ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพเซียนเกรียนยุทธภพ!

    ลำดับตอนที่ #32 : ความลับของเซียน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.41K
      52
      13 ต.ค. 60


         ระหว่างที่พวกเจ็ดองค์รักษ์และลูกสมุนคนอื่น ๆ ของเทียนซานไล่ตามหาผู้บุกรุกลึกลับอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น  จอมมารก็เริ่มสาธยายแผนการฝึกขั้นต่อไปให้ผมฟังในทันที

         "เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าพลังลมปราณในขั้นที่สามของข้ามันรุนแรงเกินไป  ส่งผลให้จิตเจ้าเกิดคลุ้มคลั่ง  เพราะฉะนั้นการจะก้าวข้ามไปนั้นก่อนอื่นต้องฝึกจิตของเจ้าให้แข็งแกร่งเสียก่อน!"

         น้องหมาอธิบายว่าแท่นศิลาที่ผมนอนทับอยู่นี้เดิมมันคือผนังบนวิหารศักดิ์สิทธิ์ของท่านเซียนผู้หนึ่ง  ภายหลังเกิดพังทลายลงโดยไม่ทราบสาเหตุเส้าเทียนอิ้งจึงนำมันกลับมาเพียงส่วนเดียวเพื่อดัดแปลงเป็นแท่นศิลาจำศีลหมื่นปี  จุดประสงค์เพื่อใช้เป็นที่นอนของตัวจอมมารในช่วงก่อนจะทำพิธีย้ายวิญญาณนั่นเอง  เพราะเจ้าแท่นดังกล่าวมีพลังลึกลับในการเก็บรักษาวิญญาณและจิตของผู้ฝึกลมปราณให้มีสภาพคงที่  เหมาะแก่การเตรียมความพร้อมสำหรับฝึกวิชาขั้นสูงอีกด้วย  ฟังไปฟังมาผมก็เริ่มจะรู้สึกคับคล้ายคับคลาว่าเคยเห็นเจ้าแท่นนี่มาก่อน  อ้อใช่! ในคืนวันที่วิญญาณของเราโดนอาเจ๊กระโปรงสั้นนั่นโยนข้ามมิติมาที่นี่ไง  นึกออกแล้วว่าตอนที่ผมลืมตาตื่นขึ้นนั้นร่างตัวเองในปัจจุบันก็นอนอยู่บนแท่นประหลาดคล้าย ๆ แท่นอันนี้เลย

         "ศึกประลองยุทธจะเริ่มในอีกไม่ถึงสองสัปดาห์นี้แล้ว  ข้าได้ให้ลูกน้องส่งเทียบเชิญทั้งหมดแก่เจ้าสำนักใหญ่และพวกที่ดูมีฝีมือหน่อยให้เข้าร่วม  ส่วนเรื่องฝีมือน่ะหรือ  หากเจ้าสำเร็จวิชามารประสานจิต เทพประสานใจขั้นพลังสีแดงได้โดยสมบูรณ์ก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้ว  ไม่มีใครเทียบเจ้าได้แน่นอน!" 

         ที่แท้จอมมารพาผมไปทัวร์สำนักมังกรทองในคราวนั้นก็เพราะต้องการหยั่งเชิงดูฝีมือของพวกมันที่ถือว่ามีพลังเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพฝ่ายธรรมะนั่นเอง  และน้องหมาคงมั่นใจแล้วว่าแค่พลังขั้นที่สามของมันก็สามารถสยบพวกห้าสำนักใหญ่ได้สบาย ๆ

         "เอาล่ะก่อนอื่นเจ้าลองนั่งลงบนแท่นศิลานี้แล้วหลับตาลงสิ"

         ผมทำตามที่อีกฝ่ายแนะนำ  เมื่อนั่งลงบนแท่นศิลาจำศีลและลองโคจรพลังเบื้องต้นดูก็พบว่าเจ้าแท่นนี่มีประโยชน์กว่าที่คิดเพราะนอกจากจะทำให้จิตผมสงบลดความฟุ้งซ่านต่าง ๆ ลงแล้ว  มันยังมีสรรพคุณช่วยให้โคจรพลังได้ดีราวกับมีพลังงานบางอย่างแทรกซึมเข้ามาภายในร่างแล้วปรับลมหายใจ  แถมยังช่วยเดินพลังเสร็จสรรพจนรู้สึกเลยว่าลมปราณนั้นเคลื่อนที่ไหลเวียนในตัวได้ดีกว่าที่ฝึกมาก่อนหน้านี้อีก  แหม่! มีของดีขนาดนี้เก็บไว้ทำไมไม่เอามาให้ตรูใช้ตั้งแต่แรกฟะเจ้าหมานี่...

         "ไอ้นี่มันดีกว่าที่คิดแฮะ  ข้าชักชอบไอ้แท่นนี่ซะแล้วสิ!"

         "อย่าเพิ่งได้ใจไปนัก  การฝึกบนแท่นนี้มีข้อควรระวังคืออำนาจลึกลับบางอย่างที่สถติอยู่ภายในอาจดึงสติของผู้ใช้ให้หลุดลอยไปสู่ห้วงอันลี้ลับได้  เพราะฉะนั้นข้าจึงต้องอยู่เฝ้ามิให้สติเจ้าหลุดหายไปไหนเสียก่อน"

         ทว่าในจังหวะนั้นเอง  จมูกของน้องหมาก็ได้กลิ่นผิดปกติที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้  มันผุดลุกขึ้นกัดฟันส่งเสียงคำรามฮึ่มแฮ่ในลำคอทันที  ท่าทางว่าจะมีใครแอบซุ่มอยู่ไม่ไกลจากห้องนี้ก็เป็นได้

         "หนอยเจ้าพวกองค์รักษ์เลี้ยงเสียข้าวสุก!  พวกสมุนมีตั้งมากยังปล่อยให้ศัตรูฉวยโอกาสบุกรุกเข้ามาใกล้ตัวข้าได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอนี่!!!"


    @@@@@@@@@@@@


         อีกด้านหนึ่ง  ที่สำนักมังกรทองบรรดาลูกชายลูกสาวของท่านเจ้าสำนักต่างประสานเสียงคัดค้านการฝึกวิชาของจางเหอลู่กันอย่างพร้อมเพรียง  หลังจากเหตุการบุกรุกของเส้าเทียนอิ้งช่วงก่อนหน้านี้  เจ้าสำนักก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในหอคัมภีร์และศึกษาตำราวิชาโบราณจนกระทั่งตัดสินใจฝึกวิชาต้องห้ามประจำสำนัก

         "ท่านพ่อ  ดวงตาของท่านเพิ่งหายดีแล้วทำไมต้องฝืนขนาดนี้ด้วย!"

         จางถังยี่หงุดหงิดที่บิดาของตนรั้นจะฝึกวิชาต้องห้ามให้ได้  ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าวิชาดังกล่าวมีความอันตรายอย่างยิ่งยวด  ในอดีตมีผู้ฝึกหลายคนที่เกิดอาการคลุ้มคลั่งธาตุไฟแตกและถึงกับเสียชีวิตมาแล้วด้วยซ้ำ  ทำไมจึงดื้อรั้นนัก?

         "จากการได้เจอกับจอมมาร  มันทำให้ข้ารู้ว่าตนยังอ่อนด้อยเพียงใด  เส้าเทียนอิ้งนั้นเข้มแข็งทั้งภายในภายนอก  หากปะทะกันในงานประลองคงไม่พ้นความปราชัยเป็นแน่"

         จากการเจอกันครั้งล่าสุด  แม้ตาจะมองไม่เห็นแต่จางเหอลู่มั่นใจว่าพลังฝีมือที่ตนมีอยู่ไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับจอมมารแห่งเทียนซานได้เลย  ทั้งที่มันยังไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ด้วยซ้ำ  ดังนั้นทางเดียวที่จะหยุดยั้งหายนะของยุทธภพได้คือต้องจัดการโค่นเจ้านั้นเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จอมมารจะฟื้นคืนพลังทั้งหมด 

         "แม้ว่าจะเหลือเวลาเพียงไม่กี่วันเองหรือ?"

         จางหยูซู่เองก็เห็นพ้องกับพี่น้องว่าแค่เวลาไม่ถึงสองสัปดาห์คงฝึกวิชาโบราณให้สำเร็จได้ยาก  มิหนำซ้ำอาจเกิดความผิดพลาดนำไปสู่ความชิบหายนั่นคือเจ้าสำนักอาจคุ้มคลั่งเช่นเดียวกับบรรพบุรุษก่อนหน้าก็เป็นได้

         "ใช่ข้ารู้ว่าเป็นไปได้ยาก  ดังนั้นข้าจึงจะเดินทางเข้าสู่ หอฌาณแห่งเทียนเหอ นับแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป!"

         พวกเจ็ดจอมยุทธต่างมองหน้ากันด้วยไม่รู้ว่าหอฌาณดังกล่าวคืออะไร?  มีเพียงจางเหยียนจงพี่ใหญ่ที่รู้จักหอลึกลับดังกล่าวเป็นอย่างดี  เพราะในวัยเด็กพ่อเคยพาตนเดินทางไปฝึกวิชาที่ในหอแห่งนี้มาก่อนแล้ว

         "สถานที่ลึกลับแห่งแดนเหนือ  ว่ากันว่ามิติเวลาในหอแห่งนั้นวิปริตบิดเบี้ยวยิ่งนัก  บางครั้งหนึ่งวันนานนับหนึ่งปี  บางครั้งหนึ่งปีหดสั้นเหลือเพียงเจ็ดวันก็มี!  ท่านพ่อแน่ใจแล้วหรือขอรับ?"

         หอฌาณเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งยังเป็นแดนสนธยาที่ฮ่องเต้สั่งห้ามมิให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปก่อนได้รับอนุญาต  ไม่รู้ว่าจางเหอลู่ใช้เส้นสนกลในเช่นไรจึงสามารถผ่านเข้าไปได้  แต่อย่างไรก็ดีมันก็ยังมีความอันตรายยิ่งยวดไม่เปลี่ยนแปลง  ในอดีตผู้ฝึกวิชาโบราณของสำนักมังกรทองก็มักจะไปฝึกที่ภายในหอแห่งนั้นจนคลั่งมานักต่อนักแล้ว

         "ที่สำคัญคือไม่มีอะไรรับประกันว่าวิชาโบราณจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าวิชาสายปัจจุบันที่พวกข้าพร่ำเรียนกันมามิใช่หรือท่านพ่อ?"   

         "มันก็จริงอยู่  แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าวิชาของสำนักเรากับวิชาของเส้าเทียนอิ้งนั้นมีความเกี่ยวพันประหลาดบางอย่าง..."

         มันคือเรื่องเล่าน่ารังเกียจเกี่ยวกับความเป็นมาของสำนักมังกรทอง  นั่นคือท่านเซียนที่บัญญัติต้นตำรับของวิชาปราณทองคำและฝ่ามือมังกรนั้น  ก็คือท่านปรมาจารย์ผู้สอนสั่งเส้าเทียนอิ้งมานั่นเอง!  และวิชาของเซียนท่านนั้นจึงได้แตกแขนงเป็นสองสายทั้งสำนักมังกรทองและเทียนซานนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


    จบตอน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×