ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพเซียนเกรียนยุทธภพ!

    ลำดับตอนที่ #93 : มองเห็นแต่มองไม่เห็น อยู่ใกล้เหมือนอยู่ไกล

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 215
      13
      6 ม.ค. 62


         ศึกที่ลานกว้างภายในสำนักมังกรทองกำลังขมวดปมเข้าสู่จุดสุดท้ายต้าเหยียนกังและจางถังยี่ผสานรวมสองวิชาเข้าด้วยกัน  กำเนิดเป็นกระบวนท่าคชสารคลั่ง มังกรวินาศอันแสนร้ายกาจ  คลื่นพลังวิ่งพล่านกลางอากาศราวกับพายุแห่งฝันร้าย  หากโดนเจ้านี่เข้าไปแน่นอนว่าได้ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นแน่ 

         "ตายซะเถอะเส้าเทียนอิ้ง!!!"

         ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นตายนั้นเอง  หูของผมไม่ได้ยินอะไร  ไม่ได้ยินเสียงแหวกอากาศของคลื่นลมปราณ  ไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของเจ้าหมาน้อย  ไม่มีแม้เสียงลมพัดหรือชายผ้าคลุมสะบัด  ราวกับโลกของผมถูกตัดขาดจากบรรยากาศรอบข้างโดยสิ้นเชิง

    เห็นแต่มองไม่เห็น  ไกลแต่เหมือนใกล้

    ผมกำลังยืนมองร่างของผม  ใช่... มันน่าประหลาดแค่ไหนที่ตัวเองกำลังยืนมองร่างของตัวเองที่ส่องแสงสว่างราวกับมีหลอดนีออนอยู่ข้างในตัว  แถมยังยืนห่างออกไปจากจุดที่ผมยืนอยู่นี้สักราวห้าหกเมตรได้  มิหนำซ้ำร่างอีกร่างของผมนั้นก็กำลังจ้องมองมาทางนี้ด้วยเช่นกัน  กลายเป็นว่า  ในภาวะที่เวลาหยุดนิ่งลงนี้มีตัวของผมยืนอยู่พร้อม ๆ กันถึงสองคน  และต่างก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายได้อีกต่างหาก!

         "นี่มันอะไรกันเนี่ย?"    

         แล้วคลื่นพลังของวิชาคชสารคลั่ง มังกรวินาศก็ไหลผ่านช่วงตรงกึ่งกลางระหว่างจุดที่ตัวผมทั้งสองยืนอยู่  ตรงเข้าทำลายกำแพงที่ด้านหลังจนพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี  หลังจากนั้นห้วงเวลาก็เริ่มกลับคืนเข้าสู่สภาพปกติอีกครั้ง  บรรดาเสียงต่าง ๆ ไหลผ่านเข้ามาทางหูของผมจนอื้ออึงไปหมดในคราวเดียว  ทั้งเสียงกำแพงทลาย  เสียงตะโกนเรียกของจอมมาร  แม้กระทั่งเสียงร้องตกใจของพวกศัตรู 

         "เจ้าหนู... เจ้า... เจ้าทำได้ยังไง?"

         เส้าเทียนอิ้งนั่งงงพลางหันมองทางนี้ทีทางนั้นที  พวกจางถังยี่กับต้าเหยียนกังเองก็เช่นกัน  ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะไม่เห็นชั่วจังหวะที่คลื่นพลังวิ่งผ่านตัวผมไปแน่ ๆ  และเพื่อให้แน่ใจจึงลองถามความเห็นจากน้องหมาดูว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น

         "ข้าเห็นแค่เพียงว่าวิชาไม้ตายของพวกมันไหลผ่านร่างของเจ้าไปราวกับมันเป็นเพียงแค่สายลมหรือสายน้ำเท่านั้นเอง!"

         อย่างที่คิดจริง ๆ ไม่มีใครมองเห็นหรือรับรู้อะไรเกี่ยวกับห้วงเวลาที่หยุดลงเมื่อครู่เลยนอกจากผมเพียงคนเดียว  แม้แต่จอมมารผู้ฉลาดล้ำอย่างเส้าเทียนอิ้งก็ยังอ้าปากค้าง  แสดงว่านี่ไม่ใช่วิชาดั้งเดิมของสำนักเทียนซานที่มันเคยใช้สินะ  บางทีคงจะเป็นเคล็ดของผู้ชายผมยาวที่เคยเจอในถ้ำมืดนั่นก็เป็นได้? 

         "เส้าเทียนอิ้ง! เมื่อครู่เจ้าใช้วิชามารอะไรกัน  ทำไมถึงรอดพ้นจากท่าไม้ตายของพวกข้าไปได้!!!"

         แม้แต่พวกศัตรูเองก็ยังประหวั่นพรั่นพรึง  ต้าเหยียนกังส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธก่อนจะกระโจนเข้าใส่อีกครั้ง  พริบตานั้นผมไม่ประมาทตั้งรับด้วยฝ่ามือแล้วซัดเข้าที่หัวไหล่ของมันจนร่างกระเด็นไปไกล  ด้านจางถังยี่เองก็เกร็งพลังยิงกระสุนดรรชนีอันรุนแรงนั่นอีกครั้ง  แน่นอนว่าไม่มีทางหลบพ้น  แต่คราวนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว  เพราะวิชาดรรชนีไหลผ่านตัวผมไปเฉย ๆ ราวกับอากาศธาตุอีกเช่นกัน

         "บัดซบ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!!!"

         เออจะว่าไปตอนงานประลองยุทธนั่น  วิชาเมฆสีดำที่ลุงจางใช้ก็สามารถดูดกลืนวิชาของชาวบ้านได้เหมือนกันนี่หว่า?  บางทีอาจจะมีส่วนเชื่อมโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนี้ก็เป็นได้  เห็นว่าลุงจางตะโกนชื่อวิชาเซียนหรืออะไรนี่แหละ?  หรือว่าตอนนี้ผมเองก็ใช้วิชาเซียนได้แล้วรึเนี่ย  แบบนี้มันต้องลอง ๆ  ผมลองตั้งสติเพ่งกระแสจิตเพื่อหยุดเวลาเหมือนเมื่อครู่  แต่เฮ้ยคราวนี้มันดันทำไม่ได้ขึ้นมาซะเฉย ๆ แถมยังเปิดช่องว่างให้พวกนั้นตรงเข้ามาเล่นงานได้อีก

         "เจ้าหนู! ใช้วิชาตัดสองแบ่งหก!"

         น้องหมาตะโกนเรียกสติผมกลับมา  จึงได้ใช้เคล็ดวิชาสำนักเทียนซานรับมือด้วยการผลักฝ่ามือของต้าเหยียนกังที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วให้ไปทำร้ายจางถังยี่แทน  พวกมันไม่ทันระวังจึงรับประทานวิชาของตัวเองเข้าไปเต็มเปา  กลิ้นกระดอนไม่เป็นท่า

         "ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อครู่เจ้ารอดจากกระบวนท่านั่นมาได้ยังไง  แต่ตอนนี้ต้องจัดการเจ้าพวกนี้ให้ราบคาบเสียก่อน!"

         เส้าเทียนอิ้งพูดถูก  เรื่องความลับของวชิาประหลาดนี่ไว้ค่อยเก็บไปคิดทีหลังก็ได้  แต่ตอนนี้ต้องจัดการกับพวกศัตรูตรงหน้าเสียก่อน  คิดได้ดังนี้ผมจึงตั้งท่าโน้มเอวลงต่ำ  ยื่นแขนขวาออกไปด้านหน้าเพื่อตั้งกระบวนท่าพิฆาตสำนักเทียนซานที่ชื่อว่า คลื่นวายุแหวกสมุทร  ซึ่งเป็นการโจมตีที่รวดเร็วรุนแรงราวกับลมพายุที่ก่อตัวบนท้องทะเลนั่นเอง  พวกนั้นเห็นทางนี้ตั้งท่าก็ถอยไปเตรียมตั้งรับเช่นกัน  ทว่าในพริบตาถัดมาร่างของพวกมันก็โดนซัดกระเด็นด้วยวิชาพิฆาต  ทั้ง ๆ ตัวผมยังไม่ได้ขยับออกจากตำแหน่งปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย  ไม่มีใครทันสังเกตเห็นช่วงเวลาที่หยุดนิ่งลงอีกแล้ว!

         "ไอ้หนู... ข้าว่ามันแปลก ๆ ชอบกลอยู่นะ  เจ้าทำอะไรลงไป!"

         เมื่อครู่นี้ผมมองเห็นร่างแยกเรืองแสงของตัวเองอีกครั้ง  ในช่วงเวลาที่ทุกสิ่งหยุดนิ่งผมมองเห็นร่างของผมไปหยุดยืนที่ตรงหน้าของพวกมันทั้งสอง  ไม่สิ... ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือผมรับรู้ได้ถึงตัวตนทั้งสามในช่วงเวลาเดียวกัน  สองคนที่ซัดท่าพิฆาตใส่พวกมันและอีกหนึ่งคนที่ยืนตั้งท่าอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน  ผมคือทั้งสามคนนั้นและทั้งสามคนนั้นก็คือผมที่ไปยืนอยู่ในตำแหน่งนั้นพร้อมกัน  เมื่อกี้ที่หลบคลื่นพลังนั่นได้ก็เช่นกัน  ไม่ใช่ว่าร่างแยกของตัวเองหันมามองผมหรอก  แต่นั่นคือตัวของผมที่ยืนมองตัวของผมในอีกตำแหน่งหนึ่งพร้อม ๆ กันต่างหาก  ใช่แล้ว! เหมือนกับดวงแสงในถ้ำมืดที่ผมคว้าจับได้แต่มันดันไปอยู่ในอีกที่  เพราะแท้ที่จริงแล้วดวงแสงนั่นไม่ได้อยู่ตรงหน้า  ไม่ได้โดนผมจับได้  และมันไม่ได้อยู่จำเพาะตรงจุดไหนสักแห่งเลยด้วยซ้ำ

         "เห็นแต่มองไม่เห็น  อยู่ไกลเหมือนอยู่ใกล้... ประโยคนั่นที่แท้มันแฝงความหมายแบบนี้ไว้เองเหรอเนี่ย?" 

         แม้จะยังขบปริศนาทั้งหมดไม่ออก  แต่อย่างน้อยผมก็รู้แล้วว่าวิชานี้ไม่ได้เป็นการหยุดเวลา  ทว่ามันคือการก้าวข้ามห้วงเวลาไปเลยต่างหากล่ะ!  ที่มองเห็นเหมือนเวลาหยุดลงนั้นมันไม่ใช่เลย  ที่จริงคือผมเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งต่าง ๆ โดยไม่อาศัยปัจจัยที่เรียกว่ากาลเวลาต่างหากล่ะ  เลยทำให้สิ่งอื่นใดที่ยังคงติดอยู่ในกระแสของธารเวลาไม่ได้ขยับเขยื้อนหรือรับรู้การกระทำของทางนี้ไปด้วย  เลยเป็นที่มาของคำว่าเห็นแต่ไม่เห็น  ไกลแต่ใกล้  เพราะผู้อื่นไม่สามารถวัดการมีอยู่ของวิชานี้ได้ด้วยประสาทสัมผัสธรรมดานั่นเอง!


    จบตอน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×