คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #41 : ตอนที่40 ผม...กับงานแต่ง (2)
ตอนที่40
ผม...กับงานแต่ง (2)
...
พอจัดการซื้อของเสร็จพวกผมก็ขึ้นรถ แล้วแล่นตรงไปยังที่หมายเลย ซึ่งครั้งนี้โรงแรมที่ผมเข้าพักเป็นคนละโรงแรมกับที่จัดงานแต่ง โดยคนที่จัดการจองโรงแรมให้คือไปป์ ผมเองก็ไม่รู้ว่าห้องพักที่ไปป์จัดการเป็นแบบไหนจนกระทั่งมาถึง
"นี่...ไม่เกินไปหน่อยเหรอ?"
ผมอดถามขึ้นไม่ได้เมื่อเห็นการจัดเตรียมที่เกินมาตรฐานโรงแรมห้าดาว ไม่ว่าจะเฟอร์นิเจอร์ หรือข้าวของภายในห้องล้วนแต่ดูเรียบหรูและใหม่เอี่ยมจนไม่คล้ายของที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว ที่พื้นยังปูพรมนุ่มรองรับอีก
"ไม่นี่ ธรรมดาออก"ไปป์พูดพลางวางกระเป๋าเป้ใบเล็กลงบนเตียงเหมือนคุ้นชิน ผมเลยพยายามทำใจว่าชีวิตของคนเรามันต่างกัน คำว่า 'ธรรมดา' ของไปป์เองก็มีมาตรฐานแตกต่างจากของผม
ส่วนผมเองก็วางกระเป๋าสะพายที่บรรจุเสื้อผ้าไว้สามชุด ผมหยิบเอาชุดนอนที่เป็นเสื้อเชิ้ตปกอ่อนสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีดำ ที่จริงผมจะหยิบขายาวมาแล้ว แต่ปรากฏว่าลืมเอาไปซัก และเพราะต้องพักห้องเดียวกับไปป์ผมเลยไม่กล้าเอาเสื้อผ้าใส่แล้วมาใส่ซ้ำ ถึงไปป์จะบอกว่าไม่รังเกียจก็เถอะ
ไปป์ที่ทิ้งตัวนั่งบนเตียงหันมามองผมแล้วถามขึ้น
"ว่าแต่ชุดที่นายจะใส่ไปงานแต่งงานพรุ่งนี้นี่...ตัวไหนน่ะ?"
"อ๋อ เรื่องนั้น..."ผมหันไปค้นแล้วหยิบตัวที่ว่าออกมาคลี่ให้ไปป์ดู "ตัวนี้น่ะ"
"ตัวนั้น?"ไปป์ทำหน้าเหลือเชื่อ
"ทำไมล่ะ? มีอะไรไม่ดีเหรอ?"ผมมองเสื้อเชิ้ตตัวเดิมที่ใส่ไปงานครั้งที่แล้วกับอิน เพียงแค่ครั้งนี้ผมไม่ได้เอาแว่นมาด้วยก็เท่านั้น
"ตัวนั้นมัน..."ไปป์พูดแค่นั้นก็หยุดไป ก่อนส่ายหัว
"ช่างเถอะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยจัดการ"
จัดการ?
ผมมองไปป์อย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าจะอาบน้ำ ผมพยักหน้าแล้วหันมาจัดเสื้อผ้าเตรียมใส่สำหรับพรุ่งนี้ต่อ
ไม่นานไปป์ก็ออกมาในสภาพคาดผ้าขนหนูผืนเดียว ผมมองหยดน้ำตามลำตัวที่ทำให้ผิวอีกฝ่ายส่องประกายแล้วถามอย่างสงสัยหน่อยๆ
"นายเคยนวดสปาบ้างรึเปล่า?"
"ฮะ? ทำไมถึงถามล่ะ?"ไปป์ถามกลับด้วยสีหน้างุนงง
"ฉันแค่สงสัยน่ะ เพราะผิวนายดูเนียนสม่ำเสมอทั้งตัวเลย"ผมตอบตามจริง เพราะเทียบไปป์แล้ว ผิวของผมที่เวย์เคยชมว่านุ่มกลับดูหมอง ไม่เปล่งประกายเท่า
ไปป์เลิกคิ้วก่อนว่า
"อยากให้นวดให้บ้างไหมล่ะ?"
"นายนวดเป็นเหรอ?"ผมถามอย่างแปลกใจ
"มีคอร์สเสริมสอนอยู่ ฉันเคยลองอยู่ฝึกบ้าง อยากจะลองไหมล่ะ?"ครั้งนี้เสียงของไปป์เจือด้วยแววหยอกล้อ แต่ผมสั่นหัวให้
"ไว้คราวหลังแล้วกัน วันนี้พวกเราเดินทางมาเหนื่อยๆ"ผมปฏิเสธอย่างไม่คิดอะไร แต่ไปป์ดูเสียดาย อีกฝ่ายคลี่ยิ้มแล้วพูดด้วยโทนเสียงที่ฟังดูคลุมเครือยังไงบอกไม่ถูก
"ได้สิ ไว้นายอยากลองเมื่อไหล่ก็บอกได้เลย"
"อ่ะ อืม งั้นฉันไปอาบน้ำก่อนนะ"ผมพูดพลางคว้าเสื้อผ้ากับผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ
ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน รอยยิ้มของไปป์เมื่อกี้มันทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องอยู่บ้าง
พอออกมาก็เห็นว่าไปป์ดับไฟในห้องหมดแล้ว โดยเหลือเปิดแค่ที่หัวเตียงเอาไว้ และเพราะอีกฝ่ายกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่เลยเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าผมออกมาแล้ว
"ไปป์"ผมส่งเสียงทัก
"อ้าว ทอย เสร็จแล้วเหรอ? มาๆ มานอนกัน"ไปป์ตบเบาะข้างตัวอย่างเชิญชวน "อ้อ จริงสิ พรุ่งนี้ตื่นไวหน่อยล่ะ เดี๋ยวไปลองเสื้อกัน"
"หา? อ้อ อืม"ผมงุนงงว่าลองเสื้ออะไร แต่ก็ตอบรับคำไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพราะแค่ไปลองเสื้อ แล้วทำไมไปป์ต้องทำเสียงตื่นเต้นด้วย?
ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าการตามอินไปช้อปปิ้งเป็นอะไรที่เหนื่อยมากแล้ว แต่วันนี้ผมได้เรียนรู้แล้วว่าการเป็นหุ่นลองเสื้อ เป็นอะไรที่เหนื่อยยิ่งกว่า
ตั้งแต่เก้าโมงกว่าๆ ผมถูกพามายังห้างเพื่อลองสูท ทั้งที่เป็นแบบนั้น...
"ทอยๆ ลองตัวนี้สิ"
"ทอยๆ สีนี้เป็นไง ดำตัดเขียว เท่ห์สุดๆเลยว่าม้า?"
"ทอยๆ เอาชุดนี้สิ เข้าคู่กับพวกฉันเลย"
"ลองเปลี่ยนเป็นสีส้มดีไหม?"
"ทอยลองตัวนี้ไหมครับ?"
"เอาตัวนี้ไปลอง"
"ชุดนี้..."
ทั้งที่พูดว่าจะให้ผมมาลองชุดสูท แต่พอจินเห็นเสื้อผ้าเท่ๆก็อยากลองให้ผมใส่ดู หลังจากนั้นไปป์ก็เอาบ้าง ซึ่งไปๆมาๆก็กลายเป็นว่าผมต้องมาผลัดเปลี่ยนลองเสื้อผ้าที่บรรดาแฟนหยิบมาให้อย่างช่วยไม่ได้
ที่สำคัญ...
แชะ
เสียงดังมาจากมือถือของไนท์ที่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังถือกดถ่ายด้วยสีหน้านิ่งๆ ถึงอาการไม่แสดงสีหน้าจะทำให้รู้สึกอีกฝ่ายไม่เต็มใจแต่ผมบอกได้จากอาการกระตือรือร้นในการถ่ายภาพว่าตอนนี้ไนท์กำลังสนุกอยู่แน่ๆ ซึ่งคราวนี้ชุดที่ผมใส่เป็นตัวที่จินเลือก เป็นเสื้อกั๊กสีแดงแบบที่จินชอบใส่ประจำ แต่ผมขอใส่เสื้อซับสีขาวด้านใน ถึงจะโดนจินบ่นแต่ผมก็ไม่แคร์ เพราะผมเลือกจะฟังจินบ่นดีกว่ามาแต่งตัวเปิดเผยในที่สาธารณะงานนี้พื่อป้องกันการ กางเกงเว้าต่ำของจินก็ทำให้ผมเลือใส่กางเกงซับสีดำด้านใน
ใส่ชุดนึงก็โดนถ่ายรอบนึง ทีแรกผมก็คัดค้านแต่เมื่อเวย์ออกหน้ารับปากว่าจะไม่เอาไปให้คนอื่นดูผมเลยยอมให้ถ่าย หวังไว้ว่าหลังจากนี้พวกเขาจะลบภาพทั้งหมดทิ้งไวๆ แรกๆก็มีอายบ้างแต่หลังถ่ายไปสิบกว่ารูปผมก็เริ่มจะชิน ปล่อยให้แต่ละคนทำตามใจ หน้าที่ผมตอนนี้มีแค่เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมายืนให้พวกเขาถ่ายรูปเล่นเท่านั้น
ดีที่ในร้านไม่มีคน
ผมแปลกใจนิดหน่อยที่ร้านกว้างๆแบบนี้กลับไม่มีลูกค้า ตอนเข้ามาทีแรกก็ยังมีประปราย แต่พอผมเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับออกมาก็ไม่มีลูกค้าคนอื่นเหลืออยู่เลย จะมีก็แต่พวกผมกับพนักงานที่ยืนยิ้มเงียบๆอยู่ที่เคาท์เตอร์เท่านั้น
"นี่...พอรึยัง?"ผมถามขึ้นหลังลองไปหลายสิบชุด แถมชุดหลังๆมันเริ่มแปลกๆ พอเห็นชุดกาวน์ผมก็ว่าไม่ใช่แล้ว แต่พอผมจะค้านพวกลอสกับริกซ์อ้างสัญญาเรื่องที่ผมตกลงไว้ว่าจะแต่งคอสเพลย์
"ฉันก็ทำตามสัญญาได้แล้วนี่"ผมแย้ง แต่ลอสกลับส่ายหน้า
"แต่ทอยเพิ่งจะบอกพวกเราหลังจากเวลาที่ตกลงกัน เพราะงั้นสัญญาต้องเป็นสัญญา"
ผมเถียงไม่ออก และเพราะเป็นคนรักษาสัญญา สุดท้ายผมเลยต้องเปลี่ยนชุดกาวน์แล้วเดินออกมาโชว์ตัวให้ไนท์ถ่ายรูปเข้าอัลบั้ม
"รู้งี้เตรียมพวกพร๊อบมาด้วยก็ดี..."เสียงงึมงำจากพวกจินที่ผมฟังไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ในใจกลับรู้สึกสังหรณ์ว่าไม่ได้ยินน่าจะดีกว่า
เพราะรู้สึกว่าใช้เวลามาพักใหญแล้ว งานนี้ผมจึงรีบหยุดทุกฝ่าย ก่อนที่จะมีเสื้อผ้าแบทแมน ซุปเปอร์แมน อะไรเทือกนั้นโผล่มาให้หนาวเล่น
"ง่า ฉันอยากลองต่ออีกหน่อย น่านะ ทอย"จินหันมาสบตาปิ๊งๆ แต่งานนี้ผมเลือกที่จะไม่ใจอ่อน
"ไม่ต้องเลยจิน ฉันจะรีบลองชุดให้เสร็จๆจะได้ไปหาอะไรกิน เดี๋ยวจะไปกินชาบูที่ชั้นบนกันไม่ใช่เหรอ?"ผมพยายามโน้มน้าวจินแต่หักใจไม่ให้โอนอ่อนไปกับตาลูกหมาของอีกฝ่าย
"ก็ได้..."จินรับคำเสียงหดหู่ อาการห่อเหี่ยวหางตกหูลู่ของอีกฝ่ายเกือบทำให้ผมปั้นใจแข็งไม่อยู่เลยต้องรีบหันไปหาเวย์แล้วขอลองชุดสูทสำหรับเย็นนี้ให้เสร็จๆ จนในที่สุดก็เลือกได้ ถึงพวกไปป์จะทุ่มเถียงว่าสูทแบบไหนสีไหนเข้ากับผมกว่าจนปาไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ตาม แต่ในที่สุดผมก็ได้สูทไว้สำหรับงานคืนนี้แล้ว
ที่จริงตอนแรกผมว่าชุดที่เอามาก็โอเคแล้ว แต่พวกเวย์กลับไม่ยอม บอกชุดสูทของผมมันดูแก่เกินไปจนนั่นทำให้ผมเกิดประเด็นสงสัยว่าพวกเขาเคยเห็นสูทผมตอนไหน พอผมเอ่ยปากถามออกไปก็ได้รับคำตอบแบบข้างๆคูๆว่าเคยเจอเสื้อในตู้ ผมไม่ได้ซักไซ้ต่อถึงจะยังสงสัยว่าที่พูดนั้นจริงรึเปล่าก็เถอะ
"ทอย งานเริ่มกี่โมงล่ะ?"
"หืม?"พอได้ยินคำถามเวย์ผมก็นึกได้ว่าตัวเองไม่รู้เวลางาน "น่าจะค่ำๆ เดี๋ยวค่อยไปก็ได้"ผมตอบไปอย่างไม่สนใจเท่าไหร่ เพราะไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
"ทอย...แน่ใจแล้วเหรอ?"สีหน้าจินดูกังวล ผมยิ้มขำเมื่อคิดว่าจินคงกังวลว่าผมจะไปงานแต่งสาย
"แน่สิ งานเลี้ยงปกติก็จัดตอนกลางคืนอยู่แล้ว อีกอย่าง..."ผมเงียบลงจนจินถามซ้ำ
"อีกอย่าง?"
"ไม่มีอะไร แล้วตกลงว่าจะเข้าร้านไหนล่ะ?"ผมเปลี่ยนเรื่องถามซึ่งจินตอบมาอย่างหลงลืมประเด็นก่อนหน้าไปโดยสิ้นเชิง ผมเองก็ทำเป็นลืมสิ่งที่จะพูดไป
'อีกอย่าง ถึงฉันรีบไปก็ไม่มีใครสนใจหรอก'
ตกเย็น ผมก็แต่งตัวใส่ชุดสูทด้วยความรู้สึกไม่ค่อยชินนัก โดยเฉพาะเนคไทร์ที่ผมไม่ถนัดใส่เอาซะจริงๆ ดีที่ได้เวย์ช่วยผูกให้
"เรียบร้อยแล้วครับ"เวย์พูดพร้อมผละตัวออก กวาดตามองผมแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ "ตอนนี้ทอยดูหล่อมากเลยครับ"
คำชมที่ชวนให้ผมนึกเขินขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะแก้คำโดยการพูดหยอกกลับ
"โดนคนหล่อกว่าชม...ฉันควรดีใจไหมเนี่ย?"ผมแกล้งขมวดคิ้ว ก่อนจะหลุดขำเมื่อเห็นเวย์หน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด
"นี่...รีบไปได้แล้ว"เสียงของซิตซ์ทำให้ผมเลิกหัวเราะ พยักหน้าให้ แล้วหันมาพูดกับเวย์
"ฉันไปล่ะ"
พูดบอกลาพร้อมโบกมือเล็กน้อย ก่อนผมจะเดินตามซิตซ์ที่จะยืนยันเข้าไปในงานพร้อมกับผม จริงๆผมก็ไม่เข้าใจความคิดซิตซ์เท่าไหร่ว่าจะไปงานที่ไม่มีอะไรมากแบบนั้นทำไม เพราะเข้าไปในนั้นซิตซ์ก็ไม่รู้จักใครสักคน
"ฉันอยากไป"
คำตอบที่ผมได้ฟังซ้ำๆและข้องใจซ้ำๆ จนเริ่มปล่อยวาง ดีที่นอกจากซิตซ์แล้วไม่มีใครตามมาอีก...ซะที่ไหน
ทำไมถึงมายืนออกันหน้าห้องอย่างนี้? แถมยังใส่ชุดที่ดูก็รู้ว่าจะไปงานเลี้ยงที่ไหนสักแห่งอีก ซึ่งจากที่ผมเดา งานเลี้ยงที่ไหนสักแห่ง นั่นไม่หนีพ้นงานแต่งงานที่ผมกำลังจะไป ระหว่างที่ผมนิ่งอึ้งกับภาพตรงหน้าเสียงเปิดประตูจากด้านหลังก็เผยให้เห็นเงาร่างของเวย์ในชุดสูทสีฟ้าอ่อน ผมมองหน้าเวย์อย่างไม่อยากเชื่อ ขณะที่เวย์กระแอม
"พวกผมแค่อยากไปร่วมแสดงความยินดีด้วยน่ะครับ"
"ใช่ๆ พวกฉันอยากไปดูหน้าญาติทอยสักหน่อย"
ผมขมวดคิ้วตั้งแต่ได้ยินคำพูดเวย์ แต่คำพูดของจินกลับทำให้คิ้วชนกันมากขึ้นกว่าเดิม
ทำไมน้ำเสียงกับวิธีพูดของจินถึงดูประชดประชันแดกดันญาติผมนัก หรือผมแค่คิดไปเอง?
"ฉันคิดว่ามันไม่ดีเท่าไหร่ที่คนที่ไม่มีกระทั่งบัตรเชิญอย่างฉันจะพาคนอื่นไปงาน แค่ซิตซ์ฉันยังพอแก้ตัวได้ แต่ถ้าพวกนายไปกันหมด..."ผมทำหน้าลำบากใจ ใจจริงก็ไม่ได้อยากพูดอย่างนี้ แต่ผมก็จำเป็นต้องพูด กับคนที่ไม่มีกระทั่งบัตรเชิญ แค่ไปเสนอหน้าให้เขาเห็นก็นับว่าแย่มากพอแล้ว อีกอย่าง ที่นั่น ในงานเลี้ยงนั่นยังมีคนที่ผมไม่อยากพบเจออยู่
ผมพูดอธิบายเกลี้ยกล่อมจนทุกคนยอมรับ แต่จินก็ยังตื๊อจะไปหน้างานให้ได้ จนผมอ่อนใจยอมลงให้ในที่สุด
พอไปถึงงานก็เห็นชายหนุ่มในชุดเจ้าบ่าวยืนคู่กับพี่ทาร์ตในชุดเจ้าสาว พี่ทาร์ตที่เห็นผมก็ทักทายด้วยอาการดีใจ
"ทอยยอมมาจริงๆด้วย ขอบคุณที่มานะ!"
"ไม่หรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องแสดงความยินดีกับพี่ด้วย"ผมพูดตอบก่อนหันไปมองทางเจ้าบ่าวที่ยืนเงียบอยู่ พี่ทาร์ตคล้ายรู้สึกตัวจึงหันมาแนะนำ
"นี่ เมศ เจ้าบ่าวสุดหล่อของพี่เอง ส่วนนี่ทอย น้องชายฉันเอง"ผมนิ่งไปเล็กน้อยกับคำแนะนำของพี่ทาร์ต ทางเจ้าบ่าวของพี่ทาร์ตก็หันมาทักทายด้วยสีหน้าราบเรียบ
"สวัสดี"
"สวัสดีครับ"ผมทักทายกลับ ประเมินจากการการทักทายสั้นๆที่ดูเป็นทางการ อีกฝ่ายคงเป็นนักธุรกิจ บวกกับฐานะเจ้าของโรงแรม ชีวิตพี่ทาร์ตหลังจากนี้คงสุขสบาย
"ทอยจ๊ะ สองคนด้านหลังนั่น...เพื่อนเหรอ?"พี่ทาร์ตพูดทักผมเลยนึกได้ว่าซิตซ์กับจินตามมาด้วย แต่ยังไม่ทันแนะนำอะไร จินกับซิตซ์ก็ก้าวออกไปทักทายพี่ทาร์ตก่อน
"สวัสดีครับ ผมจิน ยินดีด้วยนะครับสำหรับงานแต่ง!"
"ซิตซ์ครับ ยินดีด้วยนะครับ ขอให้มีความสุขมากๆ"
ผมเบิกตาเมื่อไม่เคยเห็นทั้งคู่ดู 'สุภาพ' ขนาดนี้มาก่อน จินที่ปกติจะมีท่าทีเอาแต่ใจ ขี้อ้อน และงอแงเป็นเด็กๆ กลับดูสุภาพเรียบร้อย ซิตซ์เองปกติถ้าไม่ยิ้มร้ายกาจก็ทำหน้าบึ้งจนไม่กล้าเข้าใกล้ ตอนนี้ถึงจะไม่ยิ้ม แต่ก็ให้ความรู้สึกเงียบขรึมมากกว่าหยิ่งหรือไร้มารยาท
"อะ ขอบคุณจ๊ะ"พี่ทาร์ตพูดตอบรับด้วยรอยยิ้มหวาน ตอนนี้เองที่ญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเดินออกมาตามบ่าวสาว
"เมศ ทาร์ต แขกมาพร้อมแล้วจ๊ะ เข้าไปด้านใน... เอ๋?"หญิงวัยกลางคนสวมชุดออกงานสีชมพูอ่อนที่เดินนำมาส่งเสียงแปลกใจ ขณะเดียวกัน ผมที่เห็นป้าอรกับลุงกตก็ยกมือไหว้ ทั้งสองเป็นพ่อแม่พี่ทาร์ต และก็ถือเป็นญาติฝ่ายแม่ของผมด้วย
"อ้าว สรุปมาด้วยเหรอ?"ป้าอรที่วันนี้สวมชุดออกงานสีเหลืองอ่อนเอ่ยทักคล้ายประหลาดใจ แต่ก็คล้ายไม่ใส่ใจ ซึ่งท่าทีที่ดูแห้งแล้งและห่างเหินนี้ทำให้ผมได้แค่ฝืนยิ้มรับ
"ครับ"
"พี่อรคะ เด็กคนนี้คือ?"ญาติฝ่ายเจ้าบ่าวคนหนึ่งส่งเสียงถามด้วยความสงสัย
"อ๋อ หลานห่างๆน่ะค่ะ รุ่นเดียวกับตาแท็งค์ ทำงานอยู่ต่างจังหวัด ปกติไม่ค่อยได้กลับมา พี่นพจะไม่เคยเห็นก็ไม่แปลกค่ะ"
"อ้อ ถึงว่าพี่ไม่คุ้นเลย แล้วนี่ทำงานอะไรจ๊ะ?"
อีกฝ่ายออกปากถาม ซึ่งคำถามนี้เหมือนถามตามมารยาทมากกว่านึกสงสัยจริงจัง ผมยกมือไหว้รอบนึง ใจคิดจะตอบปัดๆไป แต่ป้าอรกลับแทรกขึ้นก่อน
"ได้ยินว่าเป็นนักเขียนน่ะค่ะ เด็กคนนี้น่ะ ตอนแรกก็เรียนพวกกฎหมายและเป็นถึงว่าที่ทนายแท้ๆ แต่อยู่ดีๆก็ทิ้งความก้าวหน้าแล้วไปเป็นนักคงนักเขียนอะไรก็ไม่รู้! ยังดีที่พอทำเงินได้บ้าง"พูดถึงตรงนี้ก็หันมามองผมด้วยสีหน้าไม่พอใจ "ว่าแต่เธอนี่ก็จริงๆเลย ไม่บอกก่อนว่าจะมา ตอนนี้โต๊ะด้านในเต็มหมดแล้ว จะทำยังไงล่ะทีนี้"
โต๊ะเต็มหมดแล้ว...หมายความว่าไม่มีที่สำหรับผมสินะ?
"พี่อรคะ ให้น้องเขามานั่งกับพวกเราก็ได้นี่คะ?"ผู้หญิงชุดชมพูพยายามพูดไกล่เกลี่ยให้ แต่ผมอยากบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องหรอก เพราะที่จริงผมก็คาดหวังเหตุการณ์แบบนี้เอาไว้แต่แรก และเพราะอย่างนั้นผมถึงไม่อยากพาพวกซิตซ์มาด้วย...
"ขอโทษด้วยนะครับ แต่ไม่ต้องเตรียมโต๊ะอะไรให้หรอกครับ เพราะทอยคงอยู่ร่วมงานเลี้ยงไม่ได้ ความจริงพวกเรายังมีงานเลี้ยงที่ต้องไปอีก พอดีว่าทอยเขาบอกว่าญาติบังเอิญจัดงานแต่งที่โรงแรมพวกเราเลยแวะมาทักทาย ถ้ายังไงก็ขอตัวก่อนนะครับ"จินที่ก้าวมายืนคั่นระหว่างผมกับป้าอรพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส ระหว่างที่ผมแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ซิตซ์ที่ก้าวมาอยู่ด้านข้างก็ลอบกุมมือผมไว้ ซึ่งผมแอบเห็นว่ามืออีกข้างของอีกฝ่ายกำหมัดไว้แน่นคล้ายกำลังอดกลั้น
"อ๊ะ จริงเหรอจ๊ะทอย?"พี่ทาร์ตถามด้วยท่าทางตกใจ ผมรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ควรหักหน้าจินเลยพูดโกหกออกไปอย่างที่ทำไม่บ่อย
"ครับ"
ป้าอรที่ได้ยินจินพูดทำหน้าตกใจ ก่อนจะแค่นเสียงประชดประชันว่า
"เฮอะ งานเลี้ยงอะไรจะสำคัญกว่างานแต่งญาติอีก?"
ผมเม้มปากเพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร และก็เป็นจินอีกที่แต่งเรื่องต่อ
"ที่จริงพวกเราก็รู้สึกไม่ดีนะครับที่งานมันมาชนกันแบบนี้ แต่งานนี้เลื่อนไม่ได้จริงๆ แล้วทอยก็เป็นตัวหลักของงานด้วย วันนี้พวกเรามีนัดคุยเกี่ยวกับโปรเจ็คที่จะเอานิยายของเขามาสร้างเป็นอนิเมชั่นน่ะครับ ทีนี้เรื่องนี้ต้องมีการคุยรายละเอียดกันอีกยาว ทั้งยังต้องตกลงเรื่องค่าสัญญา ค่าลิขสิทธิ์อีก เพราะงั้นงานนี้ขาดทอยไม่ได้จริงๆครับ"
"ว้าว! นิยายที่ทอยเขียนจะได้ทำเป็นอนิเมชั่นเหรอคะ? นั่นมันยอดไปเลย!"พี่ทาร์ตอุทานอย่างตื่นเต้น ก่อนจะส่งยิ้มให้ผม "ยินดีด้วยนะจ๊ะทอย!"
"...ขอบคุณครับ"ผมเค้นคำขอบคุณออกมาอย่างยากลำบากเมื่อคำโกหกนี้ดูจะใหญ่โตไปสักหน่อย แต่ยังไม่จบเมื่อจินยังพูดต่อด้วยท่าทีเสียดาย
"อันที่จริงถ้ารู้ก่อนหน้านี้สักอาทิตย์ก็ยังพอเลื่อนงานเลี้ยงได้ เฮ้อ ถ้ายังไงก็ขอโทษด้วยจริงๆนะครับที่ต้องพาตัวทอยไป"
"ไม่เป็นไรจ๊ะ ยังไงก็ฝากทอยด้วยนะจ๊ะ"พี่ทาร์ตผู้เป็นเจ้าของงานว่าแบบนั้น ป้าอรที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรเลยเงียบเสียงลง
"ครับ พวกผมจะดูแลทอยเอง"จินพูดตอบรับเสียงหนักแน่น ก่อนจะหันมาพูดกับผม "ไปกันเถอะทอย"
ผมนิ่งอึ้ง เมื่อเหมือนทุกอย่างได้จบลงโดยที่ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย และเพราะผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่เลยถูกซิตซ์ดึงมือให้เดินตามไป ผมก้าวไปตามแรงดึงได้สองสามก้าวก็หยุดชะงัก ก่อนหันไปหาพี่ทาร์ตที่วันนี้สวมชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งมันคงจริงที่เขาว่ากันว่าผู้หญิงจะสวยที่สุดก็วันแต่งงาน
"พี่ทาร์ต ...ยินดีด้วยนะครับ"ผมเอ่ยแสดงความยินดีอีกครั้ง โดยครั้งนี้ผมหมายความตามคำพูดจริงๆ
"ขอบคุณจ๊ะ"พี่ทาร์ตส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ ซึ่งผมโค้งศีรษะให้เล็กน้อยก่อนหมุนตัวเดินจากมา
พอลงมาถึงชั้นจอดรถ ทั้งจินทั้งซิตซ์ต่างระเบิดอารมณ์กันยกใหญ่
"นั่นมันอะไรน่ะ? นั่นเป็นคำพูดที่คนเป็นญาติสมควรพูดงั้นเหรอ?!"จินส่งเสียงโวยวายด้วยสีหน้าหงุดหงิด สลัดคราบความสุภาพเรียบร้อยทิ้งจนไม่เหลือ ฝั่งซิตซ์ก็มีสีหน้าบึ้งตึง น้ำเสียงที่พูดกดต่ำอย่างน่าสยอง
"ฉันบอกนายแล้วว่าอย่ามา ญาติพรรค์นั้นไม่ต้องเจอกันอีกได้เป็นดีที่สุด"
"ที่ฉันมาเพราะพี่ทาร์ต... ไม่ต้องห่วง ฉันไม่กลับไปอีกแล้วล่ะ"ผมพูดออกปากอย่างเข้าใจความหวังดีของซิตซ์ และก็เข้าใจที่จินเป็นห่วง ซึ่งผมก็อยากขอบคุณทั้งคู่ เพราะถ้าเมื่อกี้ทั้งสองคนไม่อยู่...ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
"จิน ซิตซ์ ฉัน..."
"ทอย?"
เสียงเรียกที่ไม่คุ้นเคยดังขัดคำพูด และพอผมหันไปเห็นต้นเสียงก็ต้องตัวแข็งทื่อ
"...แท็งค์"
ความคิดเห็น