ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [sf/os] smiles and tears ; Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #25 : Best friend

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.65K
      175
      13 ก.ค. 61

    Best Friend

     

                เพื่อนสมัยเด็กน่ะเหรอ ?

     

    บยอนแบคฮยอน!!

     

                อ่า มันคือสิ่งที่เกือบจะแตะคำว่าน่ารำคาญ

     

    “งืม อะรายยย”

     

                แต่มันก็แค่เกือบนั่นแหละ

     

    “มาอะรงอะไรได้ไง วันนี้มีนัดไม่ใช่เหรอ”

     

    “นัดของนายนี่ ไม่ใช่ฉัน”

     

    “โว้ยย ไอ้หมาบ้าเอ้ย!

     

                หึ..

     

                ผมใช้แขนยันตัวเองขึ้นจากเตียง แล้วนั่งมองเพื่อนสมัยเด็กยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงต่อยตุ๊กตาล้มลุกที่เจ้าตัวเอามาวางไว้ที่ห้อง ผมหัวเราะน้อย ๆ เพราะท่าทางนั้นตลกเป็นบ้า ตัวก็สูงเฉียดร้อยเก้าสิบ ไหนจะยังเสียงทุ้มๆนั่นอีก มันไม่ควรจะแสดงท่าทางแบบนั้นไม่ใช่หรือไง

     

    “ล้อเล่น” ผมลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปที่เพื่อนตัวสูงพร้อมกับตบบ่ากว้างนั่นเบา ๆ “ขอเวลายี่สิบนาที ลงไปกินแซนวิชรอนะ”

     

                ผมพูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่ได้สนว่าเพื่อนตัวเองจะพูดบ่นเกี่ยวกับที่ผมเดาถูกว่ามื้อเช้าวันนี้เป็นแซนวิช มันก็ไม่ได้เดายากอะไรขนาดนั้นนะ ก็ชานยอลมาบ้านทีไร ชอบโชว์ฝีมือการทำแซนวิชที่ตัวเองทำเป็นอยู่อย่างเดียวทุกที

     

                ผมใช้เวลายี่สิบนาทีไม่ขาดไม่เกินจากที่บอกชานยอลในการอาบน้ำแต่งตัว เมื่อเดินลงมาถึงข้างล่าง ผมเหลือบตาไปมองชานยอลที่กับคุยกับแม่ของผมอย่างออกรสเรื่องโธเฟ่น หมาที่ผมไม่เห็นความน่ารักเลยของชานยอล

                พอเดินเข้าไปในห้องครัว ก็เห็นแซนวิชที่ชานยอลทำให้วางเรียงกันอยู่ ผมหยิบมาคาบไว้ในปากอันนึงแล้วหยิบติดมือมาอันนึงก่อนจะเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น ชานยอลหันมาเห็นผมก็ส่งเสียง เฮอะ ออกมาเบาๆแล้วสะบัดหน้าหนี อะไรกัน โตป่านนี้แล้วยังทำตัวเหมือนสาวน้อยวัยแรกรุ่นไปได้

     

    “แล้ววันนี้จะไปไหนกันคะฮยอนนี่” แม่ของผมหันมาถาม ผมได้แต่ส่ายหน้ากับสรรพนามที่แม่ใช้เรียกผม นี่อายุ 21 แล้วนะ มาฮยอนนงฮยอนนี่อะไร

     

    “พาไอ้ตัวโตไปเดทอ่ะแม่”

     

    “ใครบอก!” ทันทีที่ผมบอกแม่ไป ชานยอล็หันมาแว้ดใส่ผมทันที

     

                อะไรกัน ผมพูดอะไรผิด ก็พาไปเดทจริง ๆ นี่

     

    “นายไง กับแม่สาวพราวเสน่ห์ คนเด่นคนดังแห่งคณะรัฐศาสตร์ไม่ใช่หรือไง”

     

    “ฉันไม่ได้ชอบเธอสักหน่อย” ชานยอลนั่งหน้างองุ้ม ทำเอาผมต้องกลั้นขำกับท่าทางที่ตลกนั่น

     

    “แล้วตอบตกลงไปกินข้าวด้วยทำไม”

     

    “ก็..”

     

    “ชานยอลปฏิเสธคนไม่เป็นฮยอนนี่ก็รู้” คราวนี้เป็นแม่ที่พูดขัดขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้น “เอาหน่าฮยอนนี่ ก็เป็นลูกทุกครั้งไม่ใช่หรือไงที่ไปเป็นเพื่อนชานยอลน่ะ” แม่หันมายิ้มก่อนจะเดินเข้าห้องครัวไป

     

    “ก็นะ” ผมยักไหล่แล้วยืนขึ้นบ้าง “ไปได้แล้ว” ผมพูดกับชานยอลแล้วเดินไปที่โรงจอดรถ

     

                ผมยืนพิงรถชานยอลที่มาจอดไว้หน้าบ้าน พร้อมกับแบมือขอกุญแจรถจากเจ้าของ ชานยอลลีลานิดหน่อยแต่ก็ยอมยื่นมันมาให้ผม ก็นะ อยากขับเบ๊นซ์แทนบีเอ็มบ้างมันจะแปลกอะไร

     

                วันนี้ชานยอลชวนผมออกมากินข้าวกับสาวรัฐศาสตร์ ซึ่งจริง ๆ เธอก็นัดชานยอลคนเดียวนั่นแหละ แต่ชานยอลกลัวว่าถ้าไปกันสองคน แล้วสาวเจ้าจะคิดไปไกลว่าชานยอลมีใจ ทั้งที่ความจริงแล้วที่ชานยอลยอมตกลงก็เพราะนิสัยของเจ้าตัว ที่ปฏิเสธใครไม่เป็นนั่นล่ะ

     

    “คราวนี้เป็นคนยังไงอ่ะ” ในระหว่างทางไปสถานที่นัด ผมก็เอ่ยถามถึงคนที่ชานยอลจะไปเดทด้วย

     

    “ฮวาซองน่ะเหรอ อืม..” ผมเหลือบตาไปมองคนข้าง ๆ ที่ทำหน้าครุ่นคิด คิ้วเข้มขมวดจนแทบจะติดกัน อะไรมันจะเครียดขนาดนั้น

     

    “ไม่รู้เหรอ”

     

    “อือ เพิ่งเคยคุยก็ตอนที่เธอมาชวนไปกินข้าวนั่นแหละ”

     

    “เห้อ ชานยอล ทำไมนายไม่เลิกนิสัยแบบนั้นสักทีนะ คนทั่วมหาลัยคิดว่านายเจ้าชู้กันหมดแล้ว”

     

    “แล้วจะให้พูดว่าไงอ่ะ ไม่ไปงี้หรอ”

     

    “อือ”

     

    “นายก็รู้ว่าทำไม่ได้”

     

    “ก็เพราะรู้ไง ถึงได้ไปด้วยทุกครั้ง”

     

    “ก็เพราะฮยอนนี่น่ารักไง” ไม่พูดเปล่า ชานยอลยื่นมือใหญ่ ๆ นั่นมาบีบแก้มผมเล่นพร้อมกับส่งเสียงที่เหมือนจะมันเขี้ยวเต็มที

     

    “อ๊า ๆ อ๊อย ๆ อ่อย”

     

    “ขอบคุณที่ออกมาด้วย”

     

    “เฮ้อ เลิกขอบคุณสักที ไอ้เด็กเตียงข้าง ๆ” ผมพึมพำแล้วลูบแก้มที่คาดว่าน่าจะขึ้นเป็นริ้วแดงเพราะตอนบีบแก้มเชื่อเลยว่าชานยอลไม่ได้ออมแรง

     

                ความจริงแล้วชานยอลกับผมเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เกิด ไม่ใช่แต่เด็ก พ่อแม่เราสองคนไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ต้น แต่เราสองคนเกิดวันเดียวกัน โรงพยาบาลเดียวกัน ในระหว่างที่พ่อเราสองคนรอแม่ทำคลอดอยู่หน้าห้องทำคลอด ได้บังเอิญมีโอกาสได้พูดคุย และแน่นอนว่าประเด็นหลักก็ไม่พ้นเรื่องเด็กที่กำลังจะเกิด ซึ่งแม่ของเราไม่ได้อัลตราซาวด์ดูเพศของลูก แต่จะมาลุ้นแทน และสิ่งที่พ่อของเราคาดหวังไว้ก็คือได้ลูกผู้หญิง อ่า อยากจะขอโทษเหลือเกินที่เกิดมาเป็นลูกชาย

                เมื่อเราสองคนคลอดออกมา เตียงเด็กของเราก็ดันอยู่ข้างกัน แม่ของเราทั้งสองก็จะได้เจอกันบ่อย ๆ และได้พูดคุยกัน แน่นอน ว่าผู้หญิงมีเรื่องอะไรให้คุยกันมากมาย โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่ทั้งสอง พอออกจากโรงพยาบาล ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก จนวันหนึ่งพ่อตัดสินใจซื้อบ้านในเมือง และก็นั่นแหละ ตลกร้ายมันก็คือบ้านของเราสองคนอยู่ตรงข้ามกัน เลยกลายเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เด็กจริง ๆ คลานเล่นกันเป็นว่าเล่น และก็นะ เป็นเพื่อนกันมาจนถึงทุกวันนี้

     

    “เฮ้ๆ นายกำลังจะเลยทางเข้าห้างนะตัวเล็ก” เสียงทุ้มของชานยอลดังเข้ามาในโสตประสาท ทำให้ผมสะดุ้งจากความคิดที่นึกถึงเรื่องราวเมื่อก่อนที่แม่เคยเล่าให้ฟัง

     

                อ่า ส่วนสรรพนามนั้นน่ะ เรียกกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็เพราะผมน่ะ ตัวเล็กตั้งแต่เกิด ผิดกับชานยอลที่อ้วนท้วมสมบูรณ์ สมบูรณ์จนบางครั้งแม่ของชานยอลต้องปรามตลอดว่าอย่าแย่งข้าวผมกิน

     

    “อืม”

     

    “คิดไรอยู่”

     

    “เรื่อยเปื่อยแหละ เธอถึงไหนแล้ว”

     

    “หือ ฮวาซองน่ะเหรอ”

     

    “อืม”

     

    “ใกล้ถึงแล้วมั้ง”

     

                ผมพยักหน้ารับแล้วเลี้ยวเข้าห้าง เราเสียเวลาหาที่จอดรถนิดหน่อยเพราะวันนี้เป็นวันหยุด คนจึงมาใช้บริการห้างเยอะพอสมควร เมื่อหาที่จอดรถได้ ชานยอลก็เป็นฝ่ายเดินนำ โดยมีผมเดินตามอยู่ห่าง ๆ แต่เป็นฝ่ายเดินตามได้ไม่นาน ก็ถูกเจ้าตัวโตลากให้ไปยืนอยู่ข้าง ๆ กัน เท่านั้นไม่พอ แขนหนัก ๆ นั่นก็เอาพาดไหล่ผมซะได้ อ่า หนักจริง ๆ เลย แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว

                เมื่อเดินมาถึงร้านอาหารที่ได้นัดไว้ ก็เห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดียืนโบกมือให้ด้วยรอยยิ้มที่สดใส แต่มันก็เป็นแบบนั้นได้แวบเดียว เพราะสายตาพลันเห็นผมที่เดินมากับชานยอล รอยยิ้มที่มีก็หุบลง มือที่ยกขึ้นโบกก็ปล่อยทิ้งลงข้างตัว

     

    “รอนานหรือเปล่า” ชานยอลเอ่ยถาม

     

    “เพิ่งมาน่ะ แล้วนี่..” ฮวาซองตอบชานยอลด้วยเสียงใสก่อนจะหันหน้ามาทางผม

     

    “บยอนแบคฮยอน”

     

    “อ่า..”

     

    “แฟนฉันเอง”

     

              หลังจากคำตอบของชานยอลที่ถูกเปล่งออกไปจบลง ผมก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ กลายเป็นแฟนจอมปลอมของชานยอลอีกแล้ว ทุกครั้งที่ชานยอลตอบตกลงไปตามนัดของใคร ๆ ผมที่โดนลากไปด้วยมักจะมีสถานะที่เกิดขึ้นเองประจำ แฟนของปาร์คชานยอลน่ะ มันก็จะงงหน่อย ๆ แหละ แต่ก็ต้องเออออตามน้ำไปด้วย

     

    “เป็นอย่างที่ทุกคนบอกจริง ๆ ด้วยสินะ”

     

    “ว่า?”

     

    “ชานยอลมีแฟนแล้ว ซึ่งก็คือแบคฮยอน ที่เอาแต่บอกคนอื่นว่าเป็นเพื่อนกัน”

     

    “อ้อ..” ชานยอลพยักหน้ารับรู้แล้วเสมองมาทางผม ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะจับแขนของชานยอลที่พาดไหล่ผมไว้ออก แล้วดึงมือมาประสานไว้แทน

     

    “หิวแล้วชานยอล เข้าไปได้ยัง” ผมส่งเสียงงอแงนิดหน่อย ชานยอลจึงรีบพยักหน้ารัว ๆ

     

    “อ้อ ๆ ไปสิ ป่ะฮวาซอง ไปกินข้าวกัน”

     

    “ไม่ล่ะ วันนี้แค่จะมาพิสูจน์อะไรบางอย่าง”

     

    “เรื่องฉันกับชานยอลสินะ” ผมถามขึ้น ฮวาซองดูทำหน้าเหนื่อยใจก่อนจะตอบออกมา

     

    “ก็นะ ใคร ๆ ก็อยากรู้ความจริงมันเป็นยังไง ใคร ๆ ที่ชานยอลตอบตกลงนัดด้วยก็ต่างพูดไม่เหมือนกัน”

     

    “อ่าฮะ” ผมพยักหน้ารับรู้ ฮวาซองจึงพูดต่อ

     

    “แต่โดยรวม ๆ มันก็ไม่ค่อยดีต่อชานยอลไง เจ้าชู้บ้างล่ะ เจ้าเล่ห์บ้างล่ะ หลอกผู้หญิงนู่นนี่นั่น”

     

    “แล้วทำไมเธอถึงได้นัดชานยอลล่ะ”

     

    “ก็เพราะว่าอยากรู้ไง ว่าชานยอลเนี่ยนะเจ้าชู้ วัน ๆ เห็นอยู่แต่กับนาย”

     

    “อะไรที่ทำให้เธอมั่นใจว่าชานยอลไม่ได้เจ้าชู้หรือไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นเขาว่ากัน ทั้ง ๆ ที่ชานยอลก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธ”

     

    “อืม แววตาล่ะมั้ง” ฮวาซองมองเข้าไปในตาของชานยอล ทำเอาเจ้าตัวโตของผมต้องหลบตา “แววตาที่เขาใช้มองนายมันไม่เหมือนคนอื่น ส่วนอื่น ๆ ฉันก็อยากจะมาพิสูจน์เอง”

     

    “แล้วเธอไม่ได้ชอบชานยอล?”

     

    “หึ เปล่าอ่ะ”

     

    “โอเค งั้นไปกินข้าวด้วยกันไหม”

     

    “ขอปฏิเสธ ไปเถอะ ยังไงวันนี้ก็ไม่ได้จะมากินข้าวด้วยอยู่แล้ว”

     

    “อ่าฮะ”

     

    “งั้นไปล่ะ” ฮวาซองเดินหันหลังให้ แต่จู่ ๆ ก็หยุดชะงักแล้วหันมากระซิบข้างหูผม “ว่าแต่นายเป็นแฟนชานยอลจริง ๆ หรอ เสียดายจังนะ” เธอพูดไว้แค่นั้นแล้วก็เดินออกไป ปล่อยให้ผมยืนนิ่ง ๆ แล้วแสยะยิ้มให้กับคำพูดนั้น กับชานยอลที่ยืนมึนงงไม่รู้สถานการณ์

     

    “เธอพูดอะไรกับนาย”

     

    “ไม่รู้สิ ไม่ได้ตั้งใจฟัง” ผมดึงมือออกจากมือชานยอลแล้วเดินเข้าร้านอาหารไป

     

                สรุปว่าวันนี้ชานยอลก็ไม่ได้ไปกับใครเหมือนเดิม โปรแกรมของเราวันนี้จึงเป็นเหมือนครั้งก่อน ๆ คือกินข้าวแล้วก็ดูหนัง และไปซื้อฟิกเกอร์ที่มาใหม่ของชานยอลก่อนจะกลับบ้าน คราวนี้ตอนกลับบ้าน เป็นชานยอลที่เป็นคนขับรถ เพราะผมขี้เกียจขับแล้ว ผมเปลี่ยนที่วางสายตาจากวิวข้างหน้าต่างไปอยู่ที่คนขับรถแทน

                เวลาชานยอลขับรถจะดูตั้งใจเป็นพิเศษ เพราะตอนที่ขับใหม่ๆ เจ้าตัวโตดันขับไปเสยฟุตปาทข้างทาง เลยฝังใจไปพักหนึ่ง เล่นเอาลำบากผมที่ต้องคอยหนีบชานยอลไปมหาลัยด้วยทุกครั้ง โชคดีที่เรียนคณะเดียวกัน ถึงแม้ว่าหลาย ๆ วิชาจะคนละเซคก็เถอะ

     

    “ทำไมจ้องอีกแล้วล่ะ” ชานยอลเอ่ยปากถาม แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องไปยังถนนด้านหน้า

     

    “หืม สังเกตเห็นด้วยหรอ”

     

    “อ่าฮะ”

     

    “พัฒนาแล้วนี่ มองอย่างอื่นนอกจากถนนได้แล้ว” ผมเอ่ยขำ ๆ ชานยอลยิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา

     

                ไม่นาน รถของชานยอลก็เคลื่อนตัวมาถึงหน้าบ้านของผม ผมลงรถเรียบร้อยแล้วก็หันไปนัดแนะเรื่องพรุ่งนี้กับคนในรถ ว่าตอนไปเรียนจะเอารถผมไป ชานยอลดูงอแงนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะเถียงไม่ชนะ ชานยอลแลบลิ้นใส่ผมก่อนจะเอารถเข้าจอดบ้านตัวเองที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

                ผมรอให้ชานยอลจอดรถเสร็จจึงเดินเข้าบ้านไป มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับการมีชานยอลในชีวิต เราแทบจะไม่เคยอยู่ห่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว ตัวติดกันเหมือนเป็นแฝด ไปไหนไปด้วยกัน อาจจะเป็นเพราะความเคยชินที่มีกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าหากเกิดขาดกันไป วันนั้นมันก็คงเหงาน่าดู

     

    .

     

    “อ้าว ชานยอลอ่ะ” ผมเหลือบไปมองโอเซฮุน เพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมที่เดินเข้ามาทัก

     

                ผม ชานยอล เซฮุน อยู่กลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่ตอนมัธยมต้น อ้อ มีคิมจงอินอีกคน แต่รายนั้นน่ะ แยกไปอยู่อีกมหาลัยหนึ่ง ส่วนเซฮุนอยู่มหาลัยเดียวกัน แต่คนละคณะ นานๆจะได้มาเจอกันที เพราะเวลาว่างไม่ค่อยตรงกัน

                ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่โรงอาหารคนเดียว เซฮุนที่คาดว่าเพิ่งจะเรียนเสร็จก็เดินเข้ามาทัก เขาหันไปสั่งข้าวกับเพื่อนก่อนจะนั่งลงที่ม้านั่งตรงข้ามผม

     

    “อยู่ห้องชมรมอ่ะ เพิ่งเรียนเสร็จหรอ” ผมเท้าคางดูดชานมไข่มุกตรงหน้า

     

    “อือ แล้วนายอ่ะ” เซฮุนพยักหน้าแล้วดึงแก้วชานมไข่มุกไปดูดต่อหน้าตาเฉย “ทำไมมานั่งคนเดียว”

     

    “ขี้เกียจไปรอชานยอลที่ห้องชมรมอ่ะ” ผมเสยหน้าม้าที่เริ่มปรกตาขึ้นอย่างลวกๆ พลางนึกไปถึงคนที่อยู่ห้องชมรมของชานยอลด้วย “ไม่อยากเจอคนบางคนด้วย”

     

    “พี่คนนั้นยังไม่เลิกตามตื๊ออีกหรือไง” เซฮุนเอ่ยถึงพี่คนนั้นที่ผมไม่อยากเจอแล้วทำหน้าล้อเลียน

     

                อีจุนกิ คือพี่ปีสี่ เป็นหัวหน้าชมรมของชานยอล ที่ตามตื๊อบอกจะจีบผมตั้งแต่ปีหนึ่ง จนตอนนี้ปีสามแล้วก็ยังไม่เลิกรา บอกไปก็หลายต่อหลายครั้งว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย เคยห่าง ๆ ไปอยูช่วงนึง แต่สุดท้ายก็กลับมาอยู่ดี ทุกวันนี้เลยไม่ค่อยได้ไปรอชานยอลที่ห้องชมรมเท่าไหร่ ยอมนั่งอยู่คนเดียวดีกว่าไปเจอหน้าอ่ะนะ

     

    “อืม ยังส่งข้อความมาหาอยู่เรื่อยเลย” ผมยื่นโทรศัพท์ที่เปิดหน้าข้อความไปให้เซฮุนอ่าน

     

                มันเป็นความผิดพลาดที่เผลอกรอกเบอร์โทรศัพท์ลงไปตอนไปลงทะเบียนเข้างานเฟรชชี่ แต่ก็ดีอย่างหนึ่งคือไม่ได้เชื่อมกับไลน์ ไม่อย่างนั้นคงต้องปวดหัวมากกว่าเดิม และก็ต้องขอบคุณที่ยังมีความดีอยู่บ้าง ซึ่งก็คือพี่จุนกิไม่เคยโทรศัพท์มาหาผมเลย

     

    “ได้บอกชานยอลหรือเปล่า”

     

    “หึ ไม่อ่ะ มันไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องบอก”

     

    “ระวังจะโดนน้อยใจเข้าให้ล่ะ มีเรื่องปิดบังมันอ่ะ”

     

    “ง้อได้ไม่ต้องห่วง ไปกินข้าวได้เล่า” ผมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ชานยอลน่ะ ง้อง่ายกว่าพ่อผมอีก

     

                ผมคุยกับเซฮุนอีกนิดหน่อยเรื่องที่จะไปทะเลกันครบกลุ่มช่วงปลายสัปดาห์ เซฮุนก็ขอตัวไปกินข้าวก่อนเพราะมีเรียนช่วงบ่ายอีก และผมก็ต้องกลับมานั่งคนเดียวอีกครั้ง ผมหยิบหนังสืออ่านเล่นมาอ่านรอเวลาที่ชานยอลจะมา แต่อ่านไปได้ไม่ถึงหน้า ตรงข้ามผมก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมรู้จักเป็นอย่างดีถือวิสาสะนั่งลง แค่นั้นยังไม่พอ เธอเท้าแขนทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะแล้วส่งยิ้มตาหยีมาให้ผม

     

    “นั่งด้วยนะคะ” เธอพูด

     

    ก็ตอนนี้นั่งแล้วไม่ใช่เหรอ

     

    “ไม่มีเรียนเหรอ”

     

    “อื้อ เพิ่งเรียนเสร็จค่ะ แล้ว..” คนตรงหน้าผมตอบพลางสอดส่องสายตาไปรอบๆ

     

    “ชานยอลอยู่ชมรม อีกแป๊ปเดี๋ยวมา” ผมพูด

     

                คิมเยริ น้องรหัสของผม เธอแอบชอบชานยอลมาตั้งแต่ที่เข้ามหาลัยมาใหม่ ๆ แล้วพอรู้ว่าได้ผมที่เป็นเพื่อนสนิทชานยอลเป็นพี่รหัส เธอก็แสดงความดีใจจนปิดไม่อยู่  ส่วนผมก็ได้แต่ช่วยให้มาเจอกันแค่นั้น อย่างเช่นเวลาไปเลี้ยงสายรหัส ผมจะหนีบชานยอลไปด้วยทุกครั้ง หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมจะให้เยริมาเอาชีท ตอนนั้นก็ต้องเป็นช่วงที่ชานยอลอยู่ด้วย

     

    “งั้นเดี๋ยวหนูนั่งเป็นเพื่อนนะ” เยริพูดจบ เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ส่วนผมก็อ่านหนังสือต่อไป

     

                ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ที่นั่งรอชานยอลอยู่ตรงนี้ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าคอเริ่มแห้ง ชานมไข่มุกที่ซื้อไว้มันก็หมดแล้ว ผมจึงถามเยริอยากดื่มอะไร ก่อนจะทำหน้าที่พี่ที่ดีลุกไปซื้อให้

     

    “ไปไหนอ่ะ” ผมเดินห่างจากโต๊ะออกมาไม่กี่ก้าวคนที่ผมรออยู่ก็ปรากฏตัวขึ้น

     

    “ไปซื้อน้ำอ่ะ เอาไรมั้ย” ผมถาม

     

    “ไปด้วย”

     

    “ไม่ต้อง ๆ เยริมาหา ไปนั่งเป็นเพื่อนเธอหน่อย” ผมพูดไว้แค่นั้นแล้วเดินออกมา

     

                ไม่ต้องรอให้ชานยอลตอบหรอกว่าจะเอาอะไร เพราะเครื่องดื่มในโรงอาหารที่ชานยอลชอบมีอยู่ไม่กี่อย่าง ผมซื้อให้ชานยอลเป็นอย่างสุดท้าย แต่เมื่อซื้อเสร็จผมก็นึกได้ ว่าผมจะถือสามแก้วไปยังไง ผมจึงยืนมองแก้วชานยอลที่วางไว้อย่างใช้ความคิด แต่ยืนจ้องมันได้ไม่เท่าไหร่ แก้วนั้นก็ถูกใครคนหนึ่งหยิบไป

     

    “ผมช่วยนะ” เมื่อหันไปก็เห็นคนใจดีคนหนึ่งยืนยิ้มอยู่

     

    “อื้อ ขอบใจนะ” ผมหันไปเอ่ยขอบคุณแล้วเดินนำมา

     

                เมื่อมาถึงโต๊ะ ผมก็เห็นเพื่อนสนิทผมกับน้องรหัสคุยกันอย่างออกรส ชานยอลก็หัวเราะเหมือนไม่เคยหัวเราะมาก่อน ส่วนเยริก็หัวเราะจนตาปิด ผมมองสองคนนั้นแล้วก็ยิ้มออกมา ถ้าชานยอลต้องคบใครสักคน เป็นคิมเยริก็ไม่เลวนะ

     

    “อ้าว มินฮยอน” เยริเอ่ยทักเพื่อนของตัวเองเมื่อเห็นว่าเขาเดินมากับผม

     

                ฮวังมินฮยอน เพื่อนในเซคเดียวกับเยริ และยังเป็นน้องรหัสของชานยอลอีกด้วย

     

    “มาทำไรอ่ะ” อันนี้เป็นประโยคคำถามของเพื่อนสนิทผมเอง ชานยอลเงยหน้ามองมินฮยอนแบบงง ๆ

     

    “ช่วยพี่แบคฮยอนถืออ่ะ” มินฮยอนชูแก้วที่ตัวเองถือในมือในดูก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ

     

                ชานยอลพยักหน้ารับรู้แล้วดึงแก้วนั้นมาดูดราวกับรู้ว่าเป็นของตัวเอง แต่ก็แหงแหละ โอริโอ้ปั่นเป็นสิ่งที่ชานยอลชอบกินที่สุดในโรงอาหารนี้ ผมยื่นน้ำแตงโมเยริก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งข้างชานยอล

     

    “นั่งด้วยกันมั้ย มินฮยอน” ผมเอ่ยชวน

     

    “ไม่ล่ะครับพี่ เดี๋ยวต้องไปทำงานต่อ”

     

    “อ้าวทำงานไรอ่ะ” เยริถามพร้อมทำหน้าแปลกใจ

     

    “เอ้า ที่สั่งวันนี้ไง อาจารย์ขอดูใบร่างคร่าว ๆ พรุ่งนี้เย็นอ่ะ กลุ่มเธอไม่นัดทำงานหรอ”

     

    “เวรละ พี่แบคฮยอน พี่ชานยอล ไว้คุยกันใหม่นะ หนูไปทำงานก่อน สวัสดีค่ะ” เยริรีบพูด พร้อม ๆ กับมือที่กดโทรศัพท์ระวิง ปล่อยให้ผม ชานยอล แล้วก็มินฮยอนมองตามอย่างงง ๆ

     

    “งั้นผมก็ไปนะพี่ สวัสดีครับ” คราวนี้เป็นมินฮยอนที่ขอตัวบ้าง

     

    “เป็นไงบ้างอ่ะ ทำไมไปห้องชมรมนาน” เมื่ออยู่กันสองคนแล้ว ผมเลยเปิดประเด็นขึ้นมา

     

    “ก็คุยเรื่องงานที่จะจัดขึ้นปลายเดือนนี้อ่ะ”

     

    “อ้ออ งี้ตัวโตก็ต้องขึ้นไปเล่นกีตาร์อีกแล้วสินะ”

     

    “อืม น่าเบื่อเป็นบ้าเลย” ชานยอลถอนหายใจแล้วเอาหน้าแนบลงไปกับโต๊ะ

     

    “ไหงเบื่ออ่ะ ดนตรีมันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้วเหรอ” ผมพูด พลางยกหัวชานยอลขึ้นแล้วเอาหนังสืออ่านเล่นไปรองไว้ให้แทน โต๊ะในโรงอาหารไม่รู้ผ่านอะไรมาบ้าง เอาหน้าไปแนบแบบนั้นสิวขึ้นกันพอดี ซึ่งชานยอลก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

     

    “ก็เวลาต้องอยู่ซ้อมทีไร ไม่ได้กลับบ้านพร้อมตัวเล็กทุกที” ชานยอลมีท่าทีที่งอแง ผมหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะยีผมของเจ้าตัว

     

    “เดี๋ยวมารับก็ได้ อย่างอแงดิ”

     

    “พูดแล้วนะ” ชานยอลเปลี่ยนอิริยาบถ มาเป็นนั่งตัวตรงแล้วเอานิ้วชี้ชี้มาที่ผมพร้อมกับขมวดคิ้วทำหน้าจริงจัง

     

    “อืม” ผมพยักหน้า “กลับบ้านกัน หิวข้าวแล้ว” พูดจบผมก็ลุกออกมาโดยมีชานยอลเก็บข้าวของบนโต๊ะของผมมาถือไว้แล้ววิ่งตามมา

     

                เมื่อกลับมาถึงบ้าน แทนที่จะได้แยกย้ายกันไปกินข้าวบ้านใครบ้านมัน แต่ผมกลับต้องไปนั่งเป็นสมาชิกคนที่ 4 ของบ้าน เพราะแม่ผมออกไปดูงานกะทันหัน และไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้ ลำบากต้องลากสังขารไปกินบ้านตรงข้าม

     

    “กินเยอะๆนะลูก วันนี้โบมีบอกแม่แล้ว แม่เลยเตรียมแต่อาหารที่ไม่มีแตงกวา” แม่ของชานยอลเอ่ยขึ้นพร้อมตักหมูผัดกิมจิใส่จานผมเสียช้อนใหญ่ ผมก็ได้แต่พยักหน้าให้ เพราะปากเต็มไปด้วยไก่ทอดที่ชานยอลชำแหละออกจากกระดูกให้

     

                เป็นบยอนแบคฮยอนมันดีอย่างนี้นี่เอง

     

    “เอาอันนั้นให้หน่อย” ชานยอลใช้ตะเกียบชี้ไปที่บิบิมบับตรงหน้าผม ผมหันไปมองหน้าชานยอลเล็กน้อย เพราะจริง ๆ ความยาวของแขนเขานั้นเอื้อมไปตักได้สบาย

     

    “อ่ะ..” แต่ไม่เป็นไร คีบให้ก็ได้

     

                ผมคีบบิบิมบับแล้วใส่ปากชานยอลแทนที่จะใส่ในจาน ก็นะ ใครใช้ให้ชานยอลอ้าปากรอล่ะ ยกให้เขาเลยเถอะ คนขี้อ้อนแห่งปี

     

                เราใช้เวลาพอสมควรกว่ามื้อเย็นจะเสร็จ เพราะระหว่างนั้นไม่พ่อก็แม่ของชานยอลจะหยิบยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบนโต๊ะอาหาร ผมที่คุ้นเคยกับบ้านนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เผลอออกความคิดเห็นไปเสียทุกหัวข้อ ส่วนชานยอลอยู่ฝ่ายสนับสนุน จะพยักหน้าเห็นด้วยกับผมทุกครั้ง แต่ในปากก็ยังเคี้ยวอาหารไม่เคยจะปล่อยให้ปากว่าง

     

    “แบคฮยอนไปอาบน้ำก่อนดิ อย่าเพิ่งนอน” จากที่ผมนอนแผ่บนเตียงหลังใหญ่ ก็เปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นนอนตะแคงเท้าแขนมองชานยอลที่บ่นงุบงิบ

     

    “ยังไม่ได้นอน แค่นอนเล่น ๆ”

     

    “นั่นแหละ ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย”

     

    “ทำไมยิ่งโตยิ่งขี้บ่นอ่ะ”

     

    “ฉันก็เป็นงี้ตั้งนานแล้วไหม” ชานยอลคิ้วขมวดแล้วจ้องผมเขม็ง

     

    “ระวังไม่มีแฟนนะ ขี้บ่นแบบนี้อ่ะ” ผมพูดขำ ๆ แล้วลุกขึ้นเพื่อที่จะไปอาบน้ำ ไม่อยากฟังชานยอลบ่นแล้ว

     

    “จะมีแฟนไปทำไม อยู่กับตัวเล็กก็ได้” ผมเดินผ่านชานยอลมาครึ่งก้าวก็ชะงัก ไม่ได้เดินต่อ

     

    “แล้วถ้าฉันมีแฟนล่ะ” ผมถามกลับพลางเอาคางไปเกยไหล่ของชานยอลอย่างที่ชอบทำ

     

    “ไม่เคยคิดไว้เลยอ่ะ” ชานยอลไม่ได้หันมา เพียงแต่ปรายตามามองผม

     

    “หึ..” ผมหัวเราะในคอก่อนจะเอื้อมมือไปบิดหูของชานยอลก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

     

                เอาจริง ๆ ผมก็เหมือนชานยอลนั่นแหละ ไม่ได้คิดถึงวันที่ผมจะมีแฟนเลย แน่นอน วันที่ชานยอลจะมีแฟนด้วย ก็ตลอดเวลาที่เรามีกันสองคนมันก็มากพอแล้ว ชีวิตนี้มีแค่เพื่อนที่รู้ใจ ที่สนิทใจจะอยู่ด้วยก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง จะหาแฟนไปทำไมล่ะ ว่าไหม

                เขาว่ากันว่า ถ้าจะมีแฟนก็ต้องให้มันดีกว่าตอนอยู่คนเดียว แต่เผอิญว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว และชีวิตตอนนี้มันก็ดีมากแล้ว เลยไม่คิดว่าการมีแฟนมันจะทำให้ดีกว่านี้ได้

                แล้วการมีแฟนดียังไงบ้าง ?

                มีคนคอยรับฟังเรื่องราว อ้อ ทุกคืนผมกับชานยอลจะเล่าเรื่องที่เจอมาให้กันและกันฟังเป็นปกติอยู่แล้ว

                มีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนยามทุกข์ใจ อืม ผมกับชานยอลก็ไม่เคยห่างกันเกินหนึ่งวันเลย เวลามีเรื่องไม่สบายใจ เพื่อนตัวโตจะอยู่ข้าง ๆ เสมอ

                ซึ่งไม่ว่าใครจะหาข้อดีของการมีแฟนมากี่ข้อ ทุกข้อล้วนแล้วแต่มีชานยอลกลบได้หมด เพราะฉะนั้น ความคิดเรื่องการมีแฟนไม่เคยอยู่ในหัวผมเลยแม้แต่วินาทีเดียว

     

                แต่ชานยอลน่ะเหรอ

     

                ไม่รู้สิ

     

     

    “แบคฮยอน” เสียงทุ้มดังขึ้นท่ามกลางความมืด

     

                ตอนนี้ทั้งผมและชานยอลก็ทิ้งตัวลงเตียง มุดอยู่ในผ้านวมเรียบร้อย ผมนอนหันหลังให้ชานยอล ในอ้อมแขนมีตุ๊กตาหมีเน่า ๆ อยู่หนึ่งตัว

     

    “อือ”

     

    “ขอน้องเน่า” ชานยอลหมายถึงสิ่งที่ผมกอดอยู่

     

                เห็นตัวโตแบบนี้ หล่อ ๆ แบบนี้ แต่แมน ๆ ติดตุ๊กตานะครับ ถ้าไม่ได้กอดจะนอนไม่หลับ เพราะงั้นเวลาที่จะต้องไปค้างที่อื่น ชานยอลจึงต้องติดหมอนใบเล็ก ๆ ไปอยู่เรื่อย เพื่อใช้แทนน้องเน่าแสนรักของชานยอล

     

    “กอดอยู่”

     

    “เอามา”

     

    “กำลังได้ที่เลยชานยอล ไม่อยากขยับแล้ว” ผมตอบไปแบบนั้น เพราะขี้เกียจขยับตัวแล้วจริงๆ ผมได้ยินชานยอลถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะรู้สึกได้ถึงการขยับของเขา

     

                ผมคิดว่าชานยอลจะเอื้อมมือมาดึงน้องเน่าออกจากอ้อมกอดผมไป แต่กลับไม่เป็นแบบนั้น แขนของชานยอลเอื้อมมาก็จริง แต่กลับเป็นเอื้อมมากอดผมแทน ชานยอลขยับตัวนิดหน่อยเพื่อให้ได้ท่าที่สบาย ปลายคางของชานยอลอยู่บนหัวผมพอดี

     

    “ฝันดี”

     

                ไม่ได้แปลกใจอะไรหรอก

     

    “อือ”

     

                ก็ถ้าไม่กอดสิ จะแปลกใจกว่านี้     

     

    .

     

                เช้าวันนี้ เซคของผมมีเรียนตั้งแต่ 9 โมง แต่ชานยอลมีตอน 11 โมง ความจริงก็อยากจะให้ชานยอลนอนยาว ๆ ไป แล้ววันนี้ก็แยกย้ายกันกลับ แต่เจ้าตัวโตดันงอแงเพราะว่าท้องร้องตั้งแต่ 7 โมงเช้า ตื่นมาร้องแง้ว ๆ ว่าหิว บทสรุปจึงกลายเป็นว่าเช้านี้ชานยอลขับรถมาส่งผมที่มหาลัยแล้วกินข้าวเช้าด้วยกัน

     

    “ไปเรียนแล้วนะ” ผมพูดแล้วเตรียมแยกย้ายกับชานยอล แต่ก็ต้องคิ้วขมวดเมื่อเห็นว่าชานยอลยังคงเดินตามผมมา

     

    “ตามมาทำไม”

     

    “ไปนั่งเรียนด้วยดิ”

     

                ผมไม่ได้ปฏิเสธอะไร ชานยอลจึงตามมาเรียนด้วย เขาโดนเพื่อนหลายคนทักว่าทำไมมาเรียนเซคนี้ บ้างก็คิดว่าชานยอลจำเวลาเรียนผิด แต่พอชานยอลชี้มาที่ผมทุกคนก็เป็นอันเข้าใจกันถ้วนหน้า

                ทุกคนชินแล้วล่ะ กับการที่ผมกับชานยอลตัวติดกันเป็นแฝดสยามแบบนี้

     

    .

     

                วันนี้ชานยอลต้องอยู่ซ้อมที่ชมรม แต่เจ้าตัวโตดันลืม เลยงอแงกับผมอยู่พักใหญ่ เพราะนอกจากจะไม่ได้เอากีตาร์มาแล้ว ยังต้องผิดนัดกับผมอีกด้วย

                เมื่อเช้าชานยอลบอกว่าตอนเย็นจะพาไปกินชาบูร้านเปิดใหม่ แต่ตอนนี้เจ้าตัวดันไม่ได้พาไป จึงเอาแต่บ่นแล้วบ่นอีก แถมยังขอโทษผมซ้ำ ๆ ชานยอลน่ะ เป็นคนที่จริงจังกับคำพูดพอควรเลย เพราะไม่อยากจะผิดคำพูดชานยอลเลยคิดว่าจะโดด แต่ผมก็เอ็ดไปยกใหญ่ จะโดดได้ไงในเมื่องานก็ใกล้เข้ามาแล้ว ชานยอลเลยหงอย ๆ แล้วงอนผมไปที่ห้องชมรมเรียบร้อย และยังไม่ลืมที่จะกล่าวหาผมด้วยว่าผมไม่อยากไปกินกับชานยอลเลยไล่เขาให้ไปซ้อม

                จะเด็กไปไหนกันนะ เมื่อก่อนไม่เห็นดื้อขนาดนี้เลย

     

                ผมกลับบ้านไปก่อนเพราะไม่มีเรียนแล้ว สอนชานยอลที่ยังงอนผมอยู่ ผมก็จัดการไลน์ไปบอกแล้วว่าจะไปรับ เลิกเมื่อไหร่ก็บอก แต่ก็ยังคงงอนผมอยู่ เลยให้เซฮุนเป็นคนไลน์บอกแทน พนันได้เลยว่าคงไปฟ้องเซฮุนแหง ๆ รายนี้น่ะ ชอบทำตัวเด็กขัดกับลุคที่เห็น ใคร ๆ ก็บอกว่าพี่ชานยอลมือกีตาร์ของวงดนตรีมหาลัยช่างหล่อเหลา เท่ระเบิดระเบ้อ น้อยคนนักที่จะได้เห็นชานยอลในมุมนี้ ถ้าไม่ใช่ครอบครัวหรือเพื่อนสนิท

                เซฮุนบอกผมว่าชานยอลจะเลิกซ้อมตอน 3 ทุ่ม นี่ก็เป็นเวลาเกือบ 3 ทุ่มแล้ว และตอนนี้ผมก็นั่งอยู่หน้าห้องชมรมแทนที่จะเข้าไปเหมือนทุกที ผมนั่งเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยรอเวลา ไม่นาน ประตูชมรมก็เปิดออก

     

    “อ้าวแบคฮยอน มานั่งทำอะไรตรงนี้อ่ะ ทำไมไม่เข้าไปข้างใน” คนที่เดินออกมาคนแรกทักผมขึ้น

     

                ผมรู้จักเขา โดคยองซู เขาเป็นเพื่อนในวงของชานยอล ไม่ได้เรียนคณะเดียวกันหรอก ที่รู้จักเพราะมารอชานยอลบ่อย ๆ จนจะรู้จักไปแทบทั้งชมรมแล้ว

     

    “ชานยอลงอนเราอยู่อ่ะ เข้าไปเดี๋ยวเกรี้ยวกราด” ผมพูดขำ ๆ

     

                จริง ๆ ชานยอลก็ไม่ได้งอนอะไรขนาดนั้นหรอก แต่ที่ไม่เข้าไปก็เพราะกลัวจะเจอพี่จุนกิ ซึ่งก็ไมรู้ว่าอยู่ด้วยไหม แต่ก็ระวังตัวไว้ก่อนไม่เสียหาย

     

    “อ้าวหรอ” คยองซูพยักหน้ารับรู้ “ชานยอล! แบคฮยอนรออยู่ตรงนี้” แต่ก็ยังตะโกนบอกชานยอล คยองซูก็คงรู้แหละว่าชานยอลคงไม่ได้งอนจริงจัง

     

    “ขอบคุณนะ” ผมยิ้มให้คยองซู เขาพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป

     

    “ฮึ คนใจร้าย” เสียมทุ้มดังขึ้น ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าใคร

     

                ผมหันไปมองชานยอลที่ทำหน้าบึ้งตึง มองตรงมาที่ผมเขม็ง ผมก็ได้แต่หัวเราะในใจกับท่าทางเด็ก ๆ นั่น ชานยอลอาจจะลืมว่าอายุ 21 แล้ว แถมตัวก็โตอย่างกับไททั่น

     

    “ตัวก็โต ทำไมขี้งอน” ผมเดินเข้าไปหาชานยอลแล้วพูดขึ้น

     

    “มีใครห้ามให้คนตัวโตงอนหรือไง”

     

    “นี่ไง” ผมชี้เข้าหาตัว “ห้ามงอนนะรู้ไหม”

     

    “ทำไม ขี้เกียจง้อล่ะสิ” ชานยอลกอดอกแล้วหันหน้าหนี ผมได้แต่หัวเราะเบา ๆ ก่อนเอื้อมมือไปแตะแก้มคนตัวโตแล้วดันให้หันมามองหน้าผม

     

    “ง้อได้สบายมาก แต่ไม่อยากเห็นชานยอลทำหน้าบึ้ง” พูดจบผมก็ส่งยิ้มตาหยีไปให้

     

    “อ่ะแฮ่ม!” ชานยอลกระแอมไอเบา ๆ ก่อนจะหันหน้าหนี ผมเห็นนะ ว่าเขากำลังกลั้นยิ้มอยู่

     

    “เห็นร้านชาบูที่บอกแล้ว เขาปิดเที่ยงคืน ไปกินกันไหม” ผมเอ่ยชวน ระหว่างทางกลับบ้านผมสังเกตเห็นตอนรถติด ว่าแถว ๆ บ้านมีร้านมาเปิดใหม่ และน่าจะใช่ร้านที่ชานยอลบอก

     

    “ไม่อยากกินไม่ใช่หรอ”

     

    “ใครบอก คิดเองเออเองทั้งนั้น เนี่ย ไม่กินข้าวเย็นเพื่อจะรอไปกินด้วยเลยนะ” จบประโยค ชานยอลก็ถลึงตาใส่ทันที และผมก็เพิ่งนึกได้ว่าเผลอพูดอะไรที่ไม่น่าพูดออกไปอีกแล้ว

     

    “ไอ้ตัวเล็ก!นี่สามทุ่มแล้วนะ ทำไมกินข้าวไม่ตรงเวลา ถ้าปวดท้องขึ้นมาจะว่าไง จำไม่ได้หรือไง...” และชานยอลก็บ่นไม่หยุด และผมก็ทำได้แต่ปิดหูแล้วเดินนำไปที่รถ

     

                มีครั้งหนึ่งผมกินข้าวไม่ตรงเวลาเพราะติดเกม ทำให้เป็นโรคกระเพาะ ทำเอาต้องหามส่งโรงพยาบาล วุ่นงายกันทั้งสองครอบครัว ชานยอลนี่หน้าตาตื่นกว่าใครเพื่อน ทำอะไรไม่ถูก ทำหน้าเหมือนผมต้องเข้ารับการผ่าตัดครั้งใหญ่ และตั้งแต่นั้นมา ชานยอลมักจะเตือนให้ผมกินข้าวให้ตรงเวลาตลอดเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่มาวันนี้ที่ชานยอลงอนผมเลยน่าจะลืมเรื่องนี้ไป

                ชานยอลบ่นผมตลอดทางที่ไปร้านชาบู ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เพราะผมจะได้รับฟังคำเดิม ๆ เหมือนทุกครั้งที่กินข้าวไม่ตรงเวลา ฟัจนแทบจะจำได้แล้วว่าประโยคต่อไปจะเป็นอะไร

                เมื่อมาถึงร้าน เราสองคนก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ ส่วนชานยอลก็ยังคงบ่นไม่หยุด สงสัยรู้ว่าผมไม่ฟังเลยพูดอีก แต่รู้สึกเหมือนบางประโยคจะคุ้น ๆ นะ เหมือนจะพูดไปแล้วเมื่อ 10 นาทีก่อน

     

    “เป็นห่วงพูดงี้นะ” ผมพูดขัดขึ้นมา

     

    “ก็รู้ว่าห่วงนี่ แล้วทำไมยังทำให้เป็นห่วงอีก”

     

    “ขี้บ่น” ผมเท้าคางแล้วมองหน้าชานยอล

     

    “ก็ที่บ่นเพราะห่วงเนี่ย”

     

    “อือ ขอโทษครับ” ผมพูดแล้วเอื้อมมือไปดึงมือชานยอลที่กอดอกไว้มาจับแล้วใช้นิ้วโป้งลูบเบา ๆ “แล้วก็ขอบคุณที่เป็นห่วง”

     

    “ไม่อยากเห็นตัวเล็กเข้าโรงบาลอีกแล้ว” ชานยอลใช้มืออีกข้างมาลูบแก้มผมเบา ๆ แววตาฉายความเป็นห่วงออกมาอย่างปิดไม่มิด

     

    “อือ ไม่เข้าหรอก ไม่อยากเห็นคนแถวนี้ร้องไห้” ผมเอ่ยแซว

     

    ถึงแม้ชานยอลจะไม่ได้ร้องไห้จริง ๆ แต่ปากนี่เบะแล้ว คาดว่าถ้าเป็นมากกว่าโรคกระเพาะต้องมีบ่อน้ำตาแตกแน่ ถ้าวันหนึ่งผมต้องผ่าไส่ติ่งแล้วชานยอลจะทำยังไง ไม่ร้องไห้จนโลกแตกเลยหรอ

               

                อ่ะ ว่าไปนั่น แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมก็เข้าใจว่าชานยอลเป็นห่วง เพราะผมก็ห่วงชานยอลเหมือนกัน ถ้าเปลี่ยนจากชานยอลเป็นผม ผมก็คงบ่นเหมือนที่เขาทำอยู่ และอาจจะมากกว่าก็ได้

                เนี่ย มีคนคอยเป็นห่วง และมีคนให้เป็นห่วง แบบนี้จะมีแฟนไปทำไม แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

     

     

    .

     

                เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันนี้เป็นวันที่ชานยอลต้องขึ้นแสดง ชานยอลไม่เคยบอกผมว่าจะแสดงอะไร ไม่ว่าผมจะเซ้าซี้ถามเช้าเย็น หรืออ้อนทุกคืนก่อนนอน ชานยอลก็ไม่ยอมบอก

                อืม

                อ้อน

     

    ตัวโตค้าบ ตัวโตจะแสดงอะไรวันงานผมเดินเข้าไปหาชานยอลที่นั่งเล่นคอมอยู่ พร้อมวางคางไว้ที่ไหล่

     

    ความลับ

     

    ไหนว่าจะไม่มีความลับกันไงผมยู่ปาก ชานยอลจึงผละจากคอมแล้วหมุนเก้าอี้มาหาผม

     

    ขอเรื่องนึง อยากเซอร์ไพรซ์ชานยอลยิ้มกว้าง แต่ด้วยความอยากรู้มันห้ามกันไม่ได้ ผมจึงคิดว่าจะงัดท่าไม้ตายออกมาใช้

     

              ผมนั่งลงบนตักชานยอลอย่างที่เคยทำ ไม่ได้ขัดเขินอะไร แล้วเอาแขนโอบคอชานยอลไว้พร้อมกับแนบหน้าผากไปยังอวัยวะเดียวกันของชานยอล

     

    ใบให้หน่อยนะครับคนดีผมกระซิบแล้วยิ้มมุมปาก แต่สิ่งที่ได้แทนที่จะเป็นคำใบ้หรือคำตอบ

     

    โครม!!

     

    ผมไม่ได้ทั้งสองอย่าง แถมยังโดนชานยอลผลักลงไปกองกับพื้น พร้อมกับเดินตึงตังเข้าห้องน้ำไป ผมมองตามแผ่นหลังกว้างนั่นไปพร้อมดันตัวเองขึ้นยืน ผมไม่ได้โกรธหรอก เพราะผมรู้

    รู้ว่าชานยอลกำลังเขิน

     

    และหลังจากนั้นก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไร รอดูก็ได้ว่าจะแสดงเพลงอะไร แต่ก็แอบไม่เข้าใจนิดหน่อย แค่เพลงที่จะแสดงมันจะเป็นความลับอะไร ถึงผมรู้ผมก็ไม่ได้จะบอกใครสักหน่อย

                งานเริ่มไปได้สักพักแล้ว วันนี้เป็นวันเปิดมหาลัย มีทั้งคนนอกคนในเต็มไปหมด ชานยอลก็เข้าไปเตรียมตัวตั้งแต่งานเริ่ม เห็นบอกว่าโชว์ช่วงกลาง ๆ ตอนนี้ผมเลยนั่งอยู่กับเซฮุนและจงอินอยู่ที่แสตนด้านข้าง เพราะผมขี้เกียจจะไปเบียดกับฝูงชนที่อยู่หน้าเวที

                เสียงเชียร์และเสียงกรี๊ดเริ่มดังขึ้นเมื่อพิธีกรประกาศวงที่จะมาเล่น เป็นวงของชานยอล ผมก็ปรบมือตามปกติ ส่วนเซฮุนกับจงอินก็ลุกขึ้นมาโบกไม้โบกมือ ชานยอลที่เหมือนจะมองหาใครก็หยุดมองเมื่อสายตามาปะเข้าให้กับพวกผม เขาโบกมือกลับให้เพื่อนทั้งสองแล้วยักคิ้ว ผมไม่ได้โบกมือแต่เพียงยกสองนิ้วเชิงว่าสู้ ๆ ไปให้ ชานยอลก็พยักหน้าแล้วส่งสองนิ้วกลับมา

                วงของชานยอลเริ่มเล่นเพลงที่กำลังฮิต ๆ อยู่ตอนนี้ ชานยอลตอนดีดกีตาร์นี่เท่อย่าบอกใครเลย ไม่แปลกที่จะมีคนชอบ วงของชานยอลเล่นจบไ 1 เพลง คยองซูที่เป็นนักร้องนำก็แนะนำตัวและแนะนำแต่ละคน ก่อนจะเล่นต่ออีก 2 เพลง เมื่อจบเพลงสุดท้าย คยองซูก็บอกว่ามือกีตาร์ของวงมีอะไรอยากจะเซอร์ไพรซ์ให้รอชม

                ชานยอลหันไปคุยกับเพื่อนในวงก่อนจะดึงสายที่เสียบกีตาร์ไฟฟ้าของตัวเองออกแล้วหันไปรับกีตาร์โปร่งตัวโปรดของตนจากสตาฟ พร้อมกับที่มีคนเอาเก้าอี้มาให้

     

                นี่สินะที่บอกว่าเซอร์ไพรซ์

     

                ชานยอลนั่งลงบนเก้าอี้ มีสตาฟเข้ามาปรับขาตั้งไมค์ให้ ส่วนชานยอลก็คาบปิ๊กกีตาร์แล้วปรับสายกีตาร์ไปด้วย เล่นเอาเรียกเสียงกรี๊ดได้ดีทีเดียว ยอมรับเลยว่าชานยอลตอนนี้น่ะ

     

              โคตรหล่อ

     

                ชานยอลเริ่มดีดกีตาร์ มันเป็นทำนองที่ผมคุ้นเคยแต่เป็นคุ้นในเวอร์ชั่นเปียโนที่ชานยอลชอบเล่น เสียงกรี๊ดที่ดังช่วงชานยอลดีดกีตาร์เริ่มแผ่วลง

     

    “Do you remember when I said I’d always be there

    Ever since we were ten, baby

    When we were out on the playground playing pretend

    I didn’t know it back then..”

     

                เสียงทุ้มเริ่มร้องออกมา เมื่อประโยคแรกถูกร้องออกมา ปากผมมันก็กระตุกยิ้มขึ้นมาเองอัตโนมัติ จู่ ๆ ความทรงจำเมื่อ 10 ปีก่อนมันก็วนเข้ามาในหัว

     

    โอ๋ ๆ ไม่ร้องไห้น้าตัวเล็ก ตัวโตจะอยู่ข้าง ๆ ตัวเล็กเองภาพของชานยอลที่กอดปลอบผมตอนผมตกจากชิงช้าตอนที่เราไปเล่นกันที่สนามเด็กเล่นมันยังคงชัดในความทรงจำ ทั้งภาพ ทั้งคำพูด มันไม่เคยจางหายไปเลย

     

    Now I realize you were the only one

    It’s never too late to show it

    Grow old together, have feelings we had before

    Back when we were so innocent..”

     

                ผมนั่งมองชานยอลที่เอาแต่ยิ้มในขณะร้องเพลง เขามองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันมามองผมตอนเข้าท่อนฮุค

     

    I pray for all your love

    Girl our love is so unreal

    I just wanna reach and touch you,

    squeeze you,

    somebody pinch me

    This is something like a movie

    And I don’t know how it ends girl

    But I fell in love with my best friend..

     

                ประโยคจบของท่อนฮุคมันทำให้ใจผมเต้นแปลก ๆ ไม่รู้ว่าเพราะความหมายของเพลง แววตาของชานยอล รอยยิ้มของชานยอลที่ส่งมาให้ผม หรือเป็นเพราะทุกอย่างรวมกันกันแน่

                ช่วงกลางของเพลงแทบจะไม่เข้ามาในโสตประสาท รอยยิ้มเมื่อครู่ของชานยอลยังตรึงตาผมอยู่ ตอนนี้ชานยอลไม่ได้มองผมแล้ว เขามองไปที่คนดู และเล่นหูเล่นตาอย่างที่เคยทำประจำ จนกระทั่งเซฮุนกะทุ้งเข้าสีข้างของผม และเป็นจังหวะที่ผมหันไปสบตาชานยอลที่หันมามองผมพอดี คราวนี้มันไม่ใช่แค่ประโยคจบของท่อนฮุคแค่หนึ่งประโยค แต่ชานยอลมองผมนานกว่าครั้งแรก และความหมายของท่อนนั้น ยิ่งฟังก็ยิ่งอยากจะเดินขึ้นไปบนเวทีแล้วบอกชานยอลว่าไอ้บ้า

     

    I know it sounds crazy

    That you’d be my baby

    Boy, you mean that much to me

    And nothing compares when

    We’re lighter than air and

    We don’t wanna come back down

    And I don’t wanna ruin what we have

    Love is so unpredictable

    But it’s the risk that I’m taking, hoping, praying

    You’d fall in love with your best friend..”

     

                ตอนนี้ผมรู้ตัวเลยว่าผมยิ้มจนปวดแก้ม ใจเต้นดังกว่าเสียงกลองของวงชานยอลที่เพิ่งเล่นไปก่อนหน้า ยิ่งชานยอลเปลี่ยนคำจาก Girl เป็น Boy ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่รู้ว่ามีใครเอะใจบ้างหรือเปล่า แต่ผมได้ยินมันเต็มสองหู และชานยอลก็ยังคงมองมาตลอด จนคนหน้าเวทีเริ่มมองตามสายตาชานยอล

     

                ไอ้บ้าชานยอลเอ้ย อย่างกับจะสารภาพรัก

     

                ผมเอาแต่ยิ้มเหมือนคนบ้า ในขณะที่ชานยอลละสายตาจากผมเมื่อจบท่อนนั้น แล้วหันไปหาคนดูตามปกติ ใจผมเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนกระทั่งจบเพลงแล้วมีเสียงปรบมือเสียงกรี๊ดดังขึ้น ผมมองชานยอลที่โค้งให้กับคนดูแล้วหันมาโบกมือให้ผมก่อนลงเวทีไป

                เซฮุนกับจงอินชวนให้ไปหาชานยอลที่หลังเวที ส่วนผมก็ขอตัวแยกไปซื้อน้ำให้ชานยอลก่อน ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะกินน้ำจากหลังเวทีไปหรือยัง แต่ซื้อไปเผื่อก็ไม่เสียหาย

                เมื่อมาถึงหลังเวที ก็เห็นจงอินกับเซฮุนหยอกล้อกับชานยอลเรื่องที่เปลี่ยนคำ ไม่คิดว่าทั้งสองจะสังเกต ผมเดินตีมึนเข้าไปก่อนจะยื่นขวดน้ำเปล่าเย็น ๆ ให้ชานยอล เจ้าตัวโตพูดขอบคุณก่อนจะรับมาเปิดกิน

     

    “นี่น่ะหรอ ที่เป็นเซอร์ไพรซ์นักหนาน่ะ ฮึ” ผมใช้ไหล่กระแทกไปที่แขนชานยอลเบา ๆ

     

    “อือ”

     

    “มึงเขินหรอชานยอล” จงอินพูดขึ้นเมื่อเห็นชานยอลที่หูเริ่มแดง

     

    “ไม่ต้องห่วงชานยอล นายไม่ได้เขินคนเดียว” เซฮุนพูดจบก็ชี้มาที่ผม “เนี่ย นั่งหน้าแดงตั้งแต่เพลงท่อนแรกเลย”

     

    “ไอ้บ้าเซฮุน” ผมหันไปตีไหล่เซฮุนที่หันไปหัวเราะกับจงอิน

     

    “รู้ว่าเขิน ยิ้มจนปากจะถึงหูอยู่แล้ว” ชานยอลได้ทีก็เอ่ยแซวบ้าง

     

    “จ้า เขินไงเขิน” ผมยื่นมือไปหยอกแก้มชานยอลอย่างมันเขี้ยว

     

    “มึงจะกินไรกันป่ะ ว่าจะไปซื้อไก่ทอด กลัวมันหมดก่อน” จงอินขัดขึ้นมา

     

                เรื่องกินนี่ไม่ได้เลย จงอินจะพลาดไม่ได้เลยเชียว

     

    “ไม่อ่ะ ไปกันก่อนเลย” ชานยอลปฏิเสธ

     

                จงอินขอตัวไปซื้อไก่ทอดก่อนโดยลากเซฮุนไปเป็นเพื่อน แล้วนัดเจอกันหน้างานเพื่อที่จะไปกินข้าวด้วยกัน นาน ๆ ทีจะได้เจอกันครบ 4 คน ผมกับชานยอลก็พยักหน้า บอกว่าเดี๋ยวเอาของไปเก็บแล้วค่อยไปเจอกัน

                ชานยอลเดินไปหยิบกีตาร์สองตัวของตัวเองมา ผมเลยอาสาช่วยถือตัวนึง ชานยอลจึงยื่นกีตาร์โปร่งตัวโปรดให้ถือเพราะว่ามันเบากว่ากีตาร์ไฟฟ้า ผมรับมาแล้วสะพายมันไว้ ก่อนจะเดินไปที่ลานจอดรถเพื่อเก็บของ

                ระหว่างทางบทสนทนาก็เป็นเรื่องเพลงที่วงชานยอลแสดงไป จนกระทั่งเดินมาถึงรถ ชานยอลเก็บกีตาร์เสร็จก็เปลี่ยนเสื้อ เพราะชานยอลบอกว่าตอนเล่นกับวงมันส์ไปหน่อย เหงื่อออกเยอะ ส่วนผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ยืนพิงรถรอชานยอล

     

    “นี่แบคฮยอน” ผมเหลือบไปมองชานยอลที่ตอนนี้สวมเสื้อที่เหมือนผมแต่คนละสี

     

    “อือฮึ?”

     

    “เพลงที่ร้องน่ะ”

     

    best freind

     

    “รู้ความหมายใช่ไหม”

     

    “รู้สิ นี่ไม่โง่นะ” ผมเอ่ยขำ ๆ

     

    “รู้ไหมต้องการจะสื่ออะไร” แต่ชานยอลไม่ขำ เขาพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางจริงจัง ผมจึงเปลี่ยนจากยืนพิงรถไปประจันหน้าเขาแทน

     

    “ไม่รู้หรอกถ้าไม่พูด” ผมอมยิ้ม เอาจริง ๆ เป็นใครก็ดูออก

     

                แต่อยากฟังจากปากนี่

     

    “แบคฮยอนอ่า” ชานยอลเรียกชื่อผมพร้อมกับวางมือใหญ่ ๆ ลงบนหัวแล้วโคลงไปมา

     

    “ชานยอลอ่า” ผมล้อคำพูดชานยอลแล้วใช้มือทั้งสองข้างจับเข้าที่แก้มของคนตรงหน้า “ไม่พูดก็ไม่รู้ อยากให้รู้ก็ต้องพูด”

     

    “ต้องพูดหรอ”

     

    “อื้อ” ผมพยักหน้า

     

    “พูดอะไร”

     

    “อยากพูดอะไร อยากบอกอะไร ก็นั่นแหละ”

     

    “บอกรักน่ะเหรอ” ชานยอลพูดออกมาหน้าตาเฉย แต่คนฟังนี่เฉยไม่ได้แล้ว

     

    “ข้ามขั้นไปป่ะเนี่ย” ผมก้าวเข้าไปใกล้ชานยอลก่อนจะเอาหัวไปพิงกับไหล่กว้าง ๆ ของชานยอล

     

    “มาขนาดนี้มันต้องคำนี้อย่างเดียวแล้ว” ชานยอลพูดขำ ๆ

     

    “อือออ” ผมอื้ออึงในลำคอ

     

                เอาจริง ๆ มันก็ไม่แปลกเท่าไหร่ อย่างว่าแหละ ผมกับชานยอลรู้จักกันมาทั้งชีวิต ทะเลาะกันแทบนับครั้งได้ หมายถึงตอนที่เริ่มโตแล้วน่ะนะ ผ่านอะไรมาด้วยกันก็เยอะ ทั้งผมและชานยอลก็ไม่เคยมีแฟน ชานยอลบอกว่าไม่เคยคิด ส่วนผมก็ไม่เคยคิดเช่นกัน เรามีความเห็นตรงกันที่ว่า มีกันและกันแบบนี้แล้วแฟนก็ไม่จำเป็น

                เราอยู่กันภายใต้สถานะเพื่อนสนิทมาตลอด แต่ก็รู้กันอยู่ว่าการกระทำหลาย ๆ อย่างมันไม่ใช่ ผมกับเซฮุนและจงอินก็เป็นเพื่อนสนิท แต่การกระทำก็ไม่ได้เป็นอย่างผมและชานยอล และวันนี้มันก็อาจจะถึงเวลาแล้วมั้ง ที่จะทำให้อะไร ๆ มันชัดเจนขึ้นมา ความจริงมันไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำสำหรับผมกับชานยอล ถ้าไม่มีคนเข้ามาในความสัมพันธ์ของเราอย่างจริงจัง

     

                เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ชานยอลเอาโทรศัพท์ของผมไปเล่น และพี่จุนกิก็ดันส่งข้อความมาเวลานั้นพอดี ชานยอลจึงกดเข้าไปดู มันเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยบอกชานยอล วันนั้นเราเกือบทะเลาะกันแล้ว เพราะชานยอลโกรธที่ผมไม่ยอมเล่าให้เขาฟัง นี่มันไม่ได้แค่น้อยใจอย่างที่เซฮุนบอกแล้ว

                หลังจากที่ผมเล่าทุกอย่างให้ฟัง วันรุ่งขึ้นชานยอลก็ดูจะหัวเสียเมื่อต้องเข้าชมรม ส่วนผมที่ไปรอเขาก็ไปได้ยินที่ชานยอลคุยกับเพื่อน ๆ ในวงพอดี

     

    ถ้าไม่อยากให้ใครเข้ามาก็อาจจะต้องมีสถานะที่ชัดเจนกว่านี้ล่ะมั้งอี้ชิง เพื่อนในวงของชานยอลพูดขึ้นมา

     

                ก็อาจจะจริง เพราะทุกครั้งที่ใครต่อใครถามว่าเป็นอะไรกัน ก็ตอบว่าเพื่อนสนิททุกครั้ง เพราะอย่านี้ถึงมีผู้หญิงมาชวนชานยอลไปกินข้าวด้วยบ่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะบอกคนที่ไปกินข้าวด้วยว่าผมเป็นแฟนชานยอลก็ตามที ส่วนผมก็มีผู้หญิงเข้ามาบ้าง แต่ผมรู้จักปฏิเสธคนเลยไม่มีปัญหามากนัก จะหนักหน่อยก็เรื่องพี่จุนกิ ที่ถึงจะปฏิเสธยังไงก็ยังคงไม่หยุด

     

    “ก็อย่างที่เพลงบอกไง I fell in love with my best friend.” ชานยอลก้มลงมากระซิบข้างหู

    “ฮื่อ ไอ้ตัวโตเอ้ย” ผมผละออกมาจากไหล่ชานยอลแล้วเงยหน้าไปมองชานยอลที่มองผมก่อนอยู่แล้ว เขาส่งยิ้มมาให้ผม ส่วนผมก็ยิ้มไปให้ชานยอลเช่นกัน “บอกอีกทีสิ”

     

    “หืม?”

     

    “บอกรักอีกทีสิ”

     

    “รักแบคฮยอนนะ” สิ้นคำชานยอล ผมก็เขย่งไปจูบปากชานยอลเบา ๆ

     

    “รักชานยอลเหมือนกัน”

     

                ชานยอลดึงผมเข้าไปกอด และผมก็กอดตอบชานยอล เมื่อตอนเป็นเด็ก เราเคยพูดว่ารักกันและกัน แต่ตอนนั้นคงยังไม่รู้ว่ารักคืออะไร และครั้งนี้คงเป็นครั้งแรก ที่บอกรักเพราะรู้ว่ารักคืออะไร และรู้สึกรักจริง ๆ เป็นยังไง

     

    “แล้วถ้าต่อไปนี้มีคนถามว่าเป็นอะไรกันจะตอบว่ายังไง” เสียงทุ้มเอ่ยถามข้างหู

     

    “เป็นพ่อมั้ง”

     

    “อ้าว” ชานยอลผละออกจากผมแล้วทำคิ้วขมวด

     

    “ก็เป็นแฟนไงไอ้ตัวโต” ผมพูดยิ้มๆแล้วใช้ข้อนิ้วบีบจมูกชานยอลด้วยความมันเขี้ยว

     

    “โอเค งั้นเปลี่ยนจากเบสท์เฟรนด์เป็นเบสท์แฟนแล้วเนาะ”

     

    “อือ รับทราบครับ เจ้าแฟน”

     

     

     

     

     

    #smatCB

    วันนี้คอนดอทแล้วกี๊ส

    ใครได้ไปฝากตะโกนบอกเอ็กโซด้วยค่ะว่าคิดถึงมาก อยากเสียตังแล้ว

    55555555555555555

    ปล.มีคำผิดบอกได้เด้อ ยังไม่ได้ตรวจคำผิดเลย

    ง่วงแร้ว ขอนอนก่อน ฝันดีค่า 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×