ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` [exo]▻Twilight◅ {chanbaek} 。

    ลำดับตอนที่ #2 : -1-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.01K
      52
      9 ม.ค. 57












     



    -1-

    “แม่ถามเป็นครั้งสุดท้ายนะ ลูกจะไปจริงๆใช่มั้ย?”

    “ผมก็จะตอบแม่เป็นครั้งสุดท้าย ผมจะไป”

    แม่....ผู้ที่ให้กำเนิดผมหญิงสาวร่างเล็กท่าทางทะมัดทะแมงอายุไม่เกินสี่สิบยืนทำหน้าตาง้ำงออยู่ตรงนั้น ผมถอนหายใจออกมาน้อยๆก่อนจะสวมกอดเธอไว้ ตอนแรกแม่ฮึดฮัดนิดหน่อยแต่ก็ยกมือขึ้นกอดตอบแล้วผละออกมาก่อนจะระดมจูบไปทั่วหน้าของผม เนื่องจากไม่อยากขัดใจผมเลยปล่อยให้แม่ทำอย่างนั้นจนกระทั่งเสียงประกาศจากทางสนามบินดังขึ้น

    “ผมไปแล้วนะ”

    “ลูกไม่จำเป็นต้องไปนะแบคฮยอน”

    “ผมคิดว่านี่มันจำเป็น เอาล่ะผมต้องไปแล้ว สัญญาจะเขียนเมลล์หาบ่อยๆ ให้ตายสิผมคิดว่าเมื่อเช้าก่อนที่เราจะออกมาผมพูดไปหมดแล้วนะ แต่เอาเถอะ ผมจะพูดมันอีกครั้ง อยู่กับวิลทำตัวดีๆ เขาอาจจะทนผมไม่ได้เหมือนที่ผมทนแม่ได้ แล้วถ้าไม่จำเป็นอะไรอย่าโทร ค่าโทรข้ามประเทศมันไม่ได้ถูกเลย โอเคนะ?”

    “แบคฮยอน......”

    “ผมรักแม่นะ”

    “แม่ก็รักลูกจ้ะ”

    แม่สวมกอดผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะยอมปล่อยให้ผมเดินเข้าเกตไป วิลชายสัญชาติอเมริกันยืนโอบแม่ที่กำลังน้ำตาคลอ ผมโบกมือให้เธอหน่อยๆก่อนจะตัดสินใจหันหลังไปขึ้นเครื่องเพื่อมุ่งหน้ากลับสู้ประเทศบ้านเกิดของผม

    ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศเล็กๆที่ผมเคยอยู่

    เอาง่ายๆนะ คือพ่อกับแม่ผมเลิกกันตอนที่ผมอายุได้สามขวบ แม่หนีมาอยู่อเมริกาและแน่นอนว่าหิ้วผมมาด้วย ช่วงแรกๆเราค่อนข้างลำบากแต่พอซักพักก็เริ่มลงตัว และแน่นอนพออะไรหลายๆอย่างลงตัวก็มีคนเข้ามาจีบแม่ของผมที่ยังไม่แก่เท่าไหร่นัก มันเกินเชื่อนิดหน่อยที่ผมอายุสิบเจ็ดแล้วแต่แม่ยังไม่สี่สิบ ผู้ชายคนนั้นชื่อวิล เป็นเจ้าของร้านอาหารและมีลูกสองคน คบหาดูใจกันมานานและแม่ตัดสินใจจะแต่งงานกับเขา ผมที่ไม่ถูกกับเด็กจึงตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่เกาหลี ตอนแรกแม่คัดค้านอย่างหนัก ยืนยันว่าจะให้ผมไปอยู่ด้วยกัน แต่สุดท้ายแล้วผมก็ดื้อกว่าอยู่ดี

    ไม่ใช่อะไรหรอก ผมอยากให้แม่ให้ความสำคัญกับครอบครัวใหม่ให้มากๆนี่เป็นโอกาสที่แม่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ หากผมยังอยู่ด้วยแม่อาจจะดูแลลูกของวิลได้ไม่เต็มที่

    เพราะงั้นไม่มีทางเลือก ผมต้องกลับมาที่นี่

    สิ่งที่ผมเกลียดอย่างเดียวเลยคืออากาศที่ชื้นแฉะ ที่นี่ฝนตกแทบจะตลอดเวลา แถมยังไม่ค่อยมีแสงแดดเสียด้วย ไม่เหมือนที่อเมริกาอากาศอบอุ่นที่กำลังดี ฝนก็เป็นไปตามฤดูกาลของมัน ตอนนี้ผมเริ่มคิดขึ้นมาหน่อยๆแล้วว่าผมไม่ควรจะกลับมา เพราะทันทีที่ออกมานอกสนามบินฝนก็เทลงมาทันที

    “รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวพ่อไปเอารถก่อน”

    พ่อในเครื่องแบบของตำรวจ ผมคิดว่าเขาคงรีบออกมาจากที่ทำงานทันทีเพื่อมารับและถ้าให้เดารถที่เอามารับต้องเป็นรถตำรวจที่มีไซเรนติดอยู่บนหลังคาแน่ๆ แค่คิดว่าจะต้องนั่งรถอย่างนั้นกลับบ้านผมก็รู้สึกห่อเหี่ยวจนแทบจะบินกลับไปหาแม่เสียเดี๋ยวนั้น อยาจะส่งเมลล์ไปคร่ำครวญว่าแค่เริ่มแรกก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาแม้แต่น้อย แต่ต้องอดใจไว้ แม่ผมเป็นพวกขี้กังวล ถ้าหากทำแบบนั้นแม่จะต้องยืนกรานให้ผมกลับไปอยู่ด้วยแน่ๆ

    อย่างน้อยอยู่ที่นี่ ก็ดีกว่ากลับไปอยู่เป็นส่วนเกินครอบครัวแหละนะ

    “แม่เป็นยังไงบ้างล่ะ”

    “ก็อย่างที่พ่อได้ข่าวแหละ กำลังจะแต่งงาน”

    “นั่นสินะ เขาต้องหล่อมากๆแน่?”

    “พ่อกำลังคิดว่าแม่ทิ้งพ่อไปเพราะไม่หล่อรึเปล่า? ไม่เอาน่าพ่อก็รู้ว่ามันไม่ใช่”

    “พูดอย่างนี้แสดงว่าพ่อหล่อใช่มั้ย?”

    “ผมพูดแบบนั้นหรอ? เอาเถอะ” ผมโบกมือตัดบทสนทนา พ่อหัวเราะออกมาเบาๆในขณะที่กำลังมองทางข้างหน้า ผมมองออกไปนอกหน้าต่างมองเม็ดฝนที่โปรยปราย แม้จะไม่หนักแต่มันก็สร้างความรำคาญให้ไม่น้อย ผมรู้ดีว่าอีกไม่นานชีวิตวัยรุ่นที่เคยสดใสจะต้องมาอับเฉาเพราะสภาพอากาศของที่นี่ ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ

    “ไม่เอาน่า อย่าถอนหายใจแบบนั้น”

    “คร้าบๆ จะพยายาม”

    “พ่อมีของขวัญให้ด้วยนะ”

    “ของขวัญ?”

    เซอร์ไพร์สมาก

    รถกระบะคันเก่าๆสีน้ำตาลจอดอยู่หน้าบ้าน ทันทีที่มาถึงผมก็วิ่งลงไปหามันก่อนจะยกยิ้มออกมา โอเค การมาอยู่ที่นี่คงไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด อย่างน้อยก็มีรถให้พอที่จะพาตัวเองไปไหนต่อไหนได้โดยไม่ต้องรอพ่อ ผมเปิดประตูแล้เข้าไปนั่งในรถ กลิ่นเบาะหนังเก่าๆที่ค่อนข้างเหม็นอับผมคดว่าสามารถจัดการมันได้ หลังจากนี้คงต้องไปซื้อสเปรย์ดับกลิ่น ผมใช้มือไล้ไปทั่วคอนโซรลหน้ารถอย่างหลงใหล พ่อมายืนจับที่ขอบประตูแล้วส่งยิ้มให้

    “พ่อบอกแล้วว่าลูกจะต้องชอบ”

    “ขอบคุณครับพ่อ”

    “ยินดีต้อนรับสู่เกาหลีนะแบคฮยอน”

     

    ผมมาโรงเรียนวันแรกพร้อมไอ้แก่ที่พ่ออวดนักอวดหนาว่าถึงแม้ภายนอกมันจะเก่าแต่ก็เป็นเครื่องยนต์ใหม่ ผมคิดว่าพ่อโม้แต่มันเป็นความจริง หากไอ้เหล็กด้านนอกมันไม่ขึ้นสนิมล่ะก็คิดว่าผมคงจะเอามันไปแข่งแล้วแน่ๆ

    บรรยากาศในตอนเช้าเริ่มขึ้นพร้อมกับฝนและที่ตามมาคืออากาศชื้นแฉะ หลังจากนี้ของที่จะต้องติดอยู่ในกระเป๋าของผมคือเสื้อกันฝน ผมเอาไอแก่เข้ามาจอดในโรงเรียน แม้ว่าเสียงเครื่องยนต์มันจะดังแต่คนแถวนี้ก็ไม่ได้สนใจ นั่นทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง แค่ผมย้ายมาที่นี่ก็เป็นเป็นหัวข้อใหญ่ให้คนในเมืองได้คุยกันไปอีกหลายสัปดาห์ บ้างก็ว่าแม่ผมเสียแล้วบ้างล่ะ บ้างก็ว่าแม่ส่งกลับมาเพราะเลี้ยงไม่ไหว เอาเป็นว่ามีแต่ข่าวด้านลบซึ่งผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่

    ดีว่าพ่อจัดการเกี่ยวกับเอกสารให้แล้ว หน้าที่ผมในตอนนี้คือต้องเดินหาห้องพักครูเพราะผมจะต้องเดินเข้าห้องไปพร้อมเขาและต้องทำอะไรที่น่าเบื่อด้วยการยืนแนะนำตัว บยอนแบคฮยอนฝากตัวด้วยครับ อะไรประมาณนั้น ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆแปดโมง กว่าผมจะหาห้องพักครูเจอก็ปาเข้าไปแปดโมง ครูประจำชั้นมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอไม่พูดอะไรนอกจากคำว่าตามฉันมาก่อนจะเดินนำไปที่ห้องเรียน ระหว่างที่เดินผ่านผมแอบเห็นว่าเด็กที่นั่งอยู่ในห้องเรียนหันมาให้ความสนใจ ซึ่งมันทำให้ผมค่อนข้างอึดอัด แย่จริงๆ มองอะไร คนนะไม่ใช่คณะละครสัตว์ให้ตายสิ

    ผมเดินเข้ามาในห้องเรียนที่เขียนว่า 2-A เด็กนักเรียนในห้องจากตอนแรกที่เสียงดังแต่พอเห็นครูประจำชั้นเดินเข้ามาก็นั่งนิ่ง ผมรู้สึกว่านี่มันแย่เอามากๆที่ต้องมายืนหน้าห้องให้คนนับสิบจ้องมายังผมคนเดียว ครูประจำชั้นดันให้ผมออกมายืนด้านหน้า

    “มีนักเรียนใหม่มาจากอเมริกา ลูกของผู้กองบยอน เอ้าแนะนำตัวสิ”

    “บยอนแบคฮยอนครับ”

    “ที่นั่งของเธอด้านซ้ามือเป็นคุณคิม ส่วนขวามือเป็นคุณปาร์ค เอาล่ะ วันนี้.......”

    ผมมองไปยังที่นั่งของตัวเองก่อนจะพบว่าข้างขวามือที่เป็นที่นั่งของคุณปาร์คนั้นเขาไม่อยู่ส่วนซ้ายมือที่เป็นคุณคิมเขากำลังสงยิ้มแลโบกมือให้ เมื่อครูประจำชั้นเดินออกไปแล้ว เพื่อนๆในห้องก็พากันเข้ามารุมล้อมที่โต๊ะ ผมจำเป็นต้องฉีกยิ้มการค้าเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียด

    คุณปาร์ค.....? วันนี้ไม่มาโรงเรียนรึไงนะ??

     

    ตอนกลางวันผมมากินข้าวกับคนที่ชื่อจงแด ผู้ชายที่นั่งทางด้านซ้ายมือของผม เป็นคนที่พูดค่อนข้างเก่งเขาเอาแต่พูดไม่หยุด มันอาจจะน่ารำคาญไปซักหน่อยแต่ผมคิดว่ามันก็โอเค เราอาจจะต้องมีเพื่อนซักคนนึงในโรงเรียน คิมจงแดมีเพื่อนเป็นกลุ่มห้าถึงหกคน ชื่ออะไรบ้างผมก็จำไม่ได้หรอก ผมค่อนข้างมีปัญหากับการจำชื่อคนอยู่ด้วยสิ

    ระหว่างที่คนในกลุ่มกำลังคุยกันเสียงดัง ผมก็มองไปรอบๆโรงอาหารเพื่อสำรวจ สายตาของผมพลันไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ริมของโรงอาหาร พวกเขามีด้วยกันทั้งหมดห้าคน ไม่พูดคุย ไม่กินเรียกได้ว่าไม่แตะถาดอาหารที่วางไว้ข้างหน้าด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ได้มองมาที่ผมเหมือนกับเด็กนักเรียนคนอื่นๆเพราะฉะนั้นผมจึงแอบมองเขาได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเขาจะหันมามอง พวกเขาก็มีบางอย่างที่เหมือนกัน นั่นคือมีสีผิวที่ขาวซีด ซีดยิ่งกว่าผมที่ใครหลายๆคนเอ่ยปากทัก ดวงตาของพวกเขาเป็นสีเข้ม อีกทั้งยังมีรอยคล้ำใต้ตากันทุกคนด้วย ราวกับว่าพวกเขาเป็นโรคนอนไม่หลับ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ลดทอนความดูดีของพวกเขาลงแม้แต่น้อย

    “พวกเขาเป็นใครน่ะ?” ผมเอ่ยปากถามจงแด หมอนั่นหันมองผมครู่หนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปยังมุมเดิมที่ผมนั่งจ้องเมื่อครู่อย่างรู้งาน  ทันใดนั้นหนึ่งในกลุ่มก็หันมาทางจงแด เขาคนนั้นผู้ชายร่างสูงผมสีน้ำตาลเข้มที่ดึงดูดสายตาผมได้มากที่สุด เขามองจงแดเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก่อนจะหันมาจ้องผม

    ผมรีบหันหน้าหนีทันทีที่รู้สึกตัว แต่เขาเร็วกว่าผมเสียอีก อาการร้อนวูบวาบที่ใบหน้าทำเอาผมต้องสะบัดหัวเบาๆหลายที

     “อ๋อ นายคงยังไม่เจอเขาล่ะสิเมื่อเช้าน่ะ”

    “หืม?”

    “ตรงนั้นน่ะเป็นครอบครัวตระกูลปาร์ค”

    “เขาอยู่ที่นี่นานแล้วหรอ?”

    “ไม่หรอก เพิ่งจะย้ายมาเห็นว่ามาจากจีน เพิ่งย้ายมาได้ไม่เท่าไหร่ พวกเขาเป็นลูกของคุณหมอปาร์ค รู้จักคุณหมอจองซูไหม?”

    “หืม? ได้ข่าวว่าหมอจองซูยังหนุ่มไม่ใช่หรอ?”

    “ทั้งหมดนั่นเป็นลูกบุญธรรม นายเห็นคนที่ขอบตาคล้ำๆหน่อยมั้ย? คนนั้นน่ะชื่อฮวังจื่อเทา ส่วนคนที่ออกจะขาวที่สุดนั่นทุกคนเรียกว่าซูโฮ แต่จริงๆชื่อคิมจุนมยอน เขาลือกันมาว่าสองคนนั่นคบกันอยู่ แล้วก็คนผมสีบลอนด์นั่นชื่อเซฮุน โอเซฮุน คนที่นั่งข้างเขาคือคริส แน่นอนว่าเขาก็คบกันอยู่อีก”

    “แล้ว...อีกคนนึงล่ะ”

    ผมกล่าวไปถึงคนที่หันมาจ้องผมเมื่อซักครู่ จงแดหันมองเขาก่อนจะมองผมด้วยสายตายิ้มๆ เขาเอนตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบกระซาบราวกับว่าไม่อยากจะให้คนอื่นรู้

    “คนนั้นน่ะปาร์คชานยอล คนที่นั่งด้านขวามือของนายไงล่ะแบคฮยอน อย่างว่านะเขาหล่อมากๆเลยใช่มั้ย? ถ้าหากว่าคิดจะชอบเขาล่ะก็ตัดใจเถอะ หมอนั่นไม่เคยสนใจใครเลย”

    “ใครว่าฉันชอบเขาล่ะ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว พวกครอบครัวปาร์คไม่ค่อยสุงสิงกับใคร มักจะอยู่รวมกันมากกว่า อย่างว่าแหละน้าคนดูดีก็รวมตัวกันอยู่แบบนั้น”

    จงแดว่าก่อนจะหยิบเฟรนฟรายเข้าปาก ผมหันไปมองที่กลุ่มนั้นอีกครั้ง พวกเขามีถาดอาหารวางไว้ด้านหน้าทุกคนแต่กลับไม่แตะต้องมันแม้แต่น้อย คนที่ชื่อปาร์คชานยอลจ้องมาทางผมเขม็ง พวกในกลุ่มเองก็เริ่มจะจ้องมาทางนี้ ผมเลยรีบหันหน้ากลับมาแล้วจัดการกับข้าวของตัวเองให้หมด

    ให้ตายสิ สายตาของเขาน่ะ.....

    ผมจะบ้าตายแล้ว!

    โอเค นี่มันอาจจะบ้ามากๆที่ผมดันใจเต้นกับคนที่เจอหน้ากันเพียงครั้งแรก แต่สาบานได้เลยไม่ว่าใครถ้ามาเจอเขาแล้วล่ะก็จะต้องเป็นแบบผมแน่ๆ ดวงตาสีเขียวมรกตที่จ้องมายังผมทำเอาใจสั่นแบบประหลาด ในที่สุดกลุ่มตระกูลปาร์คก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับถือถาดอาหารที่ยังไม่ได้แตะไปวางไว้ยังที่เก็บจาน ปาร์คชานยอลลุกเป็นคนสุดท้าย เขาหันมาจ้องผมอีกครั้งก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ

    ผมเห็นเขาตอนกลางวันแบบนี้ แสดงว่าตอนบ่ายเขาจะเข้าเรียนใช่ไหม?

    ผมเดินกลับเข้าชั้นเรียน แน่นอนว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้น ผมเปิดประตูเข้าไปก่อนจะพบว่าปาร์คชานยอลนั่งอยู่ที่ของเขา ทันทีที่ผมเดินผ่านตัวของเขาก็แข็งเกร็งขึ้นมาทันใด ดวงตาคู่นั้นแตกต่างไปจากเมื่อตอนพักกลางวัน เป็นสีดำมืดสนิทไร้ประกายจ้องเขม็งมาทางผมด้วยความไม่เข้าใจ สายตาที่มองมาทำเอาผมสะดุ้งเล็กๆ กลั้นใจทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขา พลันหางตาเหลือบไปเห็นเขากำลังเปลี่ยนท่าทางนั่งและเอนตัวออกจากตำแหน่งเดิมไปยังขอบเก้าอี้ราวกับว่าได้กลิ่นอะไรที่แปลกประหลาด

    ผมรีบสะบัดศีรษะตัวเองเบาๆเพื่อให้ได้กลิ่นก่อนจะพบว่ามันเป็นกลิ่นของแชมพูที่ผมใช้เป็นประจำ

    ยังไม่ทันจะได้หันไปทักทายอะไรเขาก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกไปจากห้องโดยไม่คิดจะพูดอะไรซักคำ ผมรู้สึกว่าตัวเองานิดหน่อยหลังจากที่โดนทำแบบนั้นใส่ จงแดมองตามหลังของเขาไปแล้วหันมาถามผม

     “นายเอาอะไรไปแทงหมอนั่นรึเปล่า?”

    “มะ....ไม่นี่”

    “จริงหรอ? แล้วทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้นล่ะ”

    จงแดถามด้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะนิ่งไป ผมมองไปที่ประตูบานที่ร่างสูงเพิ่งเดินออกไปนอกห้อง และทบทวนอีกครั้งว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดหรือไม่ ทบทวนมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะพบว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่กลับมานั่งที่เท่านั้นแล้วทำไมจู่ๆปาร์คชานยอลถึงพรวดพราดออกไปราวกับว่าผมเหยียบเท้าเขาแล้วไม่ได้ขอโทษ

    บ้าชะมัด.....ผมรู้สึกแย่ขึ้นมาอีกแล้ว

    ตกเย็นผมสตาร์ทรถแล้วขับมันกลับบ้าน ตระกูลปาร์คที่เหลือยืนอยู่ที่รถคันใหม่เอี่ยม ถ้าผมจำไม่ผิดนั่นเป็นออดี้คันใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะออกขายได้ไม่นาน เทา...ผมจำเขาได้ เขาใช้ดวงตาสีดำขลับจ้องมาที่ผมอย่างไม่วางตา มองจนกระทั่งผมขับไอ้แก่ออกจากรั้วโรงเรียน

    พวกเขาไม่ปกติ

    ใช่...พวกเขาโดดเด่นและดูสง่างามกันทุกคน ผมคิดว่าพวกเขาไม่ปกติที่เอาแต่จ้องมองผมแบบนั้น หรือเพียงเพราะว่าผมเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายมา? แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดปาร์คชานยอลถึงได้ลุกหนีไปดื้อๆเมื่อช่วงเรียนคาบบ่าย ถึงจงแดจะปลอบใจผมด้วยการบอกว่าเขาชอบโดดเรียนอยู่บ่อยๆแต่ผมก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดีว่าผมเป็นสาเหตุนั้น

    ให้ตายสิ นี่มันไม่ใช่ตัวผมเลย เอาแต่คิดเรื่องของเขาอยู่ได้

    โรงเรียนวันแรกเป็นยังไงมั่ง?”

    ก็ดีครับพ่อ”

    ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา พ่อกำลังดูข่าวกีฬา แขนยาวๆของพ่อเอื้อมมาโอบไหล่ไว้ก่อนจะบีบเบาๆเพื่อให้กำลังใจหลังจากที่หันมาเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนักของผม ถึงมันจะน่าอึดอัดและสร้างความรำคาญใจให้ผมนิดหน่อยแต่ผมก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป ไม่นานนักพ่อก็ลดมือลงไปจับอยู่ที่รีโมตเหมือนเดิม

    พ่อรู้จัก...คุณหมอปาร์คไหม?”

    หมอจองซูน่ะหรอ?”

    ครับ พวกเขาเป็นคนยังไง?”

    คุณหมอเป็นคนดีทีเดียวล่ะ ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลประจำเมือง บางทีก็ไม่เก็บค่ารักษากับพวกที่ไม่ค่อยมีกิน ส่วนคุณนายปาร์คเธอส่วนใหญ่อยู่บ้าน บางครั้งจะเจอที่ซุปเปอร์”

    แล้วลูกๆของเขาล่ะครับ?”

    อันนี้พ่อก็ไม่ค่อยแน่ใจ ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นเด็กดีนะ ไม่ออกเที่ยวกลางคืนหนีพ่อแม่ไปแข่งรถแบบที่เด็กพวกนี้ทำกัน พวกเขาดูมีวุฒิภาวะทางด้านอารมณ์พอสมควร อย่างว่านะหมอจองซูเขาคงอบรมลูกมาดี”

    ผมนั่งนิ่งๆฟังพ่อพูดไปเรื่อยๆ พลางนึกภาพเหล่าบรรดาตระกูลปาร์คทีละคน จะว่าไปก็จริงอย่างที่พ่อว่า คนพวกนั้นถึงแม้ว่าจะรุ่นเดียวกับผมแต่เขาก็ดูสุขุมและมีความเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมยังคงไม่เข้าใจคนที่ชื่อว่าชานยอลนั่น....เขาไม่ชอบผมรึเปล่านะ?

    “เหมือนลูกจะมีเรื่องที่กังวลอยู่นะแบคฮยอน”

    “แค่....ผมมีความรู้สึกว่าบางทีชานยอลอาจจะไม่ชอบผม”

    “ทำไมล่ะ?”

    “วันนี้เขามาเรียนคาบบ่าย แต่พอผมเดินเข้าไปนั่งที่ เขาก็ทำหน้าตึงแล้วออกจากห้องไป ไม่กลับมาเรียนอีกเลย”

    พ่อนิ่งเงียบไปครู่ มือใหญ่ของพ่อลูบศีรษะของผมเบาๆ  นั่นมันทำให้ผมหน้าตึงอีกแล้ว อายุสิบเจ็ดแล้วนะบางทีพ่ออาจจะลืมไป เพราะล่าสุดที่ผมเคยมาอยู่ช่วงซัมเมอร์คือตอนอายุ 9 ขวบหลังจากนั้นผมก็ไม่มาอีก เหตุผลหลักคือฝน เหตุผลรองคือการเป็นขี้ปากของคนแถวนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกเท่าไหร่

    “พ่อคิดว่าน่าจะมีเรื่องที่เข้าใจผิดนิดหน่อย แต่ชานยอลเป็นคนดีนะ”

    “ผมพยายามจะเชื่อพ่อก็แล้วกันครับ”

    ผมลุกขึ้นยืน เอาเสื้อโค้ตที่กองอยู่บนโซฟาไปแขวนไว้ที่แขวนเสื้อก่อนจะเดินเข้าไปในครัวดูว่าในตู้เย็นพอที่จะหาอะไรมาทำกับข้าวมื้อเย็นได้บ้าง “ในตู้เย็นไม่มีอะไรเลย ปกติพ่อใช้ชีวิตยังไงเนี่ย?”

    “เดี๋ยวเย็นนี้เราไปทานข้างนอกกัน พ่อจองร้านไว้แล้ว หลังจากนั้นก็ไปซื้อของเข้าบ้าน”

    “โอเค เชื่อเขาเลย”

     

    ผมออกมาทานข้าวที่ร้านอาหาร มันค่อนข้างดูดีทีเดียวสำหรับเมืองนี้ บางทีพ่ออาจจะอยากฉลองให้ผมแต่ไม่รู้จะพูดยังไง แต่การที่ไม่มีอะไรอยู่ในตู้เย็นทำให้ผมชักไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าที่ผ่านมาพ่อใช้ชีวิตแบบไหน อาหารเริ่มทยอยวางลงบนโต๊ะ พ่อส่งจานเปล่าให้ผมหนึ่งใบ ก่อนที่เราจะเริ่มลงมือทานพ่อผมก็ลุกขึ้นยืนแล้วทักทายใครบางคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน ผมเองก็ลุกขึ้นยืนบ้างก่อนจะโค้งหัวน้อยๆ เป็นผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งดูภูมิฐาน เพราะผิวขาวซีดๆทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาเป็นใคร

    “นี่บยอนแบคฮยอน ลูกชายผมครับ”

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะแบคฮยอน ฉันจองซู คิดว่าคงจะเคยได้ยินแล้วใช่มั้ย? และนี่ภรรยาของฉันเอง”

    “ยินดีที่ได้พบครับ” ผมโค้งตัวน้อยๆอีกครั้ง เมื่อตอนที่พ่อแนะนำให้ผมรู้จัก หมอจองซูนิ่งไปซักพักก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ส่วนผู้หญิงหน้าตาดูใจดีที่ยืนอยู่ข้างๆก็ส่งยิ้มให้ผมน้อยๆ หลังจากที่ได้ฟังพ่อเล่าให้ผมฟังคิดว่าเขาจะแก่กว่านี้แต่ไม่เลย ทั้งคู่ยังดูเด็กเกินกว่าที่จะมีลูก แต่อย่างว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นลูกบุญธรรมจึงไม่แปลกหากพ่อแม่ของเขาจะยังดูไม่แก่มากเท่าไหร่

    “คุณหมอมาทานข้าวหรือครับ? ลูกๆของคุณล่ะ”

    “วันนี้เขาเบื่อฝีมือการทำอาหารของฉันน่ะค่ะ เลยมาซื้อกลับไปทานที่บ้าน”

    “โอ้ งั้นผมไม่รบกวนแล้วครับคุณนายปาร์ค”

    “ทางเราต่างหากที่รบกวน ขอให้มื้อนี้เป็นมื้อที่วิเศษนะจ๊ะแบคฮยอน”

    คุณนายปาร์คหันมาส่งยิ้มให้ ผมโค้งตัวรับก่อนที่คุณหมอปาร์คและคุณนายปาร์คจะเดินไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งเพื่อสั่งอาหาร พ่อเริ่มลงมือตักกับข้าวในขณะที่ผมก็เอาแต่มองไปทางด้านหน้าที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรผมว่าการเคลื่อนไหวของเขามันดูไม่มีที่ติจริงๆ เป็นครอบครัวที่วางตัวได้เหมาะสม แม้จะเป็นคนมีฐานะไม่ได้ทำตัวให้แตกแยกเหมือนพวกไฮโซในนิวยอร์กที่ผมเคยพบ

    “เป็นไงบ้าง”

    “อร่อยดีครับ”

    “ไม่ใช่ พ่อหมายหมอจองซูน่ะ”

    “อ้อ.....ดูใจดีมากๆ คุณนายปาร์คด้วย”

    “ใช่ไหมล่ะ” พ่อดูดีใจที่ในเมืองนี้ยังมีคนแบบนี้หลงเหลืออยู่ ยิ่งนานวันเข้าความโลภและความเห็นแก่ตัวเริ่มครอบงำและกัดกร่อนจิตใจของมนุษย์ไปทีละนิด เพราะงั้นในกรณีของหมอจองซูนี่เป็นตัวอย่างที่หาได้ยากแล้วในสมัยนี้

    เราใช้เวลาไม่นานก็กินข้าวกันเสร็จ คุณและคุณนายปาร์คออกจากร้านไปพร้อมกับอาหารชุดใหญ่ก่อนหน้าที่เราจะเสร็จประมาณยี่สิบนาทีที่แล้ว ผมขึ้นนั่งบนรถตำรวจของพ่ออีกครั้ง ถึงจะนั่งมันมาสามรอบแล้วแต่ผมก็ยังไม่ชินอยู่ดีที่ต้องนั่งรถที่มีไซเรน แม้ว่าจะไม่ได้เปิดแต่มันก็ยังคงเป็นจุดเด่น

    ผมมองไปที่นอกหน้าต่าง ที่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ฝน ยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆด้วยความพอใจแล้วคิดว่าในวันพรุ่งนี้คงจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นบ้าง

     

    ในตอนเช้าของวันถัดมา ผมจะต้องเอาเอกสารเกี่ยวกับการตัดเครื่องแบบให้กับครูประจำชั้นที่จะไปอีกเมืองหนึ่งซึ่งในเมืองนี้ไม่มีร้านตัดเครื่องแบบ แน่นอนว่าอาทิตย์ถัดไปผมจะต้องขับรถไปรับชุดเอง กำลังคิดอยู่ว่าอาจจะชวนจงแดไปเป็นเพื่อนและหลังจากนั้นจะไปหาอะไรทานกัน นั่นคงเป็นการกระชับความสัมพันธ์แบบที่เพื่อนควรทำกันใช่ไหม? ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องก่อนจะพบว่าร่างสูงของผู้ชายที่ชื่อว่าปาร์คชานยอลกำลังยืนคุยอยู่กับครูประจำชั้น

    “ผมขอร้องล่ะครับ ห้องบีหรือห้องเอฟเลยก็ได้”

    “ขอโทษทีนะจ๊ะชานยอล ครูยืนยันคำเดิมว่ายังไงก็ไม่ได้ ไม่ทราบว่าเธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า? ครูไม่เคยเห็นเธอร้อนรนขนาดนี้เลยนะ”

    เขายืนอยู่ด้านหน้าผมโดยที่กำลังเอ่ยปากขอร้องครูประจำชั้นด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์ ผมจับประเด็นทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว เขากำลังจะขอย้ายห้องไปเรียนห้องไหนก็ได้ เพียงเท่านี้ก็เข้าใจได้แล้วว่าเป็นเพราะผม

    ไม่สิ! มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม ผมยังไม่เคยคุยกับเขาแม้แต่คำเดียว เราไม่แม้แต่จะรู้จักกันด้วยซ้ำ เขาอาจจะโกรธใครมาก่อนหน้านั้นแล้วมาพาลลงใส่ผม

    เอาเถอะ..อย่างน้อยในตอนนี้ก็เข้าข้างตัวเองได้แต่เพียงเท่านี้ ลมเย็นๆพัดมาทำให้ผมของผมลงมาปรกใบหน้าและอะไรบางอย่างทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองชานยอลโดยอัตโนมัติ ร่างของเขาแข็งเกร็งขึ้นมาอีกครั้งแล้วหันมาจ้องผมด้วยสายตาที่เกลียดชังจนคนที่ถูกมองชาเสียทั้งร่าง เขาหันหลังกลับไป

    “ไม่มีอะไร ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอบคุณมากนะครับ”

    ปาร์คชานยอลยืดตัวขึ้นนิดหน่อย เมื่อหันมาแล้วพบกับผมที่ยังคงยืนอยู่ตรงประตูเขาก็กำมือตัวเองแน่นอีกครั้งแล้วเดินผ่านออกไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองมา หากเขารู้สึกแย่ผมเองก็อยากจะบอกเหมือนกันว่าการที่ปาร์คชานยอลทำกับผมแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีมากไปกว่ากันเท่าไหร่ ผมเกือบจะขยำซองเอกสารในมือแต่ดีว่าควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ มันถึงยังไม่ยับ

    “จะว่าไปนะ คุณรู้ไหมว่าทำไมคุณปาร์คถึงมาขอย้ายห้อง”

    “ย้ายห้อง?”

    “ใช่ จู่ๆก็เดินมาบอกฉันเมื่อเช้าว่าจะขอย้ายไปเรียนห้องอื่น โอเคถ้าคุณไม่ทราบก็ไม่เป็นไร ส่วนเรื่องเครื่องแบบคุณสามารถไปรับได้อย่างเร็วก็วันอาทิตย์หน้า”

    “ขอบคุณที่เป็นธุระให้นะครับ”

    “ยังไงก็คนกันเอง” หล่อนว่าก่อนจะพูดคุยกับผมอีกสองสามคำหลังจากนั้นผมก็เดินออกมาจากห้อง ในหัวมีแต่เรื่องของปาร์คชานยอลที่มาคุยกับครูประจำชั้นเมื่อครู่ ผมสูดลมหายเข้าใจลึกพยายามจะระงับอารมณ์ที่เริ่มจะปะทุขึ้นในอกก่อนจะเดินกลับไปที่ห้อง แน่นอนว่าไม่พบร่างสูงของคนที่พบเมื่อซักครู่ จงแดและเพื่อนๆในห้องทักเป็นรายคน แต่ในวันนี้ผมไม่มีอารมณ์ที่จะทักทายใครทั้งนั้น

    ได้.....ผมจะคอยดูว่าเขาจะหลบผมไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน!

     

    Talk -1-
    เตือนแล้วนะว่ามันคือทไวไลท์ 
    (หัวเราะคิกคัดแบบดัดจริต)
    มันไม่มีอะไรเข้าใจยากหรอก ไม่ซับซ้อน
    เพราะคนแต่งสมองกลวง *ฮริ๊ง*



    จะพยายามอัพเรื่อยๆถ้าไม่ติดอะไร
    แต่ไม่รับประกันว่าจะไม่ดอง....
    รักคนอ่านนะ เลิ้บเลอะ <3 อิ________อิ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×