ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] I'm your Toy. ผมเป็นของเล่นของคุณ (8P)

    ลำดับตอนที่ #36 : ตอนที่35 ผมกับ...ทางเลือกที่เห็นแก่ตัว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.18K
      103
      23 ม.ค. 62

    ตอนที่36

    ผมกับ...ทางเลือกที่เห็นแก่ตัว


       บางครั้งคนเราก็เห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ


       ทั้งรู้ดีแก่ใจว่าเรื่องที่ทำนั้นมันผิด แต่ก็ยังตัดสินใจทำมัน

     

       ผมเองก็เช่นกัน แม้จะนึกเสียใจกับเรื่องที่ทำลงไป แต่เพราะวันเวลาไม่เคยย้อนมา ทางเลือกเมื่อเลือกไปแล้วก็ไม่อาจแก้ไข ที่ผมทำได้ก็มีแต่...ก้าวต่อไป



       ...


       เมื่อเวย์ประกาศให้แยกย้าย ทุกคนก็พากันกลับห้องของตัวเอง ทางผมเองก็เดินตามซิตซ์กลับห้องเช่นกัน


       ระหว่างทางกลับที่ไม่นับว่ายาวนาน ผมที่แอบนึกเกร็งก็เหลือบมองแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำหน้าเป็นระยะๆ แต่กระทั่งถึงห้องซิตซ์ก็ไม่ได้พูดจาอะไรสักคำ อีกฝ่ายเพียงหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ หลังประตูห้องน้ำปิดลงผมก็ลอบถอนหายใจเบาๆ


       ถึงผมจะไม่เข้าใจอะไรนัก แต่ดูเหมือนซิตซ์จะโกรธอยู่...


       ผมเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดนอนพลางทบทวนว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้จิน ซิตซ์ แล้วก็คนอื่นๆไม่พอใจ แต่คิดไปคิดมา เหมือนทุกคนจะติดใจเรื่องของที่ผมชอบและไม่ชอบกิน


       ถึงผมจะชอบอาหารทะเล แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้กินบ่อยเท่าไหร่ เพราะอาหารทะเลมีราคาแพง และผมก็ไม่ได้มีเวลาออกไปซื้อกินบ่อยนัก


       ส่วนของหวาน ผมไม่ชอบขนมหรือลูกอมอย่างพวกจิน แต่ก็ไม่ถึงกับกินไม่ได้เลย อย่างน้อยเค้กที่จินเคยป้อนให้กินมันก็ไม่หวานเท่าน้ำเฮลบลูบอยสูตรผสมน้ำน้อยที่ผมเพิ่งกินไปวันนี้


       จินบอกว่าผมฝืน... แต่ผมมองว่าตัวเองไม่ได้ฝืนอะไรเลย แค่ไม่กินอาหารทะเลกับยอมกินของหวานเป็นเพื่อนบางครั้ง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย


       แต่ถ้าจินไม่พอใจจริงๆ ไว้พรุ่งนี้ผมค่อยไปขอโทษแล้วกัน


       แกร้ก


       ซิตซ์เปิดประตูออกมา โดยใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว อีกฝ่ายเหลือบมองผมก่อนจะเดินผ่านไปยังเตียง ผมมองสีหน้าไร้อารมณ์ของซิตซ์อย่างหวั่นๆ แต่สุดท้ายกระทั่งปิดไฟนอนซิตซ์ก็ยังไม่ได้พูดอะไรเลย


       ผมนอนอยู่ฝั่งขวามือของซิตซ์ โดยพยายามเว้นที่ไม่เข้าไปเบียดอีกฝ่าย ระหว่างที่นอนอยู่ผมก็รู้สึกคันยิบๆไปทั่วตัว โดยเฉพาะแผ่นหลัง แต่ด้วยไม่อยากขยับตัวให้รบกวนคนที่กำลังนอน ผมจึงได้แต่พยายามอดทน แต่ไม่รู้ว่าผมเผลอขยุกขยิกตัวมากไปรึเปล่า ซิตซ์ถึงได้...


       "หันหลัง"


       ผมแอบตกใจที่ได้ยินเสียง แต่พอผมหันไปทางต้นเสียงก็เห็นเพียงเงามืดๆ แต่ก็เพราะอยู่ในความมืด ประสาทสัมผัสส่วนอื่นของผมจึงยิ่งแหลมคม


       ผมสะดุ้งเล็กๆเมื่อฝ่ามือใหญ่มาโดนตัว ได้ยินซิตซ์พูดสั่งซ้ำว่าให้หันไปจึงหันแผ่นหลังให้อีกฝ่าย ตอนโดนสั่งนี้ผมยังไม่เข้าใจความหมาย แต่เมื่อมือของซิตซ์ล้วงเข้ามาในเสื้อผมก็สีหน้าเปลี่ยน คิดจะพลิกตัวกลับ แต่ซิตซ์กลับสั่งดักเสียงแข็ง


       "อยู่นิ่งๆ"


       ผมได้ยินแล้วก็ไม่กล้าขยับตัว ได้แต่นอนตะแคงนิ่งๆแล้วปล่อยให้ซิตซ์ทำตามใจ ไม่นานผมก็รับรู้ถึงของเหลวเย็นวาบมาโดนหลัง ซึ่งจากกลิ่น ผมแน่ใจว่าเป็นยาทาแก้ผื่นคัน


       ผมรับรู้ถึงฝ่ามือของซิตซ์อุ่นที่เกลี่ยยาไปทั่วแผ่นหลัง สัมผัสของเนื้อยาที่เย็นสบายทำให้ผมหลงลืมความรู้สึกคันที่เกิดขึ้น และก็ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ความง่วงได้เข้าจู่โจมจนผมหลับไป


       ตื่นมาอีกทีผมก็ต้องผงะเมื่อพบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของซิตซ์ หรือถ้าพูดให้ถูกคือผมนอนทับแขนอีกฝ่ายอยู่ ทั้งยังใช้มือกอดก่ายตัวซิตซ์ไว้อีก ระหว่างที่ผมนิ่งอึ้ง เสียงคนตื่นก่อนก็ดังทัก


       "ตื่นได้สักที"


       "ซะ ซิตซ์?"ผมส่งเสียงทักอย่างต้องการจะถามว่าทำไมผมถึงมาอยู่ในสภาพนี้ แต่พอนึกถึงที่จินเคยบอกว่าผมเป็นพวกนอนละเมอ คำถามในปากก็ถูกกลืนลงคอไป


       จะว่าไปแล้ว ตอนไปค้างกับคนอื่นๆ เวลาที่ตื่นถ้าไม่อยู่ในสภาพโดนกอด ก็มักเป็นตัวผมที่กอดหมอนหรือผ้าห่มไว้


       หรือว่าผมจะเป็นโรคติดหมอนข้าง?


       ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมควรพิจารณาการซื้อหมอนข้างแบบพกพามาไว้สักอันน่าจะดี ถ้าเป็นอันเล็กหน่อยคงหิ้วติดตัวมาคอนโดได้สะดวก


       "นี่... ปล่อยได้แล้ว"พอซิตซ์ส่งเสียงเรียกผมถึงได้รู้ตัวว่าเผลอคิดไร้สาระโดยลืมไปว่ายังนอนทับอีกฝ่ายอยู่ ผมรีบขยับตัวถอยออกมา พอลงจากเตียงได้ผมก็รีบพูดขอโทษด้วยความสำนึกผิด


       "ขอโทษจริงๆ ฉันลืมไปว่าตัวเองชอบนอนละเมอ คราวหลังฉันจะระวังไม่ทำอีก ขอโทษจริงๆนะ"


       "...พูดมาก ฉันจะอาบน้ำ นายลงไปอาบห้องเวย์ซะไป"ซิตซ์พูดตัดบทด้วยเสียงรำคาญก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป ผมยิ้มเจื่อนกับตัวเอง เมื่อดูท่าว่าผมจะเผลอทำตัวน่ารำคาญซะแล้ว แต่สุดท้ายผมก็ทำตามที่ซิตซ์บอกโดยไปอาบน้ำที่ห้องเวย์

      

       พออาบน้ำเสร็จผมก็ต้องนิ่งอึ้งเมื่อวันนี้นอกจากซิตซ์กับผมแล้ว คนอื่นๆ ก็ลงมากินข้าวที่ห้องเวย์อย่างพร้อมหน้า ทั้งที่ปกติจะมาแค่วันเสาร์กับอาทิตย์


       ผมมองไนท์ในชุดนักศึกษาแวบหนึ่ง แล้วเลื่อนสายตาไปมองจินที่หัวยังยุ่งๆ อีกฝ่ายพอเห็นหน้าผมก็ทำหน้าบึ้งแล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง อย่างคนเพิ่งตื่น ทางไปป์ที่ยังใส่ชุดนอนเช่นเดียวกับจินก็กำลังคนชาในถ้วยด้วยท่าทางอารมณ์ดี ลอสกับริกซ์อยู่ในชุดลำลอง โดยที่ลอสกำลังรินนมให้ริกซ์ที่หาวหวอดใหญ่


       ทุกอย่างดูปกติ เว้นแค่ว่าไม่มีใครพูดทักทายอะไรผมอย่างทุกที ผมก้มหน้ามองแก้วน้ำของตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูก จนกระทั่งเวย์ส่งเสียงบอกว่าอาหารเสร็จแล้ว บรรยากาศถึงได้เปลี่ยน ลอสกับไนท์ลุกขึ้นไปช่วยเวย์ยกชามมา ผมเองก็คิดจะลุก แต่ถูกซิตซ์ที่วันนี้นั่งข้างๆห้ามไว้


       "ไม่ต้อง นั่งไป"


       ผมหันมองซิตซ์ที่วันนี้สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทาอ่อน โดยปลดกระดุมบนสองเม็ดออกเช่นเคย พอเห็นสีหน้าเฉื่อยชาของอีกฝ่ายผมก็นั่งลงรอที่เดิม


       ไม่นาน อาหารก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ ตรงหน้าของทุกคนต่างมีชามสีขาวที่ควันลอยกรุ่นอยู่ ผมดูแล้วก็เห็นว่าเป็นโจ้ก ซึ่งนั่นทำให้ผมประหลาดใจเพราะโจ้กเป็นอาหารที่ทำไม่ยากก็จริง แต่ก็เป็นอาหารที่ต้องใช้เวลา กำลัง และความระมัดระวังสูงในการทำ ปกติแล้วเวย์มักทำอาหารง่ายๆ กินในตอนเช้ามากกว่าอะไรที่ยุ่งยากอย่างโจ้กแบบนี้


       ผมไม่ได้พูดถาม เมื่อเห็นแต่ละคนเริ่มลงมือกิน ผมก็จับช้อนขึ้นกินบ้าง แต่ก่อนจะได้เอาเข้าปาก ผมก็สังเกตเห็นว่าโจ้กในชามมีทั้งกุ้งและเนื้อปลาใส่อยู่


       ผมเงยหน้าขึ้นมองเวย์อย่างตะลึง แล้วหันขวับไปทางซิตซ์ ผมมองโจ้กในชามของซิตซ์ที่มีเนื้อไก่ฉีกใส่อยู่ก็โล่งใจ นึกว่าเวย์เผลอลืมหรืออะไรซะอีก


       "เป็นอะไรไปครับทอย ไม่ทานเหรอครับ?"


       "อ่า"ผมเลื่อนสายตาไปทางเวย์ที่พูดถามด้วยรอยยิ้มหวาน คนอื่นๆก็มองมา ผมเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกประหม่า แต่สุดท้ายก็ตอบคำถามด้วยเสียงแผ่วเบา


       "ฉัน...ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่น่ะ"


       "ถึงทอยไม่หิวก็ต้องกินนะ"


       "ใช่ ทอยยังป่วยอยู่ ต้องกินอาหารบำรุงกำลัง"


       ลอสกับริกซ์พูดคะยั้นคะยอ ผมมองทั้งคู่อย่างลำบากใจ


       "คือ...ฉัน"


       "เวย์อุตส่าห์ทำโจ้กให้ทั้งที ต่อให้ไม่หิวทอยก็น่าจะกินสักคำนะ"


       ได้ยินไปป์ว่าแบบนั้น ผมก็กลืนคำพูดปฏิเสธที่คิดจะเอ่ยลงคอ


       ผมมองเวย์ที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แล้วเหลือบสายตาไปมองซิตซ์ด้วยความลังเลใจ พอเห็นท่าทีตัดสินใจไม่ของผมจินที่นั่งเงียบมาตั้งนานก็พูดโพล่ง


       "สรุปเป็นเพราะซิตซ์จริงๆ งั้นสินะ?"


       ผมชะงัก ก่อนขยับปากเพื่อปฏิเสธ แต่อีกฝ่ายกลับรู้ทัน พูดตัดบทผมด้วยสีหน้าบึ้งตึง

     

       "ทอยไม่ต้องปฏิเสธหรอก ของมันก็เห็นๆ กันอยู่"


       สีหน้าจินบอกชัดว่ายังไงก็ไม่มีทางเชื่อคำพูดผมแน่ เจ้าตัวกระแทกพนักพิงเก้าอี้พลางบ่นอุบด้วยเสียงไม่พอใจ


       "แต่ฉันไม่เห็นเข้าใจเลยว่าทอยจะอดทนยอมไม่กินของที่ชอบไปเพื่ออะไร? ยังไงคนกินก็คือทอยไม่ใช่ซิตซ์สักหน่อย!"


       "พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกนะจิน"ไปป์ที่มีรอยยิ้มแต้มริมฝีปากว่าพลางยักคิ้ว "ที่ทอยทำก็ถือว่าเข้าใจได้แหละนะ ใช่ไหมริกซ์? ฉันจำได้ว่าเคยอ่านบทความหนึ่ง มันเขียนว่าจูบสามารถทำให้อาการแพ้กำเริบได้"


       "ถูกแล้ว การจูบสามารถส่งต่ออาการแพ้ได้ ถ้าทอยจูบซิตซ์ทั้งที่เพิ่งกินอาหารทะเลมาจริง เราคงต้องไปเยี่ยมซิตซ์ที่โรงพยาบาล"


       "อ้าว แล้วแปรงฟันช่วยไม่ได้เหรอ?"จินทำสีหน้าแปลกใจ ขณะที่ริกซ์ตอบคำถามซ้ำ


       "มันก็ช่วยได้อยู่หรอก แต่ไม่ถือว่าทั้งหมด เพราะถึงจะแปรงฟันหลังกินอาหารแล้วก็ตาม แต่ก็ยังต้องทิ้งช่วงถึง 16-24 ชั่วโมงกว่าทอยจะจูบกับซิตซ์ได้"


       "16-24ชั่วโมง? ไหงงั้นล่ะ?"


       "เพราะตอนจูบกัน ร่างกายคนเราจะขับสิ่งต่างๆ ออกมาทางน้ำลาย ซึ่งหากในนั้นมีสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้อยู่ด้วย ซิตซ์ก็มีสิทธิ์อาการแพ้กำเริบ"ครั้งนี้เป็นลอสที่ช่วยชี้แจง จินที่ได้ฟังคำตอบก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจขึ้นมา


       "เข้าใจล่ะ งั้นพวกนายจะบอกว่า ถ้าทอยกินอาหารทะเลก็จะจูบกับซิตซ์ไม่ได้งั้นสินะ?"


       "ถูกแล้ว"


       "เดี๋ยวก่อนนะ ตามที่ฉันเข้าใจ คือถ้าทอยกินอาหารทะเลวันนี้ กว่าจะจูบซิตซ์ได้ก็พรุ่งนี้เย็นๆไม่ก็วันมะรืนงั้นสิ"ไปป์ถามแทรก ซึ่งลอสพยักหน้ารับ


       "ถ้าเพื่อความปลอดภัยล่ะก็นะ แต่ที่ฉันแปลกใจก็คือทอยยอมอดทนไม่กินเลย ถึงจะมีคู่รักหลายคู่ที่หลีกเลี่ยงอาหารที่จะก่อให้เกิดการแพ้ต่อคู่ตน แต่แบบงดไปเลยแบบทอยนี่หายาก โดยเฉพาะกรณีเป็นอาหารที่ชอบด้วยแล้ว"


       "ฉัน...ฉันแค่เห็นว่ามันสะดวกกว่า"ผมตอบไปตามตรงเมื่อรู้ดีว่าถึงจะแก้ตัวไปว่าไม่ได้ทำเพราะซิตซ์ก็คงไม่มีใครเชื่ออีกแล้ว


       "สะดวก? ฉันก็พอเข้าใจนะว่ามันสะดวกตรงทอยไม่ต้องไปล้างปากแปรงฟันก่อนจูบกับซิตซ์ แต่ฉันสงสัย... นี่ริกซ์ ลอส พวกนายบอกฉันทีสิ ว่ากรณีที่หนึ่งในพวกฉันเพิ่งกินอาหารทะเลมาแล้วไปจูบทอย จากนั้นทอยก็ไปจูบซิตซ์ต่อ โดยที่เว้นช่วงห่างกันไม่มาก แบบนี้อาการแพ้ของซิตซ์จะกำเริบไหม?"ไปป์ที่เท้าแขนข้างหนึ่งบนโต๊ะ โดยใช้แก้มหนุนหลังมือเอียงคอถาม ซึ่งทันทีที่ได้ยินคำถามผมก็พลันตระหนักถึงสิ่งที่เผลอหลงลืมไปขึ้นมาได้


       "ก็ต้องดูว่ากินมากกินน้อยล่ะนะ แต่ฉันมองว่ายังไงก็เสี่ยงมากพอๆกับการกินอาหารโดยตรงนั่นแหละ"ริกซ์ตอบคำถามไปป์ด้วยท่าทีเหมือนนักวิชาการ


       ผมนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินข้อสรุป ที่จริงผมก็ลืมไปจริงๆ นั่นแหละว่าพวกไปป์เองก็กินพวกอาหารทะเลด้วย คงเพราะปกติตอนกินเลี้ยงกันอาหารที่ทำไม่ค่อยมีอาหารทะเลปนผมถึงได้ลืมไป


       ถ้างั้น...ผมควรทำไงดีล่ะ?


       ก่อนหน้านี้ผมหลีกเลี่ยงกินอาหารทะเลเพราะกลัวว่าซิตซ์จะอาการกำเริบ แต่ตอนนี้ ถึงผมจะกินหรือไม่กินมันก็ไม่แตกต่างกัน...


       "โอเค เรื่องที่ทอยงดอาหารทะเลเพื่อซิตซ์ พวกฉันเข้าใจแล้ว มาต่อเรื่องที่นายฝืนกินขนมหวานดีกว่า... ไหนขอเหตุผลให้พวกฉันฟังสักข้อซิ"ไปป์พูดเปิดประเด็นใหม่ ซึ่งผมแข็งค้างไปก่อนจะยอมตอบตามตรง


       "เรื่องขนมหวาน ฉันแค่คิดว่ามันจะช่วยให้ปากฉันหวานขึ้นก็เลยทนกิน แค่นั้นเอง"


       "ฮะ?"


       สีหน้าพวกไปป์ต่างบ่งบอกว่าไม่เข้าใจ แม้แต่ลอสกับริกซ์เองก็ดูงุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน ผมเลยชี้แจงด้วยสีหน้าจริงจัง


       "ฉันลองไปหาเรื่องการจูบดู แล้วเจอเคล็ดลับหนึ่ง บอกว่าก่อนจูบควรกินหรือดื่มอะไรหวานๆ จะได้ช่วยให้ปากมีรสหวานตอนที่จูบกัน"


       "มัน...ก็ช่วยนิดหน่อยล่ะนะ แต่ทอยโอเคเหรอที่ต้องฝืนกินของที่ไม่ชอบเพื่อเรื่องแบบนี้?"ริกซ์ถามด้วยสีหน้าสงสัย


       "อืม มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร"


       "นี่ๆๆ ทอย"จินส่งเสียงเรียก ผมหันไปมองก็เห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายดูบึ้งน้อยกว่าตอนแรก พอผมตอบรับคำจินก็ถามคำถามที่ทำให้ผมประหลาดใจ


       "ทอยน่ะแพ้เบียร์ถูกไหม?"พอได้ยินคำถามผมก็เผลอลูบแขนที่ยังมีรอยยิ่นอยู่ก่อนพยักหน้ารับ ซึ่งเห็นอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ว่าต่อ "ถ้าอย่างงั้นพวกฉันต้องงดเบียร์ด้วยไหม?"


       "ไม่ต้องหรอก"ผมส่ายหัว


       "ทำไมล่ะ?"จินเบิกตาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ผมยิ้มก่อนตอบอย่างง่ายๆ


       "เพราะฉันจะไม่จูบตอนพวกนายกินเบียร์"


       หลังผมตอบไปแบบนั้นจินก็เงียบไป ซึ่งไม่นานไปป์ที่มองหน้าผมอยู่นานก็ยิงคำถามโดดๆ


       "ทอย ถ้านายตั้งใจงดอาหารทะเลเพื่อซิตซ์จริง นายคิดว่าตัวเองจะทำได้นานเท่าไหร่?"


       "หืม? ก็หนึ่งปะ..."ผมตอบไปได้ครึ่งหนึ่งก็ชะงัก เมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากออกไป


       หนึ่งปี คือระยะเวลาที่ผมตั้งใจจะเล่นบทแฟนไปกับพวกเขา ซึ่งเรื่องนี้เป็นชนวนให้พวกซิตซ์โกรธผมมากเมื่อวาน แต่ทว่า แทนที่จะเห็นสีหน้าโกรธเคือง ไปป์กลับเหยียดยิ้มกว้างพลางผิวปาก


       "ว้าว ซิตซ์ ดูสิทอยใจร้ายเป็นบ้า นายได้ยินรึยัง? ทอยตั้งใจจะจูบกับนายแค่ปีเดียวเอง งี้ตลอดชีวิตที่เหลือ นายคงได้แต่ดูพวกฉันผลัดกันจูบทอยแทนแล้วล่ะ!"


       ผมอึ้งกับการที่ไปป์บิดเบือนคำพูดของผมไปอีกทาง แล้วอะไรนะ ผลัดกันจูบผม? พูดเหมือนผมเป็นสิ่งของที่ผลัดกันใช้ยังไงยังงั้น อ๊ะ...


       จริงสิ ผมเป็นของเล่นนี่นา


       ผมยิ้มขำตัวเองเมื่อลืมไปเลยว่า ตั้งแต่แรกในสายของพวกเขา ผมก็คือ "ของเล่น" ชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นของเล่นที่พวกเขาทั้งหมดบังเอิญอยาก "เล่น" ด้วย ดังนั้นพวกเขาเลยคิดจะขอเล่นกับผม โดยใช้คำว่า "จีบ" มาเป็นกฎในการแข่งขัน ซึ่งผู้ชนะก็คือคนที่จะได้ "เล่น" กับผมอย่างเต็มที่


       อ้า ที่จริงมันก็แค่เรื่องง่ายๆ อย่างนี้เองนี่นา ผมจะไปคิดอะไรมากตั้งแต่แรกนะ?


       ที่จริงสิ่งที่ผมควรทำก็แค่เลือกคนที่จะเล่นมาสักคน แต่เพราะผมดันไม่เข้าใจ แล้วเผลออนุญาต โดยให้ทั้งเจ็ดคนรับบท "แฟน" สถานะที่สามารถเล่นกับผมเมื่อไหร่ก็ได้


       แล้วผมดันมาพูดบอกลิมิตเวลาที่เหลือในการเล่น ทั้งที่พวกเขายังเล่นกับผมได้ไม่เท่าไหร่ ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะไม่พอใจกัน


       จะว่าไปสาเหตุที่พวกเขาไม่กล้าเล่นกับผมเต็มที่ก็เป็นเพราะสัญญากับอินงั้นสินะ?


       ขณะที่ผมคิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง ไนท์ที่นั่งอยู่ข้างๆก็ผุดลุกขึ้น ผมหันมองตามสัญชาตญาณ ก่อนนิ่งอึ้งเมื่อริมฝีปากอีกฝ่ายนาบมา ยังไม่ทันหายตกใจไนท์ก็ใช้ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองผมครู่หนึ่ง ก่อนเปิดปากพูดสั้นๆ


       "...ไปเรียน"


       หลังสมองแปลข้อความสั้นๆ นั้นว่า จะไปเรียนแล้ว ผมก็พยักหน้ารับ แล้วพูดอวยพรทั้งที่ยังติดสถานะมึนงง


       "อ่า เดินทางดีๆ นะ"


       ไนท์พยักหน้ารับเบาๆ แล้วเดินออกไป ซึ่งกว่าสติผมจะกลับเข้าที่ บทสนทนาบนโต๊ะก็ได้ยุติแล้ว


       "เอ้า ทอยรีบๆกินเข้าสิ โจ้กจะเย็นหมดแล้ว"ไปป์พูดบอก ซึ่งนั่นเตือนให้ผมนึกถึงถ้วยโจ้กตรงหน้าที่ตอนนี้ควันขาวได้จางลงจนแทบมองไม่เห็น ผมจับช้อนอย่างลังเล ตอนนี้เองไปป์ก็พูดพึมพำ


       "เมื่อกี้ไนท์เพิ่งกินโจ้กทะเลแล้วจูบทอย งี้วันนี้ซิตซ์ก็จูบทอยไม่ได้แล้วสิ"


       ผมที่ได้ยินก็พลันเลิกลังเลตักโจ้กเข้าปาก ไม่นานมื้อเช้าก็สิ้นสุด ทุกคนต่างพากันแยกย้าย พวกลอสริกซ์มีเรียนตอนสิบโมงเลยกลับไปเตรียมตัว ส่วนจินได้ยินว่ามีนัด ไปป์กับเวย์ก็เหมือนจะติดธุระ และด้วยเหตุนั้นผมจึงถูกส่งกลับห้อง โดยมีซิตซ์ที่วันนี้ไม่ได้ออกไปไหนอยู่เป็นเพื่อน


       ถึงผมจะสงสัยหน่อยๆ เพราะจำได้ว่าปกติซิตซ์จะไม่ว่างตอนเช้า แต่ไม่ว่ายังไงซิตซ์ก็ไม่มีทางโดดเรียนเพื่อมาอยู่กับผมแน่นอน


       และเพราะว่าต้องอยู่กับซิตซ์สองต่อสอง ผมจึงระวังตัวแจ ตลอดมื้อเช้าวันนี้ซิตซ์ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ทั้งที่ถ้าอีกฝ่ายพูดอะไรสักหน่อยคงจะดี


       ผมที่ไม่ได้นำโน้ตบุ๊คมาด้วย พอถึงห้องซิตซ์ก็ตัดสินมานั่งดูทีวีที่โซฟาตัวยาวในส่วนห้องนั่งเล่น แต่นั่งไปได้ไม่เท่าไหร่ก็รับรู้ถึงเบาะที่ยุบตัวลงจากการถูกกดทับ พอหันไปก็เห็นซิตซ์ที่มีสีหน้าเรียบเฉยอ่านไม่ออกกำลังมองมาด้วยสายตานิ่งๆ


       อาจด้วยจิตใต้สำนึกสั่ง ผมจึงเผลอเอามือกุมปากตัวเองอย่างต้องการสร้างปราการป้องกัน ซิตซ์เห็นอย่างนั้นก็คิ้วกระตุก ก่อนอีกฝ่ายจะทิ้งศีรษะลงบนตักผม


       "ฉันไม่จูบหรอก"


       พอได้ยินคำพูดโพล่งนี้ ผมก็หยุดความคิดที่จะลุกหนีทิ้ง ก่อนจะเอียงคอมองใบหน้าของคนที่นอนหนุนตักตัวเองอยู่ด้วยความสงสัย


       "ฉันบอกไปแล้ว วันนี้กับพรุ่งนี้ ฉันจะไม่จูบ"ซิตซ์พูดย้ำเหมือนเป็นการยืนยัน ผมจึงลดมือที่ปิดปากตัวเองลงช้าๆ แต่เมื่อเห็นว่าซิตซ์ยังคงนอนนิ่งๆ โดยหันข้างจนเห็นกลุ่มผมสีแดงตามธรรมชาติ ผมห้ามใจตัวเองไม่ให้สัมผัสเส้นผมอีกฝ่ายด้วยการมองสำรวจไปรอบๆห้องแทน


       จากการมาอาศัยอยู่ห้องซิตซ์หลายวันทำให้ผมพบว่าซิตซ์ชอบสีเทาดำ ซึ่งทั้งเฟอร์นิเจอร์และพื้นห้องล้วนถูกตกแต่งด้วยสีโทนที่ว่า ตอนไปเข้าห้องน้ำก่อนหน้านี้ผมก็เห็นว่าชั้นวาง พื้น รวมถึงผนังห้องน้ำถูกดีไซน์ด้วยสีโทนดังกล่าว เพราะงั้นผมถึงแอบแปลกใจที่ฝั่งห้องนั่งเล่นดูต่างออกไป...


       ถึงเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่จะยังเป็นสีเทาดำ แต่สีผนังห้องกลับเป็นสีครีมโทนส้ม มองแล้วชวนให้รู้สึกอบอุ่น...

     

       ผมสังเกตเห็นหนังสือบางอย่างตั้งอยู่บนโต๊ะ พยายามเพ่งมองก็เห็นหน้าปกเป็นรูปหมูสีชมพูสามตัวจับมือกันอยู่ลางๆ ผมค่อนข้างแน่ใจว่ามันต้องเป็นหนังสือภาพนิทานเรื่องลูกหมูสามตัวแน่ๆ แต่ทำไมซิตซ์ถึงมีมันล่ะ?

     

       "มีอะไร?"ซิตซ์พูดถามทั้งที่ยังหลับตาอยู่ คงเป็นเพราะผมทำตัวยุกยิกอีกฝ่ายถึงได้รำคาญ

     

       "เอ่อ ฉันแค่เห็นสมุดนิทานตั้งอยู่เลยสงสัยว่ามาได้ยังไงน่ะ"พอผมพูดจบซิตซ์ก็เปลี่ยนท่าพลิกตัวเป็นนอนหงายแล้วตอบ

     

       "นั่นเป็นสมุดนิทานที่ฉันซื้อไว้ให้น้องสาวนานแล้ว แต่พวกนั้นมีเรื่องนี้แล้วฉันเลยเก็บไว้เอง"

     

       ผมที่เหมือนจะจำได้ว่าซิตซ์มีน้องสาวที่เป็นแฝดอยู่ทำหน้าเข้าใจ ก่อนจะถามต่ออย่างนึกสงสัย

     

       "น้องสาวซิตซ์นี่อายุเท่าไหร่กันเหรอ?"

     

       ถ้ายังอ่านหนังสือนิทานนี่ ประถมงั้นเหรอ? หรืออนุบาล?

     

       ซิตซ์ล้วงกางเกงหยิบมือถือออกมาปลดล็อค แล้วเลื่อนเปิดไฟล์ภาพก่อนยื่นให้ผมดู

     

       ...น่ารัก

     

       ฝาแฝดตัวน้อยที่มีผิวขาวอวบในชุดกระโปรงลายสก็อตสีแดงทำท่าชูสองนิ้วใส่กล้อง ด้วยความคมชัดของกล้องเก็บทุกรายละเอียดแม้กระทั่งโทนสีของดวงตา ทำให้ผมเห็นนัยน์ตาของทั้งคู่ที่มีสีเดียวกับของซิตซ์เพียงแต่กลมโตกว่าและดูสดใสกว่า ผมสีบลอนด์ที่ถูกถักเป็นเปียคู่ยิ่งเสริมให้ฝาแฝดคู่นี้ดูน่ารักน่าเอ็นดูเข้าไปอีก


       ว่าแต่จากที่ดู ทั้งคู่น่าจะอยู่ชั้นประถมปลายงั้นสินะ?

     

       "นั่นรูปที่ถ่ายหกปีที่แล้ว ปีนี้ก็น่าจะจบม.ปลายแล้วล่ะ"ซิตซ์พูดอธิบายสั้นๆ แต่ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ

     

       หกปี? ทำไมถึงไม่ใช่รูปปัจจุบันล่ะ?

     

       ซิตซ์เหมือนจะรู้ว่าผมสงสัย อีกฝ่ายหลับตาแล้วพูดอธิบายต่อ

     

       "พ่อแม่ฉันหย่ากัน ฉันอยู่กับที่นี่ ส่วนแม่พาพวกน้องกลับบ้านเกิดไป เรื่องมันหลายปีแล้วและฝ่ายนั้นไม่ยอมติดต่อมาเลย ฉันเลยมีแค่รูปถ่ายที่เคยถ่ายไว้ตอนเด็กๆ ที่จริงก็เหลือแค่รูปนั้นรูปเดียวนั่นแหละ"น้ำเสียงของซิตซ์ตอนเล่ามันเรียบเฉยจนผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ซิตซ์ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ซึ่งท่อนแขนของอีกฝ่ายบดบังสีหน้าเจ้าตัวจนแม้แต่ผมเองก็มองไม่เห็น

     

       "อีกไม่นาน...คงได้เจอกันอีก"ผมเผลอพูดออกไป ซึ่งซิตซ์ชะงักแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก

     

       "จะเป็นอย่างนั้นเหรอ?"

     

       ผมพยักหน้าให้ ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้มองก็ตาม

     

       "ฉันเชื่อ... อินเคยบอกว่าทุกคนต่างมีโชคชะตา เมื่อได้พบเจอและผูกพันธ์ แม้จากกันไกลแค่ไหนสักวันก็จะกลับมาพบเจอกันอีก"

     

       "โชคชะตา? หึ ความเชื่อเพ้อฝันของพวกผู้หญิงน่ะสิ"ซิตซ์พูดเหมือนดูถูกแต่รอยยิ้มที่ปรากฏจางๆ ที่มุมปากก็ทำให้ผมยิ้ม

     

       "ถ้าไม่เชื่อในโชคชะตา...ก็ลองสร้างโชคชะตาขึ้นมาเองดูสิ"ผมพูดอย่างนั้นทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจสิ่งที่พูด แต่ผมเชื่อ สายสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวไม่มีวันจางหาย ซิตซ์ต้องได้เจอกับน้องๆ อีกแน่ อาจจะอีกหลายปี แต่ต้องได้เจออีกแน่ ผมเชื่ออย่างนั้น

     

       ซิตซ์เงียบไปพักใหญ่จนผมเผลอคิดว่าฝ่ายอาจหลับ ที่จริงผมก็แอบง่วงหน่อยๆ กินอิ่มแล้วมานั่งแช่เฉยๆ ถ้าไม่อยากหลับเลยสักนิดก็คงแปลก แต่ผมหลับไม่ลงเท่าไหร่ เพราะอาการคันตามเนื้อตัวที่ถึงจะทายาแก้คันแล้วแต่ก็ยังรู้สึกคันอยู่เป็นระยะ ผมคิดไว้ว่าเดี๋ยวพอตอนค่ำก่อนจะนอนค่อยทาอีกรอบ

     

       "แล้วนายล่ะ?"

     

       อยู่ๆ ซิตซ์ที่เงียบไปก็พูดขึ้น ซึ่งผมเองก็ได้ยินแต่ไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูด

     

       "หือ? ฉัน...ทำไมเหรอ?"

     

       ผมก้มหน้ามองเจ้าของเสียงที่ยังอยู่ท่าเดิม อีกฝ่ายย้ำถามมาอีกรอบซึ่งรอบนี้ผมเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายตองการสื่อชัดเจน

     

       "ครอบครัวนายล่ะ...เป็นไงบ้าง?"

     

       คำถามของซิตซ์ทำให้ผมเงียบลง คิดสักหน่อยก่อนจะเปิดปากเล่า

     

       "ฉัน...จะเรียกว่ากำพร้าก็คงได้"

     

       ผมค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นมองเพดาน มองโคมไฟในห้องนั่งเล่นที่ส่องแสงเป็นสีเหลืองนวลแล้วเริ่มเล่าอย่างช้าๆ

     

       "แม่ของฉันท้องก่อนแต่ง... ได้ยินว่าครอบครัวทางฝ่ายคนที่จะเป็นพ่อของฉันไม่ยอมรับ ให้เงินมาก้อนหนึ่งแล้วบอกให้แม่ของฉันเลิกยุ่งด้วย แม่ของฉันก็ยอมเลิกยุ่งแล้วกลับอยู่กับญาติ คงเพราะเรื่องนี้พวกญาติๆเลยไม่ค่อยชอบแม่ฉันเท่าไหร่ มีแค่คุณยายที่เป็นแม่ของแม่เท่านั้นที่รักท่าน หลังแม่ของฉันคลอดฉันได้ไม่กี่เดือนท่านก็เสีย ฉัน...หลังจากนั้นก็ได้คุณยายเลี้ยงดู แต่พออายุได้เจ็ดขวบท่านก็เสียตามแม่ฉันไป... ฉันเลยต้องไปอยู่กับพวกญาติๆ แทน"

     

       ผมสูดลมหายใจเข้าแล้วเล่าต่อ

     

       "พวกเขาดูแลฉันอย่างที่สมควรดูแล ให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่อยู่... ฉันอาศัยอยู่ที่บ้านญาติคนนึงจนขึ้น ม.ต้น จากนั้นฉันก็ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำ สามปีที่อยู่ที่นั่นพวกเขาส่งเงินค่าเทอมกับเงินค่าขนมมาให้ฉันพอสมควร แต่พอขึ้น ม.ปลาย ฉันได้ทุนจากโรงเรียน ...คงเพราะไม่มีภาระเรื่องค่าเทอมแล้ว พวกเขาเลยเริ่มส่งเงินมาให้ฉันน้อยลง ฉันตัดสินใจหางานพิเศษทำเลยพอจะใช้ชีวิตอยู่ต่อได้"พอพูดถึงตรงนี้ผมก็หัวเราะ แล้วบอกกับซิตซ์โดยไม่ได้ก้มลงมอง

     

       "รู้ไหม? จริงๆฉันคิดว่าตัวเองคงไม่มีปัญญาเข้าเรียนมหาลัยฯ... และคงเริ่มทำงานเลย แต่ก็โชคช่วย"ผมยิ้ม...แล้วเล่าต่อ

     

       "ตอนที่เรียนอยู่ ม.ปลาย ฉันเรียนสายศิลป์ แล้วบังเอิญได้เจอคนคนหนึ่งที่คงพอนับว่าเป็นเพื่อนได้ ตอนแรกเขาดูจะไม่ชอบขี้หน้าฉันเท่าไหร่ และชอบหาเรื่องเอาชนะฉันอยู่เสมอ เหมือนจะพยายามแข่งกับฉันซะทุกอย่าง... ฉันโชคดีที่คุณพ่อของเขาเป็นทนาย เป็นทนายที่มีเงินเยอะ และ...รักลูกมาก คนคนนั้นขีดเส้นอนาคตไว้ว่าจะให้ลูกชายคนเดียวของตนโตขึ้นเป็นทนายความที่มีเกียรติ"ผมรู้สึกว่าซิตซ์ขยับตัวแต่ก็ไม่ได้ก้มลงมอง ผมมีความรู้สึกว่าถ้ามองหน้าซิตซ์ผมอาจเล่าต่อไม่ออก

     

       "เขารู้เรื่องที่ลูกชายตัวเองชอบแข่งขันกับฉัน...เลยขอให้ฉันช่วยโน้มน้าวให้ลูกชายของเขาเข้าคณะนิติฯ แทนพวกการท่องเที่ยวโดยแลกกับ...ช่วยสนับสนุนฉันให้เรียนต่อมหาลัยฯ"

     

       "และฉัน...ก็รับปาก"ผมนิ่งเงียบไป นึกหวนถึงคำถามเมื่อหลายเดือนก่อน

     

       "ที่พวกนายเคยถามก่อนหน้านี้ว่าทำไมฉันถึงเข้าคณะนิติฯ...ก็อย่างที่บอกไปว่า...มันจำเป็น"

     

       "เพราะฉันต้องทำตัวเป็นคู่แข่ง เพราะอย่างนั้นฉันเลยจำเป็นต้องเข้าเรียนคณะนี้เพื่อให้อีกฝ่ายตามเข้ามาแข่งด้วย..."พอผมพูดถึงตรงนี้ซิตซ์ก็ลุกขึ้นมานั่งจนผมจำใจต้องหันไปมองและยิ้มส่งให้กับนัยน์ตาสีเทาที่จ้องมองผมนิ่ง

     

       "ฉัน...แย่ใช่ไหม? เพื่อที่จะได้เรียนต่อฉันเลยทำให้คนคนหนึ่งต้องทิ้งเป้าหมายตัวเอง..."ผมที่ยิ้มต่อได้สักพักถูกซิตซ์ดึงเข้าไปกอด เพราะความต่างเรื่องส่วนสูงทำให้ผมซบลงตรงไหล่ซิตซ์ ผมคิดจะฝืนตัวดันซิตซ์ออกแต่วินทีที่อีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบศีรษะมือของผมที่คิดจะดันร่างอีกฝ่ายออกห่างก็พลันไร้เรี่ยวแรง รอยยิ้มที่ประดับใบหน้าก็รู้สึกคล้ายคงไว้ไม่อยู่

     

       "เขา...เขาโกรธฉันมาก หลังรู้ว่าฉันมาเรียนนิติฯเพราะอะไร โกรธมาก...แล้วบอกว่าไม่มีวันอภัยให้ฉัน"ผมกอดตอบซิตซ์กำชายเสื้ออีกฝ่ายแน่น

     

       เรื่องนี้แม้แต่อินผมก็ไม่เคยเล่า อินรู้แค่ว่าผมต้องเรียนนิติฯเพราะจำเป็น ไม่ได้เรียนเพราะชอบ และอินรู้ว่าผมชอบที่จะเขียนนิยายอินถึงได้สนับสนุนผม

     

       "นายฝืนตัวเองไปเพื่ออะไรยะ? เลิกดื้อแล้วมาเขียนนิยายซะ!"

     

       "อะไร? พล็อตเรื่องก็สนุกดีนี่ แต่ตัวพระเอกนี่มันจะแสนดีไปไหนยะ?"

     

       "ฉันส่งผลงานนายไปให้สำนักพิมพ์แล้ว... อะไร? ทำหน้าแบบนั้นนี่โกรธเหรอ?"

     

       "ได้รางวัลชมเชยแน่ะ เห็นมะ เขาวิจารณ์เหมือนฉันเลย พระเอกน่ะทื่อไป!"

     

       "จบแล้วจะไปเป็นทนาย? ไม่เอาน่า...นายเขียนนิยายรุ่งกว่าเยอะ!"

     

       "ช่างหัวเกียรตินิยมสิคะ เกียรตินิยมกับนิยายให้ฉันหลับตาเลือกยังได้เลย"

     

       "เอาน่า เป็นนักเขียน เป็นสิ่งที่นายชอบนี่แหละเวิร์กที่สุด!"

     

       "ช่างหัวพวกนั้นสิ นายอยากจะฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ?"

     

       "เลือกซะทอย นี่ชีวิตนาย จะเลือกทิ้งความฝันของตัวเองไปก็แล้วแต่นาย แต่อย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ"

     

       "นักเขียนน่ะเรียนจบอะไรก็เป็นได้... อย่ายึกยักน่ารีบเขียนต่อเดี๋ยวนี้!"

     

       ถ้อยคำที่คอยย้ำซ้ำๆ เป็นพันครั้งให้ผมเลือกเดินตามเส้นทางความฝันของตัวเอง ถ้อยคำพวกนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมนึกขอบคุณอินอยู่เสมอ

     

       เลือกในสิ่งที่ตัวผมต้องการ... บางทีถ้าไม่มีอิน ตอนนี้ผมอาจจะยืนอยู่ในเส้นทางของนักกฎหมายและใช้ชีวิตในฐานะตัวสำรองที่เป็นได้แค่ผู้ช่วยของตัวจริง

     

       "เรื่องที่ผ่านมาแล้วมันแก้ไม่ได้ ฉันจะไม่บอกว่าผิดหรือถูก แต่ถ้าตอนนี้นายมีความสุข...ฉันว่าแบบนี้ดีแล้ว"เสียงแหบต่ำของซิตซ์ที่พูดอยู่ข้างหูแม้จะฟังแข็งกระด้าง แต่ก็อบอุ่น...

     

       ผมรู้สึกร้อนที่ตา มือกำชายเสื้ออีกฝ่ายแน่นขึ้น ซุกหน้าลงกับบ่านั้นอย่างไม่ตอบคำ

     

       ผมมีความสุข...การได้เป็นนักเขียน ได้สร้างรอยยิ้มให้กับผู้คนทำให้ผมภูมิใจ แต่...ไม่ว่ายังไงใบหน้าโกรธเคืองนั่นก็ไม่เคยจางหายจากความทรงจำ

     

       แต่ไม่ว่าผมจะนึกทบทวนอีกสักกี่ครั้ง ถึงแม้เรื่องที่ทำมันจะผิดและเห็นแก่ตัว แต่การที่ผมได้เจออิน ได้เจอทั้งเจ็ดคน...ผมไม่เสียใจ

     

       มือที่กอดตอบซิตซ์โอบรัดแน่นขึ้น สองมือผมยึดร่างอีกฝ่ายไว้คล้ายต้องการที่เหนี่ยวรั้ง ไออุ่นที่ผมสัมผัสได้จากร่างของซิตซ์ทำให้ผมค่อยๆ คลี่ยิ้มบางแล้วบอกกับตัวเอง

     

       ไม่ว่าเรื่องเลือกเป็นนักเขียนนิยาย หรือเรื่องที่ตกลงคบกับทั้งเจ็ดคนชั่วคราวนี้จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือแค่ความผิดพลาด แต่ในเมื่อเส้นทางนี้ผมเป็นคนเลือกที่จะเดินเอง ดังนั้นไม่ว่าผลลัพธ์มันจะออกมายังไง...ผมจะไม่นึกเสียใจภายหลัง

     

       ไม่เสียใจเด็ดขาด


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×