ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] I'm your Toy. ผมเป็นของเล่นของคุณ (8P)

    ลำดับตอนที่ #30 : ตอนที่29 ผมกับ...คนดูแล

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.73K
      70
      11 พ.ย. 61

    ตอนที่29

    ผมกับ...คนดูแล 

     

       ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้ป่วยหนักอะไร


       ที่เป็นอยู่ก็แค่อาการบาดเจ็บในระดับที่ร่างกายเคลื่อนไหวไม่สะดวกเท่านั้น มันไม่มีความจำเป็นขนาดต้องให้ใครมา ดูแล หรอกนะ


      

       ...


       "ฉันเฝ้าเอง!"


        เสียงจินดังขึ้นเป็นคนแรกหลังเวย์ได้เปิดประเด็นพูดเรื่องที่ผมจำเป็นต้องมีคนคอยดูแลในระหว่างที่บาดเจ็บอยู่ 


       อันที่จริง... ผมไม่คิดว่าแค่ข้อมือบวมเพราะการกระแทกเป็นอาการบาดเจ็บที่หนักหนาอะไรนักหรอกนะ แต่ก็ค้านอะไรไม่ได้เมื่อพวกจินที่ตามมาสมทบในตอนเย็นต่างพูดเสนอชื่อตัวเองขอเป็นคนดูแลผมและเปิดฉากสงครามน้ำลายขึ้น


       "อย่าดีกว่าน่า อย่างจินน่ะดูแลใครไม่เป็นหรอก ดีไม่ดีทอยจะอาการหนักกว่าเดิมซะมากกว่า"


       "หนอย ว่าไงนะริกซ์! ฉันทำได้หรอกน่า ฉันจะดูแลทอยเองได้ นายนั่นแหละกลับไปท่องตำราไป แบร่!"จินแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คู่สนทนา ซึ่งริกซ์กอดอกพร้อมปรายตามองไปทางจินด้วยท่าทางถือดี


       "ฉันฉลาดพอ... แค่ท่องรอบเดียวก็จำได้ ไม่เหมือนใครบางคนที่ต้องพูดอธิบายซ้ำเป็นล้านๆ รอบกว่าจะเข้าใจ"คำพูดของริกซ์ทำให้จินคิ้วกระตุก ก่อนพูดสวนกลับไป


       "เป็นแค่หนอนตำราอย่ามาทำวางท่าน่า... พวกหนอนหนังสือเอ๊ย!"


       "ว่าใครหนอนหนังสือ! พูดอย่างนี้วันสอบอย่ามาให้ฉันติวอีกนะไอ้หัวขี้เลื่อย!"หลังโดนว่าว่าเป็นหนอนหนังสือริกซ์ก็มีท่าทางยัวะขึ้นมา จินเองก็ดูจะเป็นเดือดเป็นร้อนกับคำด่าของริกซ์ ทั้งสองคนจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร และก่อนที่จะมีใครได้เปิดปากเริ่มฉะกันอีกรอบก็ได้มีเสียงของกรรมการดังห้ามขึ้น


       "ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกันสิทั้งสองคน ทอยเขาลำบากใจนา"เป็นไปป์เข้าไปห้ามศึกแยกสองคนที่จ้องหน้ากันโดยให้ไนท์ลากจินไปเก็บ ส่วนทางริกซ์ก็ให้ลอสช่วยจัดการอีกที


       ผมมองไปป์อย่างนึกทึ่งเล็กน้อย เพราะตลอดมาผมคิดว่ามีแค่เวย์ซะอีกที่เป็นคอยจัดการ นึกไม่ถึงว่าคนขี้เล่นอย่างไปป์ก็มีมุมที่น่าพึ่งพาแบบนี้เหมือนกัน


       แต่เหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นจินกับริกซ์ทะเลาะพูดเถียงกันเป็นเด็กๆแบบนี้ ตอนที่เถียงกันวุฒิภาวะของทั้งคู่ดูลดลงฮวบฮาบจนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันเหมือนการเถียงกันของเด็กประถมซะมากคนเรียนอยู่มหาลัยฯ


       แค่ว่านะ คำว่า หนอนหนังสือ กับ หัวขี้เลื่อย นี่ จำเป็นต้องโกรธเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้งั้นเหรอ? นั่นถือเป็นคำด่าที่ทำให้รู้สึกเจ็บงั้นเหรอ?


       ระหว่างที่ผมครุ่นคิดอย่างสงสัยคู่กรณีที่ถูกจับแยกก็เหมือนจะสงบสติอารมณ์ได้ และเป็นเวย์ที่ช่วยพูดไกล่เกลี่ยนำคนอื่นๆก ลับมาสู่ประเด็นหลักที่พูดถึงกันแต่แรก


       "ในเมื่อทุกคนอยากจะเป็นคนคอยดูแลทอยกัน งั้นเอาเป็นว่าให้ทอยเป็นคนเลือกเองดีไหมครับว่าอยากให้พวกผมคนไหนมาอยู่ดูแลระหว่างที่ยังไม่หายดี"


       คำพูดของเวย์นำพาสายตาทั้งหลายจับจ้องมาทางผม ซึ่งผมมองสีหน้าออดอ้อนของจิน มองไปป์ที่ยิ้มเผล่อย่างอารมณ์ดี มองซิตซ์ที่ตีหน้ามุ่ยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ มองคนอื่นๆแล้วท้ายสุดก็เลื่อนสายตากลับมายังคนเปิดประเด็น


       ผมมองหน้าเวย์ก่อนถอนหายใจ


       "เวย์ ฉันก็บอกไปแล้วนะว่าแผลแค่นี้ไม่จำเป็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ ไม่กี่วันก็หายแล้ว เพราะงั้นเรื่องคนดูแลน่ะ..."


       "หรือว่าทอยอยากไปพักที่โรงพยาบาลมากกว่างั้นเหรอครับ? มันก็ดีนะครับ อยู่ใกล้หมอก็จะยิ่งหายเร็ว อีกอย่างที่นั่นก็มีพยาบาลคอยดูแลอยู่เยอะ เดี๋ยวผมจ้างพยาบาลพิเศษให้ด้วยเลย ทอยว่าดีไหมครับ?"


       นี่เป็นอีกครั้งในรอบวันที่เวย์พูดแทรกผม ผมก็อยากจะเตือนเวย์เรื่องนี้อยู่หรอกถ้าไม่ใช่ว่าสีหน้าของคนพูดดูยิ้มแย้มผิดปกติแบบนั้น


       ผมกลืนน้ำลายและถ้อยคำอธิบายต่างๆ ลงคอ ชั่งใจคิดอยู่ครู่นึงแล้วถอนใจ พูดออกไปอย่างช่วยไม่ได้


       "ก็ได้ งั้นฉันขอรอบกวนหน่อยแล้วกัน...ไปป์"



       หลังจากที่ผมเลือกไปป์เป็นคนดูแลก็คิดว่าคนอื่นๆจะแยกย้ายกลับคอนโดตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่าทุกคนยังอยู่ต่อ โดยมีแค่ไปป์ที่ขอตัวกลับไปเอาเสื้อผ้าและของใช้สำหรับหนึ่งอาทิตย์


       ผมถอนหายใจด้วยรู้สึกเหนื่อยพิกล


       วันนี้ดูผมจะควบคุมสถาการณ์ไม่ได้สักนิด ตั้งแต่ตอนเวย์กับซิตซ์มาถึงตอนช่วงบ่ายกว่าๆแล้ว ผมรู้สึกเหมือนโดนกดดันจนทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งนิ่งอยู่บนเตียงแล้วมองคนอื่นๆจัดการนี่นั่น


       ไนท์ช่วยผมรดน้ำต้นไม้ในสวน ซิตซ์กับจินขับรถออกไปซื้อพวกของสดตามที่เวย์จดรายการให้ ลอสกับริกซ์ไปช่วยกันจัดห้องทำงานของผมที่เริ่มรก เวย์เองก็คอยดูแลผมอยู่ไม่ห่าง ซึ่งการกระทำของพวกเขาทำให้ผมรู้สึกเกรงใจจนผมแทบอยากจะเปลี่ยนใจไปโรงพยาบาลแทน


       นี่ถ้าไม่ติดว่าอินเหมือนจะมีสายลับแฝงตัวอยู่ทุกที่แบบที่ผมกระดุกกระดิกไปไหนทีอีกฝ่ายเหมือนจะรู้ตัวตลอด ผมคงไม่ต้องรบกวนทั้งเจ็ดคนแบบนี้ 


       คิดถึงตรงนี้ผมก็นึกถึงคำขอร้องที่ผมพูดขอกับเวย์ไว้...


       "อะไรนะครับ? จะไม่ให้บอกพี่อินทราเรื่องที่ทอยบาดเจ็บงั้นเหรอครับ?"


       เสียงเวย์ฟังดูแปลกใจ ผมพยักหน้าให้พร้อมกล่าวสำทับ


       "อืม ฉันไม่อยากให้อินเป็นห่วงน่ะ"


       พอผมตอบไปแบบนั้นเวย์ก็เงียบไป ดวงตาสีฟ้าที่นิ่งเรียบจับจ้องมาที่ผมคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง


       "ก็ได้ครับ... เรื่องคราวนี้ผมจะไม่บอกพี่อินทรา แล้วผมจะบอกคนอื่นๆไม่ให้พูดด้วย แต่..."ผมที่เกือบโล่งใจกับคำตอบเวย์ก็ต้องนิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังประโยคหลัง


       "รับปากผมได้ไหมครับ? ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้อีกให้บอกผม...ให้บอกพวกผมนะครับ อย่าทำให้ผมต้องรู้สึกกังวลและเป็นห่วงทอยมากแบบนี้อีก"


       น้ำเสียงของเวย์และคำขอร้องนั่น มันทำให้ผมแทบลืมเรื่องอินออกจากหัวไป วินาทีนั้นผมเห็นแค่เวย์และดวงตาสีฟ้าอันอ่อนโยน


       "ได้ ฉันสัญญา"


       ผมสัญญาและรับปากไป เวย์ก็มีท่าทางสบายใจขึ้น ก่อนบอกว่าจะกำชับคนอื่นๆไม่ให้พูด


       ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่ ทั้งๆที่ผมคิดว่าวิธีของผมไม่ได้ผิดอะไร


       เพราะถ้าอิน เวย์ และคนอื่นๆรู้เรื่องที่ผมบาดเจ็บหรือไม่สบายก็อาจจะรู้สึกกังวลและเป็นห่วงกัน แต่ถ้าไม่มีใครรู้ก็จะไม่มีใครต้องเป็นห่วงและเป็นกังวลนี่?


       ทั้งๆที่คิดว่าวิธีนี้ดีแล้ว แต่พอเห็นสีหน้าที่ทั้งโมโหและเป็นห่วงผมของเวย์แล้วก็อดจะลังเลและคิดทบทวนใหม่ไม่ได้ว่า...ที่แล้วมาเรื่องที่ผมทำนั้นมันผิดรึเปล่า?


       และมื้อค่ำวันนี้ผมก็ได้ทานอาหารฝีมือเวย์ซึ่งเป็นแกงกะหรี่ไก่หน้าตาน่ากิน แต่ดูเหมือนจะเผ็ดไปหน่อยทำเอาคนคอบางอย่างจินกับริกซ์หน้าแดงก่ำรีบดื่มน้ำลดความเผ็ดกันถ้วนหน้า ถึงจะทำปากเก่งพูดว่าแค่นี้ไม่เท่าไหร่แต่ผมแอบเห็นทั้งคู่ปาดน้ำตาที่เล็ดออกมา


       ทำอวดเก่งแต่สุดท้ายก็ต้องไปรื้อทำแข็งในตู้เย็นมาอมเพื่อดับความเผ็ดอยู่ดี


       จริงๆ สงครามคงไม่เริ่มถ้าไม่ใช่ว่าจินแอบใส่แครอทชิ้นใหญ่ลงในจานของริกซ์แล้วท้าให้กินให้หมด


       "ไหนว่าเก่งจริงไง แค่แครอทยังกินไม่ได้ ไม่เห็นเก่งตรงไหนเลย!"้เพราะคำพูดยั่วยุท้าทายของจินทำให้ริกซ์จิ้มแครอทชิ้นโตแล้วเคี้ยวดูสีหน้าเหยเกปนโมโหก่อนจะท้าให้จินกินมะเขือเทศสี่ชิ้นใหญ่ๆให้หมด ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้เป็นครั้งแรกว่าจินไม่กินมะเขือเทศ


       จินเองพอถูกท้าก็กล้ำกลืนกินมะเขือเทศพวกนั้นเข้าไป หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มสงครามแกงกระหรี่ และไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าว่าจานต่อๆมาที่เวย์ลุกขึ้นไปเติมให้ทั้งคู่นั้นมีสีออกแดงๆกว่าจานแรกๆ


       และผลในท้ายที่สุด ทั้งริกซ์ทั้งจินก็หมดสภาพปากบวมเจ่อกลับคอนโดไป


       ผมส่ายหน้าอย่างขำๆกับพฤติกรรมเด็กๆของทั้งคู่ ขนาดตอนกลับยังไม่วายจ้องหน้ากันจนขึ้นรถเสร็จ


       "นี่พวกจินกับริกซ์ทะเลาะกันแบบนี้เสมอเลยเหรอ?"


       ผมถามไปป์ที่ตอนนี้กำลังจัดเตียงปัดฝุ่นจัดหมอน น่าดีใจแทนไปป์ที่ตอนผมเลือกซื้อเตียง เตียงคิงไซส์เผอิญอยู่ในช่วงลดราคาพอดี ไปป์จึงโชคดีที่ไม่ต้องไปนอนที่โซฟาหรือที่พื้น ซึ่งหากต้องเป็นแบบนั้นจริง ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องให้อีกฝ่ายกลับไปนอนที่คอนโดตัวเองแน่นอน


       "หา? อ้อ จินกับริกซ์น่ะเหรอ? คู่นั้นก็เป็นอย่างนั้นประจำนั่นแหละไม่ต้องห่วงไป"ไปป์พูดพร้อมมือไปมาเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่นั่นกลับให้ผมเงียบลงอย่างใช้ความคิด

     

       ประจำ? แต่ผมเพิ่งเคยเห็นเคยได้ยินพวกเขาทะเลาะกันแบบนี้ครั้งแรกนะ? มันแปลว่าอะไร? 


       ผมมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ หรือเพราะผมไม่สนิทกับพวกเขาพอเลยไม่มีโอกาสได้เห็น?


       "เป็นอะไรไปน่ะ? อยู่ดีๆก็เงียบไป คิดอะไรอยู่งั้นเหรอ?"


       คงเพราะผมเงียบไปเฉยๆ ทำให้ไปป์สะกิดใจ อีกฝ่ายหยุดจัดที่นอนแล้วหันถามผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หมุนอย่างสงสัย ซึ่งผมลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ


       "ก็...แค่สงสัยว่าทำไมช่วงก่อนหน้าถึงไม่เห็นพวกจินเถียงกันเลยน่ะ"พอผมพูดจบไปป์ก็มองหน้าผมแล้วหัวเราะ


       "ก็แหงอยู่แล้วที่ทอยจะไม่เห็น! ฮึๆ"อีกฝ่ายพูดไปพร้อมหัวเราะไปจนผมคลายคิ้วที่มุ่นอยู่ออกรอฟังคำอธิบายจากอีกฝ่าย


       "ก่อนหน้านี้พวกนั้นพยายามทำตัวให้ดูเป็นผู้ใหญ่ต่อหน้านายเพราะคิดมากเรื่องความต่างของอายุน่ะ เพราะงั้นสองคนนั่นเลยตกลงสงบศึกกันชั่วคราว แต่พักหลังๆลายเริ่มออก...ก็อย่างว่าล่ะนะจินกับริกซ์เป็นประเภทฝืนตัวเองไม่ได้นานนักหรอก แต่พวกนั้นก็พยายามมากนะ เพิ่งมีวันนี้นี่แหละที่เก๊กหลุดกันทั้งคู่"ไปป์พูดอธิบายพร้อมทิ้งน้ำหนักลงบนเตียง ใช้สองมือยันขอบเตียงไว้
     

       "แต่ทอยก็เห็นใช่ไหมว่าพวกนั้นมันเด็กกันขนาดไหน ถ้ายังไงถ้าวันหนึ่งทอยจะเลือกใคร...ก็ลือกฉันแล้วกันนะ"ไปป์พูดพร้อมขยิบตาเหมือนหยอกเล่น แต่ผมรู้ดีว่าถ้อยคำนั้นมันจริงจัง แต่เพราะผมไม่รู้จะตอบอะไรจึงได้ส่งยิ้มบางๆให้
     

       "นั่นสินะ สองคนนั้นทะเลาะกันเหมือนเด็กๆเลย แล้วพวกจินชอบเถียงกันเป็นประจำเลยงั้นเหรอ?"ผมเปลี่ยนเรื่องแล้วถามต่ออย่างนึกสนใจ จะว่าไปผมก็แทบไม่ได้ซักถามหรือพูดคุยกับพวกไปป์แบบนี้มาก่อน
     

       ทุกครั้งไม่ไปป์ก็จินหรือไม่ก็พวกลอสริกซ์ที่จะเป็นฝ่ายเปิดหัวข้อพูดคุย โดยที่ผมมักทำตัวเป็นผู้ฟังและตอบคำถามเป็นครั้งคราว


       ถ้าจะให้พูดเกือบห้าเดือนมานี่ผมรู้เรื่องของพวกเขาเพียงผิวเผิน รู้แค่เรื่องที่ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แต่ผมไม่เคยก้าวก่ายถามเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าเรื่องเพื่อน เรื่องครอบครัว ผมแค่รับฟังในสิ่งที่พวกเขาบอกเล่ามาแต่ไม่เคยเป็นฝ่ายซักถามสักที นี่ก็คงเป็ครั้งแรกที่ผมเอ่ยปากถามเรื่องอย่างนี้ก่อน
     

       "ก็ประจำล่ะนะ พวกนั้นทะเลาะกันตั้งแต่อยู่ประถมยันตอนนี้ก็ยังเถียงไร้สาระกันอีก แต่สองคนนั่นก็แค่เถียงเล่นๆนั่นแหละ ไม่เคยเห็นโกรธเป็นจริงเป็นจังสักที ถึงแรกๆจินจะเหม็นขี้หน้าริกซ์แบบสุดๆก็เถอะ"
     

       "เหม็นขี้หน้า?"ผมทวนคำอย่างประหลาดใจ ซึ่งไปป์สำทับคำก่อนเล่าต่อ


       "ใช่สิ ตอนสมัยประถมจินเคยเป็นหัวหน้าด้วย เพราะเป็นลูกครึ่งด้วยบวกกับหมอนั่นมันขี้อ้อนพวกคุณครูเขาเลยเอ็นดู พวกเด็กผู้หญิงในโรงเรียนก็แอบปิ๊งจินกันไม่น้อยเลยล่ะ ก็นะ...หมอนั่นมันเนื้อหอมตั้งแต่เด็กๆแล้ว"ไปป์พูดพร้อมยักไหล่ ในน้ำเสียงนั้นซ่อนความระอาแกมหมั่นไส้เอาไว้ ซึ่งผมพยักหน้าเมื่อพอจะนึกภาพจินตอนเด็กๆออก

       อย่างจินนี่ตอนเด็กๆคงน่ารักมากแน่ๆ
     

       พอคิดๆแล้วก็ชักอยากเห็นภาพของจินสมัยอยู่ประถมสักครั้งเหมือนกันแฮะ


        "แต่ก็นั่นแหละ ตอนเกรด7พวกลอสริกซ์ก็ย้ายเข้ามาเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน ลอสน่ะเรียนอยู่ห้องเดียวกับฉัน ส่วนริกซ์เรียนอยู่ห้องเดียวกับจิน ก็ตามประสาคนเราล่ะนะ เวลาเห็นอะไรใหม่ๆก็เห่อ ริกซ์ที่เพิ่งย้ายมาเลยเป็นที่นิยมของเด็กในห้องแทน"ไปป์เล่าพร้อมยักไหล่ หยิบหมอนใบหนึ่งบนเตียงของผมมานั่งกอด พลางกดปลายคางเข้ากับหมอนสีขาวเบาๆ แล้วว่าต่อ


        "ทอยเองก็คงพอจะรู้ว่าจินน่ะเป็นประเภทขี้หวง พอเพื่อนในห้องไปสนใจริกซ์ก็เลยไม่พอใจ เพราะรู้สึกเหมือนถูกแย่งความสนใจ ทีนี้หมอนั่นเลยตั้งตัวเป็นศัตรูกับริกซ์ ชอบเข้าไปหาเรื่องท้าริกซ์แข่งนู่นแข่งนี่ แล้วริกซ์ก็เป็นประเภทไม่ยอมแพ้ โดนท้ามาก็ไม่ยอม ไปๆมาๆสองคนนั่นก็กลายเป็นคู่ปรับกัน..."เล่าถึงตรงนี้ไปป์ก็หยุด ก่อนหัวเราะเบาๆเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก

        "นี่ทอยรู้ไหม? ตอนนั้นจินน่ะไม่รู้เลยว่าริกซ์มีฝาแฝด หมอนั่นไม่รู้จักลอส พอสวนกับลอสก็เลยเข้าไปหาเรื่องเพราะคิดว่าเป็นริกซ์ แถมกว่าจะรู้ความจริงจนจบเกรด7โน่น วันนั้นจินมันเห็นลอสกับริกซ์เดินอยู่ด้วยกันเป็นครั้งแรกถึงกับอึ้งไปเลย ฉันจำสีหน้าเหวอๆของจินได้ติดตาเลยล่ะ!"ไปป์เล่าพร้อมทำสีหน้ากึ่งขำกึ่งสะใจ ซึ่งผมพอจะนึกภาพออกและอดหลุดหัวเราะตามไม่ได้

     

       คิดถึงสีหน้าของจินตอนนั้นแล้วผมก็กลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ ยกหลังมือขึ้นบังปากอย่างเคยชิน แต่เพราะชั่วโมงนี้ร่างกายของผมไม่ปกติ ความเจ็บปวดที่มือขวาแล่นเข้ามาจนผมต้องเม้มปากด้วยความเจ็บ และเพราะไปป์เองก็มองอยู่จึงรีบลุกเดินเข้ามาดูผมอย่างเป็นห่วง


       "เป็นอะไรรึเปล่าทอย?"คำถามของไปป์ทำให้ผมรีบส่ายหน้าให้พร้อมยิ้มบางๆ ถึงจะเจ็บแต่ผมก็เป็นผู้ชาย เรื่องแค่นี้ผมไม่คิดโอดครวญหรอก


       ไปป์ถามซ้ำว่าแน่นะ ซึ่งผมได้แต่พยักหน้าให้อีกฝ่ายไป ไปป์มองหน้าผมเหมือนจะตรวจหาพิรุธ แต่เพราะผมตีหน้านิ่งอีกฝ่ายจึงได้ละสายตาออก


       "ยังไงก็ระวังหน่อยล่ะ ฉันยังไม่อยากโดนคุณแม่เวย์บ่นจนหูชาว่าดูแลนายไม่ดีนะ"ไปป์พูดด้วยน้ำเสียงทำนองล้อเล่นพร้อมขยิบตาให้แบบที่ทำให้ผมต้องหลุดหัวเราะอีกรอบ


       คุณแม่...นั่นสินะ เวย์นี่เหมือนแม่คนจริงๆ เรื่องเล็กๆอย่างแผลหกล้มอีกฝ่ายยังใส่ใจขนาดให้ไปป์มาดูแลผม แต่ว่า...


       "ปกติแผลแค่นี้จำเป็นต้องมีคนดูแลด้วยงั้นเหรอ?"


       "นายว่าไงนะทอย?"เสียงไปป์ทำให้ผมที่เพิ่งรู้ว่าเผลอหลุดปากไปนิ่งค้าง ก่อนจะยอมพูดทวนซ้ำ


       "ฉันแค่สงสัยว่าทำไมเวย์ถึงต้องสนใจแผลเล็กๆแค่นี้ จริงๆฉันว่ามันไม่หนักหนาขนาดต้องรบกวนนายสักหน่อยนี่?"ผมเสริมประโยคหลังที่รู้สึกค้างคา


       ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบที่เวย์ใส่ใจหรอกนะ แต่แบบนี้มันรบกวนอีกฝ่ายเกินไปรึเปล่า? เรื่องแค่นี้เวย์กลับทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งที่ปกติเวย์ก็น่าจะรู้ว่าแผลแค่นี้ไม่ได้หนักหนาอะไร


       จะว่าไปผมก็คิดว่าเวย์แปลกไปตั้งแต่โทรศัพท์มาหาผมแล้ว...


       "ทอยรู้ไหมว่าทำไมคนที่เป็นแฟนกันถึงต้องไปรับไปส่งกัน?"จู่ๆไปป์ก็ถามขึ้นโดยที่ผมก็ได้แต่ตอบไปตามเรื่อง


       "ก็เพราะเป็นหน้าที่ไง"ผมตอบไปป์อย่างงงๆไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำถามนี้


       มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่คนเป็นแฟนกันจะต้องไปรับไปส่งกัน ทั้งเดท ทั้งการโทรศัพท์ไปหา ทั้งการชวนไปทานข้าว มันล้วนแต่เป็นหน้าที่ทั้งนั้น


       จริงๆ ก่อนหน้านี้พวกไปป์เองก็เคยจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เพราะผมรู้เกรงใจไม่อยากให้อีกฝ่ายลำบาก คอนโดของพวกเขากับบ้านของผมก็อยู่ห่างไม่ใช่น้อย ถ้าต้องคอยไปรับไปส่งมันจะเป็นการฝืนกันเกินไปหน่อย เพราะอย่างนั้นเวลาที่พวกเขาชวนผมไปกินเลี้ยงผมเลยเลือกที่จะอยู่ค้างที่คอนโดของพวกเขาแทนแล้วค่อยนั่งแท็กซี่กลับเอง


        ผมจึงไม่เข้าใจว่าทำไมหลังได้ยินคำตอบของผมไปป์ถึงต้องถอนหายใจยาวแล้วส่ายหน้าไปมาแบบนั้น 


       "ผิด ให้ตอบใหม่"ไปป์พูดให้โอกาสผมตอบอีกรอบ ซึ่งผมก็ต้องมาครุ่นคิดว่าสิ่งที่ตัวเองตอบไปนั้นผิดตรงไหน


       "ลองคิดดีๆสิ ว่าทำไมคู่รักหลายคู่ถึงชอบไปรับไปส่งกัน? พวกเขาทำอย่างนั้นไปเพราะอะไร?"เสียงของไปป์ที่พูดกระตุ้นคล้ายบอกใบ้จนผมมุ่นคิ้วคิดพิจารณาอย่างถ้วนถี่อีกครั้ง


       เพราะอะไร? นั่นสินะ ช่วงที่ผมคบกับฝนอีกฝ่ายก็เรียกร้องให้ผมไปรับไปส่ง แต่พอรู้ว่าผมไม่มีรถก็เลิกเรียกร้อง เวลาไปเดทก็นัดไปเจอกันที่ห้างเลย ซึ่งผมเข้าใจ เพราะผมไม่มีรถส่วนตัวอีกฝ่ายเลยทิ้งไปหาคนที่มีรถขับแทน


       พอมาคิดๆดู ที่ผมกับฝนเลิกกันเป็นเพราะอีกฝ่ายอยากได้รถส่วนตัวคอยไปรับไปส่งใช่รึเปล่า? เพราะผมไม่มีอีกฝ่ายถึงได้ไปหาคนอื่นใช่รึเปล่า?


       งั้นแปลว่าเพราะผู้หญิงอยากได้คนไปรับไปส่ง ผู้ชายจึงต้องเป็นคนไปรับไปส่งงั้นเหรอ?


       ไม่สิ ที่ไปป์พูดเมื่อกี้...ไปป์บอกคู่รักหลายคู่ชอบ ไปรับไปส่งกัน การที่พูดว่าชอบ แปลว่าเต็มใจ งั้นทำไมผู้ชายถึงเต็มใจไปรับไปส่งผู้หญิงล่ะ?


       ผมนึกหวนไปยังสมัยมหาลัยฯที่เพื่อนร่วมรุ่นมีคนมารับที่คณะเพื่อไปกินข้าวข้างนอก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งเพื่อนที่คณะคนอื่นๆต้องมองตามท้ายรถของผู้ชายคนนั้นแล้วพูดประชดอย่างอิจฉากันด้วย


       เพราะรถมีราคา? หรือเพราะอิจฉาที่อีกฝ่ายร่ำรวย?


       สำหรับผมเรื่องแบบนั้นมันเข้าใจได้ยากมากกว่าหลักสูตรฟิสิกข์ที่มีความเป็นเหตุเป็นผลชัดเจนซะอีก

     

       "ทอย?"เสียงไปป์ดังขึ้นฉุดให้ผมรู้สึกตัว ดูเหมือนว่าผมจะเผลอคิดหาคำตอบนานไปหน่อยและยังคิดออกนอกเรื่องไปไกลด้วย


       เรื่องคำตอบนั่น...


       "โทษทีนะไปป์ ไม่ว่าจะคิดยังไงฉันก็คิดไม่ออก นายช่วยเฉลยทีสิ"ผมพูดยอมแพ้ เพราะไม่ว่าจะยังไงผมก็หาคำตอบที่ดีไปกว่าหน้าที่ไม่เจอ

       แล้วไปป์ก็ยอมเฉลย...


       "สาเหตุที่คู่รักไปรับไปส่งกันมันก็แค่เหตุผลง่ายๆพื้นๆ เพราะอยากดูแลไงล่ะ!"คำตอบของไปป์เป็นอะไรที่คาดไม่ถึง ผมนิ่งอึ้งตะลึง


       "อยาก...ดูแล?"


       "ก็ใช่น่ะสิ ถ้าถามว่าทำไมผู้ชายต้องคอยไปรับไปส่งผู้หญิงทั้งที่ผู้หญิงเองก็กลับเองได้? คำตอบก็ต้องเพราะอยากทำอยู่แล้ว!"ไปป์พูดถึงตรงนี้ก็ยกมือข้างนึงมากอดอก ก่อนยกมืออีกข้างขึ้นตั้งฉาก โชว์นิ้วชี้คล้ายกับต้องการให้ผมมองตาม


       "นี่นะ เพราะพอคนเราเป็นแฟนกัน เป็นคนรักกัน มันก็ธรรมดาที่อยากดูแลเอาใจใส่อีกฝ่าย เพราะงั้นเรื่องไปรับไปส่งจึงเป็นเรื่องพื้นๆ จะให้เรียกเจาะจงว่าหน้าที่มันก็ฟังยังไงๆอยู่นะ เพราะนี่เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากความเต็มใจ พอหลายๆ คนทำตามเข้ามันเลยดูเหมือนธรรมเนียมปฏิบัติไงล่ะ"


       ผมฟังคำอธิบายของไปป์ด้วยความรู้สึกที่เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ พอมองไปป์อีกฝ่ายก็ยกมือมาชี้หน้าผม


       "เพราะงั้นที่เวย์ใส่ใจนายแบบนี้ก็เพราะอยากดูแลไงล่ะ!"


       คำพูดนี้ของไปป์ฟังคล้ายบทสรุป แต่ผมที่เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็ได้แต่มองอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะยิ้มขำไปป์เมื่อทั้งหมดที่อีกฝ่ายว่ามานั้นต้องการจะสื่อแค่ว่า เพราะเวย์เป็นห่วงผม เท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับเกริ่นซะยืดยาวจนผมแทบจับประเด็นไม่ได้


       "ก็ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ช่วยบอกนะ"ผมพูดขอบใจไปป์พลางกลั้นยิ้มน้อยๆ


       ไปป์ที่เห็นท่าทางของผมก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง ลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าคล้ายหาอะไร ก่อนผมจะเห็นอีกฝ่ายโยนเสื้อผ้าสองชิ้นที่คุ้นตาออกมา


       เสื้อยืดคอกลมสีส้มคุ้นตากับกางเกงขาสั้นลายหมากรุกที่เพิ่งเห็นตอนช่วงบ่ายๆ และคล้ายกับเดจาวู


       ไปป์ละจากตู้เสื้อผ้าหันมายิ้มให้ผมด้วยดวงตาพราวระริก ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้พร้อมขยับริมฝีปากที่แย้มยิ้มเอ่ยถ้อยคำบางอย่าง


       "นี่ก็ดึกมากแล้ว เพราะงั้นทอย...ไปอาบน้ำกันเถอะ"


       "...!"



       ใครๆ ก็ต้องเผชิญเรื่องน่าอับอาย
    อย่างน้อยสักครั้งในชีวิต และสำหรับผมเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ ซึ่งผมได้แต่โทษตัวเองที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น...


       เป็นเพราะผมเองที่ซุ่มซ่ามจนทำให้ร่างกายนี้เคลื่อนไหวไม่สะดวก ไปป์จึงมาคอยดูแล ดูแลสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นกระทั่งอาบน้ำ


       ตอนไปป์พูดว่า "ไปอาบน้ำกันเถอะ" ผมได้เหวอ ก่อนจะรีบร้องห้ามเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาอุ้ม แต่ไปป์ไม่เหมือนซิตซ์ ตอนซิตซ์เมื่อผมห้ามกึ่งขอร้องอีกฝ่ายยอมฟัง แต่กับไปป์


       "ฉันอยากดูแลนาย แฟนกันจะดูแลกันไม่ได้รึไง?"คำพูดยิ้มๆของอีกฝ่ายทำให้ผมเถียงไม่ได้ ยอมให้อีกฝ่ายอุ้มไปในท่าเจ้าสาว แบบตอนที่พอไปป์วางผมลงก็รีบถาม


       "หนักไหม?"ตอนนั้นผมถามด้วยความเป็นห่วงจริงๆ เพราะไปป์ไม่ได้ตัวใหญ่แบบซิตซ์ ไปป์ส่ายหัว


       "ไม่เลย"แล้วสำทับต่อ "ต่อให้ให้ทอยหนักกว่านี้ฉันก็ยังไหว"คำพูดที่มาพร้อมกับการเบ่งกล้ามนั้นช่างดูน่าเชื่อถือจนผมหลุดหัวเราะ ไปป์ให้ผมนั่งที่โถก่อนช่วยถอดเสื้อผ้าแล้วเริ่มอาบ


       บอกตามตรงว่าการมีคนอื่นมาอาบน้ำให้นี่ผมรู้สึกไม่ชินเอาซะเลย ตอนที่ซิตซ์ขัดหลังให้มันก็แค่ช่วยถูหลัง แต่ไปป์นี่ช่วยถูให้ทุกส่วน


       ตอนไปป์ย่อตัวลงไปถูฝ่าเท้าให้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองทำเรื่องร้ายแรงเข้า


       วัฒนธรรมไทยปลูกฝังให้ผมมองส่วนเท้าเป็นของต่ำ และการให้อีกฝ่ายช่วยทำความสะอาดส่วนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกแย่ แต่คงเพราะไปป์กับผมถูกเลี้ยงกันมาคนละสังคมอีกฝ่ายถึงได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ


       "ไม่ต้องคิดมากน่าทอย เรื่องแค่นี้เอง"ไปป์ตอบอย่างชิวๆแล้วใช้สายฉีดล้างฟองออกแล้วทำแบบเดียวกันกับอีกข้าง


       ผมไม่รู้ว่าในสายตาอีกฝ่ายมันเป็นเรื่องปกติรึเปล่า แต่สำหรับผมมันเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ข้างใน มัน...เหมือนกับผมได้รับความสำคัญ


       "ไปป์นี่...ใจดีจังนะ"ผมพูดอย่างไม่รู้ว่าควรพูดอะไร


       ใช่ ดี... อีกฝ่ายแสนดีจนผมได้แต่คิดว่าทำไมคนดีๆ แบบนี้ถึงได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของคนอย่างผม อย่างไปป์ต้องเจอคนที่ดีกว่าผมแน่ คนอื่นๆก็ด้วย


       ผมมองหน้าไปป์ที่ต้องเส้นสีน้ำตาลสว่างดูเข้มขึ้นหลังจากโดนน้ำ นัยน์ตาสีเฮเซลนัทคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความมีชีวิตชีวาที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจอยู่เสมอ


       คนดีๆแบบนี้ต้องมาเสียเวลาอยู่กับตั้งหนึ่งปี มันช่างไร้สาระจริงๆ


       อยู่ๆไปป์ก็เงยหน้าขึ้นมองกระทันหันทำให้ผมรีบหลบตา ก่อนเสียงเรียกของไปป์จะทำให้ผมหันไปมอง เห็นไปป์ถือแชมพูขวดสีชมพูที่ผมเพิ่งได้มาจากอินแล้วทำหน้าประมาณ 'ของทอยเหรอ?' 


       "อินให้มาน่ะ เห็นว่าซื้อมาทดลองใช้แล้วมันแถม... ฉันว่าก็หอมดีนะ"ผมพูดเรียบๆ ไปป์เองก็มองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนเผยยิ้ม แล้วเอาเทยาสระผมจากขวดที่ว่ามาละเลงบนหัวผม


       "เจ๊อินนี่ท่าทางจะสนิทกับทอยมากนะ"ไปป์พูดพร้อมนวดไปด้วย ผมหลับตาซึมซับสัมผัสที่ผ่อนคลายนั้นแล้วตอบไป


       "อืม ก็รู้จักกันตั้งแต่มหาลัยฯนี่นะ"


       "หืม... แล้วสำหรับทอยนี่ เจ๊อินสำคัญแค่ไหนเหรอ? เหมือนญาติ หรือว่า...อย่างอื่น?"คำถามนี้ทำให้ผมลืมตา จริงๆไม่ใช่เพราะคำถาม แต่เป็นน้ำเสียงที่ใช้ถามของไปป์ต่างหาก ผมหันไปมองไปป์อย่างข้องใจ พยายามคิดว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรแล้วก็คิดได้เมื่อเห็นขวดยาสระผม


       หึงเหรอ? ผมจ้องไปป์แล้วหันหลังกลับ คิดนิดหน่อยก่อนตอบไปอย่างเป็นกลาง


       "อินเป็นแค่เพื่อน ที่ถามว่าสำคัญแค่ไหน... ฉันไม่รู้หรอก"ผมนิ่งไปก่อนจะยิ้มกับตัวเอง


       "อินเป็นคนที่ทำให้ฉันมีโอกาสยืนอยู่ตรงนี้ เป็นคนที่ทำให้ฉันกล้าที่จะสู้เพื่อความฝันตัวเอง...ถึงจะต้องให้อินพูดผลักดันเป็นสิบๆรอบก็เถอะ"ผมหัวเราะเมื่อยังจำได้ดีว่าหลังที่ผมเอ่ยปากว่าอยากเป็นนักเขียนอีกฝ่ายก็ช่วยผลักดันและเคี่ยวเข็ญผมจนมาถึงทุกวันนี้


       ทั้งๆที่คงไม่มีใครสนับสนุนให้นักกฎหมายทิ้งอนาคตว่าที่ทนายหรือผู้พิพากษามาเป็นนักเขียน แต่อินเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ข้างผมในวันที่ผมยอมรับกับตัวเองว่าต้องการอะไร


       "ฉันเป็นหนี้อิน หนี้ที่ชดใช้ได้ไม่หมด"


       นี่เป็นเหตุผลเดียวที่ถ้าอินให้ผมทำอะไรผมจะทำตามโดยไม่มีข้อแม้ วันนั้นวันที่อินรู้ว่าผมคบอยู่กับฝน...แล้วบอกให้ผมเลิก ก่อนที่อินจะบอกเหตุผลว่าทำไมผมก็ได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว


       เพราะงั้นวันที่อินพูดว่าผมควรหาความสุขให้ตัวเองผมถึงพยายาม...แต่ดูเหมือนเรื่องนี้ ต่อให้อินบอกให้ผมพยายามเป็นร้อยๆรอบผมก็คงทำไม่สำเร็จ มันยากกว่าตอนที่ต้องตัดสายสัมพันธ์กับคนพวกนั้นซะอีก


       ตอนนี้ความสุขของผมคือการทำให้พวกเขามีความสุข ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่หนึ่งปีนี่ผมจะพยายามไม่ให้มันเสียเปล่า


       ถึงจะเป็นแค่ฝันตื่นหนึ่ง ผมขออยู่เคียงข้างพวกเขาแบบนี้ แค่อีกสักพัก...


       "โทษทีนะทอย ฉัน...งี่เง่าเอง"ไปป์พูดขอโทษด้วยน้ำเสียงงุ่นง่าน สีหน้าอีกฝ่ายดูสับสน ก่อนไปป์จะใช้ฝักบัวราดฟองออกจากผมแล้วพูดเล่าแบบคร่าวๆ


       "เพราะเจ๊อินชอบพูดเกทับว่าสนิทกับทอยแค่ไหน แล้วก็ชอบเป็นห่วงทอย ดูรู้จักทอยมากกว่าที่พวกฉันรู้ เลย...รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย"น้ำเสียงของไปป์ตอนที่พูดฟังดูสำนึกผิด แต่ผมไม่ได้คิดโกรธอะไร ไม่รู้มาก่อนว่าอินจะแกล้งหยอกพวกไปป์ไปแบบนั้น


       สมัยมหาลัยฯอินจะชอบแกล้งแหย่คนรอบๆตัวผม ชอบทำตัวเหมือนผมกับอีกฝ่ายเป็นแฟนกันจนทำให้หลายๆคนเข้าใจผิด ไม่ว่ากับผู้หญิงหรือผู้ชาย พอถามว่าทำไปทำไม อินก็ตอบว่าแค่แกล้งแบบสนุกๆ และเพราะมันไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับชีวิตผมเลยปล่อยไป


       แต่นี่แกล้งแม้กระทั่งกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนผมแล้ว คงต้องปรามอีกฝ่ายสักหน่อย


       "ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษหรอก แล้วก็...ถ้าไม่สบายใจเรื่องอะไรก็บอกฉันได้นะ"ผมพูดบอกไปป์เบาๆ เพราะเท่าที่ฟังแล้วอินคงไม่ได้เพิ่งแกล้งพวกไปป์แน่ๆ ทั้งข้อตกลงนั่นก็เหมือนกัน คงไม่ได้เอาไว้แกล้งพวกไปป์ด้วยหรอกนะ?


       "ทอยเองก็เหมือนกัน..."ไปป์พูดตอบเสียงเบาแบบที่ผมคิดจะหันไปฟังเพื่อให้ได้ยินชัดแต่ก็ต้องนิ่ง เมื่อได้ฟังคำพูดต่อมา


       "ทอยเอง...ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็บอกฉัน บอกพวกฉันได้เสมอนะ"น้ำเสียงไปป์ตอนพูดมันช่างอบอุ่นและอ่อนโยน จนตัวผมที่นั่งนิ่งไม่กล้าหันไปสบตา ได้แต่รับคำเบาๆ กับตัวเอง

       

     

       ที่จริงวันนี้อะไรๆก็ดูจะราบรื่น ถ้าไม่ใช่ว่าหลังอาบน้ำเสร็จ ตอนที่ไปป์กำลังเช็ดตัวให้ผมอยู่นั้น ดันเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น


       มัน...ตั้ง


       ผมไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่น่าอับอายแบบนี้ขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งทำให้ทั้งตัวผมและไปป์นิ่งอึ้งไปอย่างไม่คิดไม่ฝัน


       "เอ่อ ทอย นั่น..."ไปป์พูดอึกอัก มือที่ถือผ้าขนหนูสำหรับผ้าเช็ดตัวนั้นละล้าละลัง ผมเข้าใจดี เพราะเป็นใครมาเจอแบบนี้ก็คงทำตัวไม่ถูก


       ผมได้แต่ตีหน้านิ่งบอกไปป์ด้วยเสียงนิ่งเรียบ


       "ไม่เป็นไร นี่...ปล่อยไว้เดี๋ยวมันก็ลงเอง"


       ไปป์ดูจะทำหน้าไม่ถูกเมื่อผมพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่...อันที่จริงก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่หรอก เพราะมันเรื่องธรรมชาติ มีขึ้นก็มีลงเป็นเรื่องปกติ


       ถึงมันจะไม่ปกติที่มา 'ขึ้น' ต่อหน้าคนอื่นก็ตาม แต่โดยรวมมันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ


       "เอ่อ ไม่จัดการให้มัน 'ลง' จะดีเหรอ? อย่างนี้ก็ใส่เสื้อผ้าไม่ได้น่ะสิ?"ไปป์ถามผม สายตามองมายังบางสิ่งที่ตั้งขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ผมเองก็กลุ้ม เพราะปกติกว่ามันจะลงเองก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง แต่เพราะมันไม่ได้ตั้งขึ้นบ่อยๆผมเลยไม่ค่อยเป็นห่วง


       แต่ตอนนี้มันดันทำให้ผมลำบากใจ ผมเบี่ยงหลบตาไปป์ตอบอย่างอ้อมแอ้ม


       "รออีกครึ่งชั่วโมงเดี๋ยวก็ลงเอง... ไปป์ไปแต่งตัวก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันค่อยออกไป"

     

       ผมพูดก่อนจะพยายามคิดเรื่องอื่นเพื่อที่อะไรๆที่มันไม่ปกติจะกลับไปสู่สภาพเดิม แต่อีกคนกลับไม่ให้ความร่วมมือ ไปป์ยกตัวและอุ้มผมเข้าไปในห้องนอนอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะวางผมลงบนเตียงแล้วพูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

     

       "เดี๋ยวฉันช่วยเอง"

     

       วินาทีนั้นผมนึกว่าตัวเองหูเพี้ยน และระหว่างที่ผมอึ้งไปป์ก็ได้พูดต่อด้วยอาการเข้าอกเข้าใจ

     

       "มือเจ็บอยู่อย่างนั้นคงทำไม่สะดวก ไหนๆฉันก็เป็นคนดูแลนายแล้ว เดี๋ยวฉันช่วยจัดการให้เองไม่ต้องห่วง"ไม่ว่าเปล่าอีกฝ่ายเอื้อมมือมาใกล้หมายจะจัดการ'อะไรๆ'ให้

     

       "เดี๋ยว...ไปป์!"ผมรีบร้องห้ามอย่างไว เผลอถอยหลังจนเอนล้มลงไปนอน ผมกำลังจะยันตัวขึ้นนั่งแต่ไปป์ก็ขึ้นมาคร่อมตัวไว้ซะก่อน

     

       เส้นผมสีน้ำตาลสว่างที่เปียกลู่ลงมาล้อแสงไฟสีส้มอ่อนจากโคมไฟข้างเตียงดูแปลกตา ดวงตาที่สบมาท่ามกลางแสงไฟสลัวทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจแบบไม่รู้ตัว ไฟห้องน้ำยังเปิดอยู่แต่มันไม่ดึงดูดผมเท่ากับภาพตรงหน้า ชั่ววูบนึงผมลืมไปเลยว่ากำลังคุยเรื่องอะไรกับไปป์อยู่ จนกระทั่งอีกฝ่ายเปิดปากขึ้นก่อน

     

       "มันไม่ใช่เซ็กซ์หรอกนะ แค่ช่วย... มันยังไม่ถือว่าผิดข้อตกลงหรอกน่า"คำพูดของไปป์ทำให้ผมนึกออกว่ายังไม่ได้บอกพวกไปป์ทีว่าข้อตกลงระหว่างอินผมช่วยพูดจนอีกฝ่ายยอมยกเลิกไปแล้ว

     

       พอผมจะเอ่ยปากบอกก็นึกได้ว่าถ้าไปป์อยากมีอะไรกับผมตอนนี้คงไม่ดีแน่ เพราะผมยังไม่ได้ เตรียมพร้อม ในส่วนที่ควรทำเลย ดังนั้นผมจึงคิดว่ารอให้แขนผมหายดีก่อนจะดีกว่า

     

       "ฉันไม่ได้กังวลเรื่องนั้น แต่...ที่นายบอกว่าจะช่วยนี่...?"ผมรู้สึกพูดไม่ออก เพราะไปป์บอกจะช่วยผม...แล้วจะช่วยยังไง?

     

       "ไม่ต้องอายหรอกน่า ฉันแค่ทำแทนมือของนาย ไม่ต่างกันนักหรอกน่า"ไปป์พูดกลั้วหัวเราะ แต่ผมไม่เข้าใจว่าจะไม่ต่างได้ยังไงเมื่อมือมันเป็นของคนล่ะคน

     

       "ตะ แต่...ฉัน...เกรงใจ"ผมพยายามหาเหตุผล แต่จริงๆ มันเป็นเรื่องของสามัญสำนึก ผมชั่งใจคิดหลายตลบ แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ดูไม่ควร

     

       "ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า ฉันเต็มใจ...เต็มใจสุดๆเลยล่ะ"ประโยคท้ายน้ำเสียงของไปป์ฟังดูคล้ายกำลังตื่นเต้น แต่เพราะอีกฝ่ายถอยตัวห่างออกไปความมืดที่ปกคลุมห้องทำให้ผมมองสีหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด

     

       "น่านะ ฉันช่วยแป๊ปเดียวก็เสร็จ จะได้รีบแต่งตัวเข้านอนไวๆไงล่ะ"ไปป์พูดกล่อม ซึ่งผมลองประมวลผลแล้ว ท่าทางไม่ว่ายังไงไปป์คงยืนยันที่จะช่วย ผมแน่ๆ และถ้าผมยังดึงดันห้ามอีกฝ่ายอยู่ก็คงไม่ได้แต่งตัวกันง่ายๆ สุดท้ายจึงยอมปล่อยๆให้อีกฝ่ายช่วยจัดการอะไรๆที่ต้องการไปตามสบาย

       

       และผลจากความช่วยเหลือ ผมก็ได้พิสูจน์แล้วว่าทฤษฎีของไปป์ที่ว่ามือของใครก็ไม่ต่างนี่...ไม่เห็นจะจริงเลย

     

       

       "แล้วก็นะ จินมันก็ร้องไห้หาปากกาแท่งนั้นใหญ่เลย แต่สุดท้ายก็หาไม่เจอจนต้องไปให้เวย์ช่วย เวย์มันก็ช่วยหาจนเจอ แต่ก็ดุจินยกใหญ่เรื่องแกล้งคนอื่น หลังจากนั้นจินกับริกซ์ก็เหมือนจะสนิทกันมากขึ้น พอขึ้นม.ปลายพวกเราก็แยกย้ายไปเข้าตามสาย เวย์กับพวกแฝดได้อยู่ห้องเดียวกัน ก็เลือกลงสายวิทย์ทั้งคู่นี่นะ ส่วนจิน..."

     

       เสียงไปป์ดังเรื่อยๆอยู่ข้างหู ซึ่งผมนอนฟังอย่างยิ้มๆกับเรื่องราวสมัยเด็กของพวกเขา เรื่องความซนของจิน เรื่องความขี้แยของลอสแล้วก็นิสัยขี้งอนของริกซ์ เรื่องเด็กผู้ชายที่มาสารภาพรักกับเวย์เพราะคิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงก็ด้วย แต่ล่ะเรื่องที่ได้ฟังมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขามากขึ้น

     

       "แล้วก็ซิตซ์กับไนท์นี่สนิทกันเพราะเป็นเพื่อนใหม่ของพวกเวย์ สองคนนั่นทำเอาฉันทึ่งสุดๆเลยที่แยกลอสกับริกซ์ได้ภายในเดือนเดียว อย่างซิตซ์น่ะพอเข้าใจเพราะได้ยินว่ามีน้องสาวเป็นแฝด แต่ไนท์น่ะอาศัยแค่มองตาก็แยกออกแล้วนะ โคตรสุดยอดเลย!"ไปป์เล่าด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน ซึ่งผมสังเกตหลายครั้งแล้วว่าไปป์จะดูมีชีวิตชีวาและมีความสุขที่สุดตอนเพื่อนพูดถึงเพื่อนๆในกลุ่ม ยิ่งอีกฝ่ายเล่าเรื่องในอดีตทำให้ผมยิ่งเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขามากขึ้น

     

       รู้จักกันมานาน คบกันมาเกือบครึ่งชีวิต เป็นสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นจนน่าอิจฉา...

     

       ผมเอง...เคยคาดหวังว่ามีใครที่สามารถแบ่งปันทุกข์สุขแบบนั้นด้วยเหมือนกัน... แต่น่าเสียดายที่ความคาดหวังนั้นไม่เคย...และไม่มีวันเป็นจริง

     

       "ทอย?"

     

       "หืม?"ผมขานรับไปป์ ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายส่งเสียงถามมา

     

       "เป็นอะไร ง่วงแล้วเหรอ? งั้นฉันปิดไฟให้นะ"ไปป์พูดก่อนจัดการปิดโคมไฟโดยไม่รอคำตอบ ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืด ซึ่งนาทีที่ผมคิดจะหลับตาก็รู้สึกได้ถึงผ้าห่มที่ถูกเลื่อนขึ้นมาคลุมอกและสัมผัสแผ่วเบาที่กดลงมาตรงหน้าผาก

     

       "ฝันดีนะ ทอย"เสียงอวยพรที่ทำให้ค่ำคืนนี้ผมหลับตาได้อย่างสนิทใจ

     

       ฝันดี ไปป์...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×