ลำดับตอนที่ #32
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : ความลับของเซียน
ระหว่างที่พวกเจ็ดองค์รักษ์และลูกสมุนคนอื่น ๆ ของเทียนซานไล่ตามหาผู้บุกรุกลึกลับอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น จอมมารก็เริ่มสาธยายแผนการฝึกขั้นต่อไปให้ผมฟังในทันที
"เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าพลังลมปราณในขั้นที่สามของข้ามันรุนแรงเกินไป ส่งผลให้จิตเจ้าเกิดคลุ้มคลั่ง เพราะฉะนั้นการจะก้าวข้ามไปนั้นก่อนอื่นต้องฝึกจิตของเจ้าให้แข็งแกร่งเสียก่อน!"
น้องหมาอธิบายว่าแท่นศิลาที่ผมนอนทับอยู่นี้เดิมมันคือผนังบนวิหารศักดิ์สิทธิ์ของท่านเซียนผู้หนึ่ง ภายหลังเกิดพังทลายลงโดยไม่ทราบสาเหตุเส้าเทียนอิ้งจึงนำมันกลับมาเพียงส่วนเดียวเพื่อดัดแปลงเป็นแท่นศิลาจำศีลหมื่นปี จุดประสงค์เพื่อใช้เป็นที่นอนของตัวจอมมารในช่วงก่อนจะทำพิธีย้ายวิญญาณนั่นเอง เพราะเจ้าแท่นดังกล่าวมีพลังลึกลับในการเก็บรักษาวิญญาณและจิตของผู้ฝึกลมปราณให้มีสภาพคงที่ เหมาะแก่การเตรียมความพร้อมสำหรับฝึกวิชาขั้นสูงอีกด้วย ฟังไปฟังมาผมก็เริ่มจะรู้สึกคับคล้ายคับคลาว่าเคยเห็นเจ้าแท่นนี่มาก่อน อ้อใช่! ในคืนวันที่วิญญาณของเราโดนอาเจ๊กระโปรงสั้นนั่นโยนข้ามมิติมาที่นี่ไง นึกออกแล้วว่าตอนที่ผมลืมตาตื่นขึ้นนั้นร่างตัวเองในปัจจุบันก็นอนอยู่บนแท่นประหลาดคล้าย ๆ แท่นอันนี้เลย
"ศึกประลองยุทธจะเริ่มในอีกไม่ถึงสองสัปดาห์นี้แล้ว ข้าได้ให้ลูกน้องส่งเทียบเชิญทั้งหมดแก่เจ้าสำนักใหญ่และพวกที่ดูมีฝีมือหน่อยให้เข้าร่วม ส่วนเรื่องฝีมือน่ะหรือ หากเจ้าสำเร็จวิชามารประสานจิต เทพประสานใจขั้นพลังสีแดงได้โดยสมบูรณ์ก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้ว ไม่มีใครเทียบเจ้าได้แน่นอน!"
ที่แท้จอมมารพาผมไปทัวร์สำนักมังกรทองในคราวนั้นก็เพราะต้องการหยั่งเชิงดูฝีมือของพวกมันที่ถือว่ามีพลังเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพฝ่ายธรรมะนั่นเอง และน้องหมาคงมั่นใจแล้วว่าแค่พลังขั้นที่สามของมันก็สามารถสยบพวกห้าสำนักใหญ่ได้สบาย ๆ
"เอาล่ะก่อนอื่นเจ้าลองนั่งลงบนแท่นศิลานี้แล้วหลับตาลงสิ"
ผมทำตามที่อีกฝ่ายแนะนำ เมื่อนั่งลงบนแท่นศิลาจำศีลและลองโคจรพลังเบื้องต้นดูก็พบว่าเจ้าแท่นนี่มีประโยชน์กว่าที่คิดเพราะนอกจากจะทำให้จิตผมสงบลดความฟุ้งซ่านต่าง ๆ ลงแล้ว มันยังมีสรรพคุณช่วยให้โคจรพลังได้ดีราวกับมีพลังงานบางอย่างแทรกซึมเข้ามาภายในร่างแล้วปรับลมหายใจ แถมยังช่วยเดินพลังเสร็จสรรพจนรู้สึกเลยว่าลมปราณนั้นเคลื่อนที่ไหลเวียนในตัวได้ดีกว่าที่ฝึกมาก่อนหน้านี้อีก แหม่! มีของดีขนาดนี้เก็บไว้ทำไมไม่เอามาให้ตรูใช้ตั้งแต่แรกฟะเจ้าหมานี่...
"ไอ้นี่มันดีกว่าที่คิดแฮะ ข้าชักชอบไอ้แท่นนี่ซะแล้วสิ!"
"อย่าเพิ่งได้ใจไปนัก การฝึกบนแท่นนี้มีข้อควรระวังคืออำนาจลึกลับบางอย่างที่สถติอยู่ภายในอาจดึงสติของผู้ใช้ให้หลุดลอยไปสู่ห้วงอันลี้ลับได้ เพราะฉะนั้นข้าจึงต้องอยู่เฝ้ามิให้สติเจ้าหลุดหายไปไหนเสียก่อน"
ทว่าในจังหวะนั้นเอง จมูกของน้องหมาก็ได้กลิ่นผิดปกติที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ มันผุดลุกขึ้นกัดฟันส่งเสียงคำรามฮึ่มแฮ่ในลำคอทันที ท่าทางว่าจะมีใครแอบซุ่มอยู่ไม่ไกลจากห้องนี้ก็เป็นได้
"หนอยเจ้าพวกองค์รักษ์เลี้ยงเสียข้าวสุก! พวกสมุนมีตั้งมากยังปล่อยให้ศัตรูฉวยโอกาสบุกรุกเข้ามาใกล้ตัวข้าได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอนี่!!!"
@@@@@@@@@@@@
อีกด้านหนึ่ง ที่สำนักมังกรทองบรรดาลูกชายลูกสาวของท่านเจ้าสำนักต่างประสานเสียงคัดค้านการฝึกวิชาของจางเหอลู่กันอย่างพร้อมเพรียง หลังจากเหตุการบุกรุกของเส้าเทียนอิ้งช่วงก่อนหน้านี้ เจ้าสำนักก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในหอคัมภีร์และศึกษาตำราวิชาโบราณจนกระทั่งตัดสินใจฝึกวิชาต้องห้ามประจำสำนัก
"ท่านพ่อ ดวงตาของท่านเพิ่งหายดีแล้วทำไมต้องฝืนขนาดนี้ด้วย!"
จางถังยี่หงุดหงิดที่บิดาของตนรั้นจะฝึกวิชาต้องห้ามให้ได้ ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าวิชาดังกล่าวมีความอันตรายอย่างยิ่งยวด ในอดีตมีผู้ฝึกหลายคนที่เกิดอาการคลุ้มคลั่งธาตุไฟแตกและถึงกับเสียชีวิตมาแล้วด้วยซ้ำ ทำไมจึงดื้อรั้นนัก?
"จากการได้เจอกับจอมมาร มันทำให้ข้ารู้ว่าตนยังอ่อนด้อยเพียงใด เส้าเทียนอิ้งนั้นเข้มแข็งทั้งภายในภายนอก หากปะทะกันในงานประลองคงไม่พ้นความปราชัยเป็นแน่"
จากการเจอกันครั้งล่าสุด แม้ตาจะมองไม่เห็นแต่จางเหอลู่มั่นใจว่าพลังฝีมือที่ตนมีอยู่ไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับจอมมารแห่งเทียนซานได้เลย ทั้งที่มันยังไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ด้วยซ้ำ ดังนั้นทางเดียวที่จะหยุดยั้งหายนะของยุทธภพได้คือต้องจัดการโค่นเจ้านั้นเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จอมมารจะฟื้นคืนพลังทั้งหมด
"แม้ว่าจะเหลือเวลาเพียงไม่กี่วันเองหรือ?"
จางหยูซู่เองก็เห็นพ้องกับพี่น้องว่าแค่เวลาไม่ถึงสองสัปดาห์คงฝึกวิชาโบราณให้สำเร็จได้ยาก มิหนำซ้ำอาจเกิดความผิดพลาดนำไปสู่ความชิบหายนั่นคือเจ้าสำนักอาจคุ้มคลั่งเช่นเดียวกับบรรพบุรุษก่อนหน้าก็เป็นได้
"ใช่ข้ารู้ว่าเป็นไปได้ยาก ดังนั้นข้าจึงจะเดินทางเข้าสู่ หอฌาณแห่งเทียนเหอ นับแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป!"
พวกเจ็ดจอมยุทธต่างมองหน้ากันด้วยไม่รู้ว่าหอฌาณดังกล่าวคืออะไร? มีเพียงจางเหยียนจงพี่ใหญ่ที่รู้จักหอลึกลับดังกล่าวเป็นอย่างดี เพราะในวัยเด็กพ่อเคยพาตนเดินทางไปฝึกวิชาที่ในหอแห่งนี้มาก่อนแล้ว
"สถานที่ลึกลับแห่งแดนเหนือ ว่ากันว่ามิติเวลาในหอแห่งนั้นวิปริตบิดเบี้ยวยิ่งนัก บางครั้งหนึ่งวันนานนับหนึ่งปี บางครั้งหนึ่งปีหดสั้นเหลือเพียงเจ็ดวันก็มี! ท่านพ่อแน่ใจแล้วหรือขอรับ?"
หอฌาณเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งยังเป็นแดนสนธยาที่ฮ่องเต้สั่งห้ามมิให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปก่อนได้รับอนุญาต ไม่รู้ว่าจางเหอลู่ใช้เส้นสนกลในเช่นไรจึงสามารถผ่านเข้าไปได้ แต่อย่างไรก็ดีมันก็ยังมีความอันตรายยิ่งยวดไม่เปลี่ยนแปลง ในอดีตผู้ฝึกวิชาโบราณของสำนักมังกรทองก็มักจะไปฝึกที่ภายในหอแห่งนั้นจนคลั่งมานักต่อนักแล้ว
"ที่สำคัญคือไม่มีอะไรรับประกันว่าวิชาโบราณจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าวิชาสายปัจจุบันที่พวกข้าพร่ำเรียนกันมามิใช่หรือท่านพ่อ?"
"มันก็จริงอยู่ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าวิชาของสำนักเรากับวิชาของเส้าเทียนอิ้งนั้นมีความเกี่ยวพันประหลาดบางอย่าง..."
มันคือเรื่องเล่าน่ารังเกียจเกี่ยวกับความเป็นมาของสำนักมังกรทอง นั่นคือท่านเซียนที่บัญญัติต้นตำรับของวิชาปราณทองคำและฝ่ามือมังกรนั้น ก็คือท่านปรมาจารย์ผู้สอนสั่งเส้าเทียนอิ้งมานั่นเอง! และวิชาของเซียนท่านนั้นจึงได้แตกแขนงเป็นสองสายทั้งสำนักมังกรทองและเทียนซานนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
จบตอน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น