ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] I'm your Toy. ผมเป็นของเล่นของคุณ (8P)

    ลำดับตอนที่ #43 : ตอนที่42 ผมกับ...การสารภาพบาป

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.59K
      60
      6 ธ.ค. 63

    ตอนที่42

    ผมกับ...การสารภาพบาป

     

     

       ความชั่วช้าของมนุษย์จะได้รับการชำระ เมื่อทำการสารภาพซึ่งบาปที่ได้กระทำลงไป

       นั่นคือถ้อยคำที่ผมอ่านเจอในหนังสือเกี่ยวกับศาสนาเล่มหนึ่งตอนค้นข้อมูลเขียนนิยาย แต่ผมนึกสงสัย

       มันเพียงพอแล้วงั้นเหรอ?

       ทำแค่นั้น...มันเพียงพอที่จะได้รับการยกโทษแล้วงั้นเหรอ?

       แล้ว การสารภาพบาป นี่ จะช่วยให้คนหลุดพ้นจากบาปที่ตนเองได้กระทำลงไปจริงๆ งั้นเหรอ?

     

     

       ...

       พอผมกลับมาถึงคอนโด ผมก็เก็บข้าวของและตั้งใจจะขอตัวกลับบ้านเลย แต่ราวกับพวกเขาจะรู้ทันว่าผมคิดจะทำอะไรถึงได้รั้งให้ผมอยู่ต่อ

       "อยู่ด้วยกันก่อนสิทอย"

       "ฉันมีธุระต้องทำน่ะ ขอกลับก่อนแล้วกัน"ผมมองจินที่งอแง แล้วตอบเสียงนิ่ง ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ใจอ่อนอีก หลังกลับไปครั้งนี้ผมจะตัดขาดกับพวกเขา ก่อนหน้านี้ผมเคยเช็คโปรแกรมทัวร์ญี่ปุ่นเอาไว้ จำได้ว่ามีโปรแกรมตัวหนึ่งจัดเดือนหน้า ถ้าจำนวนคนยังไม่เต็มทีผมจะสมัครร่วมทริปด้วย และถ้าเป็นไปได้ผมจะลองคุยกับทางผู้จัดทริปว่าพอจะยืดเวลาให้ผมอยู่ญี่ปุ่นต่อสักสามเดือนได้รึเปล่า

       ผมไม่เคยมีโอกาสไปญี่ปุ่น ถ้าได้ไปแล้วก็ควรใช้เวลาให้คุ้มค่า เพราะถ้าไปแค่ไม่กี่วันผมคงไม่ได้ศึกษาอะไรเป็นจริงเป็นจังเท่าไหร่

       ใช่... ทั้งหมดก็เพื่อเก็บข้อมูล

       "ถ้าทอยจะกลับบ้าน งั้นให้ผมไปส่งนะครับ"เวย์ที่เห็นว่ารั้งผมไม่อยู่เอ่ยเสนอขึ้น แต่ผมปฏิเสธ

       "ไม่ต้องหรอก ฉันกลับเองได้"ผมว่าพลางไล่สายตาจากเวย์ไปยังคนอื่นๆ และหยุดชะงักเมื่อมองซิตซ์ ผมเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะพูดอำลา "เมื่อวานขอโทษด้วยนะที่สร้างปัญหาให้... แล้วก็ขอบคุณมากนะ"

       ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่ผ่านมา

       ทุกอย่างที่พวกนายทำให้กัน...ฉันซาบซึ้งมาก

       แต่...มันต้องพอแล้วล่ะ

       ลาก่อนนะ

       ข้อความในใจที่ผมได้แต่เก็บงำไว้ก่อนจากมา ระหว่างที่นั่งแท็กซี่กลับบ้านผมหลุบมองดูสัมภาระในอ้อมแขนแล้วพลันรู้สึกว่างเปล่าในอก พอถึงบ้านแล้วผมก็วางทุกอย่างลงแล้วตรงดิ่งไปยังห้องนอนที่คุ้นเคย บนเตียงนอนที่เงียบเหงา ผมทิ้งตัวลงนอนก่อนจะหลับตา

       อาจด้วยความเหนื่อยล้าทางจิตใจมันสะสมมาถึงจุด ฝันร้ายที่ห่างหายไปนานจึงได้กลับมาเยือน

       ฉากในฝันได้เริ่มต้นขึ้นในห้องที่คุ้นเคย ห้องที่ผมอาศัยเมื่อตอนสมัยยังเด็ก ห้องแคบที่มีแค่เตียงไม้หนึ่งหลังตั้งอยู่ และพัดลมตัวเล็กเก่าๆ หนึ่งตัวหมุนส่ายไปมา

       ตัวผมในฝันลุกตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อไปอาบน้ำ เตรียมตัวไปโรงเรียน ทุกอย่างเหมือนปกติ...

       ไม่หรอก ไม่ปกติ

       วันนั้นผมเป็นไข้อ่อนๆ เลยหัวเบลอๆ ผมกวาดเอาสมุดการบ้านที่เมื่อคืนลืมเก็บเข้ากระเป๋า กวาดเอาดินสอที่ยังไม่เก็บใส่กล่องดีลงกระเป๋า กวาดทุกสิ่งทุกอย่าง

       รวมไปถึง...ขวดยาสีขาว

       เฮือก

       ผมสะดุ้งตื่นด้วยใบหน้าท่วมเหงื่อ ลมหายใจกระชั้นถี่ คล้ายคนเพิ่งรอดตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วการตายอาจจะดีกว่า เพราะมันทำให้ผมไม่ต้องทนทรมานอยู่แบบนี้

       ผมกุมหน้าอกที่เต้นไม่เป็นส่ำแล้วปิดตาลง ริมฝีปากขยับเอ่ยถ้อยคำอ้อนวอนที่ไม่มีใครได้ยิน

       "ทอยจะเป็นเด็กดี ทอยจะไม่ร้องไห้ เพราะงั้น...ยกโทษให้ทอยนะครับ ยาย"

     

       ผ่านไปประมาณสัปดาห์หนึ่ง ผมไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ หรือพูดให้ถูกคือทำอะไรไม่ได้ เพราะผมป่วยอีกแล้ว ฝันร้ายที่โผล่มาทุกคืนทำให้ผมนอนไม่หลับ และเริ่มมีอาหารปวดหัวกับคลื่นไส้ ผมพยายามบอกตัวเองให้ผ่อนคลาย หาวิธีไม่ให้ฝันร้าย แต่มันก็ไม่ได้ผลเลย

       ผมยังคงต้องเผชิญหน้ากับฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

       ภาพในฝันเหล่านั้นบ้างเหมือนบ้างแตกต่างกันไป ในบางครั้ง ในฝันก็มีภาพและเสียงของยายพูดปลอบโยนผมที่กำลังร้องไห้

       "เด็กดีของยาย ไม่ร้องนะจ๊ะ"

       "ทอยจะไม่ร้องฮะ ทอยจะเป็นเด็กดี"

       แต่หลังจากภาพที่อบอุ่นก็แปรเปลี่ยนเป็นงานศพที่เย็นยะเยือก ผมในความฝันมองโลงศพด้วยรอยยิ้ม... ถ้าไม่ยิ้มเอาไว้ผมจะเผลอร้องไห้ และถ้าร้องไห้มก็จะเป็นเด็กไม่ดี และถ้าเป็นเด็กไม่ดี...ยายก็จะไม่รักผมอีก

       ความคิดในตอนเด็กของผมเรียบง่าย พอโตขึ้นผมก็คิดได้ว่าการยิ้มในงานศพเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม แต่ผมเชื่อว่ายายจะเข้าใจและยกโทษให้

       "ทอยจะเป็นเด็กดี"

       ถึงผมจะทำผิดไป แต่ผมเชื่อว่ายายจะยกโทษให้

       "ทอยจะเป็นเด็กดี"

       ใช่ ยายจะยกโทษให้ผม

       "ทอยจะเป็นเด็กดี..."

     

     

       ไม่รู้ว่าครั้งนี้ผมหลับไปนานแค่ไหน แต่พอตื่นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว ชั่ววูบหนึ่งผมหวนนึกถึงเหตุการณ์เก่าๆ ขึ้นมา ก่อนจะสงบใจลงแล้วพยายามคิดว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

       "ไง ตื่นแล้วเหรอ?"

       "อิน?"ผมปรือตามองอินที่ผลักประตูเข้ามาพร้อมเอ่ยทักทาย วันนี้เจ้าตัวสวมชุดวันพีชสีขาวแบบเรียบดูแปลกตา อีกฝ่ายลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงโดยไม่ได้พูดดุด่าอะไร แต่ผมเองที่เป็นฝ่ายร้อนตัวรีบพูดแก้ตัวขึ้น

       "ฉันไม่ได้ไม่ดูแลตัวเองนะ ฉันกินข้าวกินยาแล้ว พักผ่อนแล้วด้วย ไม่ได้ฝืนทำงานหนักอะไรนะ"

       "ฉันรู้"อินว่าตัดบท แต่ไม่ได้ต่อว่าอะไรจนผมงง ก่อนผมจะนึกได้แล้วถาม

       "แล้วนี่ฉันมาอยู่โรงพยาบาลได้ยังไงน่ะ?"

       "ฉันโทรหานายเป็นสิบสายแล้วไม่รับ โทรหากับเด็กพวกนั้นก็บอกว่านายกลับบ้านเลยมาเช็ค แต่กดกริ่งก็แล้วนายไม่รับ ฉันเลยถือวิสาสะเข้าไป เห็นนายนอนเพ้อเลยเรียกรถพยาบาลมารับ"อินพูดอธิบายเป็นฉากๆ แต่ผมกลับติดใจกับคำนอนเพ้อ

       ผม...พูดอะไรออกไป?

       ผมอยากถาม ขณะเดียวกันก็กลัวคำตอบ สุดท้ายผมเลยพูดเปลี่ยนเรื่อง

       "แล้วนี่ฉันจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่?"

       "หมอบอกดูอาการอีกสองสามวันก็กลับบ้านได้"อินตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ซึ่งผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าวันนี้อีกฝ่ายดูแปลกไปจากปกติ แต่ก็ชี้ไม่ถูกว่าผิดปกติตรงไหน ผมจึงรับคำสั้นๆ

       "อ้อ"

       "ช่วงนี้มีพล็อตใหม่รึยัง?"อินเปลี่ยนเรื่องถาม ผมชะงักก่อนจะตอบ

       "ก็มีบ้างแล้ว แต่ฉันคงต้องไปเห็บข้อมูลก่อน"

       "รอบนี้ที่ไหนล่ะ"

       "ฉัน..."ผมลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายก็ตอบออกไป "จะไปญี่ปุ่นน่ะ"

       "อือ ก็ดี ไปเที่ยวผ่อนคลายซะบ้าง อย่าลืมของฝากล่ะ"อินตอบรับง่ายดายจนผมรู้สึกประหลาด แต่ยังมีอีกเรื่องที่ผมยังไม่ได้บอกอิน

       "อิน ฉันเลิกกับพวกเขาแล้ว คราวนี้เลิกจริงๆ ฉันพูดจริงๆ และฉันหวังว่าเธอจะเลิกยุ่งกับพวกเขาเหมือนกัน"ผมพูดพลางสบตาอิน ครั้งนี้ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจแน่ ฝั่งอินสบตากับผมนิ่งนาน ก่อนจะพยักหน้า

       "ได้"

       คำตอบรับเรียบง่าย ไม่มีคำถามเพิ่มเติม ท่าทีที่เหมือนจะยอมรับการตัดสินใจของผมแบบนี้ ดูแล้วค่อนข้างน่าประหลาดใจอยู่เหมือนกัน

       "เธอไม่ว่าอะไรงั้นเหรอ?"

       "จะให้ว่าอะไรล่ะ?"

       "ไม่ใช่ว่าเธอเชียร์ให้ฉันลงเอยกับพวกนั้นหรอกเหรอ?"ผมถามกลับเมื่อที่ผ่านมาอินมักแสดงท่าทีสนับสนุนพวกเวย์ให้จีบผม จนหลายครั้งอดคิดไม่ได้ว่าอินเหมือนอยากจับผมใส่พานถวายให้พวกเวย์ซะด้วยซ้ำ

       "อืม พูดตามตรง ฉันทั้งเชียร์ให้พวกนั้นจีบนายติด แล้วก็เชียร์ให้นายเลิกยุ่งกับเด็กพวกนั้นเหมือนกัน ทำหน้าอย่างนั้นทำไม? ข้องใจงั้นเหรอ?"อินถามด้วยเสียงเหมือนหยอกเย้า แต่ผมก็พยักหน้าให้ เพราะไม่เข้าใจที่อินพูดเท่าไหร่

       "ทอย ที่ผ่านมานายปิดตัวเองมากแค่ไหน นายก็น่าจะรู้ดี"จู่ๆ อินก็ว่าขึ้น ผมทำสีหน้างุนงงขณะมองอีกฝ่ายพูดต่อ "สมัยมหาลัยฯ มีคนมาจีบนายเยอะแยะ แต่นายก็เมินเฉย จนถึงขั้นหลีกเลี่ยงด้วยซ้ำ"

       "ฉันน่ะไม่สนหรอกว่าจะเป็นใคร ชายก็ได้ หญิงก็ดี ขอแค่รักนาย ทำให้นายมีความสุขได้พอ เพราะงั้น...ตอนที่ได้ยินว่านายยอมให้พวกนั้นเข้าบ้าน ฉันถึงได้ตัดสินใจว่าจะช่วย แต่พวกนั้นก็ไม่ได้เรื่องได้ราวเท่าไหร่ บางทียังเป็นฝ่ายทำให้นายไม่มีความสุขด้วยซ้ำ"พูดถึงตรงนี้สีหน้าของอินก็ดูไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ผมเองก็เผลอแก้ตัวไป

       "ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาทำให้ฉันไม่มีความสุข ทุกคนเป็นคนดีกันทั้งนั้นแหละ แต่...เป็นเพราะฉันเองที่ไม่คู่ควร"ประโยคสุดท้ายนี้ผมพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

       "นายไม่คู่ควร? ทอย บนโลกนี้ ไม่มีคำว่าคู่ควรหรือไม่คู่ควร มันมีแต่รักกับไม่รักเท่านั้น การใช้คำว่าไม่คู่ควรมาเป็นเหตุผล นั่นหมายความว่านายกำลังใช้มาตรฐานงี่เง่าตัดสินคุณค่าของคนอยู่ ต่อให้เป็นคนที่เลวทรามที่สุดในโลกก็ยังมีสิทธิ์ที่จะรักใครสักคน และมีสิทธิ์ที่จะได้รับความรักจากคนอื่น ฉันไม่ชอบคำพูดงี่เง่าที่ว่าไม่คู่ควรอะไรนั่น ทอย ถ้านายอยากเลิกกับเด็กพวกนั้นจริงก็เลิกไป พูดเหตุผลมาเลยว่านายไม่ได้รักพวกนั้น แบบนี้ต่อให้เป็นใครก็ไม่กล้าว่าอะไรนาย เพราะเรื่องของหัวใจไม่มีใครบีบบังคับกันได้"

       อินพูดขัดด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจเหมือนเคย แต่ในวันนี้ คำพูดบางคำของเจ้าตัวกลับทำให้ปราการในหัวใจของผมสั่นไหว

       ต่อให้เป็นคนที่เลวทรามที่สุดในโลกก็ยังมีสิทธิ์ที่จะรัก และถูกรัก...งั้นเหรอ?

       ผมก้มหน้าลงโดยไม่ได้โต้ตอบคำพูดของอิน

       "นายอยากทำอะไรก็ทำ ถ้าครั้งนี้นายตัดสินใจแล้วจริงๆ ฉันก็จะสนับสนุนการตัดสินใจของนาย กระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ฉันไว้นี่นะ พักผ่อนดีๆล่ะ ไว้ฉันมาเยี่ยมใหม่"อินพูดพลางลุกขึ้น ผมส่งเสียงตอบรับเบาๆ ก่อนจมลงในห้วงคิด

       ถ้าคนที่เลวที่สุดในโลก มีสิทธิ์ที่จะรักและถูกรักจริง ถ้างั้นผมเอง...ก็มีสิทธิ์ใช่ไหม?

       ตัวผมเองก็...มีสิทธิ์จะได้รับความรักจากคนอื่น...ใช่ไหม?

     

       สามวันต่อมาผมก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ที่จริงผมอยากออกก่อนหน้านี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมหมอที่รักษาผมถึงไม่อนุญาตให้กลับและยืนยันให้ผมอยู่ดูอาการต่อ แต่ก็คงเพราะการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ช่วงตลอดสามวันที่ผ่านมานี้ผมถึงได้นอนหลับเต็มอิ่ม อาหารการกินก็ได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งยังมีพยาบาลคอยดูแลแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย พูดไปแล้วโรงพยาบาลที่นี่ก็ดูแลคนไข้ดีมากจริงๆ ทั้งค่ารักษายังถูกกว่าที่คาดไว้ด้วย

       ผมเก็บกระเป๋าตังค์ใส่กระเป๋ากางเกง แล้วเดินออกมาด้านนอกเพื่อหารถกลับบ้าน แต่เหมือนตอนนี้จะยังเช้าไปหน่อยจึงไม่มีรถผ่าน ผมเลยนั่งรอรถที่ป้ายรถเมล์แถวนั้น ระหว่างนั้นก็ล้วงเอามือถือขึ้นมาดู

       มือถือของผมไม่มีได้มีเกมหรือแอพอะไรให้ใช้นัก จะมีก็แต่แอพที่ทางร้านติดตั้งมาให้มาตอนซื้อ ผมมองดูไอค่อนกูเกิ้ลโครมบนหน้าจออยู่พักใหญ่ ก่อนคลิกเข้าไปแล้วพิมพ์เสิร์ชข้อความหนึ่งไปในช่องค้นหา

       'คนชั่วสมควรได้รับความรักรึเปล่า?'

       ไม่ใช่ว่าผมจะทักท้วงว่าสิ่งที่อินพูดไม่ถูกต้อง เพราะในเชิงปรัชญา คนที่เลวที่สุดในโลกมีสิทธิ์ที่จะรักและได้รับความรักจริง เพียงแต่ในภาคปฏิบัติ จะมีสักกี่คนที่จะยอมรับในตัวตนที่ไม่สมบูรณ์พร้อมและให้อภัยในความผิดพลาดที่ไม่อาจลบเลือนของคนอื่นได้?

       ผมไล่อ่านทั้งบทความ และกระทู้ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับคำถามที่ผมอยากรู้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ ซึ่งมันก็ไม่แปลกอะไร เพราะอันที่จริงคำถามพวกนี้ คนที่จะตอบผมได้น่ะ...มีอยู่แล้ว

       ผมกดออกจากโปรแกรมที่ใช้อยู่ แล้วเลื่อนไปยังสมุดรายชื่อ ก่อนคลิกไปที่ชื่อหนึ่งพร้อมกดโทรออก ระหว่างรอสายมือของผมก็เกือบกดที่ปุ่มวางสายอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็ควบคุมตัวเองไม่ให้ทำอย่างนั้น รอจนมีคนรับผมก็กรอกเสียงลงไป

       "ฉันขอคุยด้วยได้ไหม?"

       ....

     

       หลังจากวางสายแล้วผมก็ขึ้นแท็กซี่ที่ผ่านทางมา แล้วตรงไปยังจุดหมายทันที มันอาจดูว่าผมรีบเร่งไปหน่อย แต่ก็ไม่ผิด ผมกลัวว่าถ้าผ่านจากวันนี้ไปผมจะเปลี่ยนใจ ดังนั้นในตอนที่ผมยังไม่เปลี่ยนใจนี้ ผมจะต้องหาคำตอบออกมาให้ได้

       แท๊กซี่เหมือนจะมาถึงเร็วมาก ผมจ่ายเงินแล้วลงจากรถพร้อมเงยหน้ามองตึกคอนโดหรู ก่อนจะเดินเข้าไป ระหว่างที่เดินผ่านป้อมผมก็ผงกศีรษะทักทาย รปภ. ซึ่งนับว่าคุ้นหน้ากันดีอย่างสุภาพ วันนี้ผมไม่ได้ขึ้นไปด้านบนเองเหมือนทุกทีแม้จะรู้รหัสสำหรับขึ้นไปก็ตาม ผมเลือกยืนรออยู่ด้านล่างอย่างเงียบๆ แต่รอได้ไม่นานนักคนที่ผมนัดเอาไว้ก็พากันลงมา

       ทั้งเจ็ดคนทยอยเดินออกจากลิฟต์ด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูเคร่งขรึมยังไงบอกไม่ถูก ผมคิดจะส่งยิ้มทักทาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ยิ้มออกไป รอจนทั้งเจ็ดคนมายืนอยู่ตรงหน้า ผมก็ผายมือไปทางสวนด้านข้าง ก่อนเดินนำไป

       ผมมาที่คอนโดนี้บ่อย เลยได้รู้ว่าในสวนบริเวณคอนโดมีศาลาเล็กๆ สำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจอยู่ด้วย โต๊ะม้าหินสีขาวสลับดำที่ตั้งอยู่ในศาลาดูเรียบหรูเข้ากับลุคของคอนโด ผมหันไปมองทั้งเจ็ดคนที่ตามมาเงียบๆ ตลอดทางแล้วผายมือไปยังทางเก้าอี้

       "นั่งสิ"ผมพูดบอกให้ทุกคนนั่ง แต่ตัวเองกลับไม่ได้นั่งลงไปสักที ผมยังคงยืนอยู่นอกศาลาเหมือนคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย แต่เมื่อสายตาทุกคู่จับจ้องมา ผมก็ค่อยๆ ตรงไปนั่งยังที่ว่างที่เหลืออยู่ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญที่จุดดังกล่าวนั้นอยู่ขนาบข้างระหว่างซิตซ์และไนท์ ขณะที่ตรงข้ามคือเวย์และไปป์

       พอผมนั่งลงแล้วก็รู้สึกกดดันขึ้นมา แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการทุกอย่างให้จบในวันนี้ ซึ่งไม่ว่าจุดจบที่ว่านั้นจะเลวร้ายแค่ไหน...ผมก็จะยอมรับมัน

       "ฉันที่คำถามที่อยากจะถามพวกนาย... ฉันจะถามแค่คำถามเดียว แต่ก่อนที่พวกพวกนายจะตอบคำถามของฉัน ฉันจะขอให้พวกนายรับฟังเรื่องที่ฉันจะเล่าก่อน"

       ผมเปิดประเด็นพลางกวาดมองสีหน้าแต่ละคนที่ยังคงเคร่งขรึมแต่ก็ไม่มีใครคัดค้าน ผมเริ่มต้นด้วยการเอื้อนเอ่ยคำถาม

       "พวกนายคิดว่า คนชั่วมีสิทธิ์ที่จะรักคนอื่น หรือได้รับความรักรึเปล่า?"

       คำถามของผมเรียกสีหน้าประหลาดใจของหลายๆคน แต่ก็ยังไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรออกมา ฝั่งผมเม้มปากตัวเองอยู่หลายครั้ง เพราะสิ่งที่จะพูดออกไปคือความลับที่มีไม่กี่คนที่รู้ ทั้งยังเป็น...ต้นตอของฝันร้ายทั้งชีวิตของผม

       แต่ก่อนที่จะมาที่นี่ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะพูด ดังนั้น ถึงจะลังเลอยู่นาน แต่ในท้ายที่สุดผมก็ได้เริ่มเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งนั้นโดยไม่ยอมมองสีหน้าของใครอีก

       "เมื่อยี่สิบปีก่อน...ในบ้านหลังหนึ่งมีเด็กผู้ชายวัยเจ็ดขวบที่ถือกำเนิดจากผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานอาศัยอยู่ เนื่องจากแม่ของเด็กชายได้เสียชีวิตไปตอนคลอด เด็กผู้ชายคนนั้นจึงได้อาศัยอยู่กับญาติฝ่ายแม่ แต่ในบรรดาญาติทั้งหมด คนที่เห็นเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวและมอบความรักให้กับเขาจริงๆ มีเพียง...ยาย ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ของแม่ของเด็กชายคนนั้น"

       "เด็กชายคนนั้นรักยายของเขามาก ในโลกของเด็กชาย ยายของเขาสำคัญที่สุด ไม่ว่ายายพูดอะไร สอนอะไร เด็กชายก็จะเชื่อฟังโดยไม่มีข้อแม้ ยายสอนให้เด็กชายยิ้ม สอนให้อย่าร้องไห้ สอนให้เป็นเด็กดี เด็กชายจดจำไว้และกระทำตามคำสอนสั่งเสมอมา"

       ผมเล่าถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก ลิ้นเหมือนรับรู้ถึงรสมขมเฝื่อน แต่ผมก็ยังกลั้นใจเล่าต่อไป

       "เด็กชายรักยายของเขามาก แต่ยายของเขากลับมีสุขภาพไม่ดี และต้องกินยาอยู่เสมอ เด็กชายที่รักยายมากจึงคอยหยิบน้ำหยิบยาให้กับยายของเขาตลอดจนกลายเป็นงานประจำ"

       ผมกำมือแน่นจนรู้สึกถึงเล็บที่จิกเข้าไปในเนื้อ แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมจะพูดต่อไป ความเจ็บปวดเล็กน้อยนี้กลับไม่คู่ควรให้พูดถึง

       "แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้น... เด็กชายที่ตื่นสาย หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เร่งร้อนเก็บข้าวของใส่กระเป๋านักเรียนของตัวเอง แล้วตรงไปยังโรงเรียน แต่เขา... เขา...ไม่รู้ตัวว่าตนเองได้เผลอหยิบเอาขวดยาของยายติดมาด้วย"ผมพูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าลำคอแห้งผาก เสียงที่ออกมาจึงฟังแปร่งหู หน้าอกรู้สึกอึดอัดเหมือนมีะไรมากดทับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเล่าเรื่องต่อจนจบ

       "หลังเลิกเรียน เขาจึงได้ถูกญาติพาไปยังโรงพยาบาลเพื่อเห็นว่ายายที่ยิ้มส่งเขาก่อนไปโรงเรียนเมื่อเช้านี้... ยายที่มักรอทานข้าวเย็นพร้อมกับเขาเสมอ... ได้จากเขาไปแล้ว"

       "และ...เหตุผลที่ยายของเขาจากไป เป็นเพราะอาการกำเริบแล้วไม่ได้ทานยา"

       เรื่องเล่าได้จบลงแล้ว ผมเม้มปากแน่น ก่อนจะส่งเสียงถามซ้ำเพื่อรับฟังคำตอบ

       "ตกลงว่ายังไง? พวกนายคิดว่า คนชั่ว...มีสิทธิ์ที่จะรักคนอื่น หรือได้รับความรักรึเปล่า?"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×