถอะก็สมควรอยู่หรอกที่แบล็กจะไม่เชื่อฟังฮันซี่ลองถูกทำหน้าโรคจิตใส่เป็นฉันก็ไม่อยากให้มาเข้าใกล้ตัวหรอก
         "ท่าน ผบ.เอลวินเรียกครับ"
         ทหารนายหนึ่งเรียกเจสซิก้าที่กำลังบอกรายละเอียดต่างๆ ให้ลูกน้องสนิทของฮันซี่เจสซิก้าตอบรับก่อนจะเดินไปที่ห้องทำงานอย่างคุ้นทาง
         "ว่าไง"
         "เมื่อกี้ทหารจากเมืองหลวงได้ส่งจดหมายเรื่องเจ้ากระต่ายยักษ์ ว่าทางทหารสารวัตรต้องการกำจัดเจ้ากระต่าย"
         ขนาดกระต่ายยังจะฆ่า เอเลนที่เป็นไททันน่าจะไม่ได้ตายดีถ้าไม่ชนะในศาลตามเนื้อเรื่อง
         "อืม แล้วยังไงต่อละ"
         "ฉันอยากให้เธอไปด้วยในฐานะพยานยืนยันว่ามันไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ชาติ"
         ออก็เข้าใจอยู่นะ แต่นั้นก็หมายความว่าฉันก็ต้องตื่นเช้าอีกนะสิ
         "แล้วฉันต้องไปวันไหน"
         "พรุ่งนี่"
         อารมณ์เหมือนอาจารย์เข้ามาในห้องแล้วบอกว่าพรุ่งนี่สอบตอนเช้า เจสซิก้านึกสาปแช่งคนที่ยื่นคำขอเรื่องนี่ที่เป็นต้นเหตุให้เธอต้องมาตื่นเช้าในอีกวัน เมื่อรู้ว่าพรุ่งนี่ต้องตื่นเช้าเจสซิก้าขอยื้มห้องทำงานของเอลวินมาขอนอนหลับพักผ่อนทันที

         
         
         
         
         
              
         
         รถม้าของเมืองหลวงเคลื่อนตัวบนถนนเมื่อมุ่งหน้าไปยังกำแพงวอลโรเซ่ เจสซิก้ามองวิวทางนอกหน้าต่างที่มีเด็กๆวิ่งเล่นไปมา บางคนก็ยืนมองรถม้าราคาแพง
         "คุณดูไม่ชอบรถม้าเท่าไรเลยนะ"
         "ก็นิดหน่อย"
         เจสิก้าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตอบเอลวินด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย บทสนทนาที่ถูกตัดด้วยคำพูดที่ไม่สามารถไปต่อได้ภายในถม้าจึงกลับมาเงียบเหมือนเดิม
         "เอลวินพรุ่งนี่ทำตัวให้ว่างสักสองชัวโมงนะ เราจะเลือกชุดแต่งงาน"
         "ที่ไหนละ"
         "ที่บ้านฉัน...ที่่ร้านบาร์นะฉันเป็นคนออกแบบเอง เรื่องสถานที่ใช้เป็นหน่วยสำรวจนะ"
         เจสซิก้าอธิบายทุกอย่างเอลวินทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่าออกแบบเอง
         "คุณออกแบบชุดแต่งงานเอง"
         "ใช่"
         "มีอะไรที่คุณทำไม่ได้บ้างมั้ย"
         "คิดว่าไม่มี ฉันถูกเลี้ยงให้เรียนรู้ทุกอย่างเพราะเป็นลูกคนโตสุด"
         เจสซิก้าเล่าประวัติตอนเด็กๆสั้นๆ เพราะต้องเป็นราชาเธอเลยถูกยัดเยียดให้เรียนรู้สิ่งต่างๆที่ไม่อยากเรียน
         "ก็ไม่แปลกใจเท่าไรคุณดูมีความเป็นผู้นำมาก"
         "บอกมาตรงๆก็ได้นะว่าฉันหน้าแก่"
         เสียงหัวเราะกับมุขตลกของเจสซิก้าดังขึ้นเบาๆ เจสซิก้ามองคนหัวเราะด้วยสายตานิ่งๆจู่ๆในใจก็นึกอยากลองของบางอย่างขึ้นมา

         "วันจัดงานเอาเป็นวันที่ 14 ดีมั้ย"
         เอลวินเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อได้ยินวันที่
         "ทำไมต้องวันที่ 14 "
         "ไม่ดีเหรอจัดทั้งงานแต่ง ฉลองวันคล้ายวันเกิดไปในทีเดียวคุณเอลวิน สมิธ"
         ตุบ
         เอลวินพุ่งเข้ามาค้ำตัวไม่ให้เจสซิก้าขยับตัวไปไหน คนถูกค้ำเงยหน้ามองในหน้าหล่อคมสัน ตาสีฟ้าสะท้อนภาพของเธอที่กำลังทำหน้าท้าทาย
         "ตกใจไปทำไมทีคุณยังรู้เรื่องของฉันได้ ทำไมฉันจะรู้เรื่องของคุณไม่ได้"
         "คุณรู้?"
         รู้เรื่องที่พวกเรากำลังสืบประวัติอย่างนั้นหรือ
         "เล่นวิ่งไปมาเหมือนหนูในท่อ โง่แค่ไหนก็ต้องรู้สิ"
         เอลวินเปลี่ยนท่าให้ตัวเองลงไปนั่งแล้วยกเจสซิก้าขึ้นมานั่งตักตัวเอง เจสซิก้ายิ้มกวนประสาทเมื่อได้เห็นใบหน้าหงุดหงิดของอีกฝ่าย
         "งั้นก็ดีฉันมีเรื่องจะถามเธอเยอะแยะเลยละ เธอมาจากทีไหน"
         "เมืองใต้ดิน"
         ไม่ได้โกหกนะทุกอย่างที่สร้างขึ้นมาเริ่มมาจากเมืองใต้ดินที่เอาทองไปขายมาก่อน ถ้าไม่เชื่อไปคนที่ชื่อเคนนี่จากรีไวล์ได้เลย
          
         "บ้านคุณอยู่ในเมืองใต้ดิน?"
         "เปล่า"
         "ถ้าอย่างนั้นบ้านคุณอยู่ที่ไหน"
         "ที่ร้านบาร์ไงละ ถ้าบ้านที่คุณหมายถึงคือสถานที่ฉันเกิดก็เป็นคฤหาสหลังหนึ่ง"
         เจสซิก้าจงใจบอกไม่หมด เอลวินขมวดคิ้วหนาเพราะคำตอบของเธอมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย มือปลดกระดุมเสื้อกั๊กเจสซิก้ามองการกระทำของเอลวินอย่างไม่เข้าใจแต่ยังคงไม่พูดอะไร
         "ฉันจะถอดเสื้อคุณทีละชิ้น ถ้าคำตอบของคุณมันไม่ตรงกับคำถาม"
         "แล้วถ้าฉันไม่ตอบละ"
         "ผมก็จะ.."
         เอลวินพูดต่อไปไม่ได้เพราะได้อยู่ใต้มนต์สะกดดวงตาของเจสซิก้า และเจสซิก้าเองก็ไม่รู้ตัวเผลอใช้ดวงตาสะกดเอลวินด้วยความหิวกระหายเลือดและเนื้อที่ไม่ได้กินมาหลายวันติดกัน เจสซิก้าอ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวคู่ที่แหลมคม 
         ถ้าฉันกินคนๆนี่ฉันก็จะเป็นอิสระ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก

         เจสซิก้า!!!

         แต่หากมีเสียงหนึ่งดึงสติเจสซิก้าเอาไว้เสียงที่คุ้นเคยชวยโหยหา น่าคิดถึงเสียงของคนที่เธออยากจะได้ยินมาตลอดตั้งแต่ที่เขาตายไป

         เจสซิก้าที่ดึงสติกลับคืนมาได้มองเอลวินที่นั่งมองด้วยแววตาที่ว่างเปล่า หยดน้ำตาไหลออกจากตาเจสซิก้ารีบผลักตัวเองไปนั่งฝั่งตรงข้ามก่อนจะก้มหน้าลงเอลวินที่ถูกแรงกนะแทกได้สติกลับมาอย่างงๆ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายนั่งก้มหน้าเหมือนคนไม่สบายแต่พอได้เห็นหยดน้ำตาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายร้องไห้ 

         หรือตนเองจะแกล้งหนักไป แต่เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นทำไมเหมือนหลับไปพักหนึ่ง

         "คุณเจสซิก้า"
         เอลวินเอื้อมมือไปหาหวังจะถามด้วยความหวังดีว่าเป็นอะไร
         "อย่าจับนะ!! ถ้านายแตะตัวฉันฉันจะฆ่านาย!"
         อย่ามาจับตัวฉัน ฉันไม่รู้ว่าจะคุมตัวเองได้หรือเปล่า
         เอลวินที่ไม่คอยเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดจึงสรุปเองทันทีว่าบางทีเจสซิก้าอาจจะตกใจทีจู่ๆตนเองก็ทำท่าคุกคามอีกฝ่าย เลยเป็นแบบนี่
         มือหนาลูบหัวเพื่อปลอบใจเจสซิก้า อีกฝ่ายร้องสะฮึกเพราะร้องไห้อยู่เจสซิก้าร้องไห้จนพอใจแล้วก็รีบเช็ดคราบน้ำตา เงยหน้ามองเอลวินที่คุกเข่าอยู่อย่างไม่พอใจ
         "มานั่งตรงนี่"
         เอลวินทำตามคำสั่งแต่โดยดี เจสซิก้าเอาหัวไปหนุนตักเอลวินเพื่อนอนพักสายตาปากสั่งให้เอลวินหยิบเสื้อกั๊กที่ถูกถอดออกมาให้เอามาคลุมหน้า และเอลวินก็ปล่อยให้อีกฝ่ายนอนตักแข็งๆตัวเองไปเพื่อเป็นการไถ่โทษ
         
         
         "แหม....หวานกันจังเลยนะเอลวิน"
         เสียงฮันซี่ลอยเข้ามาในโสดประสาทเจสซิก้า เจสซิก้ากระพริบตาก่อนจะเงยหน้าเพื่อดูว่าถึงที่หมายแล้วรึยัง

         ถ้าหากปล่อยให้ตนเองเดินทางเองละก็ไม่ถึงสามชั่วโมงก็เข้ามาถึงในกำแพงวอลมาเรียแล้วแท้ๆ

         "ถึงแล้วเหรอ?"
         "อืม"
         เอลวินเดินออกมาก่อนจะจับมือของเจสซิก้า ช่วยพยุงทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็น ทหาร เจ้าหน้าที่ที่อยู่แถวนั้นต่างรู้สึกอิจฉาในความเอาใจใส่ของเอลวิน และรู้สึกแปลกตาที่เอลวินที่มีคู่ชีวิตเช่นกัน

         "เออ เอลวินฉันเดินเองได้นะ"
         เจสซิก้าผู้ที่ถูกกุมมือไว้ตลอดทางที่เดินเข้ามา สายตาล้อเลียนปนอิจฉาจากสาวโสดทำให้เจสซิก้ารู้สึกอึดอัด 

            หน้าด้านแค่ไหนก็มีวันเวลาที่หน้าจะบางลงได้นะ


             "ฉันอยากให้เธออยู่ในสายตา"

             เอลวินพูดออกอย่างไม่แคร์คนอื่นไปเดินไปเดินมา เจสซิก้ายิ้มอย่างปลงในใจแล้วว่าคนๆนี่ พูดอย่างเดียวคงไม่เข้าใจ

             เจสซิก้ากระชากมือออกมาเอลวินมองอย่างไม่เข้าใจหัวหน้าหน่วยสองคนกับทหารคนอื่นที่ตามเริ่มหันหน้าหนีเพราะไม่อยากเข้าไปยุ่งคู่ชีวิตใหม่มากเกินไป


             "อย่าโง่ให้มากเอลวิน ช่วยให้เกียรติสถานที่ด้วย"

            เจสซิก้าเดินไปหารีไวล์เพื่อให้เป็นไม้กั้น  ปล่อยให้เอลวินเดินอยู่คนเดียวฮันซี่ได้แต่หัวเราะเบาๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีคนด่าเอลวินแบบนี่

            "เจสซิก้า"

             เสียงร่าเริงทักเสียงดัง ไม่ทันได้หันไปมองว่าใครเรียก ฟรีด้าวิ่งเข้ามากอดอย่างคิดถึง ถึงแม้จะเคยเจอเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตามนอกน้ันจะเป็นการติดต่อผ่านทางจดหมายหมด

         "ฟรีด้า!?"

         "ไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ ยังสวยเหมือนเดิมเลย"

         นี่กำลังชมอยู่ใช่ปะ

         "ขอบใจนะฟรีด้า เธอเองก็น่ารักเหมือนเดิมเลยนะแล้ววันนี่เธอมาทำอะไรที่นี่ละ"

         ถึงจะคาดเอาไว้อยู่แล้วว่าอย่างน้อยตะกูลเรสต้องส่งคนมาดูหรือเป็นหูเป็นตาให้เพราะตะกูลเรสนั้นจะไม่เปิดเผยตัวตน แต่ครั้งนี่กลับเป็นฟรีด้าผู้ที่มีพลังของราชาไททัน แถมยังตามด้วยพ่อของฟรีด้า ลอร์ดเรสต์ผู้ที่ถือว่ามีอำนาจสูงสุดในกำแพง กับชายในเสื้อโค็ดสวมหมวกที่ดูคุ้นตาเป็นอย่างดี ลูกค้าขาประจำน่าตบ เคนนี่!


         "ฟรีด้าทำไมเธอถึงเอาหมอนั้นมาด้วย"

         ไม่ใช่แค่ฉันที่ตกใจ แม้แต่รีไวล์เองก็ตกใจเช่นกัน

         "อาร้ายกัน ฉันแค่อยากเห็นเฉยๆ"

         "ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการโต้เถียงนี่"

         เจสซิก้าปัดมือของเคนนี่ที่จับไหล่อยู่ออกไป เพราะมืออีกข้างหนึ่งของเคนนี่นั้นถือมีดคู่ใจเตรียมเชือดคอมาแล้ว เจสซิก้าเตะไปที่ข้อมือของเคนนี่อย่างเต็มแรง เสียงกระดูกหักดังขึ้น เคนนี่มองมือของตนเองเหมือนกับว่าข้อมือที่หักไปนั้นไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมาย ก่อนจะมืออีกข้างที่ยังไม่เป็นไรหยิบปืนพกขนาดเล็กที่เจคเป็นคนทำขึ้นมา

         เคนนี่แกแอบขโมยของฉันไปจริงๆด้วย

         "หยุดเดียวนี่นะ!"

         ฟรีด้าสั่งเคนนี่ที่เกือบได้เหนียวไกปืน เจสซิก้าปรบมือในใจกับการสั่งการของฟรีด้า เคนนี่มองไปที่ฟรีด้ากับเจสซิก้าเพื่่อชั่งใจ ก่อนจะทำการเก็บปืนลงไป

         "ครั้งนี่เธอโชคดีไป"

         เคนนี่ดึงปีกหมวกให้ลงปิดหน้าตามฉบับตนเอง

         "การโต้วาทีครั้งนี่ฉันจะชนะเคนนี่ และฉันจะตามไปเก็บเงินนายที่หลังไอเฮงซวย"

         ฟรีด้าสั่งให้เคนนี่ไปรักษาตนเอง ลอร์ดเรสต์ยืนมองเจสซิก้าอย่างเงียบๆ ซึ่งทำให้เจสซิก้ารู้แล้วว่าลอร์ดเรสต์รู้ว่าเธอเป็นใคร เอลวินเข้ามาถามอย่างเป็นห่วงกับฮันซี่ ตามด้วยสายตาที่จับตามองของรีไวล์ จนเจสซิก้าต้องพูดว่าควรเข้าไปในห้องได้แล้วปานนี่คนอื่นๆคงจะรออยู่ ทุกคนจึงจะยอมเดินไปที่ห้องศาลพร้อมๆกัน แบล็กถูกขังไว้อยู่ในกรงตั้งไว้กลางห้อง เจสซิก้ารู้สึกเกลียดกับการกระทำแบบนี่ถึงจะเข้าใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร สายตาความรู้หลากหลายถาถมเข้ามา ฟรีด้าจับแขนเสื้อที่พับไว้ของเจสซิก้าอย่างกังวลเพราะเธอไม่เคยเจอกับสถานการณ์เช่นนี่ ก่อนจะแยกไปยืนกับลอร์ดเรสต์ในพื้นที่ส่วนของขุนนาง


         เหตุการณ์แบบนี่ก็ไม่ต่างไปจากของเอเลนเท่าไรแค่เปลี่ยนจากเอเลนมาเป็นเจ้าแบล็กเพียงเท่านั้นเอง


         "เริ่มเลยนะ เมื่อวานทางหน่วยสำรวจได้ค้นพบสิ่งมีชีวิตซึ่งคือเจ้ากระต่ายตัวนี่ที่มีขนาดตัวที่ใหญ่มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสิทธิในการดูแลของเจ้ากระต่ายตอนนี่เป็นทางหน่วยสำรวจ แต่ทางกองทหารสารวัตรกลับยืนเรื่องมาว่าควรทำการตรวจสอบ และกำจัดมันทิ้ง"

         ตึง!!!

         ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นใจร้อน แต่ทันทีที่ได้ยินคำยื้นเรื่องของกองทหารสารวัตรฉันไม่รู้หรอกว่าใครมันสั่งให้กองทหารสารวัตรทำแบบนี่ แต่ใครหน้าไหนก็ตามที่คิดจะทำเรื่องแบบนี่ แสดงว่ามันคนนั้นมันเป็นคนที่เห็นแก่ตัว!!! ตรวจสอบแล้วกำจัด หึ ได้ตัวแบล็กไปแล้วเอาเล่นสนุกก่อนที่มันจะตายก่อนละสิ


         รั่วกั้กพื้นที่ถูกหักลงด้วยมือของเจสซิก้าทั้งห้องเบนความสนใจมาที่หญิงสาว บรรยากาศรอบตัวของเจสซิก้าแสดงออกมาชัดเจนว่าเธอกำลังโกรธ


         "ขออภัยด้วยคะ ท่านผู้บัญชาการสูงสุดเชิญท่านพูดต่อได้เลยคะ"


         ตอนนี่คนทั้งหมดร่วมถึงเอลวินต่างแน่ใจแล้วว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ไม่มีมนุษย์คนไหนจะหักรั่วเหล็กกั้กได้ด้วยมือตัวเองต่อให้รู้สึกโกรธมากแค่ไหนก็ตาม ดาริสผู้ที่ยังรักษอาการได้มากที่สุดก็ถือกระดาษออกมาพูดต่อถึงในใจจะรู้สึกกลัวแปลกๆและสงสัยก็ตาม

         "ก็ตอนนี่ทางประชาชนรู้ถึงการค้นพบของเจ้าสิ่งมีชีวิตนี่ ดังนั้นการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับเหตุผลของทหารทั้งสองหน่วย กองทหารสำรวจและกองทหารสารวัตร เริ่มจากทหารสารวัตร"

         "ครับ ทางเรามีความเห็นว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตใหม่นั้นเป็นกระต่ายยักษ์ แต่เพราะมันมาจากนอกกำแพงซึ่งถือว่าเป็นสิ่งคุกคามกับมนุษย์ชาติ จึงควรทำการตรวจสอบร่างกายของมันเพื่อเป็นความรู้ใหม่ของมนุษย์ชาติ และทำการกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของทุกคน"

         เหล่าผู้ผู้คนที่อยู่ในห้องแห่งนี่ต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แม้กระทั้งบาทหลวงที่น่าจะเป็นหนึ่งในลักธิกำแพงก็ตะโกนออกว่ามาควรกำจัดทิ้ง

         "ไม่มันควรกำจัดตอนนี่เดียวนี่เลย! อย่าให้รูปลักษณ์ภายนอกของมันหลอกลวงเอาได้ มันเป็นปีศาจจากนอกกำแพงซึ่งถือว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า"

         รีไวล์นายช่วยไปเตะปากอีบาทหลวงนั้นได้มั้ย


         "ท่านผู้บัญชาการสูงสุดคะ ดิฉันขอมีส่วนร่วมในการพูดในฐานะผู้ดูแลเจ้ากระต่ายคะ"

         "เชิญ"

         "ก่อนอื่นเลยนะคะ สิ่งที่พวคุณพูดว่าเจ้ากระต่ายควรถูกกำจัดนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้ความคิดคะ เพราะการได้ค้นพบเจ้ากระต่ายตัวนี่มันคือเรื่องยืนยันว่าโลกภายนอกได้มีการเปลี่ยนแปลงไปทิศทางที่เราอาจจะไม่รู้จัก นี่ไม่ใช่การลบลู่พระเจ้าแต่บางทีนี่อาจจะเป็นของขวัญจากพระเจ้าพวกคุณไม่คิดเช่นนั้นเหรอคะ"

         เจสซิก้ามองบาทหลวงที่หน้าซีดเป็นไก่ต้ม แต่ผู้นับถือบางคนก็พยักหน้าทำหน้าอย่างเห็นด้วยกับสิ่งที่พูดก็แค่กระต่ายตัวหนึ่งทำไมถึงต้องไปกำจัดทิ้งด้วย

         "และอีกเหตุผลหนึ่งที่เจ้ากระต่ายควรอยู่ในการดูแลของหน่วยสำรวจ เพราะว่าคนที่เจ้ากระต่ายจะฟังคำสั่งนั้นมีเพียงแค่ผู้บัญชาการเอลวิน สมิธเท่านั้นคะ"

         เสียงฮือฮาดังขึ้น มีบางเสียงที่เจสซิก้าจับใจความได้ว่า หากเป็นเรื่องจริงก็นับว่าเสียดายเพราะอยากได้ตัวมันมาทดเล่นสนุกซึ่งเจสซิก้าก็จำเสียง หน้าตาเอาไว้ในหัวเรียบร้อย หลังจากนี่จะได้ไปเล่นสนุกกับคนๆนั้นให้สมใจอยากถูกคนสัหน่อย

         "เป็นเรื่องจริงรึ เอลวิน"

         เอลวินมองหน้าเจสซิก้าทีหนึ่งถึงจะจำได้ว่าเจสซิก้าเคยสั่งให้เจ้ากระต่ายทำตามคำสั่งของเอลวินแต่นั้นก็หมายความว่าคนที่มันฟังจริงๆคือเจสซิก้าไม่ใช่เอลวิน แต่เพื่อให้ได้ตัวของเจ้ากระต่ายมาโดยไร้ข้อกังขาก็ควรเออออตาม

         "ครับ เป็นความจริงตอนที่ได้เจอเจ้ากระต่ายครั้งแรก มันก็กระโดดมาหาผมคนเดียว คนอื่นที่เข้าใกล้มัน มันจะกระโดดหนีออกไปทันที"

         รีไวล์คิดตามที่เอลวิน ถ้าให้พูดจริงๆเจ้ากระต่ายนั้นมันกัดคนที่เข้าใกล้ต่างหากขนาดฮันซี่ยังเกือบโดนตั้งหลายครั้ง ลูกน้องคนสนิทถึงต้องคอยห้ามอยู่ตลอด

         "งั้นเอลวินถ้าหากเจ้ากระต่ายตัวนี่ไปอยู่ในการดูแลของกองทหารสำรวจ มันจะมีประโยชน์อะไรกับการสำรวจมั้งล่ะ"

         อุย...ลืมเตี้ยมเรื่องนี่เลยอะ เอลวินนายแถเองเลย

         "ทางเราจะทำการทดสอบดูว่ามันมีความสามารถอะไรบาง แต่อย่างน้อยเจ้ากระต่ายตัวนี่ก็มีความสามารถอย่างหนึ่งพลังในการกระโดดและเคลื่อนที่ที่รวดเร็วนั้นจะเป็นประโยชน์ในการสำรวจอย่างแน่นอน ขอเพียงแค่เจ้ากระต่ายอยู่ภายใต้การดูแลของทางเราครับ"

         เหมือนโดนจิกกัดนิดหนึ่งเลยแฮะ แต่พูดได้ดีสมกับเป็นเอลวินล่ะนะ


         "อืม ตัดสินใจแล้วให้เจ้ากระต่ายยักษ์ตัวนี่จะอยู่ในการดูแลของหน่วยสำรวจ"


         "ดีจังเลยนะที่ทางหน่วยสำรวจได้เจ้าแบล็กไป"

         ฟรีด้าพูดอย่างดีใจแทนเจสซิก้า สองสาวออกมาเดินเล่นพูดคุยในสวนของตึกศาลทหารเจสซิก้าปล่อยให้เอลวินไปจัดการเรื่องภายในของทหาร เสร็จเมื่อไรก็คอยให้คนมาตาม เจสซิก้าหัวเราะออกมาเบาๆ ที่การตัดสินครั้งนี่มันจบง่ายเพราะว่าความสนใจของทุกคนนั้นมุ่่งมาที่เจสซิก้าเพียงคนเดียว หลังจากนี้ประวัติของเธอจะถูกขุดมามากเพิ่มขึ้น หรือเธออาจจะถูกจับตามองมากขึ้น

         "นั้นสิ"

         แต่เรื่องของแบล็กก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้ว สิ่งที่เจสซิก้าห่วงในตอนนี่คืออนาคตของฟรีด้าต่างหาก

         "ฟรีด้าฉันมีเรื่องจะบอกเธอเรื่องหนึ่ง"

         สองสาวนั่งคุยตรงน้ำพุ ฟรีด้าที่ได้ฟังเรื่องไททันจากปากของเจสซิก้าก็ร้องไห้ เจสซิก้าลูบไหล่ปลอบโยนอย่างเข้าใจใครๆต่างก็กลัวตายกันทั้งนั้น ถึงจะมีพลังราชาไททันก็ตาม

         "แต่ไม่ว่ายังไงสุดท้ายประชาชนในกำแพงก็จะได้รู้ความจริงสินะ"

         "ใช่"

         "ฮิสโทเรียก็จะได้เป็นราชินีด้วย?"

         "ใช่"

         "แล้วเธอมีความสุขรึเปล่าละ?"

         ถามว่ามีความสุขรึเปล่าก็ไม่น่าจะตอบอะไรได้ แต่การที่ต้องมาท้องกับคนที่ตนเองไม่ได้รัก ถูกกำหนดเปลี่ยนให้เป็นไททัน ขณะที่เพื่อนๆของตนเองก็เดินไปตามอุดมการณ์อย่างแน่วแน่ และตายไปทีละคน


          "ความสุขของน้องสาวเธอคือการได้อยู่กับคนที่ตัวเองรัก"


         เจสซิก้าไม่ตอบออกไปตรงๆ แต่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ฟรีด้ารู้ว่าถึงประชาชนจะรู้ความจริง แต่น้องสาวของตนเองนั้นไม่ได้มีความสุขเลยในอนาคต

         "ถ้าอย่างนั้นเจสซิก้า ก่อนที่ฉันจะตายฉํนจะทำการเปลี่ยนแปลงกฎ"

         ฟรีด้าเช็ดน้ำตาพูดออกมาอย่างแน่วแน่ เจสซิก้ามองอย่างตกใจจะเปลี่ยนกฎเรื่องอายุ 13 ปีได้ยังไงขนาดน้าของฟรีด้าที่เป็นน้องชายของลอร์ดเรสต์ยังตายเลย หรือว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไป

         "ที่จริงแล้วตั้งแต่วันที่เธอมาหาฉัน หลังจากนั้นไม่กี่วันฉันสามารถดูความทรงจำของคนที่เคยถือครองพลังของไททัน และคนที่กำลังถือครองพลังของไททันในตอนนี่"

        

         "........" ฉันเป็นตัวแปรอีกแล้วใช่มั้ย?

        

          "และฉันได้เห็นความทรงจำของยูมีร์ เธอเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร แต่เธอก็ยอมเข้าตัวเองเข้าแลกกับพลังที่มีมากเกินไปสำหรับตัวเองในตอนนั้น เพื่อความสุขของประชาชน"

         "ยูมีร์ในตอนนั้นเธอยังเด็กอยู่เลย เด็กกว่าฉันซะอีกแต่เธอยอมเสียสละทุกอย่าง"

         "และฉันได้พบว่าที่ยูมีร์ตายเพราะร่างกายของเธอนั้นรับพลังไม่ไหว แต่ตอนนี่พลังได้แตกออกเป็น9 ส่วน กฎที่ผู้ครองพลังนั้นต้องตายภายใน 13 ปีนั้นเป็นเพียงช่วงเวลาที่พลังของไททันจะดึงดันออกมาหรือกัดกินร่างกาย"

         "เธอจะควบคุมพลังไททันส่วนนั้นในร่างกายของเอเลน เพื่อยืดอายุขัยออกไป"

         เจสซิก้าพูดอย่างรู้ทัน ไม่ใช่ว่ามันก็เป็นไปไม่ได้ แต่มันก็ไม่มีอะไรมารับประกันว่ามันจะสำเร็จเพราะเธอไม่สามารถพูดคุยกับฟรีด้าที่อยู่ในร่างกายของเอเลนได้ 

         หรือฉันควรไปเรียนวิชารุกรานจิตใจจากแม่ แต่ตอนนี่ฉันก็ไม่รู้วิธีติดต่อกับแม่นี่นา!!

         ฟรีด้าพยักหน้าแทนคำตอบ เจสซิก้ามองหน้าเด็กสาวที่ยอมสละชีวิตตนเองเพื่ออนาคตของประชาชน ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อชดใช้ให้กับความผิดของราชาฟรีสที่กักขังประชาชนให้เป็นคนโง่

         มันไม่มีทางอื่นแล้วรึไงกัน

         

         "เธอทำตอนนี่เลยไม่ได้หรือ"

         "ถึงฉันจะทำตอนนี่ เหล่าขุนนางที่โกงกินก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี ต้องมีบุคคลที่สามบุคคลที่เป็นไพ่ปริศนาที่ไม่อาจคาดเดาได้ และคนที่จะกำจัดพวกโกงกินเงิอนภาษีของประชาชนให้หายไป"

         "แล้วพ่อของเธอละ เธอจะปล่อยให้พ่อของเธออยู่ตัวคนเดียวรึไง"

         "ไม่"

         ฟรีด้ากุมมือของเจสซิก้าไว้แน่น เจสซิก้าสัมผัสได้ถึงความกลัวตายแต่ก็มีความกล้าหาญ ความมุ่งมั่นที่แรงกล้า

        

          "ฉันจะไม่ปล่อยให้คุณพ่อต้องอยู่ตัวคนเดียว ฉันขอบใจเธอจริงๆนะที่ช่วยมาบอกอนาคตของฉันเจสซิก้า เธอนะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่นี่เลย แต่เธอ เพราะเธอมาที่นี่ฉันถึงเป็นอิสระ เพราะเธอมาที่นี่ฉันถึงได้ทำทุกอย่างอย่างที่ใจปราถนา"

         "เธอทำเพื่อฉันมามากแล้ว หลังจากนี่มันคือการตัดสินใจของฉัน"

         "............."

         "แต่ว่ามีอยู่เรื่องเดียวที่มันค้าใจฉัน....."

     

         ไม่ต้องให้พูดเจสซิก้าก็รู้ว่าฟรีด้าหมายถึง ถึงจะทำตามสิ่งที่วางแผนเอาไว้ได้ แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าฮิสโทเรียจะมีความสุขหรือ ไม่ถูกทำให้เป็นราชินี

          เจสซิก้าไม่อยากจะรับปากฟรีด้า เพราะไม่รู้ว่าตนเองจะทำให้ได้รึเปล่าทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่เมื่อได้เห็นสายของคนเป็นพี่และห่วงใยน้อง ทำให้เจสซิก้าเผลอคิดไม่ได้ว่าบางที ถ้าหากตอนนั้นฮิสโทเรียเป็นเจค เจคคงจะทุกข์ใจมาก และตัวเองก็คงจะไม่มีความสุขเลย แต่เรื่องที่เจคจะไปเป็นราชาราชินีคงเป็นไม่ได้แน่นอน


         "ฉันไม่รับปากหรอกนะว่าจะช่วยฮิสโทเรีย"


         "แค่เธอพูดออกมาแบบนี่ฉันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมากเลยละ ว่าอย่างน้อยน้องสาวฉันก็ยังมีคนคอยปกป้องอยู่"

          

         ต่างคนต่างมีแผนในใจเพื่อช่วยคนที่ตนเองรัก เจสซิก้ามองลูกตาสีเดียวกับเธอที่กำลังร้องไห้อีกครั้งเจสซิก้าดึงตัวฟรีด้าเข้ามากอด ถึงจะรู้แล้วว่ามีคนกำลังรอทั้งคู่อยู่ แต่ถ้าหากไม่ทำตอนนี่หลังจากนี่ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกมั้ย

         "พ่อฉันสอนว่า เวลาที่เราต้องการจะระบายและได้เจอสถานที่ที่เหมาะสมก็ระบายออกมาเถอะ อย่าเก็บมันไว้"

         เสียงร้องไห้ดังขึ้นออกมาเบาๆเพราะที่นี่คือตึกทำการ ฟรีด้าไม่สามารถที่จะร้องออกมาดังๆได้ แต่ขอเพียงแค่เธอได้ระบายน้ำตาของความกลัวออกมา ขอเพียงแค่ได้มีใครสักคนได้รู้ว่าตอนนี่เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเธอก็ไม่ต้องการอะไรมากแล้ว ที่เหลือฟรีด้าต้องจัดการเอง

         "เจสซิก้าขอบคุณนะ"

          ฉันขอสัญญาว่าจะทำให้แผนของเธอสำเร็จให้ได้ฟรีด้า




         "พวกเธอคุยอะไรกัน"

         เอลวินถามเจสซิก้าหลังจากได้แยกกับฟรีด้า แล้วมาขึ้นรถม้าเพื่อกลับไปที่หน่วยสำรวจเจสซิก้าไม่แปลกใจว่าทำไมเอลวินถึงถามเพราะตอนที่ฟรีด้าร้องไห้เอลวินกับลอร์ดเรสต์ก็มาหาพอดี ลอร์ดเรสต์คงให้เวลากับลูกสาวตัวเองอยู่กับเพื่อนให้มากที่สุด เลยไม่ยอมเข้ามาหาก่อนและเอลวินเองก็คงไม่อยากขัดช่วงเวลาที่ลึกซึ้งอีกด้วย ถึงได้มาถามหลังจากขึ้นรถม้า 

         "ก็ปัญหาภายในครอบครัวนะ ฟรีด้าเขามีปัญหากับพี่น้องก่อนหน้านี่เลยมาพูดกับฉัน"

         เท่านี่เอลวินก็คงเชื่อแล้วว่าเจสซิก้าเป็นคนที่มาเป็นตะกูลขุนนางจริงๆ ไม่อย่างนั้นฟรีด้าคงไม่เข้ามาพูดคุยปรับทุกข์จนถึงร้องห่มร้องไห้

         "งั้นพรุ่งนี่ประมาณสายๆ เดียวฉันจะไปหานายที่หน่วยสำรวจนะ ใช่เวลาไม่นานหรอกสองสามชั่วโมงก็เสร็จแล้ว"

         เจสซิก้าพูดถึงเรื่องงานแต่งงาน ที่ว่าใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะว่าเรื่องงานแต่งเจสซิก้าก็ไปจัดการเสร็จเรียบร้อยทั้งเรื่องสถานที่ เรื่องงานเลี้ยงเจสซิก้าตั้งใจไว้ว่าสถานที่จะจัดที่หน่วยสำรวจ จะได้เลี้ยงไปฐานะวันคล้ายวันเกิดของเอลวิน วันฉลองกับการความสำเร็จในการค้นพบสิ่งมีชีวิตขณะออกไปสำรวจ  และเธอเองก็รู้อยู่แล้วด้วยว่าเอลวินนั้นแทบไม่มีเพื่อนเลย จัดในหน่วยสำรวจฉลองความยินดีไปกับลูกน้องเลยจะเป็นไรไป

         "ฉันไม่เข้าใจเธอ มีบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจเธอได้จริงๆว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ"

         เอลวินพูดถึงเรื่องที่เจสซิก้าเป็นผู้ต้องสงสัยในเรื่องบุคคลปริศนาที่ช่วยหน่วยสำรวจ และไหนจะเรื่องพลังทางกายภาพที่มีมากเกินปกติ แต่เจสซิก้าในวันนี่ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นคนในกำแพง เพราะฟรีด้ากับเหล่าพ่อค้า(เจสซิก้าไปสะกดจิตมาก่อนที่หน่วยสำรวจจะไปสอบถาม)ต่างยืนยันว่ารู้จักกับเจสซิก้ามานาน แต่ในใจของเอลวินก็ยืนยันว่าเจสซิก้ามีบางอย่างที่แตกต่างจากคนในกำแพง ต่างจากคนทุกคน

         "ฉันจะพยายามไม่พูดถึงเรื่องนี่ เพราะมันไม่มีประโยนช์เอลวิน ทำไมเราไม่มาคุยกันละว่าหลังจากที่แต่งงานกันแล้วจะทำยังไงต่อ"

         เพราะไม่มีหนทางอื่นเอลวินเลยถามเจสซิก้าที่เป็นผู้จัดการในเรื่องงานแต่ง และต้องตกใจเพราะไม่คิดว่าเจสซิก้สจะทำให้ตนเองมากถึงขนาดนี่ เจสซิก้าเสนอทางเลือกให้เอลวินสองทางคือแยกกันอยู่ เอลวินจะได้ทำงานอยู่อย่างเหมือนเดิมและสามารถมาหาเจสซิก้าที่ร้านบาร์ได้เสมอ กับอาศัยอยู่ด้วยกัน

          

          

           เจสซิก้าได้ซื้อบ้านที่เขตชิกันชิน่ากับส่วนที่อยู่ในกำแพงวอลมาเรียเอาไว้ หรือจะให้เจสซฺก้าย้ายไปอยู่ที่บ้านของเอลวิน ให้เอลวินเลือกเองว่าจะอยู่ที่ไหนส่วนเจสซิก้าไม่มีปัญหาอย่างน้อยก็ยังอยู่ใกล้กับแหล่งอาหารหลักของเธอ

         "ฉันไม่เข้าใจจริงๆเลยว่าทำไมคุณต้องทำมากถึงขนาดนี่ด้วย"

         "นายอยากให้ฉันบอกรักนายรึไง นายถึงจะได้หายสงสัย"

         บทสนทนาเงียบลงทันที เอลวินผู้ที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี่พูดอะไรไม่ออก ในใจก็ไม่กล้าบอกเจสซิก้าให้บอกรักตนเองเพราะที่จริงแล้วในใจของเอลวินรักแมรี่ที่เคยทำงานเป็นสาวเสริฟอยู่ต่างหากและแต่งงานกับเพื่อนของตนเองไปแล้วด้วย

         "ไม่เป็นไรเอลวิน"

         เจสซิก้าที่เดาความรู้สึกของเอลวิน พูดออกมาเพื่อตัดปัญหา

         ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องมารักฉันหรอกเพราะฉันเองก็ไม่บอกนายเองเช่นกัน ไม่ว่าจะเรื่องอะไรนายจะไม่ได้รู้อะไรทั้งนั้น


         เสียงวุ่นวายดังขึ้นที่นอกรถม้า เจสซิก้ามองทางหน้าต่างว่าเกิดอะไร แต่ประตูก็เปิดออกทันทีด้วยมือของเจค

         "เจสซิก้ารีบกลับไปที่บ้านเร็ว"

         "เจค มีเรื่องไรเหรอ?"

         "ท่านแม่...ท่านมาหาพวกเรา"










    เรื่องยูมีร์หนูแถเอาไม่ต้องคิดนะว่ามันมีอยู่ในเนื้อเรื่อง555555 

         

         

         

         

         

             

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×