ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [sf/os] smiles and tears ; Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #21 : SF #เราชื่อบยอนแบค : 4

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.89K
      42
      27 ก.พ. 61

    Chapter 4

     

                ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว หลังจากที่ซันนี่ แม่ของบยอนแบคมาที่โลกมนุษย์ และเรื่องที่ได้คุยกับชานยอล มันก็ยังคงเป็นความลับอยู่แบบนั้น บยอนแบคยังคงใช้ชีวิตปกติ แต่ที่ไม่ปกติอาจเป็นที่ชานยอล เขาไม่ให้บยอนแบคแปลงเป็นมนุษย์บ่อยเกิน แต่ในใจกลับย้อนแย้งกับความคิด เขาอยากให้บยอนแบคแปลงเป็นมนุษย์ทุกวัน ถ้าเป็นไปได้ เป็นมนุษย์ตลอดเลยก็ดี

     

                บยอนแบคผู้เป็นเจ้าหนูจำไม ก็เอาแต่ตั้งคำถามกับชานยอลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าทำไมถึงไม่ให้เขาแปลงเป็นมนุษย์บ่อยๆ แต่เชื่อเถอะ ขึ้นชื่อว่าเป็นภูติจอมซนแล้ว บยอนแบคก็จะแปลงเป็นมนุษย์เพื่อแกล้งชานยอลอยู่เสมอ ทำเอาชานยอลต้องดุ แต่มันก็แค่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าบยอนแบคกำลังเบะปากเตรียมร้องไห้

     

                ก็เพราะตามใจแบบนี้ไง บยอนแบคถึงเอาแต่ดื้ออยู่แบบนั้น

     

    “วันนี้ห้ามเป็นมนุษย์แล้วนะบยอนแบค” ตื่นเช้ามา แทนที่จะทักทายกันด้วยคำว่าอรุณสวัสดิ์ แต่คำที่หลุดออกมาจากชานยอลที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ กลับเป็นคำห้ามบยอนแบค

     

    “ทำไมล่ะชานยอล ทำไม!” ได้ยินดังนั้น บยอนแบคก็ทิ้งตัวลงนั่งที่หมอนแล้วงอแง

     

    “เป็นมนุษย์มันสนุกตรงไหน”

     

    “ทุกตรงเลย!” คำตอบของบยอนแบคมันทำให้ชานยอลถอนหายใจ

     

                ชานยอลชอบที่บยอนแบคเป็นมนุษย์ แต่ถ้ามันไม่เกิดผลดีกับบยอนแบค เขาก็ไม่ต้องการ ความจริงเป็นภูติบยอนแบคก็น่ารัก แต่แค่กอดไม่ได้เท่านั้นเอง

     

    “แต่ฉันชอบตอนนายเป็นแบบนี้” ชานยอลยิ้มแล้วยื่นนิ้วไปลูบที่แก้มใส

     

    “คิคิ เราน่ารักอ่ะดิ”

     

    “อืม น่ารัก” ชานยอลเปลี่ยนท่าจากนอนหงายเป็นนอนตะแคง พร้อมเอามือข้างหนึ่งรองข้างแก้ม

     

    “เราตัวเล็ก เราจุ๊บชานยอลไม่ได้แน่เลย” พูดจบ เจ้าภูติตัวเล็กก็บินเข้าไปใกล้หน้าชานยอล ก่อนริมฝีปากเล็กๆจะจรดลงบนจมูกโด่งๆของชานยอล

     

                และนั่นแหละ มันทำให้ชานยอลยิ้มออกมาอย่างง่ายดาย

     

    “แล้วเมื่อกี้เรียกว่าอะไร”

     

                คนที่จะจุ๊บไม่ได้น่ะ ชานยอลต่างหาก

     

    “จุ๊บ”

     

    “อืม จุ๊บได้หนิ”

     

    “มันไม่เหมือนกัน!

     

                สิ่งที่บยอนแบคต้องพูดมันคือ ชานยอลต้องจุ๊บบยอนแบคไม่ได้ต่างหาก

     

    “เสียงดังทำไมหืม แล้วกินเกสรยัง”

     

    “กินแล้ว ตอนชานยอลหลับ” พอเปลี่ยนเรื่องคุย บยอนแบคก็ลืมไปเลยว่าก่อนหน้านั้นคุยอะไรกันไว้

     

                เจ้าภูติตัวจิ๋วเมื่อเห็นว่าชานยอลตื่นแล้ว ก็เอาแต่บินเล่นรอบห้อง บินออกไปข้างนอก แล้วก็บินกลับเข้าห้อง ให้ชานยอลเดาก็คือบยอนแบคอยากเที่ยว แต่เขาไม่อยากให้บยอนแบคอยู่ไกลจากสายตาเท่าไหร่ ช่วงนี้เลยเอาแต่อยู่ห้องกับบยอนแบค บางทีเขาก็พาบยอนแบคไปเรียนบ้าง แต่ถึงจะกำชับว่าไม่ให้ไปไหน แต่รู้ตัวอีกที ก็ไม่มีภูติบินอยู่รอบตัวแล้ว

     

    “วันนี้ไปเรียนด้วยกันไหม”

     

    “ไป!

     

    “คำว่าด้วยกันคือนายต้องอยู่กับฉันตลอดนะ”

     

    “เราไปเที่ยวไม่ได้หรอ” นั่นไง เตรียมตัวไปเที่ยวแล้ว “อยู่กับชานยอลเราก็พูดอยู่คนเดียว เธอไม่พูดกับเราเลย”

     

    “เดี๋ยววันนี้คุยด้วย”

     

    “จริงนะ” บยอนแบคยิ้มร่าแล้วบินออกไปนอกห้อง เห็นดังนั้น ชานยอลจึงจัดการแต่งตัวเพื่อเตรียมไปเรียน

     

                ชานยอลเตรียมหูฟังเพื่อนำไปคุยกับบยอนแบค เห็นทีว่าวันนี้อาจจะต้องใส่ทั้งวัน

     

     

    ♦♦♦

     

    “เกิดติสท์อะไรเสียบหูฟัง ฟังเพลงเหรอ” ชานยอลเดินเข้ามาในโรงอาหารที่เพื่อนรออยู่ มินกิที่ไม่ค่อยเห็นเพื่อนเสียบหูฟังก็ทักขึ้น

     

    “ติสท์คืออะไรชานยอล” บยอนแบคที่บินมาพร้อมชานยอลก็ถามขึ้น

     

    “คุยโทรศัพท์น่ะ” ชานยอลไม่ได้ตอบบยอนแบค เพราะรู้สึกว่าคำถามมันยากไป

     

    “ชานยอลตอบเรา!

     

    “อย่าเสียงดังสิแบคฮยอน อยู่กับเพื่อนแล้ว”

     

    “ไม่มีใครได้ยินเราเสียหน่อย” บยอนแบคเชิดหน้า

     

                หลายวันมานี้ บยอนแบคมักจะสงสัยอะไรหลายๆอย่างรอบตัว จนต้องเอ่ยถามชานยอลไม่หยุดตามประสาเจ้าหนูจำไม แต่หลายๆครั้งชานยอลก็อธิบายไม่ถูก

     

    “แต่ฉันได้ยินไง”

     

    “นี่ชานยอล ถามจริงๆเลยนะ” มินกิทำหน้าเครียด ทำเอาชานยอลจะเครียดตามไปด้วย

     

    “อือ”

     

    “นายกับแบคฮยอนเป็นแฟนกันป่ะ” มินกิถามเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้

     

    “แฟนคืออะไรชานยอล” นั่นแหละ ถึงจะเบายังไงเจ้าภูติจิ๋วก็ยังได้ยิน หูดีอย่าบอกใครเชียวล่ะ และยังไม่ทันที่ชานยอลจะได้ตอบอะไร เจ้าหนูจำไมเจ้าเก่ารายเดิมก็ถามออกมา

     

    “เปล่า เป็นเพื่อน”

     

    “ใช่ๆ เราเป็นเพื่อนกัน” บยอนแบคพยักหน้าเห็นด้วย “สรุปว่าแฟนคืออะไรชานยอล” แต่ก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะอยากรู้ในสิ่งที่สงสัย

     

                อย่างอื่นล่ะลืมง่าย แต่ทำไมคำนี้ถึงได้อยากรู้นัก

     

    “เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่องี้ป่ะ”

     

    “เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อคืออะไร” เออ และก็ลงอีหรอบเดิม ถ้ามีคำอะไรแปลกๆที่บยอนแบคไม่เคยได้ยิน ก็มักจะถามออกมาแบบนี้แหละ

     

                จะให้บอกไหมล่ะว่าคือชานยอลตอนนี้ สนิทรึเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าคิดไม่ซื่อน่ะ ใช่เลย

     

    “คงงั้นมั้ง” ชานยอลยอมรับอย่างง่ายดาย เหลือบไปมองบยอนแบคที่นั่งอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขา

     

    “เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อคืออะไรชานยอลลล!

     

    “เงียบนาแบคฮยอน ฉันคุยกับเพื่อนอยู่นะ” ชานยอลดุบยอนแบค เพราะเขาก็ไม่รู้จะตอบคำถามบยอนแบคยังไงในขณะที่มีเพื่อนอีกสองคนนั่งจ้องหน้าเขาแบบนี้

     

    “แบคฮยอนได้ยินที่ฉันถามหรือ” มินกิตาโต

     

    “ได้ยิน โวยวายอยู่เนี่ย”

     

    “ตอบสิชานยอล ถ้าเธอไม่ตอบเรานะ เราจะหนีไปเที่ยว!

     

    “ถ้าไปแล้วไม่ให้เข้าห้องนะ” เขารู้ ว่าบยอนแบคไม่ไปจริงๆหรอก เจ้าตัวเล็กน่ะ กลัวจะไม่ได้เล่นน้ำในอ่างจะตาย

     

                ถึงจะตัวเล็กแค่ขนาดเท่าฝ่ามือก็เถอะ

     

    “ฮึ ไม่ไปหรอก ถ้าเราไม่อยู่ที่ห้องชานยอลก็จะเหงา” บยอนแบคที่ทำท่าจะบินหนีตามที่พูดก็นั่งลงที่เดิม ชานยอลลอบยิ้มบางๆก่อนจะวางมือลงบนโต๊ะหน้าบยอนแบค

     

                มือของชานยอลกลายเป็นของเป็นของเล่นโปรดของบยอนแบคไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เจ้าภูติจิ๋วชอบจับมือชานยอลไปเล่น ทั้งตอนที่เป็นมนุษย์และตอนที่เป็นภูติ ชานยอลลปล่อยให้บยอนแบคเล่นไปสักพักก่อนจะถึงเวลาเรียน บยอนแบคเปลี่ยนจากบินตามก็ไปนั่งบนไหล่กว้าง แต่สายตายังคงกวาดมองไปรอบๆราวเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับตน

     

                เมื่อถึงห้องเรียน ชานยอลเลือกนั่งโต๊ะริมติดผนัง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมากางบนโต๊ะเพื่อให้บยอนแบคนั่งและนอนเล่นบนนั้น มินกิที่ไม่เข้าใจว่าเพื่อนทำอะไรก็ไม่ได้เอ่ยถาม คิดแค่ว่าอาจจะแค่อยากเอามาปูไว้เฉยๆ

     

    “ไม่ถอดหูฟังออกเหรอชานยอล” มินกิมองไปยังหูฟังที่เพื่อนตัวสูงยังคงเสียบไว้ที่หู ดีหน่อยที่พวกเขานั่งหลังและเป็นวันเรียนรวม อาจารย์เลยไม่ได้สนใจมากนัก

     

    “หึ แบคฮยอนยังอยู่ในสาย” ชานยอลส่ายหัว

     

    “อยู่ในสายอะไร อยู่บนโต๊ะนี่ต่างหาก” บยอนแบคแย้งขึ้นหลังจากได้ยินเจ้ามนุษย์ยักษ์ตอบเพื่อน

     

    “พูดยาก” ชานยอลพึมพำกับบยอนแบค

     

    “หือ”

     

    “เปล่า คุยกับแบคฮยอน”

     

                ตลอด 3 ชั่วโมงที่ชานยอลเรียน บยอนแบคก็ทำตัวเป็นภูติที่ดี ปฏิบัติตัวตามที่บอกกับชานยอลไว้ คือไม่ได้ไปไหนเลย บยอนแบคนอนกลิ้งอยู่บนผ้าเช็ดหน้าของชานยอล มีบ้างที่จะอยู่นิ่งๆ นอนนิ่งๆแล้วหันไปทางชานยอล

     

                ชานยอลที่นั่งจดงานก็เหลือบไปเห็นบยอนแบคนอนตาแป๋วมองมาทางเขา เขายอมให้บยอนแบคกลิ้งไปกลิ้งมามากกว่าที่จะมานอนมองหน้าเขาแบบนี้ มองอย่างเดียวไม่พอด้วยนะ

     

    “ชานยอลหล่อจริงๆเลย” เจ้าภูติตัวจิ๋วหัวเราะคิกคัก แต่คนถูกชมกลับต้องเก็บอาการ

     

    “อ่ะแฮ่ม” ชานยอลกระแอมเบาๆ

     

    “หูแดงด้วยอ่ะ เหมือนโดนใครบิดมาเลย”

     

                เฮ่อ คิดถูกหรือคิดผิดที่เอาบยอนแบคมาเรียนด้วย แต่ก็นะ เรียนไปด้วย มองบยอนแบคไปด้วยมันก็เพลินดีแหละ ถ้าเป็นแบบนี้ได้ทุกวันก็คงดีล่ะนะ

     

                ไม่นานอาจารย์ก็ปล่อย เจ้าภูติที่กลิ้งไปกลิ้งมาตั้งแต่ต้นคาบ ตอนนี้ก็สลบไปเรียบร้อย ผมเลื้อยตัวลงไปกับโต๊ะ วางคางกับแขนที่รองอยู่บนโต๊ะแล้วมองเจ้าภูติที่หลับปุ๋ย กางแขนกางขาเหมือนเด็กน้อย

     

    “ทำไรอ่ะ ไม่กลับหรอ” มินกิที่เก็บของเสร็จแล้วหันมาหาผม

     

    “อืม พักแป๊ป จะกลับแล้วใช่ไหม”

     

    “อื้อ งั้นไปก่อนนะ”

     

     

     

                ชานยอลนั่งมองบยอนแบคนอนอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะปลุกบยอนแบค เพิ่งรู้ว่าการมองบยอนแบคนอนมันก็ทำให้เพลินดี รู้ตัวอีกที เวลาก็ผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน

     

    “ฮื่อ ชานยอลเราง่วง อย่ากวนซี่” บยอนแบคงอแง พลิกตัวนอนคว่ำ

     

    “ไม่กลับบ้านหรือ”

     

    “ชานยอลกลับไปเลย เดี๋ยวเราตามไป”

     

    “ไม่อยากอยู่กับฉันแล้วเหรอ” ชานยอลแกล้งทำเสียงหงอย และมันได้ผล บยอนแบครีบลุกขึ้นมามองหน้าชานยอลปริบๆ

     

    “ไม่ร้องนะชานยอล” บยอนแบคบินเข้าไปใกล้ๆชานยอลแล้วใช้มือเล็กๆลูบเข้าที่หน้าเบาๆ

     

                ใครมันจะไปร้องกันล่ะ

     

    “ป่ะ กลับบ้าน” ชานยอลเอ่ยชวนอีกครั้ง บยอนแบคจึงพยักหน้ารับก่อนจะย้ายไปนั่งบนไหล่ของชานยอล

     

     

    ♦♦♦

     

    “ชานยอลอย่าโกรธเราเลยนะๆ” เสียงใสๆเอ่ยขึ้น

     

                ประโยคนี้มันถูกพูดมาแล้วเกือบ 10 ครั้ง เพราะเจ้ามนุษย์ตัวสูงไม่ยอมพูดกับบยอนแบคเสียที เอาแต่เดินหลบ เดินเลี่ยงอยู่นั่น แต่ถ้าจะให้บอกถึงเหตุผลที่ทำให้ชานยอลโกรธมันก็คงไม่พ้นที่ว่าบยอนแบคจอมซนที่แปลงเป็นมนุษย์อีกแล้ว ความห่วงใยของชานยอลนี่มันไม่มีผลจริงๆ

     

    “จะไม่ให้โกรธได้ไง ฉันบอกว่าอย่าแปลงเป็นมนุษย์อีกไง” ชานยอลเอ่ยเสียงเย็น แต่บยอนแบคกลับดีใจที่ชานยอลพูดด้วยแล้ว

     

    “ฮี่ ชานยอลยอมพูดกับเราแล้ว”

     

    “ใช่เรื่องไหมเนี่ย”

     

    “แล้วชานยอลจะไปกี่โมงเหรอ” บยอนแบคถามขณะที่ชานยอลกำลังเลือกชุด

     

                และเหตุผลที่ทำให้บยอนแบคดื้อแปลงเป็นมนุษย์ก็เพราะอยากออกไปข้างนอกกับชานยอลด้วยร่างของมนุษย์ เขาอยากไปเจอลู่หานกับมินกิอีกครั้ง บยอนแบคอยากลองพูดคุยกับมนุษย์น่ารักทั้งสอง จนลืมไปเลยว่าชานยอลไม่ให้แปลงเป็นมนุษย์อีกแล้ว

     

                วันนี้ชานยอลมีนัดกินข้าวกับมินกิและลู่หาน ถึงแม้ชานยอลตั้งใจจะพาบยอนแบคไปด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความวาจะให้ไปด้วยร่างมนุษย์นี่ เขาไม่ได้โกรธบยอนแบคอะไรขนาดนั้น กลับกันเขาเป็นห่วงมากกว่า คำพูดของซันนี่มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ชานยอลยังอยากอยู่กับบยอนแบคให้นานกว่านี้

     

    “แต่งตัวเสร็จก็จะไปแล้ว นายไปแต่งตัวดีๆสิ” เพราะบยอนแบคแปลงเป็นมนุษย์แบบไม่ให้ชานยอลตั้งตัว ชานยอลจึงรีบถอดเสื้อนอนตัวเองให้บยอนแบคใส่ก่อน

     

                ถึงจะเคยเห็นมาบ่อยแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าชานยอลไม่เคยชิน ผิวขาวๆของบยอนแบคนี่มันชวนให้ใจเต้นชะมัด ตอนนี้บยอนแบคจึงอยู่ในชุดเสื้อนอนชานยอลตัวเดียว โชคดีไปที่บยอนแบคตัวเล็ก เลยทำให้เสื้อตัวเดียวเอาอยู่

     

                ชานยอลจะพยายามไม่สนใจต้นขาขาวๆที่โผล่พ้นเสื้อมาแล้วกัน

     

    “เธอเลือกให้เราหน่อยสิ” บยอนแบคเดินมายืนข้างๆชานยอลหน้าตู้เสื้อผ้า

     

                ชานยอลได้แต่ถอนหายใจ ก็ในเมื่อแปลงเป็นมนุษย์แล้ว ชานยอลจะทำอะไรได้ เขาก็ทำได้แค่เลือกชุดให้บยอนแบคใส่เหมือนทุกที ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าบังเอิญหรือเป็นความตั้งใจของชานยอล ที่เมื่อทั้งคู่แต่งตัวเสร็จ มันก็กลายเป็นว่าพวกเขาใส่ชุดคัพเพิลกันซะงั้น

     

                ชานยอลเลือกเสื้อเชิ้ตสีขาวให้บยอนแบคและกางเกงขาสามส่วนสีกรมท่า ส่วนชานยอลก็แต่งเหมือนกัน แต่เปลี่ยนจากกางเกงสามส่วนเป็นขายาว

     

    “เหมือนกันเลยๆๆ” บยอนแบคชี้ไปที่ชานยอลที่เห็นว่าแต่งตัวเหมือนตน

     

    “เหมือนตรงไหน” ชานยอลขมวดคิ้วแล้วเดินออกจากห้อง ส่วนบยอนแบคก็ยังคงพึมพำว่าเหมือนกันๆไม่เลิก

     

     

                จุดหมายปลายทางของวันนี้คือย่านช็อปปิ้งกลางใจเมือง ไม่ได้จะมาซื้อของอะไรหรอก มินกิบ่นว่าอยากกินแซลมอน วันนี้จึงเลือกมากินบุพเฟ่ต์ที่มีร้านอยู่แถวๆนี้ วันนี้เป็นวันหยุด คนจึงเยอะเป็นพิเศษ และชานยอลก็เลือกที่จะนั่งรถสาธารณะไปแทน

                ทั้งสองรอมินกิและลู่หานหน้าคอนโดก่อนจะออกเดินทางไปด้วยกัน การเดินทางครั้งนี้ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับบยอนแบคเป็นอย่างมาก เพราะเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่บยอนแบคได้ใช้บริการรถสาธารณะ ทั้งรถประจำทางและรถไฟใต้ดิน

     

    “ชานยอล ทำยังไง” บยอนแบคยืนจ้องตู้ขายตั๋วอัตโนมัติราวกับว่ามันเป็นสิ่งแปลกประหลาด

     

                ชานยอลก็อยากจะบอกเหลือเกินว่าสิ่งแปลกประหลาดนั่นคือบยอนแบคต่างหาก

     

    “มายืนตรงนี้” แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือลากบยอนแบคให้มายืนข้างๆก่อนจะจัดการทุกอย่างให้หมด

     

    “ใจดีจังเลยน้า” บยอนแบคยิ้มแฉ่งแล้วเอาหัวถูเข้าที่ไหล่กว้างๆ

     

                เหตุการณ์ต่างๆมันก็อยู่ในสายตาของสองพี่น้องที่เป็นผู้ร่วมเดินทางในทริปนี้ และชานยอลก็บอกได้แค่ว่า บยอนแบคไม่เคยใช้บริการรถสาธารณะ และทั้งคู่ก็ได้คิดไปแล้วว่า บยอนแบคฮยอนเนี่ย น่าจะเป็นลูกคนรวยที่มีคนขับรถคอยไปรับไปส่งตลอด

     

                ใช้เวลาพอสมควรเลยกว่าจะมาถึงที่ร้าน โชคดีหน่อยที่มินกิโทรมาจองโต๊ะแล้วเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องรอนานมาก

     

    “พี่ชานยอลลองชิมอันนี้ดูสิครับ” ลู่หานคีบสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตนเองไปใส่จานชานยอล

     

    “ขอบคุณนะครับ”

     

                บยอนแบคที่ใช้ตะเกียบไม่คล่อง จากต้องคีบก็กลายเป็นจิ้มแทน ท่าทางเด็กๆมันทำให้ชานยอลทั้งขำทั้งเอ็นดู บยอนแบคบอกอยากกินนู่นกินนี่ตลอดเวลา และชานยอลก็มีหน้าที่ที่คอยคีบใส่จานเจ้าตัวเล็ก

     

    “ดูแลดีเหมือนกันนะเนี่ย” มินกิเอ่ยเหย้าหยอก ชานยอลไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยักไหล่ให้

     

    “ชานยอลใจดี ดูและเราทุกอย่างเลย ขนาดตอบอาบ--” ก่อนที่บยอนแบคจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ชานยอลก็ต้องรีบขัดขึ้นมา

     

                ใครจะยอมให้บยอนแบคพูดเรื่องที่เขาอาบน้ำให้กันล่ะ

     

    “ลองกินนี่ดูแบคฮยอน” ชานยอลคีบซูชิจ่อที่ปากบยอนแบค และเมื่อเจ้าตัวเล็กเห็นของกินอยู่ตรงหน้า ก็ลืมไปเลยว่าเมื่อครู่ตนจะพูดอะไร

     

                มินกิมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม จนลืมสังเกตไปเลยว่าคนข้างๆตัวเองเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินของตรงหน้าโดยไม่มองภาพข้างหน้าเลยแม้แต่น้อย

     

                บางที การที่ชานยอลไม่มีแฟน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนในใจ แล้วที่บอกว่ายังไม่มีคนที่ชอบ ทำไมต้องหลอกกันด้วยนะ ลู่หานกินไปก็คิดไป

                เขาชอบชานยอลมาตั้งแต่ยังไม่เคยเจอกัน พอรู้ว่าพี่ชายตนเองจะย้ายมาเรียนกับชานยอล เขาก็ทำการสอบทุนแลกเปลี่ยน เพื่อจะหาโอกาสมาเจอชานยอล แต่กลับกลายเป็นว่า ที่ว่างข้างชานยอลที่ตนหวังว่าสักวันจะเป็นของตน ถูกจองไว้ให้กับบยอนแบคฮยอน คนที่ชานยอลอ้างว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็กไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

     

                เพื่อนที่ไหนจะดูแลดีขนาดนี้

                เพื่อนที่ไหนจะมองด้วยสายตาเอ็นดูขนาดนี้

     

                ไม่มีหรอก มันไม่ใช่เพื่อนแล้วแบบนี้

                แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นชานยอลที่คิดเกินเพื่อนไปคนเดียว หรืออีกฝ่ายก็คิดด้วย

     

    “ชานยอล กินเลอะ” บยอนแบคพูดขึ้น “เหมือนเด็กน้อย”

     

                ไม่พูดเปล่า บยอนแบคมองที่หน้าชานยอลก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบข้าวเม็ดเล็กๆออกจากมุมปากชานยอล แต่แทนที่จะเช็ดกับกระดาษทิชชู่ บยอนแบคกลับนำมันเข้าปากแทน

     

                โอเค ลู่หานรู้แล้ว

                มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรเลย

                ต่างคนต่างคิดเกินเพื่อนแบบนี้

                ลู่หานก็ขอถอยแล้วกัน หาที่ว่างจะไปแทรกไม่ได้เลย

     

    “ทำอะไร” ชานยอลดูจะอึ้งๆกับการกระทำของคนตัวเล็กเมื่อครู่

     

    “เช็ดปากให้ชานยอล”

     

    “แล้วทำไมไม่เช็ดทิชชู่”

     

    “ก็เลียนแบบชานยอลไง” บยอนแบคยิ้มร่า ไม่ได้มีท่าทีใดๆหลังจากทำในสิ่งที่ทำชานยอลใจเต้นแรง

     

                บยอนแบคจำได้หรือ นึกว่าจะมัวแต่ห่วงกินอย่างเดียวจนไม่ได้สนใจว่าชานยอลทำอะไรให้บ้าง

     

    “จำได้ด้วยหรือ”

     

    “เห็นเราเป็นแบบนี้แต่เราความจำดีนะ เธอทำอะไรให้เรา เราจำได้หมดแหละ” พูดจบบยอนแบคก็ก้มหน้ากินต่อ ปล่อยให้ชานยอลนั่งหน้าแดง หูแดง ใจเต้นอยู่คนเดียว

     

                มินกิมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มออกมา ไม่เคยเห็นชานยอลเป็นแบบนี้เลย เรียนด้วยกันมาก็นาน ต้องขอบคุณแบคฮยอนหรือเปล่า ที่ทำให้เขาได้เห็นเพื่อนสนิทมุมนี้

                ชานยอลเพื่อนรักของเขากำลังมีความรักหรือนี่

     

                ทั้งสี่คนใช้เวลาได้คุ้มมาก เพราะอิ่มตอนเวลาหมดพอดี มื้อนี้ชานยอลและลู่หานได้หารกันจ่าย ก่อนจะแยกย้าย เพราะลู่หานมีนัดกับเพื่อนต่อ ส่วนมินกิก็นัดกับดงโฮเช่นกัน

     

    “แบคฮยอน” ชานยอลเรียกคนตัวเล็กที่เอาแต่มองไปมองมารอบๆ

     

    “ชานยอล เราตาลายไปหมดเลย” บยอนแบคหันมาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ชานยอล

     

    “ทำไม”

     

    “คนเยอะ เดินไปมา ฟึ่บฟั่บ” คนตัวเล็กทำท่าทางและเสียงประกอบ

     

                ชานยอลส่ายหัวให้กับคนตรงหน้า มือใหญ่เลื่อนไปวางบนหัวแล้วโยกไปมา ไม่รู้ว่าความรู้สึกเอ็นดูบยอนแบคเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็คือ ไม่ว่าบยอนแบคจะทำอะไรมันก็น่ารักไปหมด บางทีชานยอลก็อยากจะจับบยอนแบคฟัดทั้งวันทั้งคืน อยากจะนอนกอดไว้ในห้องไม่ให้ออกมาเจอใครเลย

                ตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจคนรอบข้างเท่าไหร่ แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกจับจ้อง แต่พอมองดูดีๆแล้ว คนที่โดนมองน่ะ ไม่ใช่เขาหรอก คนข้างๆนี่ต่างหาก บยอนแบคส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามนู่นนี่กับเขาตลอดทางเหมือนเด็ก แต่ไม่ได้น่ารำคาญเลยแม้แต่น้อย

     

                เพราะแบบนี้ไง เลยไม่อยากให้บยอนแบคแปลงเป็นมนุษย์แล้วออกไปไหนมาไหนอีกแล้ว แต่คิดอีกที ถ้าบยอนแบคไม่ได้เป็นมนุษย์ ชานยอลก็คงไม่ได้มาเดินจับมือเที่ยวเล่นแบบนี้สินะ

                ชานยอลมองมือของเขาและบยอนแบคที่จับกันอยู่ เขาไม่รู้หรอกว่าคนข้างๆเขารู้สึกอะไรบ้างไหม เพราะเขาคือมนุษย์ ส่วนบยอนแบคเป็นภูติ แถมเป็นภูติจอมซนที่แสนไร้เดียงสาเสียด้วย เจ้าตัวเล็กจะรู้ไหม ว่าชานยอลกำลังคิดอะไรอยู่

     

    ♦♦♦

     

                วันนี้บยอนแบคลากชานยอลไปนู่นมานี่จนแทบจะไม่มีแรงเหลือ เขารู้สึกได้ว่าบยอนแบคน่าจะสนุกกว่าทุกครั้งที่แปลงเป็นมนุษย์ ถึงแม้ว่าจะดูบยอนแบคเหนื่อยล้า แต่เจ้าตัวก็ยังดื้อจะเที่ยวต่อ วันนี้ชานยอลสอนให้บยอนแบคถ่ายรูป และผลที่ได้คือตอนนี้ในโทรศัพท์ของชานยอลเต็มไปด้วยรูปของเขากับบยอนแบค รูปที่เขาแอบถ่ายบยอนแบค และรูปที่บยอนแบคถ่ายเขา ถึงแม้ว่าจะเหมือนเด็กๆถ่ายก็ตาม

                เรียกได้ว่าวันนี้เป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ชานยอลจะไม่ลบออกไปจากหัวเลย เขาจะเก็บความทรงจำในวันนี้ไว้ในหัวใจของเขา และเขาก็หวังว่าเจ้าตัวเล็กก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน

                เพราะใช้แรงไปหมด ตอนนี้บยอนแบคจึงหมดแรงอยู่บนตักเขา ชานยอลเลือกที่จะนั่งแท็กซี่กลับคอนโดแทนที่จะนั่งรถประจำทางและรถไฟใต้ดินเหมือนตอนมา เพราะเจ้าภูติจอมซนคงไม่เหลือแรง

     

                ชานยอลมองคนที่นอนหลับอยู่บนตักตัวเอง มือใหญ่ลูบไปตามเส้นผมนุ่มๆของคนตัวเล็ก เขาจินตนาการไม่ออกเลย ว่าถ้าวันไหนเขาตื่นมาแล้วไม่มีบยอนแบค ชีวิตเขาจะเป็นยังไง จะขาดสีสันไปมากแค่ไหน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะลืมบยอนแบคและใช้ชีวิตมาได้ 18 ปี แต่ในวันนี้เขามีบยอนแบคเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแล้ว เขาก็อยากให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอดไป

              ตลอดไป

                คำว่าตลอดไปน่ะหรือ มันก็คงเป็นคำที่ไม่มีจริงหรอก เขาไม่เคยเชื่อว่าตลอดไปมีจริง แต่ตอนนี้เขากลับอยากให้มันเกิดขึ้นกับตัวเอง อยากมีบยอนแบคอยู่ข้างกาย บยอนแบคเป็นภูตินี่ ต้องอยู่กับเขาได้สิ แต่เมื่อพลันนึกไปถึงคำพูดของซันนี่อีกครั้ง ในใจมันก็เริ่มห่อเหี่ยว

                อายุขัยสั้นอย่างนั้นหรือ

                ไม่หรอก มันคงจะไม่สั้นขนาดนั้น บยอนแบคน่ะ ยังอยู่กับชานยอลได้อีกนาน

     

     

                ใช้เวลาร่วมชั่วโมง รถแท็กซี่ก็เคลื่อนตัวมาถึงคอนโดของชานยอล ส่วนบยอนแบคนั้น แม้ว่าชานยอลจะปลุกกี่ครั้งก็ตาม ก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นเลย มีแต่ส่งเสียงอื้ออึงเพราะถูกปุกแค่นั้น ชานยอลจึงล้มเลิกการปลุกแล้วอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นห้องแทน ในคราแรก ชานยอลเลือกที่จะอุ้มท่าเจ้าสาวขึ้นไป แต่ดูแล้วท่าทางจะลำบาก จึงต้องเปลี่ยนเป็นขี่หลังแทนโดยได้รับการช่วยเหลือจากรปภ.ของคอนโด

                เมื่อเข้ามาถึงห้อง ชานยอลพาบยอนแบคไปนอนบนเตียงก่อนจะเปลี่ยนชุดให้เจ้าตัวได้นอนสบายขึ้น ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้เจ้าภูติจะกลับร่างเดิมก็เถอะ เมื่อจัดการเสร็จทุกอย่างแล้ว ชานยอลก็ไปจัดการตัวเองบ้าง

     

                ชานยอลเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับชุดนอนที่ถูกสวมอยู่บนเตียงเรียบร้อย เขาก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างๆบยอนแบคที่หลับอุตุอยู่ เขาปิดไฟทุกดวงเหลือเพียงไฟข้างเตียงไว้ แล้วนั่งมองหน้าบยอนแบคอยู่ร่วมชั่วโมง ก่อนจะตัดสินใจว่า วันนี้เขาจะเข้านอนเร็วหน่อย สายตาเหลือบไปมองนาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียง

     

                สองทุ่มงั้นหรือ

     

                อือ ไม่เป็นไร ถือเสียว่าจะได้มีเวลากอดบยอนแบคได้นานขึ้น ใช่ กอด ชานยอลคิดไว้แล้วว่าวันนี้เขาจะกอดบยอนแบคไว้ทั้งคืนเลย เพราะอยู่ๆในใจของเขาก็รู้สึกโหวงๆ เขายังไม่อยากห่างจากบยอนแบคไปไหน ถึงแม้ว่าเจ้าภูติจอมซนยังอยู่กับเขาตรงนี้ก็เถอะ

                ชานยอลสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มแล้วกอดบยอนแบคไว้ คืนนี้น่าจะเป็นคืนที่ชานยอลน่าจะหลับฝันดี และหวังว่าคนในอ้อมกอดของเขาก็จะฝันดีเช่นกัน

               

     

    “ชานยอลๆ” บยอนแบคที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก่อนเจ้าของห้อง จัดการเรียกเจ้ามนุษย์ตัวโตที่หลับตาพริ้มแถมยังกอดบยอนแบคไว้อีกต่างหาก

     

                ที่ฝันดีเมื่อคืนเป็นเพราะกอดของชานยอลหรือเปล่านะ

     

    “คิกคิก” บยอนแบคคิดแล้วก็หัวเราะออกมา และเริ่มซนโดยการใช้นิ้วเล็กๆของตัวเองจิ้มแก้มของชานยอลที่หลับไม่รู้เรื่อง

     

    “อือ” ชานยอลครางอื้ออึงในลำคอเพราะถูกรบกวนการนอน บยอนแบคเห็นดังนั้นก็ชอบใจ แทนที่จะหยุดกลับซนยิ่งขึ้นไปอีก

     

                มือเรียวของบยอนแบคถูกยกขึ้นมาทั้งสองข้างอย่างทุลักทุเลเพราะยังอยู่ในอ้อมกอดของชานยอล ก่อนจะวางมันเบาๆบนใบหน้าหล่อๆที่บยอนแบคชอบชมในใจไว้เบาๆ ถูนิ้วโป้งเบาๆบริเวณแก้ม ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ๆ

     

                จุ๊บ

     

                ปากบางๆของบยอนแบคจรดลงบนจมูกโด่งๆของชานยอล บยอนแบคหัวเราะคิกคักกับตัวเอง ก่อนจะเปลี่ยนที่บ้าง บยอนแบคคิดว่าชานยอลยังหลับอยู่เลยอยากจะแกล้งอีก คราวนี้เลื่อนหน้าไปยังหว่างคิ้ว ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปบนหน้าผาก ลงมาที่ตาทั้งสองข้าง ก่อนจะค่อยๆเลื่อนลงมาที่ริมฝีปาก

     

    “แต๊ะอั๋งหรือไง” ชานยอลที่บยอนแบคคิดว่ายังไม่ตื่นพูดขึ้นก่อนที่ริมฝีปากบางจะจรดลงไปบนอวัยวะเดียวกัน

     

                ชานยอลตื่นตั้งแต่เจ้าตัวเล็กนี่จิ้มแก้มแล้ว

     

    “คิคิ ตื่นแล้ว” แทนที่บยอนแบคจะตกใจที่ชานยอลตื่น แต่กลับกลายเป็นยิ้มจนแก้มจะแตกแทน

     

    “อือ มีคนกวนไง”

     

    “คิดถึงชานยอล”

     

    “กะ..ก็อยู่ตรงหน้าไง”

     

    “แต่ชานยอลหลับ เราอยากให้ชานยอลตื่น” คำพูดของบยอนแบคเรียกความเอ็นดูจากชานยอลได้เป็นอย่างดี ชานยอลยิ้มให้บยอนแบคก่อนจะเป็นฝ่ายจรดริมฝีปากลงบนจมูกรั้นๆนั่น

     

    “ตื่นแล้วนี่ไง”

     

    “ฮื่อ ดีจัง” พูดจบ บยอนแบคก็เข้าไปใกล้ชานยอลกว่าเดิมก่อนจะกอดชานยอลแน่นๆ

     

                ชานยอลยิ้มบางๆ เพราะมันรู้สึกดีมากๆ

     

    “ดีจังเลยได้เจอชานยอลทุกวัน”

     

    “อือ”

     

    “ชานยอลอยากเจอเราทุกวันไหม”

     

    “อยากสิ”

     

    “เหมือนกันเลย” เขาไม่รู้ว่าบยอนแบคทำหน้าแบบไหน เพราะตอนนี้ใบหน้าเล็กๆซุกเข้าที่อกเขาอยู่

               

                บยอนแบคจะยิ้มกว้างเหมือนที่เขายิ้มไหมนะ

     

     

                วันนี้ทั้งชานยอลและบยอนแบคไม่มีแพลนทำอะไร เพราะชานยอลว่างและไม่อยากออกไปไหน อีกอย่าง บยอนแบคยังไม่กลับร่างภูติ เขาไม่รู้ว่าถ้าออกไปข้างนอก บยอนแบคจะกลายเป็นภูติตอนไหน สุดท้ายจึงเลือกใช้เวลาวันหยุดอยู่กับห้อง

                ชานยอลลุกขึ้นมาทำออมเล็ตให้บยอนแบค เพราะท้องเริ่มประท้วงส่งเสียงออกมา พนันได้เลยว่าถ้าบยอนแบคไม่หิว ทั้งสองคนคงจะกอดกันจนตะวันตกดินนั่นแหละ

                หลังจากที่ชานยอลปล่อยให้บยอนแบคไปเล่นน้ำยามเช้าเรียบร้อย ตอนนี้เจ้าตัวเล็กก็ออกมาหาเขาด้วยสภาพที่ เอ่อ..น่าฟัด แทนที่บยอนแบคจะใส่ชุดที่ชานยอลซื้อให้ แต่ตอนนี้เจ้าตัวเล็กกลับสวมเสื้อยืดตัวใหญ่ของเขาอยู่ เสื้อตัวนี้ชานยอลใส่ยังดูตัวใหญ่ พอมาอยู่บนตัวบยอนแบคนี่ไม่ต้องพูดเลย กลายเป็นชุดกระโปรงไปโดยปริยาย

     

    “ทำไมไม่ใส่ชุดตัวเอง”

     

    “ก็หยิบตัวนี้ได้ก่อน” บยอนแบคฉีกยิ้มโชว์ฟันสวย ชานยอลไล่สายตาตั้งแต่หัวกลมๆลงไปยันขา

     

    “ใส่กางเกงหรือเปล่า” เขาถาม เพราะเสื้อมันตัวใหญ่จนไม่เห็นขากางเกงเลย

     

    “นี่ไง!” บยอนแบคไม่ได้ตอบคำถามเป็นคำพูด แต่กลับเลิกเสื้อขึ้นให้ดูแทน และมันก็ทำให้ชานยอลต้องรีบเบือนหน้าหนี

     

                ใส่กางเกงจริงๆ แต่เป็นกางเกงใน

     

    “เอาเสื้อลงแล้วเข้าไปใส่กางเกงดีๆ”

     

    “ก็--”

     

    “นี่มันกางเกงใน เข้าไปใส่กางเกงดีๆ”

     

    “เอ๊ ทำไมมนุษย์ยุ่งยากอ่ะ” แทนที่บยอนแบคจะทำตามที่ชานยอลบอก แต่กลับส่ายหัวแล้วเดินเข้าไปในครัวแทน

     

                บยอนแบคทำหน้าตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนโต๊ะ ชานยอลพยายามไม่สนใจเรื่องที่บยอนแบคไม่ไปใส่กางเกง แต่โฟกัสกับภาพตรงหน้าแทน บยอนแบคจะตื่นเต้นเสมอเมื่อเห็นอาหารที่ตนไม่เคยกิน

                ทั้งคู่ใช้เวลาไม่นานเพราะดูท่าทางบยอนแบคจะหิวมาก เล่นกินแบบไม่พูดไม่จา พอกินข้าวเช้าเสร็จ เจ้าตัวเล็กก็ไปขลุกอยู่บนโซฟา เปิดทีวีไว้ให้มีเสียง แล้วกลิ้งไปกลิ้งมาบนโซฟา บยอนแบคเผลอกลิ้งตกลงมาหลายครั้ง เพราะโซฟาไม่ได้กว้างมาก แต่ก็สนุกเขาล่ะ เล่นแบบนี้อยู่คนเดียว ส่วนชานยอลก็จัดการล้างจาน ทำหน้าที่พ่อบ้านที่ดีไป

     

                ในเมื่อวันนี้ว่าง ชานยอลจึงเลือกที่จะอ่านหนังสือทบทวนบทเรียน โดยมีบยอนแบคนอนหมดแรงข้างๆ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ไปเล่นอะไรเลยนอกจากกลิ้งไปมา กับถามนู่นนี่นั่นจากชานยอล

                ชานยอลเดินไปหยิบผ้านวมในห้องนอนมาห่มให้บยอนแบคที่นอนขดตัวอยู่ข้างๆ เพิ่งจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้ครั้งแรก กับการอ่านหนังสือแล้วมีคนหลับอยู่ข้างๆ มือข้างหนึ่งของชานยอลก็ไฮไลท์เนื้อหาในชีท มืออีกข้างก็ลูบหัวบยอนแบคเบาๆ เจ้าตัวเล็กส่งเสียงงึ้ดๆ ทำเอาชานยอลหลุดขำออกมา

     

                ไม่รู้เวลาผ่านมานานแค่ไหน ชานยอลใจจดใจจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือครึ่งค่อนวัน รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่บยอนแบคตื่นขึ้นมา แล้วมาคลอเคลียอยู่ข้างๆนั่นล่ะ

     

    “นอนหลับสบายไหม หืม” ชานยอลลูบหัวบยอนแบคที่ยังดูงัวเงียอยู่

     

    “อื้อ ตอนนี้พลังเรากลับมาแล้ว” บยอนแบคพูดทั้งๆที่ตายังลืมได้ไม่ดี

     

    “หิวยัง”

     

    “อยากกินพิซซ่าอีก” บยอนแบคไม่ได้ตอบคำถาม แต่พูดในสิ่งที่อยากกินขึ้นมา

     

                อือ แบบนี้ค่อยเลี้ยงง่ายหน่อย

     

                หลังได้ยินความต้องการของบยอนแบค ชานยอลก็จัดการสั่งพิซซ่าให้เจ้าตัวเล็กทันที รอไม่นานพิซซ่าก็มาส่ง บยอนแบคที่พลังกลับมาเต็มที่เหมือนเดิมก็กระโดดโลดเต้นเพราะกลิ่นของพิซซ่าที่ลอยไปเตะจมูก

                ชานยอลปล่อยให้บยอนแบคจัดการกับพิซซ่าตรงหน้าด้วยตัวเอง และบยอนแบคก็ยังกินเหมือนเด็กแบบเดิม เลอะไปหมดทั้งมือทั้งปากทั้งแก้ม แต่ชานยอลก็รอจัดการทีเดียว

     

    “อ่ะชานยอล” บยอนแบคยื่นพิซซ่าในมือให้ชานยอล

     

    “ของฉันก็มี”

     

    “อยากป้อน” ชานยอลอ้าปากรับทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น

     

                และตลอดการกินพิซซ่าในครั้งนี้ มันก็ดำเนินไปด้วยการที่ผลัดกันป้อนไปมา มันอาจจะไม่ได้สะดวกเหมือนต่างคนต่างกิน แต่ถ้าให้พูดถึงระดับความสุขนั้น มันมากว่าการกินเองหลายเท่า

                ไม่รู้ว่าการกินพิซซ่ามันจะสนุกอะไรมากมาย เพราะมันมีแต่เสียงหัวเราะของทั้งคู่ เสียงหัวเราะแหลมๆที่ดังกังวาน กับเสียงหัวเราะทุ้มๆที่ดังขึ้นเป็นระยะ มันบ่งบอกได้อย่างดีว่าเจ้าของเสียงหัวเราะนั้นมีความสุขแค่ไหน

                ไม่ต้องมีเหตุการณ์หรือการกระทำที่พิเศษ มันก็ทำให้มีความสุขได้ ขอเพียงแค่คนที่อยู่กับชานยอลคือบยอนแบค และคนที่อยู่กับบยอนแบคคือชานยอล เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทั้งคู่คือความสุขของกันและกัน

     

                แต่ใครจะล่วงรู้ได้เล่า ว่าเวลาแห่งความสุขมันอยู่กับเราได้ไม่นาน

     

    ♦♦♦

     

                หลังจากช่วงเวลาพิซซ่าแห่งความสุขได้ผ่านพ้นไป ตะวันก็ตกดิน และทั้งคู่ก็เตรียมตัวพร้อมนอน ถึงแม้ว่ามันเวลาเพิ่งจะหนึ่งทุ่มก็เถอะ ชานยอลนั่งพิงหัวเตียงแล้วกดโทรศัพท์แชทกับเพื่อน ส่วนบยอนแบคก็นอนดูหนังสือภาพที่ชานยอลซื้อมาให้อย่างเพลิดเพลิน

                ไร้เสียงสนทนาใดๆรอบกาย แต่มันก็ไม่ได้สร้างความอึดอัดให้ทั้งสองเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้จะต่างคนต่างทำกิจกรรมของตนเอง แต่ก็รับรู้ได้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว

     

    “ชานยอลทำอะไร” บยอนแบคที่ดูหนังสือภาพจบแล้ว ก็เบนความสนใจไปยังคนตัวโตที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์

     

    “คุยกับเพื่อน” ชานยอลลดโทรศัพท์ลงแล้วมองบยอนแบคที่นั่งขัดสมาธิมองเขา “อ่านจบแล้วหรือ”

     

    “อื้อ แล้วไหนเพื่อนชานยอล” บยอนแบคชะโงกหน้าไปดูโทรศัพท์ของชานยอล ที่ตอนนี้ปรากฏหน้าต่างแชทที่บยอนแบคไม่รู้จัก

     

    “ไม่คุยแล้ว” ชานยอลปิดล็อคหน้าจอเพื่อเลี่ยงการอธิบายถึงเทคโนโลยีของมนุษย์ แล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ส่วนบยอนแบคเห็นชานยอลว่าดังนั้นก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร

     

    “เรายังไม่กลับร่างภูติเลยชานยอล” บยอนแบคพูดหงอยๆ ไม่ใช่ว่าบยอนแบคไม่ชอบที่จะอยู่ในร่างนี้ แต่พอคิดว่าบยอนแบคอยู่ในร่างมนุษย์ได้นานกว่าภูติตนอื่น มันก็หมายความว่า บยอนแบคแปลกกว่าภูติตนอื่นอีกแล้ว

     

    “อยากกลับไปเป็นภูติหรอ”

     

    “เปล่า เราแค่คิดว่าเราแปลกจากภูติตนอื่นอีกแล้ว” ใบหน้างองุ้มของบยอนแบค ทำให้ชานยอลกวักมือเรียกให้บยอนแบคไปนั่งยังหว่างขาชานยอล ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าบยอนแบคถูกชานยอลแบคฮักอยู่

     

    “ทำไมใช้คำว่าอีกแล้ว” ชานยอลถามก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ก่อนจะเลื่อนหน้าไปเกยอยู่บนบ่าเล็กๆ

     

    “ก็เราน่ะนะ ตัวเล็กกว่าเพื่อนเลย พลังกายก็น้อยกว่าเพื่อน อีกอย่างนะ..” จู่ๆบยอนแบคก็เงียบไป ชานยอลจึงต้องพูดขึ้นมา

     

    “เงียบทำไมหือ ฉันฟังอยู่”

     

    “เราน่ะ..จริงๆภูติต้องมีพลังประจำตัว อย่างโอเซเป็นพลังลม คิมไคก็เทเลพอร์ต..” ชานยอลไม่ได้ขัดขึ้นมา บอยนแบคก็เงียบไปพักหนึ่ง “แต่เราไม่มีพลังอะไรเลย” พูดจบ บยอนแบคก็ทิ้งตัวพิงไปกับตัวของชานยอล

     

    “มีสิ” ชานยอลก้มลงไปยิ้มให้คนตัวเล็กในอ้อมกอด

     

    “ฮื่อ ไม่มี ไม่มีจริงๆนะ”

     

    “พลังของนายคือทำให้ฉันมีความสุขไง” สิ้นเสียงชานยอล บยอนแบคก็เด้งตัวหลุดออกจากอ้อมแขนชานยอล แล้วเปลี่ยนเป็นนั่งหันหน้าเข้าหาชานยอลแทน

     

    “จริงหรอ!” เสียงหงอยๆของบยอนแบคหายไปแล้ว

     

    “อื้อ”

     

    “เราทำให้ชานยอลมีความสุขเหรอ เราทำยังไงอ่ะ เราทำได้จริงๆหรอ”

     

    “จริงสิ ถ้าถามว่าทำยังไง..” ชานยอลยกมือขึ้นมาแล้วใช้นิ้วเกลี่ยที่แก้มใสเบาๆ ”แค่เป็นนาย แค่เป็นบยอนแบค มันก็ทำให้ฉันมีความสุขแล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนของชานยอล และสัมผัสเบาๆของมือที่อยู่บนใบหน้า มันทำให้บยอนแบคยิ้มออกมา ก่อนจะหุบยิ้มแล้วทำหน้าครุ่นคิดแทน

     

    "เราว่าเราเหนื่อย"

     

    "ทำไมล่ะ เหนื่อยอะไร ไม่ได้ทำไรสักหน่อย นั่งอยู่เฉยๆเนี่ย" ชานยอลยิ้มขำๆ เหนื่อยอะไรกัน ไม่ได้ไปเล่นอะไรที่ไหนเสียหน่อย

     

    "ก็ใจเราเต้นแรงอ่ะ เนี่ยๆจับดู" บยอนแบคจับมือของชานยอลที่จับหน้าตัวเองไว้มาทาบตรงอกข้างซ้าย ที่ซึ่งเป็นตำแหน่งของหัวใจ

     

    "ฮะๆ" ชานยอลหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทีนั่น

     

    "เห็นไหม มันเต้นแรง เราเหนื่อยแน่ๆ"

     

    "อือ คงเหนื่อยอ่ะ..เขินเหนื่อยไง"

     

    “เขิน..เหรอ” บยอนแบคเอียงคอถามชานยอล

     

    “เนี่ยๆ หูแดงเลย” ชานยอแกล้งจับหูสองข้างของบยอนแบคแล้วดึงไปมาเบาๆ

     

    “ฮื่อ อย่าแกล้งเรา เจ้ามนุษย์ยักษ์”

     

                ชานยอลหัวเราะกับท่าทีก่อนจะปล่อยหูของบยอนแบคให้เป็นอิสระ

     

    “แล้วทำไมเราถึงเขิน” ชานยอลมองหน้าบยอนแบคนิ่งเมื่อได้ยินคำถาม

     

    "เคยมีความรักไหม" ชานยอลไม่ตอบคำถามของบยอนแบค แต่เลือกที่จะถามกลับแทน

     

    "เคยสิ กับพ่อกับแม่กับแคสเปอร์" บยอนแบคยกนิ้วขึ้นมานับ "อ้อๆ มีคิมไคกับโอเซด้วย ถึงจะไม่อยากยอมรับว่ารักเจ้าพวกทาสนั่นก็เถอะ แต่ก็รักแหละ" บยอนแบคพูดจบก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว

     

    "ไม่สิ..หมายถึง แบบคนรัก อะไรทำนองนั้น"

     

    คนรักคืออะไรบยอนแบคเริ่มคิ้วขมวด ทำไมชานยอลถามยาก

     

    อืม.. แบบที่พ่อกับแม่รักกัน

     

    อ่า..เราก็ไม่เคยถามเสียด้วยสิว่าพ่อกับแม่รักกันยังไงบยอนแบคพูดออกมาอย่างไร้เดียงสา ไว้กลับโลกภูติจะไปถามให้นะ

     

    อ่า ไม่สิ หมายถึงแบบพ่อรักแม่ แม่รักพ่อ แล้วอยู่ด้วยกันเหมือนตอนนี้

     

    แล้วก็ บู้ม กลายเป็นมีเรากับแคสเปอร์บยอนแบคทำท่าทางประกอบ มันน่ารักจนชานยอลอยากจะจับฟัด

     

    นั่นแหละ

     

    "หึ ไม่เคยอ่ะ วันๆเราอยู่แต่กับทาสทั้งสอง ไม่รู้จะไปรักกับใคร" คำตอบของบยอนแบคทำให้ชานยอลยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว

     

    "แล้วอยู่กับฉันอ่ะ"

     

    "หือ? อยู่กับชานยอลทำไมอ่ะ ก็นี่ไง อยู่ด้วยกัน" บยอนแบคชี้ไปที่ชานยอลก่อนจะชี้เข้าตัวเอง

     

    "หมายถึง..อยู่กับฉันแล้วรักฉันไหม"

     

    "แน่นอน ถึงจะน้อยกว่าพวกทาสนิดนึง แต่เรารักชานยอลนะ เห็นมาตั้งแต่ตัวกลมๆ" บยอนแบคทำท่าประกอบ นั่นทำให้ชานยอลเขกหัวไปหนึ่งที

     

    "เดี๋ยวเถอะ" แต่พอเขกแล้วชานยอลก็ลูบตรงที่เขกอย่างเบามือ เขกเสร็จก็ลูบปลอบ ไม่รู้จะเขกทำไมตั้งแต่แรก "หมายถึงแบบที่พ่อรักแม่ แม่รักพ่อสิ"

     

    "งือ..ไม่รู้สิ เราไม่เคยมีความรักอะไรแบบนั้นอ่ะ ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง" บยอนแบคส่ายหัวแล้วระบายยิ้มออกมาจางๆ

     

    เกิดมา18ปี ไม่รู้หรอกว่าคนรักกันแบบพ่อแม่เขารู้สึกกันยังไง บยอนแบคยังคงสนุกกับชีวิตเด็กๆที่เล่นไปวันๆกับเพื่อนทั้งสองอยู่เลย อาจเป็นเพราะตัวเล็กกว่าใครเขาเลยถูกแกล้งอยู่บ่อยๆ จนสุดท้ายก็ต้องแยกออกมาเล่นกับคิมไคและโอเซ ชีวิตก็มีแค่ครอบครัวกับเพื่อนทั้งสองนี่ล่ะ อ่า อาจจะนับลาอีเข้ามาด้วย แต่มันก็ยังไม่ใช่รักเชิงชู้สาวอยู่ดี

     

    "งั้นถามอะไรอย่างสิ"

     

    "หลายอย่างก็ได้"

     

    "ฮะๆ งั้นถามหลายๆอย่างเลยนะ"

     

    "อื้อ" บยอนแบคพยักหน้า

     

    "ตอบตามความจริงด้วยนะ"

     

    "เราเคยโกหกชานยอลหรอ" บยอนแบคมองเข้าไปในตาของชานยอลแล้วยิ้มให้

     

    "ไม่เคย.." ชานยอลยื่นมือไปลูบหัวคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดู "..งั้น อยู่กับฉันแล้วมีความสุขไหม"

     

    "แน่นอนสิ! อยู่กับชานยอลสนุก แล้วก็มีความสุขมากๆเลย" บยอนแบคตอบเสียงดังฟังชัด ปากบางยิ้มกว้าง ตาเล็กๆนั่นก็หยีจนเป็นเส้นเดียว

     

    "เวลาห่างกันคิดถึงฉันบ้างไหม"

     

    "คิดถึงสิ ขนาดตอนเราตื่นมาแล้วไม่เห็นชานยอลนอนข้างๆก็คิดถึงแล้ว" บยอนแบคตอบด้วยท่าทีที่จริงจัง จนตอนแรกชานยอลที่คิดว่าบยอนแบคแกล้งหยอกเป็นอันต้องพับเก็บความคิดนี้ไป

     

    "เวลาฉันทำแบบนี้.." ชานยอลเลื่อนเข้าไปหาบยอนแบคจนจมูกทั้งสองชนกัน คนตัวเล็กซึ่งทำตัวไม่ถูกก็เอาแต่จ้องเข้าไปในตาของชานยอล ไม่ได้หันหนีแต่อย่างใด "..ใจเต้นแรงไหม"

     

    "แน่นอน มันเต้นแรง" บยอนแบคตอบด้วยเสียงแผ่วเบาแล้วค่อยๆจับมือชานยอลให้มาทาบตรงหัวใจตัวเอง "..แรงมากๆ"

     

    บางที การซื่อตรงเกินไปของบยอนแบคมันก็อันตรายสำหรับชานยอลเช่นกัน ความรู้สึกเขินตีตื้นขึ้นมา อาจเป็นเพราะอยู่ใกล้บยอนแบคแบบนี้ รวมถึงคำพูดและการกระทำของคนตัวเล็ก ชานยอลเอื้อมมือไปจับมือบยอนแบคข้างที่ว่างให้มาทาบตรงหน้าอกข้างซ้าย จุดที่เป็นหัวใจ

     

    "ฉันก็เต้นแรงนะ รู้สึกไหม"

     

    "แรง..มากเลย ชานยอลเหนื่อยหรอ"

     

    "เปล่า เขินต่างหาก"

     

    "งั้นเรา..ก็เขินด้วย หัวใจเราเต้นเป็นจังหวะเดียวกันเลยชานยอล" บยอนแบคเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ ปนเขินๆ

     

    และนั่น มันก็เหมือนเป็นหมัดฮุคที่เข้าหน้าชานยอลจังๆ น็อคเอาท์แล้ว ชานยอลแพ้ให้กับบยอนแบคอย่างเต็มรูปแบบ

     

    คืนนั้นชานยอลและบยอนแบคต่างนอนหลับด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม คราวนี้มันไม่ใช่แค่ชานยอลกอดบยอนแบคแล้ว แต่มันเป็นทั้งสองนอนกอดกัน บางทีตั้งแต่สองคนที่รู้จักกันมา คืนนี้อาจจะเป็นคืนแรกที่มีความสุขมากขนาดนี้ และชานยอลก็ได้แต่ภาวนาว่า อย่าให้มันเป็นความฝันเลยนะ

     

    ♦♦♦

     

    เช้านี้ ชานยอลตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น อาจเพราะได้นอนเต็มอิ่ม ความรู้สึกว่าได้กอดใครสักคนมันหายไปแล้ว ชานยอลคิดว่าบยอนแบคน่าจะกลับไปเป็นภูติแล้วล่ะ และก็ไม่ผิดจากที่ชานยอลคิด เมื่อเหลือบไปเห็นว่าบยอนแบคกลายเป็นภูติตัวจ้อยเหมือนเดิมแล้ว

    แต่แปลก คราวนี้เป็นชานยอลที่ตื่นก่อนบยอนแบค เขาเท้าแขนนอนมองบยอนแบคที่กำลังหลับปุ๋ย ชานยอลใช้นิ้วชี้ของตัวเองเขี่ยเข้าที่แก้มใส

     

    “ตื่นได้แล้วเจ้าภูติขี้เซา”

     

    “...” แต่ก็ไร้การตอบรับ บยอนแบคยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ชานยอลจึงส่งเสียงเรียกอีกครั้ง

     

    “วันนี้ไปเรียนด้วยกันไหม”

     

    “...” แต่ก็ยังคงเงียบ บยอนแบคยังคงหลับอยู่แบบนั้น ชานยอลจึงเขย่าตัวบยอนแบคเบาๆ

     

    “ตื่นได้แล้วบยอนแบค เจ้าภูติจอมซน”

     

    “...” มันแปลกเกินกว่าทุกที บยอนแบคไม่ใช่คนตื่นยาก ยิ่งเมื่อคืนนอนเร็ว ถือว่าได้รับการพักผ่อนเยอะมาก ความจริงบยอนแบคควรจะตื่นก่อนเขาเสียด้วยซ้ำ

     

                บยอนแบคไม่ยอมตื่น มันยิ่งทำให้ชานยอลร้อนใจ เขาพยายามส่งเสียงเรียก ทั้งแตะตัว เขย่าตัว แต่บยอนแบคก็ไม่มีวี่แววว่าจะตื่น ชานยอลเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นว่าลมหายใจของบยอนแบคยังสม่ำเสมอ อย่างน้อยๆมันก็ทำให้เบาใจได้เปราะหนึ่ง

                ชานยอลเลือกที่จะนั่งเฝ้าบยอนแบคอยู่แบบนั้น ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะมีเรียน แต่เขาก็จัดการบอกมินกิไปแล้วว่าวันนี้ไม่ไปเรียนเพราะบยอนแบคป่วย ทางมินกิเองก็เข้าใจ ไม่ได้เซ้าซี้มากมาย เพียงแต่ฝากความห่วงใยมาให้บยอนแบคแค่นั้น

                เขานั่งอยู่ข้างๆบยอนแบคแบบนั้นไม่ไปไหน มีส่งเสียงเรียกบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็เป็นแบบเดิม มีเพียงความเงียบที่ตอบรับกลับมา

     

    “ชานยอล” เสียงเรียกชื่อชานยอลทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้ง เขาหันไปมองที่บยอนแบคเป็นคนแรก แต่กลับไม่เป็นอย่างที่เขาหวังไว้

     

                แต่เมื่อเบนสายตาไปยังปลายเตียง ก็พบว่ามีภูติอยู่ 2 ตนบินอยู่ ชานยอลจำได้ว่านั่นคือแม็กซ์และซันนี่ พอแม่ของบยอนแบค

     

    “พวกคุณ..”

     

    “ข้าว่าบางทีมันอาจถึงเวลาแล้วจริงๆ” ซันนี่เอ่ยด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า ชานยอลพยายามไม่คิดไปในแง่ลบ

     

    “บยอนแบคคงเหนื่อย วันก่อนเที่ยวเล่นทั้งวันเลย” ชานยอลพยายามฝืนหัวเราะ พยายามไม่นึกถึงคำพูดของซันนี่ที่คุยกันล่าสุด

     

    “เราอาจจะต้องพาบยอนแบคกลับโลกของเรา” เป็นแมกซ์ที่บินเข้ามาหาชานยอล

     

    “ล่ะ..แล้ว จะกลับมา เมื่อไหร่..ครับ” ชานยอลพยายามบังคับให้เสียงตัวเองเป็นปกติ

     

                แมกซ์และซันนี่มองหน้ากันก่อนจะหันมาหาชานยอลแล้วส่ายหัวเบาๆ

     

    “อาจจะไม่มีวันนั้นแล้วก็ได้” คำพูดของแมกซ์มันเหมือนเป็นสวิซต์หยุดเวลา เหมือนทั้งโลกของชานยอลหยุดหมุน

     

    “อะ..อะไรนะครับ” บางทีชานยอลอาจฟังผิด

     

    “บยอนแบคอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว” ซันนี่ย้ำให้ชานยอลรู้

     

                เธอรู้ว่ามันเกินกว่าที่ชานยอลจะรับไหว พวกเขาก็ทำใจมาสักพักแล้วเหมือนกัน แต่มันถึงเวลาแล้ว เทพสายฟ้าให้พาตัวบยอนแบคกลับโลกภูติ มันอาจจะดีกว่าที่ปล่อยให้อยู่บนโลกมนุษย์นี้  

    มันถึงเวลาแล้วที่ชานยอลต้องบอกลาบยอนแบค

     

    “พวกข้าต้องขอบคุณเจ้ามากนะชานยอล ที่ช่วยดูแลบยอนแบคให้ ถึงแม้ว่าความจริงแล้วเจ้าเด็กนี่ต้องมาดูแลเจ้าก็เถอะ” แมกซ์พูดติดตลก แต่มันไม่ได้ตลกเลยสำหรับชานยอล

     

                ชานยอลนั่งมองบยอนแบคที่ยังคงหลับตาพริ้ม ชานยอลบังคับให้มือที่กำลังเอื้อมไปหาบยอนแบคไม่ให้สั่น เขาลูบหัวบยอนแบคอย่างที่เคยทำประจำ

     

    “ต้องจากกันแล้วนะ จะไม่ตื่นมาบอกลากันหน่อยหรือ” ชานยอลพูดเสียงเบา แต่ก็นั่นแหละ มันก็มีเพียงแต่ความเงียบ

     

    “เราต้องไปแล้วชานยอล” ซันนี่พูดขึ้น

     

    “ครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง..โชคดีนะครับ” ชานยอลเอ่ยลา ก่อนจะมีแสงวาบแล้วหายไป

     

                รอบๆห้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือไม่มีบยอนแบค ไม่มีภูติจอมซนนั่นอีกแล้ว ชานยอลยกเข่าขึ้นมากอดแล้วซบหน้าลงไป เขาไม่คิดว่าเวลานี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้ เขายังไม่ได้เตรียมใจเลย เขาคิดว่าเขากับบยอนแบคจะอยู่ด้วยกันได้นานกว่านี้เสียอีก ทำไมอยู่ๆถึงทิ้งกันไปแบบนี้ล่ะบยอนแบค

     

              เรา..ยังไม่ได้บอกรักกันเลยนะ

     

     

    Tbc.

     

     

     

    ตอนหน้าจบแล้วค่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×