ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพเซียนเกรียนยุทธภพ!

    ลำดับตอนที่ #37 : พบกันบนยอดเขาเซียนหมื่นลี้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.07K
      41
      25 ต.ค. 60


         และแล้ววันเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงฤกษ์ยามแห่งการชิงชัยระหว่างพวกเทียนซานและประมุขพรรคใหญ่น้อยในยุทธภพ  ศึกชิงจ้าวยุทธจักรครั้งที่สองซึ่งรวบรวมเฉพาะเหล่ายอดฝีมือจากทั่วทุกแห่งในดินแดนต้าหลงเพื่อเฟ้นหาสุดยอดจอมยุทธอันดับหนึ่งในโลก  ...ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ  แต่รู้ ๆ กันอยู่ว่าไอ้ศึกประลองที่ว่าเนี่ย  ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันมารุมตีนเส้าเทียนอิ้งคนเดียวนั่นแหละ  ส่วนเรื่องอันดับหนึ่งอะไรนั่นเป็นแค่น้ำจิ้มเฉย ๆ เพราะถ้าใครเก่งกล้าสามารถล้มจอมมารลงได้ยังจะโด่งดังมีชื่อเสียงมากกว่าเป็นไหน ๆ

         "เท่านี้ก็เรียบร้อย!"

         จอมมารในร่างน้องหมาขยับหาที่ทางภายในเสื้อคลุมตัวใหญ่ประจำยศของมัน  ซึ่งสินหุ่ยเป็นคนจัดหามาให้ผมสวมในระหว่างเดินทางขึ้นไปยังยอดเขาเซียนหมื่นลี้  สถานที่จัดงานประลองในวันนี้  โดยทางลูกสมุนของเส้าเทียนอิ้งได้จัดเตรียมพื้นที่สำหรับจัดการประลองไว้ล่วงหน้าภายใต้ความร่วมมือกับพวกพรรคใหญ่เรียบร้อยแล้ว

         "ฟังนะเจ้าหนู  ตอนนี้หากเจ้าเดินพลังลมปราณเต็มที่ถึงขั้นที่สามเมื่อไหร่ย่อมไร้ผู้ต่อกรได้แน่  เพราะเท่าที่ข้าลองสำรวจดูหัวหน้าพรรคใหญ่ที่เหลือล้วนอ่อนด้อยกว่าพวกปรมาจารย์เมื่อครั้งการประลองครั้งแรกเสียอีก!"

         ระหว่างที่ฝึกฝนบนแท่นศิลาก่อนหน้านี้  พวกองค์รักษ์ทั้งเจ็ดได้เล่าท้าวความการประลองในครั้งแรกให้ผมฟังไปแล้ว  ส่วนมากก็คือเส้าเทียนอิ้งเกรียนแตกเล่นงานพวกพรรคใหญ่ทั้งหมดรวมถึงถล่มสถานที่จัดงานซะไม่เหลือดีเลย  เรียกว่าหลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ไม่เผาผีกันอีกเลยจวบจนทุกวันนี้  จะว่าไปผมว่าพวกนั้นก็มีสิทธิ์แค้นอยู่นะ  ก็ดูจอมมารมันอาละวาดขนาดนี้นี่หว่า?

         "เชิญท่านเจ้าสำนักเทียนซานที่ด้านนี้เลยขอรับ..."

         เมื่อขึ้นไปถึงบนยอดเขา  ปรากฏกลุ่มนักพรตนุ่งขาวห่มขาวท่าทางน่าเกรงขามออกมาให้การต้อนรับพวกผมเป็นอย่างดี  สินหุ่ยแอบกระซิบว่าพวกนี้คือนักพรตแห่งตำหนักวิถีเซียน  ตามปกติแล้วจะมุ่งฝึกฌาณและบำเพ็ญพรตให้สำเร็จวิชาเซียนตามแบบฉบับของพวกตน  ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยุทธจักรโดยเด็ดขาด  ทางเทียนซานและห้าพรรคใหญ่จึงขอรบกวนให้ช่วยมาเป็นคนกลางผู้ดูแลการประลองในครั้งนี้ด้วย

         "โห... ดูทรงแล้วน่าจะเก่งกาจเอาเรื่องอยู่นะ  พวกนี้ไม่ยุ่งเรื่องในยุทธภพเลยเหรอ?"

         "นักพรตวิถีเซียนนั้นกล่าวกันว่ามีความสามารถบางอย่างที่พวกชาวยุทธไม่มี  แต่ก็ขาดบางสิ่งที่ชาวยุทธล้วนช่ำชองเช่นกัน  หากงัดข้อประลองอย่างจริงจังข้าว่าอาจจะสูสีกับพวกพรรคใหญ่เลยทีเดียว"

         ฟังจากน้ำเสียงของสินหุ่ยก็ดูจะเคารพยำเกรงพวกนักพรตพอสมควรทีเดียว  มิน่าตอนมีเรื่องที่เทียนซานพวกนี้ถึงไม่มาร่วมวงไพบูลย์ด้วย  เพราะความเคร่งครัดต่อกฏของสำนักตนเช่นนี้เลยได้เครดิตจากเทียนซานไปไม่น้อยเลยมั้งเนี่ย

         "นี่คือปะรำสำหรับพรรคเทียนซานขอรับ  การประลองจะเริ่มขึ้นเมื่อแสงอาทิตย์ขึ้นตรงกลางศีรษะพอดี  ระหว่างนี้เชิญทุกท่านตามสะดวก"

         นักพรตนำทางมายังศาลาทรงกลมขนาดใหญ่ที่ตกแต่งหรูหราไม่เบา  มีเก้าอี้สำหรับนั่งชมแบบติดขอบเวทีรวมถึงบัลลังก์ที่บุด้วยทองคำด้านในสุด  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมจะได้นั่งตรงนั้นในฐานะของผู้นำแห่งพรรคมาร  ฮี่ ๆ เป็นคนใหญ่คนโตมันก็ดียังงี้แหละ  และจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีน้องหมามาเต้นกระยุกกระยิกอยู่ใต้ร่มผ้าตรูเนี่ย! 

         "ท่านประมุขเชิญขอรับ"

         เจ็ดองค์รักษ์ตรวจตราความเรียบร้อยโดยถ้วนทั่วปะรำพิธี  เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีจึงเชิญผมเเข้าไปนั่งที่บนบังลังก์  ศาลานี้ตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางของลานกว้างที่วัดขนาดด้วยสายตาแล้วน่าจะใหญ่กว่าสนามฟุตบอลเสียอีก  ตรงมุมทั้งสี่มีปักเสาธงขนาดใหญ่ล้อมเอาไว้ทุกด้านเพื่อวัดระยะพื้นที่สำหรับการประลอง  มองข้ามไปยังอีกฟากก็จะเห็นปะรำแบบเดียวกันนี้อีกห้าหลังตั้งเรียงกันห่างเป็นระยะ  ซึ่งก็คงไม่พ้นเป็นที่นั่งของพวกห้าพรรคใหญ่แน่ ๆ นอกจากนั้นยังมีศาลาขนาดเล็กตั้งห่างออกไปอีก  อาจจะเป็นพวกพรรคเล็กพรรครองจากนี้ลงไปหรือไม่ก็ที่นั่งคนดูล่ะมั้ง?

         "ท่านเส้าเทียนอิ้ง  ไม่ได้พบกันนานเลยนะขอรับ!"

         จู่ ๆ เสียงอันเยียบเย็นทว่าทรงพลังดังจากทางด้านหลังผมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  มันคือนักพรตชราผู้หนึ่ง  เส้นผมและเครายาวสีขาวโพลนราวกับหิมะ  ภายใต้ริ้วรอยอันเหี่ยวย่นตามกาลเวลานั่นคือดวงตาที่เปล่งประกายไม่แพ้พวกคนหนุ่มเลย  แค่ผมหันไปมองก็รู้สึกขนลุกแล้ว  เจ้านี่มันแอบมายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่?  ทำไมพวกองค์รักษ์และสินหุ่ยถึงไม่ทันสังเกตได้?

         " เจ็ดดาว เองรึ?  ไม่เจอกันนานเสียจริง!"

         นักพรตชราพยักหน้ารับโดยไม่ยิ้มหรือบึ้งตึง  สีหน้าแกดูเรียบเฉยทำให้เดาไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่  แต่ที่แน่ ๆ สัญชาตญาณในตัวผมมันร้องบอกว่าเจ้านี่ต้องเป็นยอดฝีมือชัวร์ ๆ แค่ยืนตัวตรงธรรมดายังรู้สึกเหมือนมีไอพลังแผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่างเลย

         "นับจากการประลองในคราวที่แล้ว  ข้าเองก็ไม่นึกว่าจะมีโอกาสอยู่จนถึงวันที่ได้ชมการต่อสู้ของท่านอีกครั้ง  นับว่าวันเวลาที่ล่วงเลยมาไม่เสียเปล่าจริง ๆ"

         จะว่าไปดูแล้วก็ทำให้คิดถึงจอมมารตอนที่เจอกันใหม่ ๆ ร่างอันแก่ชราที่วิญญาณน้องหมาเข้าสิงก่อนหน้านี้ (ปัจจุบันเห็นว่าตายไปเสียล่ะ  น่าสงสารจัง)  ก็น่าจะอายุพอ ๆ กันเลยเชียว  มิน่าถึงเคยอยู่ดูการประลองในครั้งแรกด้วย

         "กระนั้นข้าต้องขอให้ท่านช่วยควบคุมอารมณ์อันพลุ่งพล่านเมื่อยามกระหายเลือดด้วย  มิเช่นนั้นเจ็ดดาวผู้นี้อาจต้องล่วงเกิน!"

         "ไม่ต้องเป็นห่วงน่า! ข้าเองก็..."

         แล้วบทสนทนาก็ตัดขาดลงกลางครัน  เมื่อทุกคนสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอันร้ายกาจที่แผ่ซ่านมาจากทางด้านนอกลานประลอง  ถ้าจะให้ผมอธิบายเปรียบเทียบกับกลิ่นล่ะก็  กลิ่นของพวกคนเก่ง ๆ อย่างประมุขพรรคทั้งห้าหรือพวกเจ็ดองค์รักษ์เทียนซานนี่จะมีกลิ่นที่เข้มข้นและฉุนแตะจมูกเล็กน้อย  ในขณะที่พวกชาวยุทธทั่ว ๆ ไปก็จะมีแค่กลิ่นจาง ๆ หรือไม่ก็แทบจะไม่มีกลิ่นเลย (อย่างเช่นพวกสมิงหนุ่ม)  แต่กลิ่นที่ผมสัมผัสได้ในขณะนี้มันทั้งเข้มข้นและรุนแรงจนเหม็นกึกเลยเชียว  ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนที่มีกลิ่นอายอันตรายขนาดนี้หลงเหลืออยู่ในยุทธภพด้วย!

         "ใคร! มันเป็นใครกัน!"

         ทุกคนต่างก็เร่งมองหาบุคคลอันเป็นต้นกำเนิดของกลิ่นที่อันตรายนั่น  กระทั่งพบว่ามันลอยมาจากปะรำที่พำนักของพวกพรรคมังกรทองนั่นเอง! 


    จบตอน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×