ลำดับตอนที่ #93
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #93 : มองเห็นแต่มองไม่เห็น อยู่ใกล้เหมือนอยู่ไกล
ศึกที่ลานกว้างภายในสำนักมังกรทองกำลังขมวดปมเข้าสู่จุดสุดท้ายต้าเหยียนกังและจางถังยี่ผสานรวมสองวิชาเข้าด้วยกัน กำเนิดเป็นกระบวนท่าคชสารคลั่ง มังกรวินาศอันแสนร้ายกาจ คลื่นพลังวิ่งพล่านกลางอากาศราวกับพายุแห่งฝันร้าย หากโดนเจ้านี่เข้าไปแน่นอนว่าได้ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นแน่
"ตายซะเถอะเส้าเทียนอิ้ง!!!"
ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นตายนั้นเอง หูของผมไม่ได้ยินอะไร ไม่ได้ยินเสียงแหวกอากาศของคลื่นลมปราณ ไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของเจ้าหมาน้อย ไม่มีแม้เสียงลมพัดหรือชายผ้าคลุมสะบัด ราวกับโลกของผมถูกตัดขาดจากบรรยากาศรอบข้างโดยสิ้นเชิง
เห็นแต่มองไม่เห็น ไกลแต่เหมือนใกล้
ผมกำลังยืนมองร่างของผม ใช่... มันน่าประหลาดแค่ไหนที่ตัวเองกำลังยืนมองร่างของตัวเองที่ส่องแสงสว่างราวกับมีหลอดนีออนอยู่ข้างในตัว แถมยังยืนห่างออกไปจากจุดที่ผมยืนอยู่นี้สักราวห้าหกเมตรได้ มิหนำซ้ำร่างอีกร่างของผมนั้นก็กำลังจ้องมองมาทางนี้ด้วยเช่นกัน กลายเป็นว่า ในภาวะที่เวลาหยุดนิ่งลงนี้มีตัวของผมยืนอยู่พร้อม ๆ กันถึงสองคน และต่างก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายได้อีกต่างหาก!
"นี่มันอะไรกันเนี่ย?"
แล้วคลื่นพลังของวิชาคชสารคลั่ง มังกรวินาศก็ไหลผ่านช่วงตรงกึ่งกลางระหว่างจุดที่ตัวผมทั้งสองยืนอยู่ ตรงเข้าทำลายกำแพงที่ด้านหลังจนพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี หลังจากนั้นห้วงเวลาก็เริ่มกลับคืนเข้าสู่สภาพปกติอีกครั้ง บรรดาเสียงต่าง ๆ ไหลผ่านเข้ามาทางหูของผมจนอื้ออึงไปหมดในคราวเดียว ทั้งเสียงกำแพงทลาย เสียงตะโกนเรียกของจอมมาร แม้กระทั่งเสียงร้องตกใจของพวกศัตรู
"เจ้าหนู... เจ้า... เจ้าทำได้ยังไง?"
เส้าเทียนอิ้งนั่งงงพลางหันมองทางนี้ทีทางนั้นที พวกจางถังยี่กับต้าเหยียนกังเองก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะไม่เห็นชั่วจังหวะที่คลื่นพลังวิ่งผ่านตัวผมไปแน่ ๆ และเพื่อให้แน่ใจจึงลองถามความเห็นจากน้องหมาดูว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น
"ข้าเห็นแค่เพียงว่าวิชาไม้ตายของพวกมันไหลผ่านร่างของเจ้าไปราวกับมันเป็นเพียงแค่สายลมหรือสายน้ำเท่านั้นเอง!"
อย่างที่คิดจริง ๆ ไม่มีใครมองเห็นหรือรับรู้อะไรเกี่ยวกับห้วงเวลาที่หยุดลงเมื่อครู่เลยนอกจากผมเพียงคนเดียว แม้แต่จอมมารผู้ฉลาดล้ำอย่างเส้าเทียนอิ้งก็ยังอ้าปากค้าง แสดงว่านี่ไม่ใช่วิชาดั้งเดิมของสำนักเทียนซานที่มันเคยใช้สินะ บางทีคงจะเป็นเคล็ดของผู้ชายผมยาวที่เคยเจอในถ้ำมืดนั่นก็เป็นได้?
"เส้าเทียนอิ้ง! เมื่อครู่เจ้าใช้วิชามารอะไรกัน ทำไมถึงรอดพ้นจากท่าไม้ตายของพวกข้าไปได้!!!"
แม้แต่พวกศัตรูเองก็ยังประหวั่นพรั่นพรึง ต้าเหยียนกังส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธก่อนจะกระโจนเข้าใส่อีกครั้ง พริบตานั้นผมไม่ประมาทตั้งรับด้วยฝ่ามือแล้วซัดเข้าที่หัวไหล่ของมันจนร่างกระเด็นไปไกล ด้านจางถังยี่เองก็เกร็งพลังยิงกระสุนดรรชนีอันรุนแรงนั่นอีกครั้ง แน่นอนว่าไม่มีทางหลบพ้น แต่คราวนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว เพราะวิชาดรรชนีไหลผ่านตัวผมไปเฉย ๆ ราวกับอากาศธาตุอีกเช่นกัน
"บัดซบ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!!!"
เออจะว่าไปตอนงานประลองยุทธนั่น วิชาเมฆสีดำที่ลุงจางใช้ก็สามารถดูดกลืนวิชาของชาวบ้านได้เหมือนกันนี่หว่า? บางทีอาจจะมีส่วนเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนี้ก็เป็นได้ เห็นว่าลุงจางตะโกนชื่อวิชาเซียนหรืออะไรนี่แหละ? หรือว่าตอนนี้ผมเองก็ใช้วิชาเซียนได้แล้วรึเนี่ย แบบนี้มันต้องลอง ๆ ผมลองตั้งสติเพ่งกระแสจิตเพื่อหยุดเวลาเหมือนเมื่อครู่ แต่เฮ้ยคราวนี้มันดันทำไม่ได้ขึ้นมาซะเฉย ๆ แถมยังเปิดช่องว่างให้พวกนั้นตรงเข้ามาเล่นงานได้อีก
"เจ้าหนู! ใช้วิชาตัดสองแบ่งหก!"
น้องหมาตะโกนเรียกสติผมกลับมา จึงได้ใช้เคล็ดวิชาสำนักเทียนซานรับมือด้วยการผลักฝ่ามือของต้าเหยียนกังที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วให้ไปทำร้ายจางถังยี่แทน พวกมันไม่ทันระวังจึงรับประทานวิชาของตัวเองเข้าไปเต็มเปา กลิ้นกระดอนไม่เป็นท่า
"ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อครู่เจ้ารอดจากกระบวนท่านั่นมาได้ยังไง แต่ตอนนี้ต้องจัดการเจ้าพวกนี้ให้ราบคาบเสียก่อน!"
เส้าเทียนอิ้งพูดถูก เรื่องความลับของวชิาประหลาดนี่ไว้ค่อยเก็บไปคิดทีหลังก็ได้ แต่ตอนนี้ต้องจัดการกับพวกศัตรูตรงหน้าเสียก่อน คิดได้ดังนี้ผมจึงตั้งท่าโน้มเอวลงต่ำ ยื่นแขนขวาออกไปด้านหน้าเพื่อตั้งกระบวนท่าพิฆาตสำนักเทียนซานที่ชื่อว่า คลื่นวายุแหวกสมุทร ซึ่งเป็นการโจมตีที่รวดเร็วรุนแรงราวกับลมพายุที่ก่อตัวบนท้องทะเลนั่นเอง พวกนั้นเห็นทางนี้ตั้งท่าก็ถอยไปเตรียมตั้งรับเช่นกัน ทว่าในพริบตาถัดมาร่างของพวกมันก็โดนซัดกระเด็นด้วยวิชาพิฆาต ทั้ง ๆ ตัวผมยังไม่ได้ขยับออกจากตำแหน่งปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย ไม่มีใครทันสังเกตเห็นช่วงเวลาที่หยุดนิ่งลงอีกแล้ว!
"ไอ้หนู... ข้าว่ามันแปลก ๆ ชอบกลอยู่นะ เจ้าทำอะไรลงไป!"
เมื่อครู่นี้ผมมองเห็นร่างแยกเรืองแสงของตัวเองอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่ทุกสิ่งหยุดนิ่งผมมองเห็นร่างของผมไปหยุดยืนที่ตรงหน้าของพวกมันทั้งสอง ไม่สิ... ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือผมรับรู้ได้ถึงตัวตนทั้งสามในช่วงเวลาเดียวกัน สองคนที่ซัดท่าพิฆาตใส่พวกมันและอีกหนึ่งคนที่ยืนตั้งท่าอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน ผมคือทั้งสามคนนั้นและทั้งสามคนนั้นก็คือผมที่ไปยืนอยู่ในตำแหน่งนั้นพร้อมกัน เมื่อกี้ที่หลบคลื่นพลังนั่นได้ก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่าร่างแยกของตัวเองหันมามองผมหรอก แต่นั่นคือตัวของผมที่ยืนมองตัวของผมในอีกตำแหน่งหนึ่งพร้อม ๆ กันต่างหาก ใช่แล้ว! เหมือนกับดวงแสงในถ้ำมืดที่ผมคว้าจับได้แต่มันดันไปอยู่ในอีกที่ เพราะแท้ที่จริงแล้วดวงแสงนั่นไม่ได้อยู่ตรงหน้า ไม่ได้โดนผมจับได้ และมันไม่ได้อยู่จำเพาะตรงจุดไหนสักแห่งเลยด้วยซ้ำ
"เห็นแต่มองไม่เห็น อยู่ไกลเหมือนอยู่ใกล้... ประโยคนั่นที่แท้มันแฝงความหมายแบบนี้ไว้เองเหรอเนี่ย?"
แม้จะยังขบปริศนาทั้งหมดไม่ออก แต่อย่างน้อยผมก็รู้แล้วว่าวิชานี้ไม่ได้เป็นการหยุดเวลา ทว่ามันคือการก้าวข้ามห้วงเวลาไปเลยต่างหากล่ะ! ที่มองเห็นเหมือนเวลาหยุดลงนั้นมันไม่ใช่เลย ที่จริงคือผมเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งต่าง ๆ โดยไม่อาศัยปัจจัยที่เรียกว่ากาลเวลาต่างหากล่ะ เลยทำให้สิ่งอื่นใดที่ยังคงติดอยู่ในกระแสของธารเวลาไม่ได้ขยับเขยื้อนหรือรับรู้การกระทำของทางนี้ไปด้วย เลยเป็นที่มาของคำว่าเห็นแต่ไม่เห็น ไกลแต่ใกล้ เพราะผู้อื่นไม่สามารถวัดการมีอยู่ของวิชานี้ได้ด้วยประสาทสัมผัสธรรมดานั่นเอง!
จบตอน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น