NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BaBY_LoVe : แรกรักเธอ

    ลำดับตอนที่ #29 : เพื่อนใหม่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.29K
      63
      5 มิ.ย. 66

     




     

     

    EP 31: เพื่อนใหม่
    ทางหลวงหมายเลข ๑๑, ระหว่างทางไปลำพูน

     

              

    “โลกกลมมากอ่ะ” 


    ผู้หญิงหน้าหมวยที่นั่งข้างๆผมกอดอกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง  เออ.. จะว่ากลมก็กลมนะ  โลกนี้มีเป็นพันเป็นล้านชื่อแต่ยัยนางฟ้าโยธาที่ผมเก็บมากลับชื่อเดียวกับแฟนเก่าผมเลย  กลมมมซะ
              

    “แล้วไง  แจ้งความต่อแล้วเธอจะเอาไงอ่ะ?” 


    ผมถามมิ้นต์กลับเพราะตอนแรกที่คุยกันคือผมจะพาเธอไปแจ้งความเรื่องกระเป๋าหายบนรถตู้  แต่พอได้คุยกันระหว่างทางผมก็พบว่าผมและมิ้นต์เป็นวิศวะน้องใหม่ที่กำลังไปประจำที่เขื่อนเหมือนกัน  เราสมัครงานตำแหน่งเดียวกัน  เรียกว่าได้ทำงานด้วยกันเป็นแน่ๆ 
              

    “โห  ที่เรารอดได้เพราะเสื้อตัวนี้เลยนะ” มิ้นต์ยังคงกอดอกพึมพำและก้มมองเสื้อคณะที่ตัวเองใส่อยู่  เออ ผมก็ว่ามันโคตรบังเอิญเหมือนกัน  มิ้นต์เป็นผู้หญิงที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเรียนวิศวะ นอกจากจะชอบพูดห้วนๆน้ำเสียงยังแข็งๆติดจะห้าวจัด คือ.. ก็สวยอยู่หรอกนะแต่นิสัยดันขัดกับหน้าตาสุดๆ  
              

    “แล้วตกลงเธอจะเอาไงอ่ะ” 
              

    “อืม ไม่ต้องไปแจ้งความแล้วก็ได้นะตรงไปลำพูนเลย” มิ้นต์กอดอกหน้านิ่งซ้ำยังเปลี่ยนจุดหมายเอาดื้อๆ  เห้ยยยย แบบนี้ก็ได้หรอวะ?
              

    “เอาจริงป่ะ?” ผมชะลอรถจอดข้างทางแทบไม่ทัน อะไรของยัยนี่วะเมื่อกี้ยังทำท่ากลัวผมจะหลอกไปขายชายแดนอยู่เลย  ทำไมเปลี่ยนปุปปัปจัง

              

    “ก็จะแจ้งทำไมล่ะก็ตรงไปลำพูนเลยสิ  นายก็จะไปลำพูนอยู่แล้วไม่ใช่ไง?”          
              

    “ไอ้จะไปอยู่แล้วก็ใช่  นี่ตกลงยังไงฉันงงกับเธอแล้วเนี่ย” ผมจอดรถเข้าข้างทางแล้วกดไฟฉุกเฉิน  นี่ผมคิดถูกคิดผิดที่รับยัยนี่ขึ้นมาวะ?
              

    “ก็..นายก็ตรงไปที่ไซต์เลยไงส่วนข้าวของเดี๋ยวฉันซื้อใหม่ได้ วันนี้เราก็ไปรายงานตัวที่แคมป์ก่อน  จะงงอะไรล่ะ”
              

    “ตกลงจะไปกับฉันเลยว่างั้น?  คือไม่กลัวแล้ว??” 
    งงฉิบหาย.. ตกลงยัยนี่ใช่คนเดียวกับที่มองผมอย่างไม่ไว้ใจเมื่อกี้ป่าววะ?  
              

    “กลัวทำไม  ยังไงได้ร่วมงานกัน” มิ้นต์ยักคิ้วแล้วเอื้อมมือมาตบไหล่ผมดังอั๊กก “เดี๋ยวเจอตู้เอทีเอ็มแล้วจอดให้เรากดเงินหน่อยนะ เจอร้านสะดวกซื้อก็แวะให้ด้วยเพราะเราต้องซื้อของใหม่หมดก่อนเข้าแคมป์” 
              

    เอิ่มมมมม.. ซะงั้น  สนิทกันเมื่อไหร่วะสั่งซะเป็นอูเบอร์เลย 

     

     



    ถนนไฮเวย์ลำปาง-เชียงใหม่
    ๒ ชั่วโมงต่อมา
            


    “เฮ้ยจริงๆ  วันนั้นมันบ้ามากเลยอ่ะ”  


    ผมกำลังนั่งฟังเสียงเจื้อยแจ้วของมิ้นต์เพื่อนใหม่ที่ผมเพิ่งเก็บได้มาจากลำปางเม้ามอยด์เกี่ยวกับกิจกรรมรับน้องของวิศวะโยธา ม. B อย่างสนุกสนานแล้วอดหัวเราะไปกับความช่างจ้อและพูดตรงของเธอไม่ได้ เออ แปลกดี ทำไมสนิทกันง่ายจังวะ 
              

    “แปลกนะมีแต่คนอยากจะเข้าไปทำงานในกรุงเทพ นายเป็นคนกรุงเทพแท้ๆทำไมถึงเลือกมาทำงานต่างจังหวัดล่ะ” หลังจากที่จ้อจนน้ำลายแห้งมาได้สักพักมิ้นต์ก็สลับหัวข้อมาถามผมบ้าง ตอนนี้วิวข้างทางมีแต่สีเขียวชอุ่มเต็มไปหมด ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นครึ้มเต็มข้างทาง ความจริงผมชอบความสดชื่นของป่า.. เพียงแต่ที่นี่ไม่มีกุญแจซอลอยู่  การทำงานที่เขื่อนเลยเป็นเหมือนแค่ใบเบิกทางสำหรับผมเท่านั้น 
              

    “ก็ตั้งใจตั้งแต่เรียนแล้วอ่ะ เรียนจบอยากเป็นวิศวกรอุโมงค์แล้วค่อยกลับไปสอบสามัญวิศวกรที่กรุงเทพ  พอดีเบื่อๆรถติดที่กรุงเทพด้วยเลยว่าจะมาทำงานต่างจังหวัด”
              

    “หรอ เค้าว่ากันว่าคนมาทะเลไม่ หนีร้อน ก็ หนีรัก
              

    “แล้วเธอหนีอะไรมาล่ะเลยมาจบลงที่เขื่อนเนี่ย?” ผมถามไปเรื่อยๆไม่จริงจังกับคำตอบอะไรมากมาย  มิ้นต์เงียบไปนิดหน่อยก่อนจะพ่นลมหายใจออกมายาวๆแล้วบ่นออกมาแบบเบื่อๆ
              

    “หนีรัก”
              

    “ฮ้ะ”
              

    “เราไม่ได้อกหักแต่เราแค่อยากหนีรักเฉยๆ” จากที่แค่ถามเรื่อยๆตอนนี้ต่อมเสือกกลับทำงานแล้วดิ  ยัยนางฟ้าโยธาที่ชอบแสดงสีหน้าอารมณ์เดียวเนี่ยนะหนีรัก?
              

    “แล้วนึกไงจู่ๆมาเล่าให้คนที่เพิ่งเจอกันวันแรกฟัง”
              

    “ก็ไม่นึกไงอ่ะแค่รู้สึกว่าสามารถเล่าให้นายฟังได้” มิ้นต์ถอนหายใจก่อนจะตะแคงตัวหันมาที่ผมอย่างเบื่อๆ “มิณทร์ นายมีแฟนยัง?”


              
    “มีแล้ว  ทั้งสวยทั้งน่ารัก #มีแฟนแล้วรักแฟนมากบอกเลย”  ได้ทีก็ขออวดเมียสักหน่อย  พูดแล้วก็คิดถึงหนูซอลจัง ~
              


    “เสล่อออ! แค่ถามเฉยๆไม่ได้ถามว่าสวยแค่ไหนป่ะ?”
              

    “คนอวดเมียเคยได้ยินมะ แล้วนี่ตกลงเป็นไรอกหัก? เลยหนีรักมาเขื่อนงั้นดิ” ผมเปลี่ยนเรื่องกลับไปที่มิ้นต์ดื้อๆเพราะอยากเสือกมากกว่า  มิ้นต์นิ่วหน้าก่อนจะย่นจมูกอย่างเซ็งๆ
              

    “ก็บอกแล้วว่าไม่ได้อกหัก..”
              

    “แต่หนีรัก?”
              

    “อื้อ เราแอบชอบเพื่อนสนิทตัวเอง..” 
    โอเค  พี่อ้อยพี่ฉอด คลับฟรายเดย์เปิดสถานีใหม่ที่ถนนไฮเวย์ลำปางแล้วครับ
              

    “แสดงว่าได้คบเพราะเมื่อกี้บอกว่าไม่ได้อกหัก”
              

    “ก็ไม่เชิงคบกัน.. แต่นอกจากเราหมอนั่นก็คบคนอื่นอยู่ด้วย มันหลอกคบสองคนซ้อนกัน” 


    เชี่ยยย  นี่มันสันดานในอดีตของผมชัดๆ..
              

    “แล้วเธอก็ยอมเนี่ยนะ?” 
              

    “ยอมบ้าอะไรล่ะ  เราขอเลิกแล้วต่อยหน้าไปหนึ่งหมัดแต่หมอนั่นทำยังไงก็ไม่ยอมเลิก” เสียงมิ้นต์อ่อยลงไปนิดหน่อย  “มันไม่ยอมเลิกกับเราทั้งๆที่ก็มีคนนั้นไปพร้อมๆกัน”     


    แม่งสันดานหมาสัส..
              

    “ถ้าวันไหนหลอกมันมาเขื่อนได้บอกนะเดี๋ยวเราจะฆ่าแม่งแล้วโยนทิ้งเขื่อนให้เอง  มันไม่ได้ไม่ยอมเลิกหรอกแต่มันหวงก้างเธอมากกว่าว่ะ”
              

    “คงงั้น..”ไอ้ที่พูดว่าหนีรักก็คงจะเรื่องจริง ปากพูดก็เหมือนจะเข้มแข็งแต่ผมดูแล้วมิ้นต์ก็เหมือนยังรักไอ้หมอนั่นอยู่นะ
               

    “มาเขื่อนล้างใจกลับไปอย่าลืมต่อยมันใหม่อีกหมัดล่ะ”
               

    “คราวหน้าเราว่าจะตีเข่าอ่ะ” มิ้นต์กำหมัดพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กะจะให้เป็นหมันให้ขยายพันธุกรรมเลวๆไม่ได้เลย”  คราวนี้มิ้นต์หัวเราะคล้ายคนโรคจิต 
     

    เชี่ยย ผู้หญิงแม่งน่ากลัวว่ะ!        
              

    “เออ แล้วนายอ่ะ? กับแฟนคบกันได้ยังไงไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย” คราวนี้มิ้นต์เท้าคางแล้วหันมาถามผมบ้าง เพียงแค่พูดถึงใบหน้าหวานๆก็ลอยมาให้ผมคิดถึงอีกแล้ว
              

    “อ๋อ ก็ไม่มีไร  รู้จักกันหลายปีแล้วแต่เพิ่งมาคบกัน” ผมตอบมิ้นต์ไปสั้นๆแต่ก็อดอมยิ้มคิดถึงแฟนไม่ได้  ทำไมแค่พูดถึงก็รู้สึก “คิดถึง” จังวะ..
              

    “หือมมมม  อย่าบอกนะว่านายแอบรักเพื่อนสนิทเหมือนเราอ่ะ”
              

    “เปล่า แฟนเราเป็นน้องสาวเพื่อน” ผมยักคิ้วให้มิ้นต์  “มีเมียเด็กเคยได้ยินป่ะ”
              

    “สงสารเด็กอ่ะ”
              

    “สงสารไมวะเราออกจะรักเมีย”            
              

    “หรอออออ แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบรักทางไกลหรอกนะ” ยัยนี่พูดตัดกำลังใจผมปั๊ปก็ถอนหายใจยาวๆแล้วมองถนนเบื้องหน้า “ที่เคยเห็นมาก็เลิกกันเกือบทุกคู่”
              

    “คู่ที่เธอเคยเจอ  พนันได้เลยว่าไม่ได้รักกันจริงจัง”
              

    “.........” 
              

    “คนที่เขารักกันเขาไม่มีวันปล่อยมือจากกันหรอก” 


    ดูอย่างคู่ผมกับกุญแจซอลเป็นต้น!  กว่าจะรักกันได้ลำบากแทบตาย กว่าจะมีกันอยู่ในอ้อมแขนได้ผมกับซอลต้องฝ่าฝันอะไรด้วยกันมาก็ตั้งเยอะ  เรื่องระยะทางกับความห่างแค่นี้ขี้ๆว่ะ
              

    “อืมมมมมมมมม ดีนะ..” มิ้นต์เบะปากเป็นสระอิทั้งๆที่พูดคำว่า “ดี”  ผมสงสัยว่าอย่างยัยนี่ต้องไปเจออะไรที่โคตรดีมาแน่ๆ  มิ้นต์ทำหน้าเบื่อๆแล้วตะแคงตัวหันกลับมามองผมที่ขับรถอยู่อีกครั้ง  “แฟนนายนี่โชคดีจัง”
              

    “เธอโชคร้ายเจอแต่ผู้ชายห่วยๆมาอ่ะดิ”
              

    “นั่นสินะ..”
               


    RRRrrrRRRR  แล้วเสียงโทรศัพท์ที่เป็นเหมือนเสียงสวรรค์ก็ดังให้ผมชุ่มชื่นหัวใจสักที ผมฮัมเพลงเป็นจังหวะสามช่าก่อนรีบตะครุบเอาบลูทูธเสียบหูแล้วทำท่าจะกดรับ


    เมียโทรมา ~ ~ เมียโทรมา ~ ~ เมียโทรมาจ้าา ~ ~ เมียโทรมา~ ~ 


    แต่ก่อนจะกดรับก็นึกขึ้นได้ว่าบนรถมีบุคคลที่สามนั่งเป็นติ่งอยู่ด้วย ผมหันไปจุ๊ปากใส่มิ้นต์ก่อนจะกดรับโทรศัพท์
              

    “แฟนเราโทรมา เธอนั่งเงียบๆแปปนะ” 


    ผมไม่รอฟังมิ้นต์ตอบรับแต่รีบกดรับโทรศัพท์แล้วก็รู้สึกเหมือนขับรถลุยอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ 

     


                                         “มิณทร์ นายมีแฟนยัง?”
                                             MINTT SAID

    MINTT’S TALKS          


    อื้อหืออ โคตรเลี่ยน..
              

    ไอ้ผู้ชายหล่อจัดที่ขับรถอยู่ข้างๆสวีทหวานกับแฟนแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรทั้งนั้นเลย  รังสีออร่าสีชมพูกระจายอยู่ทั่วรถเต็มไปหมด  ขนาดฉันพยายามทำหูทวนลมแต่ก็อดเบะปากเป็นสระอิไม่ได้ 
            

    “ซอลขาา  พี่คิดถึงหนูจังเลยค่ะ”  
              

    นี่ขนาดฉันนั่งเป็นก้อนติ่งอยู่ทั้งคนนะหมอนั่นยังไม่กระอักกระอ่วนสักนิดเลย  
              

    “ไม่ได้ยินเสียงหนู  พี่เหง๊าเหงาค่ะ”
              

    แรดเข้าขั้น..
              

    “ตอนนี้พี่เกือบจะถึงลำพูนแล้วค่ะ  แต่พี่ไม่แน่ใจนะคะว่าถ้าเข้าไปลึกๆแล้วเนี่ยสัญญานโทรศัพท์จะยังดีอยู่รึเปล่า  แต่หนูไม่ต้องห่วงนะคะเพราะถึงตัวจะไกลแต่ยังไงใจเราก็ใกล้กัลลล” 
              

    ปกติฉันไม่ชอบฟังอะไรที่มันเลี่ยนขนาดนี้นะ..  แต่การที่มิณทร์กับแฟนสวีทกันมันเหมือนกับทำให้บรรยากาศรอบด้านสดชื่นไปด้วย  เป็นครั้งแรกที่ฉันนั่งอมยิ้มเมื่อได้ยินคนสองคนจีบกัน  ขนาดฉันเพิ่งมานั่งฟังฉันยังรู้สึกได้ถึงออร่าสีชมพูที่แผดแสงออกมาเลย  คู่นี้มุ้งมิ้งกุ้งกิ้งกันสุดอ่ะ
             

    ตอนนี้ฉันกำลังนั่งเป็นติ่งอยู่ในรถของ “มิณทร์ ปันณพัชร” ผู้ชายหล่อจัดที่เดินทำปากจู๋อยู่ที่ปั๊มริมถนนสายหลักของลำปางด้วยสีหน้าท่าทางกรุ้มกริ่ม  ผู้ชายที่ยิ้มไปโทรศัพท์ไปราวกับโลกใบนี้เป็นสีชมพู  ผู้ชายที่อยู่ๆก็เดินปากจู๋เข้ามาช่วยฉัน 
              

    คือสงสัยมากกว่าทำไมต้องทำปากจู๋ด้วยวะ มันเป็นเทรนของเด็กกรุงเทพหรือยังไงตอนนี้??
              

    “เชี่ยยยยย สายหลุดได้ไงวะ!!” 


    ฉันถอนหายใจหนักๆแล้วกรอกตาไปทางไอ้ผู้ชายหน้าหล่อข้างๆที่สบถเรื่องเดิมๆอย่างเบื่อๆ  มิณทร์กำลังจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดสลับกับกดโทรศัพท์ 
              

    “ไม่มีสัญญาณแล้วป่ะ?” แถมมองออกไปสองข้างทางตอนนี้ก็มีแต่ป่ากับป่าทั้งนั้นเลย ฉันว่าสัญญาณมีแหล่ะแต่คงอ่อนอาจจะต้องรอขับรถไปอีกสักพัก
              

    “โหยย เซ็งงงอ่ะ เพิ่งคุยกับเมียได้ไม่กี่คำเอง..” มิณทร์บ่นกระปอดกระแปดและยังคงไม่ละความพยายามในการกดโทรศัพท์ต่อ  ตอนนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าไอ้หล่อนี่ติดเมียแบบสุดๆ!
               

    “นี่..” ฉันเท้าคางมองมิณทร์ที่ยังคงกดโทรศัพท์ยิกๆอย่างเบื่อๆ “เล่าให้ฟังหน่อยดิ  ทำไมถึงมาคบกับแฟนคนนี้ได้อ่ะ”
               

    “ถามไมอ่ะ” 
               

    “บอกตรงๆนะอย่างนายโคตรดูเจ้าชู้เลย” 


    ฉันวิจารณ์เบ้าหน้าและสารร่างของมิณทร์ออกไปตรงๆ  ฉันไม่ปฏิเสธว่าผู้ชายหลงเมียที่นั่งอยู่ข้างๆหล่อมากกก  
    มิณทร์ฉีกกฏเด็กวิศวะทุกอย่างเพราะนอกจากจะรูปร่างหน้าตาดีมากๆแล้วหมอนี่ยังผิวพรรณดีแบบสุดๆ เรียกได้ว่าถึงจะเดินทำปากจู๋หน้ากรุ้มกริ่มแต่ก็ยังหล่อสะบัด
              

    “โธ่.. เธอออ ก็คนมันหล่ออ่ะนะ” 


    มิณทร์ยักคิ้วแล้วยิ้มกวนๆใส่ฉัน หลงตัวเองอะไรเบอร์นั้นแต่ฉันกลับเถียงไม่ออกสักคำเลย เออ! เอ็งหล่อจริง การเจอผู้ชายพรีเมียมอย่างมิณทร์เหมือนเจอช้างเผือกในป่า  เพราะนอกจากจะโคตรสะดุดตาแล้วหมอนี่ยังหล่อชวนละลายแบบสุดๆ  ฉันว่าผู้หญิงที่ไหนเจอมิณทร์ก็มีเหลียวคอหักอ่ะ  
              

    “เอาดีๆไม่กวนตีนได้ป่ะ” 
              

    “แหมมมม อยากเผือกก็พูดขอร้องเพราะๆหน่อยสิคร้าบบ แบบพี่มิณทร์คะช่วยเล่าให้นุ้งมิ้นต์ฟังหน่อยนุ้งมิ้นต์อยากรู้ไรงี้”


    บทจะกวนตีน.. ความหล่อก็ไม่ช่วยเลยจริงๆ! ไอ้หน้าหล่อตอนนี้น่าถีบมากกกกอ่ะ 
     

    “แฟนเราชื่อเต็มๆว่า ‘กุญแจซอล’”
    MIN SAID

     

    “เฮ้ยยย ล้อเล่น  เมื่อกี้เธอถามว่าไงนะ”
              

    “ถามว่าเมื่อไหร่จะเลิกกัน  สงสารน้องเค้ามีแฟนกวนตีน” ฉันกระแทบเสียงกลับไปทันทีขณะที่มิณทร์หัวเราะร่วน
              

    “เขร้!!!  เธอนี่แม่งได้ว่ะ..” 
              

    “กวนตีนมาก็กวนตีนกลับ โอเคมะ? วินๆ ” ฉันยักคิ้วกวนๆให้มิณทร์เล่นเอาไอ้หล่อหัวเราะก๊ากไปเลย 
              

    “เฮ้ย ดีๆ ก็ถ้าเธอจะแมนขนาดนี้ทำไมต้องหนีมาที่เขื่อนด้วยวะ” มิณทร์สวนฉันกลับมาหนึ่งหมัดเล่นเอาฉันไปไม่เป็นไปเลย  ก็ฉันเก่งอย่างปากพูดซะที่ไหนล่ะ.. 
              

    “นั่นสินะ” 


    ฉันหดคอตอบกลับเสียงอ่อย ก็ถ้าฉันเข้มแข็งอย่างที่พูดฉันจะหนีหางจุกตูดมาถึงเขื่อนมั้ยล่ะ?  ถึงจะเอาแอลกฮอก์ชโลมใจจนตับพังสุดท้ายฉันก็ยังลบความรักครั้งแรกออกไปจากใจไม่ได้อยู่ดี  ฉันไม่เคยหลอกตัวเองได้สำเร็จเลยสักครั้ง
              

    “เอาน่ะ!” มิณทร์เอื้อมมือมาขยี้หัวฉันทั้งๆที่ยังขับรถอยู่ “การที่เธอเจอรักห่วยๆก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่เจอความรักดีๆหรอกนะ” 
              

    หึ.. แล้วความรักดีๆมีขายที่ไหนล่ะ  ริมถนนข้างทางหรือตลาดโรงเกลือมีมะ?  ถ้ามีฉันทุ่มหมดหน้าตักเทสุดตัวเลย  อย่างน้อยก็ขอให้ได้ครึ่งนึงของไอ้หน้าหล่อที่กำลังขยี้มือละเลงศีรษะฉันอยู่ตอนนี้ก็ยังดีนะ
              

    “พูดมากน่ะ นายมีแฟนแล้วก็พูดได้ดิ” ฉันปัดมือมิณทร์ทิ้งทั้งๆที่จริงรู้สึกเสียฟอร์มชะมัดเลย  และมันก็จริงอย่างที่
    มิณทร์พูดท่าทางห้าวหาญเข้มแข็งที่ฉาบอยู่เปลือกนอกจริงๆแล้วมันก็ “ปลอม”ทั้งนั้น  
              

    “นี่..จะบอกไรให้นะ” มิณทร์พูดโดยไม่หันมามองฉันด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ “เธอน่ะจะอ่อนแอก็ได้ไม่มีใครว่าหรอก  อยากร้องก็ร้องจะเก็บไว้ทำไม”   
              

    ความรู้สึกอัดอั้นต่างๆที่อดกลั้นไว้เหมือนปราการน้ำแข็งที่ค่อยๆละลายด้วยคำพูดแค่คำเดียว ภาพในอดีตที่วิ่งเข้ามาทำให้น้ำตาฉันก็เริ่มทะลัก..
               

    “หมายความว่าไงภัทร?” ฉันยืนกำหมัดแน่นแล้วพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ  เรียวนิ้วจิกปลายเล็บเข้ากับอุ้งมือตัวเองจนเจ็บในขณะที่คนตรงหน้าทำได้แค่หลบสายตาเท่านั้น
            

    “มิ้นต์ ภัทรขอโทษนะ”
            

    “มันคืออะไรอ่ะภัทร! มีคนมาบอกมิ้นต์ตั้งหลายคนว่าเห็นภัทรอยู่กับปริมแต่มิ้นต์ก็ไม่เคยเชื่อ 
    ภัทรทำแบบนี้ได้ไงอ่ะ!!”
            

    เรื่องที่คนอื่นพูดกัน.. ฉันไม่เคยเชื่อเลยสักนิดเลย ฉันไม่เคยฉุกคิดเลยว่าคนที่ฉันรักหมดใจข้างหน้าจะแทงข้างหลัง
            

    “ปริมเขาน่ารัก..  ภัทรก็เลยเผลอใจ แต่ภัทรขอโทษจริงๆมิ้นต์.. ภัทรรักมิ้นต์คนเดียวนะ”
            

    “รักเหี้ยอะไรล่ะ!”  
            

    ผลั๊กกกก!!!!!
              

    ฉันสอยหน้าภัทรไปหนึ่งหมัดก่อนจะวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงออกมาโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปอีก เรื่องที่ฉันต่อยภัทรดังไปทั้งมหาลัย ฉันเจ็บจนกระอักไปหมดทั้งใจแต่เชื่อมั้ยน้ำตาฉันกลับไม่ไหลออกมาสักหยด มันเหมือนฉันพยายามกดความรู้สึกตัวเองให้จมลงไป  ฉันเก็บมันไว้ลึกสุดใจแต่คนที่แงะมันออกมาได้กลับเป็นมิณทร์
              

    ไอ้บ้าหน้าหล่อนี่อ่านใจคนเก่งชะมัด..
              

    “เออ ร้องออกมาซะ” มิณทร์เอี้ยวตัวหยิบกล่องทิชชู่หลังรถแล้วโยนให้ฉัน  ขนาดไม่หันมามองยังรู้อีกนะว่าฉันนั่งน้ำตาไหลอยู่  ไอ้หล่อนี่มีตาอยู่ที่หูรึไงนะ 
              

    “ขะ ขอบใจมากนะ”
              

    “หรือเธอจะเอาความขมขื่นไปโยนทิ้งแม่โขงก็ได้นะ เอาป่ะ ฉันกินเป็นเพื่อน”
              

    “ไม่เอา แม่ไม่ให้กินเหล้ากับคนแปลกหน้า”
              

    “โอ้ยยย แล้วที่กระโดดขึ้นรถคนแปลกหน้ามาแม่ไม่ว่าเลยยย  ไม่ใจง่ายเลยย  เรียบร้อยเหมือนผ้ายับที่พับไว้จริงๆ
    แม่คุณเอ้ยย  นุ้งมิณทร์ฟังแล้วเครียดดดดดดดอ่ะ”
              

    เอาล่ะ..นอกจากไอ้หล่อจะมองเห็นตัวตนที่ซ่อนไว้ของฉัน  มิณทร์ยังมีพรสวรรค์ในการกวนตีนขั้นเทพอีกกก  ขอไม่สำนึกบุญคุณเมื่อกี้เปลี่ยนเป็นเอามือฟาดเปรี้ยงแทนได้ป่ะ?
              

    “ปากดี!! งั้นคืนนี้ใครกินเหล้าน็อคก่อนเลี้ยงข้าวคนชนะหนึ่งอาทิตย์ป่ะล่ะ?”
              

    “งุ้ยย  นุ้งมิ้นต์พูดเองนะ”
              

    “เออ! อ้วกไม่นับ กลับก่อนแพ้” 
              

    “โอ้ยตั่ยแล้วว  อย่ายกแก้วอย่างสิงห์ เมากลิ้งอย่างหมาแล้วกัน”
              

    “อันนี้นายก็พูดเองนะ” ฉันกับมิณทร์ค่อนข้างทันกัน  แปลกดีนะ..ที่จู่ๆโลกก็เหวี่ยงคนแปลกหน้าคนนึงเข้ามาเพื่อที่จะค้นพบที่หลังว่าเราเข้ากันได้ดี  ทฤษฏีที่ว่าโลกมักเหวี่ยงคนที่ดีแต่เปลือกมาก่อนมันก็คงจะจริงมั้ง
              

    “นี่ก่อนมาฉันอุตส่าห์เพลาๆเรื่องเหล้าเพื่อเมียแล้วนะ แต่ไม่เป็นไรเพื่อเป็นการสอนมวยผู้หญิงปากหนักต่อให้บรรลัยต่อตับนุ้งมิณทร์ยอมมมม” ฉันเบ้ปากขณะที่หล่อๆของมิณทร์แปรสภาพได้อ้อนมืออ้อนตีนสุดๆ  กวนตีนเบอร์ใหญ่ขนาดนี้ฉันชักสงสารแฟนของมิณทร์แล้วล่ะ
              

    “ใครได้เป็นแฟนนายนี่คงเพลียอ่ะ”
              

    “ก็น่าจะเพลียนะ หนูซอลน่ะชอบบ่นตลอดเลย ‘พี่มิณทร์คะ เราจะใช้ชีวิตกันอยู่แต่ในห้องนอนไม่ได้นะคะ’” มิณทร์ทำหน้ากรุ้มกริ่มและทำเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบแฟนที่ชื่อ ‘หนูซอล’  ได้อย่างโคตรแรด
              

    “ไอ้บ้า ทะลึ่งว่ะ!!”
              

    “แล้วเธอจะเปิดประเด็นทำไมห้ะ ดูดิ๊เนี่ยคิดถึงเมียกำเริบเลย” แล้วมิณทร์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาลองกดโทรออกยิกๆอีกครั้ง  “โอ้ยย สัญญาณคร้าบบ ผมขอสักขีดสองขีดเถอะคร้าบบ”
              

    ฉันหัวเราะกับอาการติดเมียของมิณทร์ที่ถือว่าหนักเข้าขั้น  ฉันชักสงสัยแล้วล่ะว่า ‘หนูซอล’ อะไรนั่นทำยังไงถึงหยุดหัวใจผู้ชายอย่างมิณทร์ได้  ผู้ชายที่มีครบซะยิ่งกว่าครบ  โดยเฉพาะตอนที่ฉันเพิ่งมารู้ว่าหมอนี่นามสกุล ‘ปันณพัชร’
              

    “เออ นายยังไม่เล่าให้ฉันฟังเลยนะ  ว่านายกับ ‘หนูซอล’ ไรนั่นมาคบกันได้ไง”
              

    “ก็ไม่ยังไง..  ก็ชอบกันก็เลยคบแค่นั้นป่ะ”
              

    “แล้วไง  ตั้งใจจะคบไปถึงเมื่อไหร่ล่ะ”  คำถามฉันทำเอาดวงตาคู่สวยของมิณทร์ตวัดกลับมามองทันที  ความขี้เล่นซุกซนหายไปจากแววตาแทนที่ด้วยความจริงจัง   
              

    “นานแค่ไหนก็ไม่รู้อ่ะ แต่ซอลเป็นคนที่เราตั้งใจจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วย” จากที่แค่สนใจเล่นๆแต่ตอนนี้ฉันชักอยากรู้จริงๆแล้วล่ะ ว่าผู้หญิงที่หยุดหัวใจของ มิณทร์ ปันณพัชรได้..ต้องเป็นคนแบบไหน  ที่รู้ๆอย่างไอ้หล่อนี่ต้องเมียสวยล้านเปอร์เซ็นต์!!
               

    “สีหน้านายที่พูดถึงแฟนเมื่อกี้ โคตรดูดีเลยอ่ะ” 


    มั่นคงและพุ่งตรงไปที่เจ้าของชื่ออย่าง ‘หนูซอล’ คนเดียวเท่านั้นคือสิ่งที่แววตามิณทร์แสดงออกให้ฉันเห็นเมื่อกี้  
    มิณทร์ทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงความรักมั่นคงที่เขามีให้กันแฟนอย่างจริงจัง
              

    “เธอรู้มะ  ซอลเป็นผู้หญิงที่รักมั่นคงที่สุดและเข้มแข็งที่สุดเท่าที่เราเคยเจอ” รอยยิ้มละมุนแตะเบาๆที่ริมฝีปากหยักสวยของมิณทร์ ดวงตาคมกริบฉายตรงไปข้างหน้าแต่ความรู้สึกกลับส่งไปยังเธอผู้เป็นเจ้าของดวงใจคนนั้น“ซอลเป็นยิ่งกว่าคำว่ารัก”
              

    เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกอยากรู้จักและสนใจผู้หญิงที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน  ถ้าจะหยุดหัวใจไอ้หล่อนี่ได้ ‘หนูซอล’ คนนั้นต้องใช้ความพยายามเท่าไหร่นะ?  การที่จะหยุดหัวใจใครสักคนนึงและมีค่ากับเขายิ่งกว่าคำว่ารัก  ‘หนูซอล’ คนนั้นจะต้องเป็นผู้หญิงที่วิเศษแค่ไหน  เธอต้องเข้มแข็งและฝ่าฟันอะไรมามากแน่ๆ ฉันอยากรู้จักผู้หญิงคนนี้จัง
                

    “ ‘ซอล’ ใช่มั้ย ชื่อแฟนนายน่ะ” 
            

    ผู้หญิงที่หยุดหัวใจ มิณทร์ ปันณพัชร..  ผู้หญิงที่มีชื่อเหมือนตัวโน๊ตดนตรี
     

          

    “แฟนเราชื่อเต็มๆว่า ‘กุญแจซอล’”
     

              

    อ๋อ.. กุญแจซอล  กุญแจไขหัวใจ
     




    (LOADING 100%)

     




    *ก็ยังห่วงว่ารักจริง.. อาจจะแพ้ใกล้ชิดกัน
    อาจจะทำทุกอย่าง เ ป ลี่ ย น ไ ป*

     

    ❤❤❤

    TALK 3
    กลับมาอัพแล้วจร้าาาา
    หายเฮดไปเคลียร์งานอีกแล้นนน อัพให้ไปเลยยเต็มๆ
     ถึงจะห่างแค่ไหน แต่ถ้าใจใกล้ทุกอย่างก็ใกล้นะ
    ตอนนี้ไม่กลัวใจพี่มิณทร์ละ กลัวใจหนูซอลมากกว่า
    สองคนนี้สนิทกันเร็วเกิ๊นน


    ❤❤
    TALK 2
    ขำตรงมิ้นต์เรียกพี่มิณทร์ว่าไอ้หน้าหล่อเนี่ยแหล่ะ 5555
    บรรยากาศชวนหวั่นไหวไปกับสิ่งรอบข้างเหลือเกิน
    หลายคนกลัวใจพี่มิณทร์
    แต่สนิทกันเร็วขนาดนี้ กลัวใจหนูซอลแทน - -
    แอร๊ยยยย





    TALK 1
    ปรับทุกข์เรื่องหัวใจกันซะงั้น = =
    พี่มิณทร์ขาาา  พี่อย่าไปสนิทกับใครง่ายๆแบบนี้เซ้
    มาดีหรือมาร้ายกันนะ มิ้นต์คนนี้
      
    รักส์


    ขอให้อ่านอย่างมีความสุขค่ะ
    ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ

     


     


     


     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×