ลำดับตอนที่ #37
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #37 : พบกันบนยอดเขาเซียนหมื่นลี้
และแล้ววันเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงฤกษ์ยามแห่งการชิงชัยระหว่างพวกเทียนซานและประมุขพรรคใหญ่น้อยในยุทธภพ ศึกชิงจ้าวยุทธจักรครั้งที่สองซึ่งรวบรวมเฉพาะเหล่ายอดฝีมือจากทั่วทุกแห่งในดินแดนต้าหลงเพื่อเฟ้นหาสุดยอดจอมยุทธอันดับหนึ่งในโลก ...ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่รู้ ๆ กันอยู่ว่าไอ้ศึกประลองที่ว่าเนี่ย ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันมารุมตีนเส้าเทียนอิ้งคนเดียวนั่นแหละ ส่วนเรื่องอันดับหนึ่งอะไรนั่นเป็นแค่น้ำจิ้มเฉย ๆ เพราะถ้าใครเก่งกล้าสามารถล้มจอมมารลงได้ยังจะโด่งดังมีชื่อเสียงมากกว่าเป็นไหน ๆ
"เท่านี้ก็เรียบร้อย!"
จอมมารในร่างน้องหมาขยับหาที่ทางภายในเสื้อคลุมตัวใหญ่ประจำยศของมัน ซึ่งสินหุ่ยเป็นคนจัดหามาให้ผมสวมในระหว่างเดินทางขึ้นไปยังยอดเขาเซียนหมื่นลี้ สถานที่จัดงานประลองในวันนี้ โดยทางลูกสมุนของเส้าเทียนอิ้งได้จัดเตรียมพื้นที่สำหรับจัดการประลองไว้ล่วงหน้าภายใต้ความร่วมมือกับพวกพรรคใหญ่เรียบร้อยแล้ว
"ฟังนะเจ้าหนู ตอนนี้หากเจ้าเดินพลังลมปราณเต็มที่ถึงขั้นที่สามเมื่อไหร่ย่อมไร้ผู้ต่อกรได้แน่ เพราะเท่าที่ข้าลองสำรวจดูหัวหน้าพรรคใหญ่ที่เหลือล้วนอ่อนด้อยกว่าพวกปรมาจารย์เมื่อครั้งการประลองครั้งแรกเสียอีก!"
ระหว่างที่ฝึกฝนบนแท่นศิลาก่อนหน้านี้ พวกองค์รักษ์ทั้งเจ็ดได้เล่าท้าวความการประลองในครั้งแรกให้ผมฟังไปแล้ว ส่วนมากก็คือเส้าเทียนอิ้งเกรียนแตกเล่นงานพวกพรรคใหญ่ทั้งหมดรวมถึงถล่มสถานที่จัดงานซะไม่เหลือดีเลย เรียกว่าหลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ไม่เผาผีกันอีกเลยจวบจนทุกวันนี้ จะว่าไปผมว่าพวกนั้นก็มีสิทธิ์แค้นอยู่นะ ก็ดูจอมมารมันอาละวาดขนาดนี้นี่หว่า?
"เชิญท่านเจ้าสำนักเทียนซานที่ด้านนี้เลยขอรับ..."
เมื่อขึ้นไปถึงบนยอดเขา ปรากฏกลุ่มนักพรตนุ่งขาวห่มขาวท่าทางน่าเกรงขามออกมาให้การต้อนรับพวกผมเป็นอย่างดี สินหุ่ยแอบกระซิบว่าพวกนี้คือนักพรตแห่งตำหนักวิถีเซียน ตามปกติแล้วจะมุ่งฝึกฌาณและบำเพ็ญพรตให้สำเร็จวิชาเซียนตามแบบฉบับของพวกตน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยุทธจักรโดยเด็ดขาด ทางเทียนซานและห้าพรรคใหญ่จึงขอรบกวนให้ช่วยมาเป็นคนกลางผู้ดูแลการประลองในครั้งนี้ด้วย
"โห... ดูทรงแล้วน่าจะเก่งกาจเอาเรื่องอยู่นะ พวกนี้ไม่ยุ่งเรื่องในยุทธภพเลยเหรอ?"
"นักพรตวิถีเซียนนั้นกล่าวกันว่ามีความสามารถบางอย่างที่พวกชาวยุทธไม่มี แต่ก็ขาดบางสิ่งที่ชาวยุทธล้วนช่ำชองเช่นกัน หากงัดข้อประลองอย่างจริงจังข้าว่าอาจจะสูสีกับพวกพรรคใหญ่เลยทีเดียว"
ฟังจากน้ำเสียงของสินหุ่ยก็ดูจะเคารพยำเกรงพวกนักพรตพอสมควรทีเดียว มิน่าตอนมีเรื่องที่เทียนซานพวกนี้ถึงไม่มาร่วมวงไพบูลย์ด้วย เพราะความเคร่งครัดต่อกฏของสำนักตนเช่นนี้เลยได้เครดิตจากเทียนซานไปไม่น้อยเลยมั้งเนี่ย
"นี่คือปะรำสำหรับพรรคเทียนซานขอรับ การประลองจะเริ่มขึ้นเมื่อแสงอาทิตย์ขึ้นตรงกลางศีรษะพอดี ระหว่างนี้เชิญทุกท่านตามสะดวก"
นักพรตนำทางมายังศาลาทรงกลมขนาดใหญ่ที่ตกแต่งหรูหราไม่เบา มีเก้าอี้สำหรับนั่งชมแบบติดขอบเวทีรวมถึงบัลลังก์ที่บุด้วยทองคำด้านในสุด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมจะได้นั่งตรงนั้นในฐานะของผู้นำแห่งพรรคมาร ฮี่ ๆ เป็นคนใหญ่คนโตมันก็ดียังงี้แหละ และจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีน้องหมามาเต้นกระยุกกระยิกอยู่ใต้ร่มผ้าตรูเนี่ย!
"ท่านประมุขเชิญขอรับ"
เจ็ดองค์รักษ์ตรวจตราความเรียบร้อยโดยถ้วนทั่วปะรำพิธี เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีจึงเชิญผมเเข้าไปนั่งที่บนบังลังก์ ศาลานี้ตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางของลานกว้างที่วัดขนาดด้วยสายตาแล้วน่าจะใหญ่กว่าสนามฟุตบอลเสียอีก ตรงมุมทั้งสี่มีปักเสาธงขนาดใหญ่ล้อมเอาไว้ทุกด้านเพื่อวัดระยะพื้นที่สำหรับการประลอง มองข้ามไปยังอีกฟากก็จะเห็นปะรำแบบเดียวกันนี้อีกห้าหลังตั้งเรียงกันห่างเป็นระยะ ซึ่งก็คงไม่พ้นเป็นที่นั่งของพวกห้าพรรคใหญ่แน่ ๆ นอกจากนั้นยังมีศาลาขนาดเล็กตั้งห่างออกไปอีก อาจจะเป็นพวกพรรคเล็กพรรครองจากนี้ลงไปหรือไม่ก็ที่นั่งคนดูล่ะมั้ง?
"ท่านเส้าเทียนอิ้ง ไม่ได้พบกันนานเลยนะขอรับ!"
จู่ ๆ เสียงอันเยียบเย็นทว่าทรงพลังดังจากทางด้านหลังผมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มันคือนักพรตชราผู้หนึ่ง เส้นผมและเครายาวสีขาวโพลนราวกับหิมะ ภายใต้ริ้วรอยอันเหี่ยวย่นตามกาลเวลานั่นคือดวงตาที่เปล่งประกายไม่แพ้พวกคนหนุ่มเลย แค่ผมหันไปมองก็รู้สึกขนลุกแล้ว เจ้านี่มันแอบมายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมพวกองค์รักษ์และสินหุ่ยถึงไม่ทันสังเกตได้?
" เจ็ดดาว เองรึ? ไม่เจอกันนานเสียจริง!"
นักพรตชราพยักหน้ารับโดยไม่ยิ้มหรือบึ้งตึง สีหน้าแกดูเรียบเฉยทำให้เดาไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ ๆ สัญชาตญาณในตัวผมมันร้องบอกว่าเจ้านี่ต้องเป็นยอดฝีมือชัวร์ ๆ แค่ยืนตัวตรงธรรมดายังรู้สึกเหมือนมีไอพลังแผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่างเลย
"นับจากการประลองในคราวที่แล้ว ข้าเองก็ไม่นึกว่าจะมีโอกาสอยู่จนถึงวันที่ได้ชมการต่อสู้ของท่านอีกครั้ง นับว่าวันเวลาที่ล่วงเลยมาไม่เสียเปล่าจริง ๆ"
จะว่าไปดูแล้วก็ทำให้คิดถึงจอมมารตอนที่เจอกันใหม่ ๆ ร่างอันแก่ชราที่วิญญาณน้องหมาเข้าสิงก่อนหน้านี้ (ปัจจุบันเห็นว่าตายไปเสียล่ะ น่าสงสารจัง) ก็น่าจะอายุพอ ๆ กันเลยเชียว มิน่าถึงเคยอยู่ดูการประลองในครั้งแรกด้วย
"กระนั้นข้าต้องขอให้ท่านช่วยควบคุมอารมณ์อันพลุ่งพล่านเมื่อยามกระหายเลือดด้วย มิเช่นนั้นเจ็ดดาวผู้นี้อาจต้องล่วงเกิน!"
"ไม่ต้องเป็นห่วงน่า! ข้าเองก็..."
แล้วบทสนทนาก็ตัดขาดลงกลางครัน เมื่อทุกคนสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอันร้ายกาจที่แผ่ซ่านมาจากทางด้านนอกลานประลอง ถ้าจะให้ผมอธิบายเปรียบเทียบกับกลิ่นล่ะก็ กลิ่นของพวกคนเก่ง ๆ อย่างประมุขพรรคทั้งห้าหรือพวกเจ็ดองค์รักษ์เทียนซานนี่จะมีกลิ่นที่เข้มข้นและฉุนแตะจมูกเล็กน้อย ในขณะที่พวกชาวยุทธทั่ว ๆ ไปก็จะมีแค่กลิ่นจาง ๆ หรือไม่ก็แทบจะไม่มีกลิ่นเลย (อย่างเช่นพวกสมิงหนุ่ม) แต่กลิ่นที่ผมสัมผัสได้ในขณะนี้มันทั้งเข้มข้นและรุนแรงจนเหม็นกึกเลยเชียว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนที่มีกลิ่นอายอันตรายขนาดนี้หลงเหลืออยู่ในยุทธภพด้วย!
"ใคร! มันเป็นใครกัน!"
ทุกคนต่างก็เร่งมองหาบุคคลอันเป็นต้นกำเนิดของกลิ่นที่อันตรายนั่น กระทั่งพบว่ามันลอยมาจากปะรำที่พำนักของพวกพรรคมังกรทองนั่นเอง!
จบตอน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น