เมื่อถึงคราวต้องออกนอกทางเดินของเด็กดี - เมื่อถึงคราวต้องออกนอกทางเดินของเด็กดี นิยาย เมื่อถึงคราวต้องออกนอกทางเดินของเด็กดี : Dek-D.com - Writer

    เมื่อถึงคราวต้องออกนอกทางเดินของเด็กดี

    ไม่ใช่เรื่องผี (อีกแล้ว) นะ แค่อยากเขียนมาให้กำลังใจ "มีน" น้องสาวของพวกเราที่เป็นเด็กดีตลอดมาและหวังว่าจะตลอดไป

    ผู้เข้าชมรวม

    441

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    441

    ความคิดเห็น


    12

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 มี.ค. 55 / 08:15 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    King Auther ( คิง อาเธอร์) เคยพูดเอาไว้ว่า พระราชามีหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ แต่ ประเทศไม่มีหน้าที่ปกป้องราชา ( คิง อาเธอร์ คือผู้รวบรวมฝรั่งเศษเข้าไว้ด้วยกัน และก็เป็นผู้ที่ถูกประชาชนในประเทศอังกฤษเนรเทศออกมา ) 
    เหมือนดั่งความดี การเป็นคนดีบางทีก็ทำร้ายเรา แต่ถ้าคนดียอมแพ้เสียแล้วเล่าโลกนี้จะเป็นเช่นไร คิงอาเธอร์เองก็ไม่เคยยอมแพ้ จนกระทั่งในที่สุดเขาก็กลายเป็นผู้ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี
    พี่ปัฐเชื่อว่า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์การกระทำ ใครทำดีถึงที่สุดแล้วก็ต้องได้รับผลตอบแทนนั้นๆ เช่นเดียวกับการทำเรื่องแย่ๆ แม้จะยังไม่ไ้ด้รับผลทันที แต่ไม่มีวันหนีพ้นผลของการกระทำของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อโลกเข้าสู่ยุกสมัยแห่งการออนไลท์เช่นนี้ ผลที่ได้มันก็รวดเร็วออนไลท์ตาม หนำซ้ำ กรรมยังเป็นเหมือนตลกร้ายของพระเจ้าที่มักจะเลือกเวลาเข้ามาข้างหลังโดยไม่ให้เราทันได้เตรียมใจ แล้วทุบเราให้ล้มลงไปอย่างไม่มีปี่มี่ขลุ่ย การจะรับมือกับมันได้นั้น ต้องเป็นผู้เตรียมตัวมาอย่างดีแล้วเท่านั้น
    พี่ปัฐจึงเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ในฐานะคนที่ไ้ม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ จนเป็นผลให้ชีวิตพี่ปัฐต้องออกไปเดินนอกเส้นทางของเด็กดี และเรื่องนี้ก็เปลี่ยนชีวิตพี่ปัฐไปตลอดกาล...
    ถ้ามันจะจรรโลงจิตใจของน้องให้ดีขึ้นได้บ้างพี่ปัฐก็คงจะดีใจมากแล้ว
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      การเป็นนักเรียนดีเด่นที่สามารถติดอันดับ 1 ใน 10 ผู้ทำคะแนนจบสูงสุดของโรงเรียนประถมชื่อดังประจำจังหวัด และเป็นกรรมการนักเรียนมาตลอด 6 ปี ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทั้งๆ ที่พี่ปัฐเองก็เป็นนักเรียนที่ทำงานเพื่อโรงเรียนมาตลอดแท้ๆ ทั้งๆ ที่ได้รับความไว้วางใจจนอาจารย์มอบกุญแจของห้องสำคัญต่างๆ ให้ถือ ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด ห้องวิทย์ ห้องยิม ไม่เว้นแม้แต่ใบอนุญาตออกนอกโรงเรียนเอง พี่ปัฐก็เป็นนักเรียนเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ถือไว้ หมายความว่าถ้ามีนักเรียนคนไหนมีธุระต้องออกไปนอกโรงเรียนในเวลาเรียนแล้วไม่อยากไปขออนุญาตอาจารย์ฝ่ายปกครองเพื่อให้ออกใบอนุญาตออกนอกโรงเรียนให้แล้วละก็ พวกเค้าต้องมาขอที่พี่ปัฐนั่นเอง ตอนนั้นพี่ปัฐทำอะไรก็ไม่ผิด อาจารย์ต่างก็ให้ความเชื่อถือและฟังความจากพี่ปัฐเสมอ การเป็นนักเรียนดีเด่น ทำให้พี่ปัฐกลายเป็นคนที่ถูกเสมอ แต่ก็นะคนเราถ้าไม่เคยทำผิดเลย มันจะย่ามใจไม่สามารถรับกับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้าได้ แม้ถ้าเกิดความผิดพลาดใดๆ แม้เพียงเล็กน้อย มันมักจะเกิดผลกระทบทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นได้ใหญ่มากกว่าที่คนปกติจะคิดถึง ....แล้วถ้าเป็นความผิดในเรื่องที่ร้ายแรงละ ?? จะเกิดผลกระทบได้ขนาดไหน ??     หลังจากได้โควตาเข้าเรียน ม. 1 ของโรงเรียนประจำจังหวัด พี่ปัฐเองก็ทำงานให้กับโรงเรียนเสมอ ทั้งเป็นหัวหน้าห้อง กรรมการชั้นปี เจ้าหน้าที่ห้องสมุด เจ้าหน้าที่ห้องพยาบาล เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ที่มีหน้าที่คอยช่วยพวกอาจารย์คอยห้ามปราบพวกนักเรียนเกเร ไม่ให้ก่อเรื่อง แล้วใครจะทันได้คิดละว่า วันหนึ่งพี่ปัฐจะกลับกลายเป็นพวกที่โรงเรียนเรียกว่าเด็กเกเรเสียเอง!  หนึ่งในงานที่พี่ปัฐถือว่าเป็นการทำเพื่อโรงเรียนก็คือการเข้าเป็นลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่กองร้อยพิเศษ กองร้อยพิเศษนี่แตกต่างจากลูกเสือสามัญทั่วไปยังไง ? ก็.. ต่างกันตรงที่กองร้อยพิเศษฝึกกันอย่างเป็นพิเศษราวกับว่าเป็นทหารจริงๆ เลยน่ะสิ ทั้งการกระโดดหอ ไต่เชือก ผูกเงื่อน ไต่เขา สร้างหอคอย การใช้อุปกรณ์พื้นๆ ต่างๆ เพื่อการดำรงชีพที่ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ทันสมัยที่มีความศิวิไลทั้งหลาย รวมถึงการออกไปเข้าค่ายในป่า ( ป่าจริงๆ เลยนะ ) เป็นประจำทุกเดือนด้วย และที่นี่เองที่พี่ปัฐได้รับเลือกให้เป็นเพียงคนเดียวของชั้นปีที่ได้เข้าฝึกการใช้ไฟและวัตถุระเบิด ( ซึ่งกลายเป็นว่าตอนหลังพี่ปัฐเอาวิชาไปใช้ในทางก่อเรื่องซะนี่ ( ทำระเบิดขวด ) ) ซึ่งการเป็นกองร้อยพิเศษก็ทำให้มีหน้าที่คอยช่วยพวกอาจารย์สอนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ทั่วไปด้วย เรียกว่าเป็นอาจารย์ผู้ช่วยว่างั้น ซึ่งการสอนนี้จะสอนทั้งรุ่นเดียวกันและรวมไปถึงการสอนพวกรุ่นพี่ ม. 2, ม. 3 ด้วย เพราะพวกกองร้อยพิเศษจะเรียนวิชาลูกเสือมามากกว่าทั้ง 3 ชั้นปี น่าจะเรียกได้ว่าเรียนมากกว่าพวก รด. เสียด้วยซ้ำ เพราะเหตุที่ต้องสอนพวกรุ่นพี่ด้วยนี่แหละทำให้พวกรุ่นพี่บางคนไม่ค่อยพอใจพวกเราที่เป็นรุ่นน้องแต่บังอาจไปสอนรุ่นพี่มากนัก ทำให้มีบางคนคอยหาเรื่องกระทบกระทั่งกันมาตลอด โดยที่อาจารย์ก็รู้เรื่องนี้ดี แต่อาจารย์ก็คอยห้ามไม่ไห้พวกเรามีเรื่องตอบ พี่ปัฐเองก็คอยดูแลพวกเพื่อนๆ อยู่คอยกันไม่ให้พวกรุ่นพี่มาหาเรื่อง เพราะพี่ปัฐตัวใหญ่ และมีชื่อมากๆ จากโรงเรียนเก่าเรื่องการทะเลาะวิวาทเนี่ย( ส่วนใหญ่เป็นการใช้กำลังห้ามพวกทะเลาะกัน หรือ เรียกว่าเป็นการวิวาทเพื่อไม่ให้มีการวิวาทน่ะ งงไม๊เนี่ย ? อิอิ ) ทำให้ไม่ค่อยมีคนกล้าหือกับพี่ปัฐมากนัก พอพี่ปัฐคอยกันไม่ให้พวกรุ่นพี่มาวอแวกับเพื่อนๆ หลายครั้งเข้าพวกรุ่นพี่ก็เลยหันมาเกลียดพี่ปัฐแทน แต่พวกนั้นก็ไม่มีโอกาสหาเรื่องกับพี่ปัฐเลย จนกระทั่ง หนึ่งอาทิตย์สุดท้ายก่อนพี่ปัฐจะจบ ม. 1 พวกรุ่นพี่ ม. 3 ก็รวมตัวกันมาได้นับ 10 คน เดินเข้ามาในห้องที่พี่ปัฐเรียน ตอนนั้นเป็นตอนเช้าก่อนเข้าแถวหน้าเสาธง ยังไม่ 8 โมงเช้า พอเข้ามาพวกนั้นก็ชี้หน้าพี่แล้วก็พูดว่า “ ไอ้นี่แหละ เล่นแม่..ง เลย.. “ ว่าแล้วพวกนั้นก็กรูกันเข้ามาในห้องรุมแตะต่อยพี่ปัฐเป็นการใหญ่คนละหมัดสองหมัด พวกเพื่อนๆ ในห้องแตกฮือกันจ้าละหวั่น แต่พี่ปัฐก็ไม่ได้ตอบโต้ได้แต่ปัดป้องเพราะอาจารย์สั่งไว้ ไม่ให้มีเรื่อง และลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่กองร้อยพิเศษต้องอดทน ...ในกรณีที่พวกเพื่อนๆ ในกองร้อยโดนรังแก พี่ปัฐมักเป็นคนออกหน้าเข้าไปช่วยเหลือไกล่เกลื่ยหรือห้ามให้ แต่เมื่อพี่ปัฐโดนซะเองแบบนี้คนช่วยเหลือพี่ปัฐจะเป็นใครละ ? คำตอบก็คือไม่มี !!  ไม่ว่าพวกเพื่อนๆ หรือครูอาจารย์ไม่มีใครช่วยพี่ปัฐได้เลย แผลที่ถูกต่อยเจ็บจนระบม แต่แผลที่ใจกลับเจ็บกว่า พี่ปัฐไม่ได้ไปเข้าแถวเคารพธงชาติในเช้าวันนั้นเหมือนทุกวัน ต้องแอบไปล้างหน้าล้างตาที่ถูกชกต่อยมา พร้อมกับต้องสะกดน้ำตาแห่งความเจ็บใจไม่ให้มันไหลออกมาให้ใครเห็น พรางได้ยินเสียงพวกเพื่อนๆ พูดกันว่า “ ไหนว่าเก่งนักไง ตัวใหญ่ซะเปล่า ไม่กล้าสู้คนนี่หว่า ฮี่โธ่!! “ วันนั้นทั้งวันพี่ปัฐ ต้องทนเรียนอย่างไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนๆ ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ กลัวโดนลูกหลงด้วย เพราะก่อนจากไปพวกรุ่นพี่นักเลงขู่เอาไว้ว่า “ อย่าให้เจออีกนะมึง คราวหน้าจะโดนหนักกว่านี้อีก.... “ พี่ปัฐไม่กลัวหรอก แต่พวกเพื่อนๆ ในห้องน่ะกลัวกันหัวหด พอเลิกเรียนพี่ปัฐก็ไปแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นให้อาจารย์รับทราบ แต่อาจารย์กลับทำหัวเสียไล่พี่ปัฐกลับบ้านแล้วบอกว่าจะจัดการเอง และห้ามไม่ให้พี่ปัฐไปทะเลาะด้วย ไม่งั้นอาจารย์จะลงโทษเพราะการเป็นกองร้อยพิเศษแล้วไปทะเลาะกับคนอื่นๆ น่ะมันผิดกฎ พี่ปัฐถึงกับอึ้ง งง..!! อาจารย์ทำเหมือนว่าพี่ปัฐเป็นคนผิดซะงั้น!!  พี่ปัฐสับสนมากๆ ในตอนนั้นว่าพี่ทำอะไรผิดไป ทำไมคนที่ทำตามกฎเสมอมา กลับถูกกฎกักขังเอาไว้ในกฎไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งๆ ที่กฎน่าจะเป็นตัวช่วยคนที่อยู่ในกฎสิ นี่กลายเป็นว่ากฎให้อภิสิทธิ์คนแหกกฎ และลงโทษผู้ทำตามกฎเสียนี่ สองสามวันต่อมาเมื่อพี่ปัฐ เข้าไปส่งงานในห้องปกครองตามปกติ ก็ได้เห็นอาจารย์เรียกพวกนั้นมาตักเตือน ตีคนละ 1 ทีแล้วก็ปล่อยตัวไป แล้วอาจารย์ก็บอกพี่ปัฐว่าจัดการให้แล้วนะ ..... ความโกรธที่พุ่งขึ้นหน้าอย่างฉับพลันสะกดให้พี่ปัฐนิ่งงัน ตัวสั่นระริก พูดไม่ออกเลยทีเดียว!!  ไม่คิดว่าพวกมันจะได้รับโทษเพียงแค่นี้ และอาจารย์เองก็ดูเหมือนไม่เอาใจใส่อะไรเลย พอตั้งสติได้พี่ปัฐก็รีบหันหลังเดินออกมาจากห้องปกครอง แว่ว.. เสียงเบาๆ มาให้เข้าหูว่า.. “ ...ระวังตัวไว้เถอะมึง... “ นั่นทำให้พี่ปัฐเย็นสันหลังวาบและสั่นไปทั้งตัว ไม่ใช่ครับ มันไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความโกรธที่ไร้ก้นบึ้ง ! จากในหัวใจเลยทีเดียว    ......2 วันสุดท้ายของการเรียนการสอนของ ม. 1 พี่ปัฐไม่ได้เข้าเรียนหลายคนในห้องบอกว่าพี่ปัฐกลัวพวกรุ่นพี่เลยไม่กล้ามาโรงเรียน แต่.. สำหรับพี่ปัฐเองแล้วตอนนั้นพี่ปัฐก็มีแพลนของตัวเองอยู่ หลังเลิกเรียนมีคนเห็นพี่ปัฐ กลับเข้ามาโรงเรียน คุยกับเพื่อนห้องต่างๆ อีกหลายคน ซึ่งแต่ละคนหน้าคุ้นๆ สำหรับห้องปกครองทั้งนั้น...!!

       

      อา... วันนี้คงต้องละไว้แค่นี้ก่อน....

      พี่ปัฐจะเป็นอย่างไรต่อไป พระเจ้าจะอยู่ข้างใครระหว่างคนผิด และคนกำลังจะทำผิด ?

      พวกรุ่นพี่จะมาเอาคืนพี่ปัฐได้หรือไม่ ??  ..แล้วแผนของพี่ปัฐละ ???

      เรื่องนี้จะมีบทสรุป หรือไม่ ? อย่างไร ??  ถ้าน้องอยากรู้ !!

      เดี๋ยวพี่ปัฐขอตัวไปร้องให้ในงานแต่งเพื่อน( สาว ) ก่อนนะ( สงสารเจ้าบ่าวว่ะ ) แล้วจะมาบอกกล่าวเล่าความต่อ...



      ----------------------------------------------------------------------------


      เล่าต่อนะครับ....(ตอน 2)

      3 โมงเย็นของวันสุดท้ายของการเรียนการสอนก่อนที่จะปิด 2 วันเพื่อเตรียมตัวสอบ อากาศค่อนข้างอบอ้าวสมกับที่หน้าร้อนได้ย่างเข้ามาแล้ว บรรยากาศภายในโรงเรียนค่อนข้างเงียบ เพราะครูนักเรียนต่างก็แยกย้ายกันเรียนกันสอนอยู่ในห้องของใครของมัน นานๆ ทีจะมีเสียงนักเรียนตะโกนตอบคำถามของครูประจำวิชาเล็ดลอดออกมาบ้าง เหมือนแว่วดังมาจากที่ไกลๆ พี่ปัฐ ที่ไม่ได้มาเข้าเรียน 2 วันสุดท้ายของ ม. 1 แต่มาเดินลัดเลาะมาตามช่องทางระหว่างช่วงตึก  ตามหลังมาติดๆ ด้วยพวกนักเรียน ม. 1 เหมือนกันเกือบๆ 30 คน พอพวกบนตึกเรียนเห็น ก็กรูกันออกมาดู อย่างคนที่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และคนมุงก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่สนใจเสียงเรียกกลับเข้าห้องของพวกครูอาจารย์ทั้งหลาย แล้วสักพักพอตั้งตัวได้ก็กรูกันตามลงมาดู ด้วยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเพื่อนๆ ในกลุ่มที่เดินตามพี่ปัฐมาหันหลังไปถลึงตามองเป็นสัญญาณว่า “อย่ายุ่ง” พวก ม. 1 มุงเองก็คอยดูอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้ามาใกล้นักเหมือนกัน หลังจากลัดเลาะไปตามตึกเรียน แล้วเลี้ยวผ่านออกทางด้านหลังของโรงเรียนซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารเกษตร อันมีห้องเรียนเกษตร และเรือนเพาะชำตั้งอยู่ ในห้องเรียนวิชาการเกษตรมีอาจารย์กำลังสอนอยู่ แต่นั่นไร้ความหมายสิ้นดีสำหรับพวกพี่ปัฐตอนนี้ไปเสียแล้ว ห้องเรียนเกษตรก็เหมือนห้องเรียนทั่วไป มีทางเข้าออก 2 ทาง หน้าและหลังห้อง ในห้องก็เป็นโต๊ะนั่งเรียงกันไป หน้าห้องมีอาจารย์ยืนหน้ากระดานดำ พอไปถึงพวกพี่ปัฐก็ล้อมทางออกหลังห้องไว้ เหลือทางออกไว้หน้าห้องทางเดียวให้ใครที่ไม่เกี่ยวออกไปทางนั้น พอเห็นพวกพี่ปัฐอาจารย์ก็เลิกชั้นเรียนทันที ฉลาดสมกับเป็นอาจารย์ดีมาก พออาจารย์ที่สอนพ้นออกจากห้องไปด้วยความเร่งรีบ พวกในห้องก็ผวา ถอยไปจับกลุ่มรวมตัวกันที่มุมห้องคนละมุมกับพวกพี่ปัฐอยู่ ยกเว้น 6 คนที่ดูเหมือนจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง พวกนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวไปที่หน้าห้องเข้าใกล้กับทางออกที่เหลือไปเรื่อยๆ ทันไดนั้นเจ้าหัวโจกที่พาเพื่อนไปรุมเล่นงานพี่ปัฐ ก็พุ่งตัวอย่างรวดเร็วไปที่ประตูหน้า หมายจะฝ่าออกไปก่อนที่จะถูกรุมล้อม แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เก้าอี้ตัวหนึ่งที่ถูกเท้าพี่ปัฐถีบจนพุ่งทะยานเข้าหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว และแม่นกว่าที่คนทำจะทันได้คิด “ โครม ” เสียงเก้าอี้ไม้กระแทกเข้ากับขาคนที่กำลังวิ่ง จนหน้าคะมำลงทับเก้าอี้ที่พุ่งมาขวางทาง เสียงดังสนั่นลั่นห้อง หลายคนปิดปากป้องเอาไว้ไม่ให้เสียงอุทานเล็ดลอดออกมาจนจะกลายเป็นที่สนใจแก่ผู้บุกรุก คนล้มพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา แต่ก็จุกเสียจนต้องงอตัว ไม่ทันแม้แต่จะได้ร้อง เท้าขวาของพี่ปัฐก็ถึงลำตัวคุณรุ่นพี่ตัวดีเข้าตรงสีข้างนิ่มๆ เสียงดัง “ พลั่ก “ ใหญ่ๆ คนโดนร้อง “ อั๊ก “ ปลิวไปตามแรงที่เข้ามากระทบ ตามหลักพิสิกฐ์กลศาสตร์ ลงไปนอนตัวงอเป็นกุ้ง แต่นั่นก็ยังไม่เป็นที่สาแก่ใจพี่ปัฐ หลังจากก้าวเท้าตามไปจนถึงตัวคนโชคร้ายหัวโจก พี่ปัฐก็ก้มลงกระชากผมจิกหัวยกขึ้นมาจนหน้าหงายพร้อมกับลงหมัดขวาตรงไปเต็มๆ แรง คราวนี้เป็นใบหน้าเต็มๆ ที่โดนหมัดกระแทกจนปริแตก เลือดกระเซ็นไปทั่วใบหน้าและพื้นห้องที่ถูกพี่ปัฐจับหัวโขกกระแทกซ้ำลงไปอีกที ถึงตอนนี้.. ก็ถึงเวลาที่พวกนักเรียนชายที่ไม่เต็มชายในห้องต้องร้องกันอย่างเต็มเสียงแล้ว เสียงกรี๊ดดังสนั่นมาจากพวกในห้องที่ไม่เกี่ยวและรวมตัวกันอยู่อีกมุมก่อนจะพยายามปิดปากลดเสียงลง ช่วยสร้างสีสันบรรยากาศให้สมกับเป็นเหตุการณ์ระทึกใจขึ้นได้อีกเยอะ เจ้าตัวหัวโจกสลบคามือพี่ปัฐซึ่งเปรอะเต็มไปด้วยเลือด..    แล้วคราวนี้....!!!  ถึงคราวพวกที่เหลือละ....

      พี่ปัฐไม่ได้ลงมือเองกับพวกที่เหลือแต่พวกที่มาด้วยกันพากันรุมทั้งเตะและต่อยจนพวกนั้นนอนกองลงไปกับพื้นกันหมดแล้ว พี่ปัฐซึ่งขึ้นไปนั่งอยู่บนโต๊ะมองอย่างไม่สบอารมณ์เพราะแม้พวกนั้นจะโดนเอาคืนแล้วก็ตามแต่พี่ปัฐก็ยังไม่สาแก่ใจอยู่ดี แต่ก็เอาน่า มันก็พอทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวดีขึ้นบ้างแหละ

      จากคนแค่ 30 ในตอนแรก ตอนนี้กลายเป็นพวก ม. 1 เกือบทั้งหมดเข้ามาร่วมแจมกันหน้าตาเฉย พากันโห่ฮาเอะอะพูดคุยกันเต็มที แล้วก็เงียบเสียงลงเมื่อพี่ปัฐส่งสายตาไปปราม  6 คนในห้องนี้ ยังไม่ใช่ทั้งหมด! ยังเหลืออีก 4...  แม้จะดูเหมือนว่าทำเรื่องอึกทึกคึกโครม แต่โรงเรียนนี้มันก็ใหญ่จริงๆ ส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะอาคารเรียน ม. ต้นซึ่งห่างออกไปกลับไม่รู้เรื่องอะไรกันเลย แต่ก็นั่นแหละ เวลาที่ใช้ในการก่อเรื่องก็ไม่ได้มากมายอะไรด้วย ไม่กี่นาทีทุกอย่างก็จบแล้ว ดังนั้นพวกที่เหลืออีก 4 คน จึงยังไม่ได้รู้ตัวเลยว่าจะถูกพี่ปัฐ ตามไปจัดการเก็บแบบทีละคนๆ เช่นกัน   เมื่อพวกพี่ปัฐไปถึงห้องพวกอาจารย์ก็เลิกสอนแล้วหลบออกจากห้องทันที จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารเหมือนกันก็คงอยากจะอยู่ห้ามเหมือนกันมั้ง แต่ตอนนี้พวกที่มาล้อมห้องน่ะ ร่วมร้อยแล้วนะ และการเรียนการสอนของปีการศีกษานั้นก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ ดูเหมือนจะเป็นภาคการศึกษาที่หนักหนาสาหัสเอาการสำหรับบางคน

      เช้าวันจันทร์ วันแรกของการสอบ  ม. ต้น 3 ชั้นปี สอบก่อน แล้วหยุด 1 วัน สลับให้ ม. ปลายสอบมั่ง แล้วก็สลับกลับมาเป็น ม.ต้นสอบอีก ไปเรื่อยๆ จนกว่าการสอบจะเสร็จสิ้นลง ไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเพราะพี่ปัฐเป็นพวกอ่านหนังสือมาตลอดอยู่แล้วทั้งปี แต่ก็นะการไม่ได้โหมอ่านก่อนสอบก็ทำให้คะแนนพี่ปัฐร่วงลงไปเยอะเหมือนกัน แต่ใครจะสนใจเล่าตอนนี้ การจัดห้องเรียนในสมัยพี่ปัฐจัดเป็นห้องดีที่สุดไปหาห้องที่แย่ที่สุดเรียงลำดับกัน ตลอดทั้ง 3 ปี ของ ม. ต้น ปี 1 พี่ปัฐอยู่ห้อง King หรือห้อง 1 แต่พอ ม. 2 พี่ปัฐก็ตกไปอยู่ห้อง 8 จากใน 10 ห้อง อย่างที่บอกแล้วไงละตอนนั้นพี่ปัฐไม่สนใจที่จะเรียนหนังสืออีกต่อไปแล้วนี่    แล้ว...! พวกรุ่นพี่ ม. 3 น่ะรึ? ไม่มีใครมาสอบเลยครับ ทั้ง 10 คนไม่มีใครมาสอบแม้แต่คนเดียว และหลายๆ คนในตอนนั้นก็เข้าโรงพยาบาลเลยแหละ รวมถึงพี่ปัฐด้วย แต่ก็คงไม่ใช่เพราะเข้าโรงพยาบาลถึงไม่มาสอบละมั้ง พี่ปัฐได้ยินพวกรุ่นพี่ ม. 3 ที่สนิทกันพูดให้ฟังว่า ก็ออกโรงพยาบาลกันมาแล้วละ แต่ไม่กล้ามาสอบกลัวจะโดนอีก 555 ( จะขำดีไม๊เนี่ย ) ดูเหมือนพวกนั้นจะไม่ยอมเรียนต่อ ม. 4 ที่นี่กันแล้ว และก็เป็นจริงดังพวกเขาว่ากัน พอพี่ปัฐ ขึ้น ม. 2 พวกรุ่นพี่ที่มีเรื่องกับพี่ปัฐก็หายตัวไปจากโรงเรียนไปเลย ไม่เคยเห็นเข้าเรียนชั้น ม. 4 ที่นี่อีกเลย  ...หา?? พี่ปัฐ เข้าโรงพยาบาลทำไมน่ะเหรอ ? ก็...  มือหักน่ะครับ  เอ่อ.. ใครที่คิดว่าการชกกัน คนโดนชกจะเจ็บตัวฝ่ายเดียวคิดซะใหม่นะ ไอ้คนชกก็เจ็บตัวได้นะครับ โดยเฉพาะเมื่อชกซะเต็มแรงอย่างพี่ปัฐน่ะ เล่นเอานิ้วหักนิ้วซ้นไปเลย ไม่รู้ก็ไม่แปลกนะครับ นักเรียนส่วนใหญ่น่ะเค้ามีหน้าที่เรียน ไม่ใช่ไปมีเรื่องกับใคร ที่ไม่รู้เรื่องแบบนี้ย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว

      ก่อนจะถึงบทสรุป ขอพี่ปัฐอธิบายหน่อยนะ ว่าพี่ปัฐไปรวมรวมพรรคพวกมาได้ยังไง กลัวจะงงกัน ก็อย่างที่บอกมาแต่แรกพี่ปัฐน่ะ ค่อนข้างมีชื่อเรื่องทะเลาะวิวาทแม้จะถูกจัดอยู่ในสายเด็กเรียนก็ตามที เพราะงานในหน้าที่ฝ่ายปกครองก็ด้วยทำให้พี่ปัฐรู้จักพวกเด็กเกเรหลายคน ( เดี๋ยวนี้เรียกเด็กเกรียนมั้ง ) และมีบุญคุณอยู่กับหลายคนเหมือนกันเช่นการรับประกันให้เวลาเพื่อนมีเรื่องไม่ดีมาพี่ปัฐก็จะรับดูแลให้ไม่ให้ไปมีเรื่องอีกแลกกับการไม่ต้องถูกลงโทษที่รุนแรง ทำให้หลายคนก็เกรงใจพี่ปัฐอยู่ ส่วนที่ทำให้รวบรวมคนได้มากๆ ขนาดนั้นได้จริงๆ แล้วเพราะเพื่อน “ สนิท “ พี่ปัฐ เป็นหัวหน้าของพวกเด็กเกเรประจำ ม. 1 เลยละ สำหรับเพื่อนคนนี้สนิทกันมาตั้งกะ ป. 2 เลยทีเดียว กินนอนเที่ยวและมีเรื่องด้วยกันมามากมาย มันเป็นคนรวบรวมพวกมาให้ และก็ไปกับพี่ปัฐคราวนี้ด้วย ตอนนั้นยังเป็นแค่หัวหน้าพวกเด็กเก ตอนหลังหมอนี่เป็นถึงหัวหน้าหนึ่งในแก๊งค์ชื่อดังของจังหวัดเลยทีเดียว

      2 ปี ต่อมา พี่ปัฐ ก็กลายเป็นเด็กเกเร ( เกรียน ) อย่างสมบูรณ์ มีเรื่องมีราวได้ทุกวัน เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีมากมาย ที่ไม่อยากให้เด็กดีคนใดได้เข้าไปข้องแวะ “ เด็ดขาด “ ทั้งเรื่องวิวาทต่อยตี เรื่องผู้หญิง เรื่องแข่งรถ เรื่องยาเสพติด ขโมย ฉ้อฉลกลโกง ทำร้ายคน ทำลายข้าวของ และอีกสารพัดเรื่องที่ไม่ดีไปกว่ากันเลย โดยเฉพาะเมื่อตอนพี่ปัฐจบ ม. 1    เมืองไทยก็ได้เข้าสู่ยุคของแก๊งสเตอร์ หรือ ที่พวกเขาเรียกกันว่ายุคอันธพาลครองเมืองนั่นแหละ ( เด็กๆ อาจจะไม่ทันยุคนั้น ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไง ถามคนที่อายุ สัก 25 ปีขึ้นไปนะครับ ถึงจะรู้ ( แล้วกัน คนเค้ารู้อายุพี่ปัฐกันหมด แก่มักๆ 555 ) ) จากการที่เคยอยู่แต่ในโลกของเด็กเรียนมาตลอด ตอนนี้พี่ปัฐต้องเข้าไปอยู่ในอีกโลกที่ไม่คุ้ยเคย โลกของผู้ที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์ทั้งหลาย ตอนนี้เองที่พี่ปัฐกลับกลายจากผู้ที่คุมกฏอย่างเข้มงวดยิ่ง ไปเป็นพวก โกหกปลิ้นปล้อนกะล่อนตอแหล และสารพัดเลว    สำหรับคนอื่นอาจจะเกเร แต่พี่ปัฐพวกเค้าเรียกว่า “ เลว “ เลยละ ( ToT )   แต่พี่ปัฐกลับเรียกตัวเองว่า “ ผู้เดินอยู่ระหว่าง 2 โลก “ คือโลกของเด็กเรียน และโลกของเด็กเกรียน เพราะในขณะที่คนในโลกของชาวแก๊งส์ ต่างถลำตัวลึกลงไปเรื่อยๆ กับความชั่วเลวต่างๆ พี่ปัฐกลับพยายามประคองตัวเอาไว้ไม่ให้หลงลงไปกับเรื่องพวกนี้ คนที่ติดยาก็จะติดหนักขึ้นเรื่อยๆ คนที่ติดหญิงก็จะหลงทางไม่มีทางกลับ คนโกหกและขโมยก็จะโกหกขึ้นเรื่อยๆ และขโมยมากๆ ยิ่งขึ้น น่ากลัวนะ!!!  พี่ปัฐเองก็ได้แต่มองอยู่อย่างเงียบๆ และต้องคอยระวังไม่ให้ตัวเองหลงลงไปจมกับปลักโคลนแห่งความชั่วร้ายนั้นจนไม่อาจถอนตัวขึ้นมาได้ แต่กระนั้นเรื่องการทะเลาะวิวาทนี่ก็ทำให้พี่ปัฐขึ้นไปอยู่ระดับหัวแถวเลยเหมือนกัน ( เฉพาะเรื่องทะเลาะวิวาทนะ ) เพราะตอนนั้นพี่ปัฐเหมือนคนหลงทางที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เลยได้แต่มีเรื่องไปวันๆ เผื่อว่าสักวันจะหาสิ่งที่ตัวเองต้องการเจอ  และในที่สุดพี่ปัฐก็รู้ตัวจนได้ว่าทำไมพี่ปัฐไม่ยอมให้ตัวเองจมลงไปกับการเป็นเด็กเกเร หลังจาก 2 ปี ผ่านไป พี่ปัฐก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับการที่ต้องมามีเรื่องมีราวทะเลาะกันทุกวัน พี่ปัฐอยากกลับไปเรียนหนังสือให้เต็มทีเหมือนเดิม เพราะก่อนที่จะมาเป็นอย่างทุกวันนี้สิ่งที่พี่ปัฐทำเป็นอย่างเดียวก็คือการอ่านหนังสือและเรียนหนังสือเท่านั้น นั่นทำให้พี่ปัฐรู้สึกไม่คุ้ยเคยกับการทำตัวเป็นเด็กเกเร จนกระทั่ง พี่ปัฐได้รับโอกาสอีกครั้งเมื่อ ขึ้นชั้น ม. 4 โดยได้รับโควตาจากทางโรงเรียนเดิม พี่ปัฐจึงตัดสินใจเลิกที่จะทำตัวร้ายๆ ตั้งใจจะหันกลับมาเป็นเด็กเรียนเหมือนเดิม แต่เรื่องก็ไม่ง่ายเพราะพี่ปัฐไม่ได้สนใจเรียนมาตั้ง 2 ปี ทำให้ความรู้ในช่วงนั้นขาดห้วงไปด้วย เมื่อต้องมาเรียน ม. 4 พี่ปัฐ ไหนจะต้องเรียนตามเพื่อนให้ทัน ไหนจะต้องย้อนกลับไปเรียนรู้ของเดิมอีก เพราะการเรียนมันต่อเนื่องกัน ถ้าไม่เข้าใจเรื่องก่อนหน้านี้ก็จะทำให้เรียนของใหม่ไม่รู้เรื่องไปด้วย เพราะไม่รู้ที่มาที่ไป ซึ่งนั่นทำให้ผลการเรียนของพี่ปัฐ ไม่ได้ดีดังเดิมอีกต่อไป แม้จะแลกมาด้วยประสบการณ์ที่ชั่วชีวิตอาจจะหาไม่ได้อีกแล้วอย่าง 2 ปี ที่ผ่านมา แต่ก็นับว่าเป็นราคาที่สูงมากที่ต้องจ่าย เพราะถ้าตั้งใจเรียนมาตลอดพี่ปัฐคิดว่าพี่ปัฐเองก็เรียนเก่งไม่แพ้ใครเหมือนกัน อาจสอบได้ทหารอย่างที่พี่ปัฐอยากเป็น หรือแม้แต่หมอ หรือวิศวะ ก็ไม่น่าจะไกลเกินฝัน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เช่นนั้นอีกแล้ว ผลการเรียนของพี่ปัฐตกต่ำลงไปมาก จนพี่ปัฐรู้ตัวดี แต่กระนั้นถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้พี่ปัฐก็จะไม่แก้ไขอะไรเลย เพราะพี่ปัฐปัจจุบันนี้ก็มีความสุขดีกับชีวิตที่ผ่านมาอยู่แล้ว และทุกเรื่องราวที่เล่าเรื่องไปนั้นก็คือเรื่องของพี่ปัฐที่ร้อยเรียงจนกลายมาเป็นพี่ปัฐในวันนี้นั้นเอง

      จากการคุยกันของเราทำให้พี่ปัฐรู้ว่ามีนเองก็เป็นเด็กดีคนหนึ่ง ได้เป็นถึงหัวหน้าเวรก็แสดงว่าเพื่อนๆ และคุณครู ให้การยอมรับ และไว้วางใจระดับหนึ่งแล้ว ตั้งใจเรียนต่อไปนะครับ อนาคตของตัวเองให้คนอื่นมากำหนดให้ไม่ได้ มันไม่ได้ดังใจเหมือนเรากำหนดเองหรอกครับ เพราะฉะนั้นอยากได้อะไรก็ต้องไขว่ขว้าเอาเองพี่เชื่อว่ามีนทำได้อยู่แล้ว สอบนี้ก็สู้ๆ นะครับ พี่ปัฐเอาใจช่วยเสมอเลยจ้า


       



      พี่ปัฐเองจ้า

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      "อ่านแล้วทั้งอึ้งทั้งอึดอัด"

      (แจ้งลบ)

      อ่านแล้วรู้สึกอึ้งและรู้สึกคับแค้นใจแทน แล้วก็รู้สึกว่าน้องๆหลายๆคนที่กำลังเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ หลายครั้งสถานการณ์หนึ่งสามารถพาเราไปในอีกทิศทางหนึ่งของชีวิตเช่นเดียวกับพี่ปัฐ ซึ่งบางครั้งเราอาจจะถลำลึกจนไม่สามารถจะกลับตัวได้ทัน เรื่องที่ผมได้อ่านตรงนี้ ผมอยากให้น้องๆทุกๆคนได้อ่านมัน เพราะผู้ใหญ่ในสังคมมากมายก็เห็นแก่ตัว พวกเขาไม่เคยรู้จักปกป้ ... อ่านเพิ่มเติม

      อ่านแล้วรู้สึกอึ้งและรู้สึกคับแค้นใจแทน แล้วก็รู้สึกว่าน้องๆหลายๆคนที่กำลังเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ หลายครั้งสถานการณ์หนึ่งสามารถพาเราไปในอีกทิศทางหนึ่งของชีวิตเช่นเดียวกับพี่ปัฐ ซึ่งบางครั้งเราอาจจะถลำลึกจนไม่สามารถจะกลับตัวได้ทัน เรื่องที่ผมได้อ่านตรงนี้ ผมอยากให้น้องๆทุกๆคนได้อ่านมัน เพราะผู้ใหญ่ในสังคมมากมายก็เห็นแก่ตัว พวกเขาไม่เคยรู้จักปกป้องและดูแลลูกหลานด้วยกันเอง ยามมีประโยชน์ก็แสร้งชื่นชมไว้ใช้งาน พอมีปัญหากับตัวเองก็ปัดความรับผิดชอบหน้าตาเฉย (อยากเขียนมากกว่านี้นะครับ แต่ก็กลัวจะรุนแรงไป) จนเด็กๆต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง แม้ว่าจะแก้แบบผิดๆก็ตาม   อ่านน้อยลง

      babybaby1234 | 18 ธ.ค. 54

      • 5

      • 0

      คำนิยมล่าสุด

      "อ่านแล้วทั้งอึ้งทั้งอึดอัด"

      (แจ้งลบ)

      อ่านแล้วรู้สึกอึ้งและรู้สึกคับแค้นใจแทน แล้วก็รู้สึกว่าน้องๆหลายๆคนที่กำลังเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ หลายครั้งสถานการณ์หนึ่งสามารถพาเราไปในอีกทิศทางหนึ่งของชีวิตเช่นเดียวกับพี่ปัฐ ซึ่งบางครั้งเราอาจจะถลำลึกจนไม่สามารถจะกลับตัวได้ทัน เรื่องที่ผมได้อ่านตรงนี้ ผมอยากให้น้องๆทุกๆคนได้อ่านมัน เพราะผู้ใหญ่ในสังคมมากมายก็เห็นแก่ตัว พวกเขาไม่เคยรู้จักปกป้ ... อ่านเพิ่มเติม

      อ่านแล้วรู้สึกอึ้งและรู้สึกคับแค้นใจแทน แล้วก็รู้สึกว่าน้องๆหลายๆคนที่กำลังเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ หลายครั้งสถานการณ์หนึ่งสามารถพาเราไปในอีกทิศทางหนึ่งของชีวิตเช่นเดียวกับพี่ปัฐ ซึ่งบางครั้งเราอาจจะถลำลึกจนไม่สามารถจะกลับตัวได้ทัน เรื่องที่ผมได้อ่านตรงนี้ ผมอยากให้น้องๆทุกๆคนได้อ่านมัน เพราะผู้ใหญ่ในสังคมมากมายก็เห็นแก่ตัว พวกเขาไม่เคยรู้จักปกป้องและดูแลลูกหลานด้วยกันเอง ยามมีประโยชน์ก็แสร้งชื่นชมไว้ใช้งาน พอมีปัญหากับตัวเองก็ปัดความรับผิดชอบหน้าตาเฉย (อยากเขียนมากกว่านี้นะครับ แต่ก็กลัวจะรุนแรงไป) จนเด็กๆต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง แม้ว่าจะแก้แบบผิดๆก็ตาม   อ่านน้อยลง

      babybaby1234 | 18 ธ.ค. 54

      • 5

      • 0

      ความคิดเห็น

      ×