ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรางรัก ลวงใจ (ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สมาร์ทบุ๊ค)

    ลำดับตอนที่ #1 : แรกพบ (รีไรท์ )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.98K
      10
      7 ก.พ. 52

                                                                            พรางรัก ลวงใจ

        

    ตอนที่ 1 แรกพบ

           กระทรวงกลาโหม.....ห้องผู้บัญชาการทหารบก
          " เอ่อ...ผู้พันอาจจะเป็นเรื่องด่วนไปสักหน่อยนะ   ที่ไม่มีเวลาให้คุณเตรียมตัวกับภารกิจนี้  คุณคงรู้แล้วนะว่าคุณได้รับมอบหมาย  ให้นำกำลังพลของเรา  เข้าร่วมรบกับทหาร  ของราชอาณาจักรสวาติติ  มันเป็นสงครามยาเสพติดน่ะ  " ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวแล้วมองหน้าเขาตรงๆ
          " ครับท่าน รับทราบคำสั่งครับผม "  นายทหารหนุ่มยศพันเอกแห่งหน่วยรบพิเศษตอบ
          ผู้บัญชาการทหารบก  มองหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างพินิจพิจารณา  และลงความเห็นในใจ  ว่า “ พันเอก ศรัณย์ วุฒิชัย “ นายทหารหนุ่มผู้นี้หน้าตาคมเข้ม  ชื่อเสียงในการปฏิบัติการสู้รบ  ของเขาโดดเด่นในหลายๆภารกิจ  ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งท่านได้ยินกิตติศัพท์มาตลอด  และเมื่อได้พบตัวจริงของเขา ท่านก็เห็นว่าหน่วยก้านของเขาสมกับคำร่ำลือว่าเป็นนายทหารที่หนุ่มหล่อ  หน้าตาคมสัน  บุคลิกผึ่งผายสมชายชาติทหาร  ประวัติส่วนตัวก็โดดเด่น และยังจบมาจากแซนเฮิสท์ ซึ่งไม่ธรรมดาเลย  อีกทั้งยังเป็น “ ไอ้เสือยิ้มยาก “ อย่างที่ใครๆพูดถึง
          “ ผู้พันศรัณย์  ภารกิจครั้งนี้ ผมขอให้คุณเดินทาง  ไปทำเกียรติประวัติ  ให้กับกองทัพและชาติบ้านเมืองของเรา ขอให้คุณร่วมมือกับทหารของสวาติติ  ในการต่อต้านการรุกรานของนายพล ราเปรียงแห่งกองพลที่ยี่สิบสาม ซึ่งกำลังทำการแทรกแซง  ราชอาณาจักรสวาติติ  เพื่อยึดเป็นฐานผลิตยาเสพติด   และใช้ราชอาณาจักรสวาติติ  เป็นเส้นทางลำเลียงยานรกเข้ามาสู่ประเทศของเรา คุณก็รู้ว่าอาณาเขตของสวาติตินั้น  ติดกับชายแดนของเรา และมีภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยในด้านการผลิตยานรกเป็นอย่างดี  และประจวบกับที่ในขณะนี้  เจ้าหลวงของสวาติติ  กำลังทรงพระประชวร  จึงทำให้สวาติติอ่อนแอลงมาก  เจ้าหญิงรัชทายาทซึ่งเป็นองค์ผู้สำเร็จราชการ  จึงได้ทรงร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลของเรา   และเราก็จำเป็นต้องช่วย   เพราะถ้าสวาติติตกเป็นของนายพล ราเปรียงเมื่อไหร่ ประเทศของเรา  ก็จะลำบากเพราะนายพล ราเปรียงจะมีที่ฐานในการผลิต  และขยายการผลิตที่มากขึ้น  ซึ่งยังไงๆเราก็คงหนี  ความเดือดร้อนไปไม่พ้นแน่  “
          เขาเพียงแต่รับฟังด้วยอาการนิ่งสงบ และรับคำเบาๆ “ ครับท่าน “
          “ อืม...ความจริงผมก็อยาก  จะบอกข้อมูลเกี่ยวกับสวาติติ  ให้คุณรับทราบไว้บ้าง  แต่ก็จนใจนะ  เราก็ไม่ค่อยมีข้อมูลอะไรมากนักหรอก  เพราะสวาติติเป็นเมืองปิดมาตลอด   เพิ่งเริ่มที่จะทำการค้ากับเรา  และประเทศอื่นบ้าง แต่เท่าที่รู้ก็คือ  เขามีการปกครองด้วยระบอบกษัตริย์   เหมือนประเทศของเรา  คุณคงต้องศึกษาการเข้าเจ้าเข้านาย  ไว้ด้วยนะผู้พัน  เพราะเราก็ไม่รู้ว่าขนบธรรมเนียม  ประเพณีของเขาเป็นยังไงบ้าง  รู้แต่เพียงว่าสวาติติ  เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษและได้รับเอกราช  มาประมาณสามสิบปี  มีคนที่เคยไปที่นั่นเล่าให้ผมฟังว่า  ที่นั่นมีอะไรๆที่คล้ายอังกฤษมาก  เป็นเมืองที่งดงาม  ด้วยสถาปัตยกรรมเมืองหนึ่งทีเดียว  และอีกอย่างหนึ่งนะ....สำคัญมากก็คือ  ผมอยากให้คุณดูแลลูกน้อง  ให้อยู่ในระเบียบวินัย  อย่างเคร่งครัดด้วยนะผู้พัน  อย่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณ   ไปทำเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นล่ะ “
          “ ครับท่าน ผมจะดูแลทหารในใต้บังคับบัญชา  ให้อยู่ในระเบียบวินัยครับท่าน  เอ่อ....ท่านครับผมไม่ทราบว่าผู้บัญชาการของสวาติติ  เป็นใครครับท่าน “
          ท่านผู้บัญชาการมองหน้าเขานิดหนึ่ง  ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น  “ เอาน่ะ.....พอไปถึง คุณก็คงจะทราบเองแหละผู้พัน ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ  กับข่าวที่ได้รับนักหรอก  เมืองนี้เขามีอะไรแปลกๆ  และก็ลับๆอยู่พอสมควร   แต่การที่เราไปเข้าร่วมเป็นกองกำลังผสมกับเขา คุณก็ต้องเข้าร่วมปรึกษาหารือ  กับเขาและเรียนรู้แนวทาง  พร้อมกับแสดงความเห็น  ในยุทธวิธีของคุณด้วย  ผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาน่ะ เพราะองค์หญิงรายาก็รับสั่งว่า  จะทรงเข้าร่วมปรึกษาหารือด้วย “
          เขาจำต้องรับคำอีกครั้งกับผู้บัญชาการ “ ครับท่าน “
          “ ผมขอให้คุณโชคดีนะผู้พัน “ ผู้บัญชาการส่งซองสีน้ำตาล  ที่ปิดผนึกเรียบร้อยส่งให้เขา “ แล้วนี่เป็นหนังสือของรัฐบาล  ที่คุณจะต้องทูลเกล้าถวาย  องค์หญิงรัชทายาท  หรือว่าองค์สมเด็จเท่านั้น “
          กลางดึกของวันรุ่งขึ้น  พันเอก...ศรัณย์ และทหารภายใต้บังคับบัญชา  ออกเดินทางจากเมืองไทย  สู่ราชอาณาจักร สวาติติ โดย รถยี เอ็ม ซี สามคัน และรถขนอาวุธและเครื่องยุทธภัณฑ์ อีกสองคัน  และเย็นวันนั้นเมื่อถึง  เขตชนแดนเขาได้ส่งหนังสือผ่านแดนเข้าเมืองสวาติติ ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง  แล้วเคลื่อนขบวนช้าๆผ่านด่านต่างๆอีกหลายด่าน  ก่อนจะเข้าถึงเมืองสวาติติ  ทหารไทยทุกคนรู้สึกตื่นตาตื่นใจ  กับธรรมชาติของอาณาจักรแห่งนี้  สองข้างทางยังคงเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์  ต้นไม้ใหญ่น้อยยืนต้นเขียวขจี  นกนานาชนิด  ส่งเสียงร้องอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ สัตว์ป่าหลากหลายชนิดมีชีวิตอย่างอิสรเส  รีและหากินอยู่ตามธรรมชาติ  จนมองเหมือนกับสวนสัตว์เปิดขนาดใหญ่ แห่งหนึ่งทีเดียว  ซึ่งทำให้เห็นได้ว่าสิ่งแวดล้อมของราชอาณาจักรแห่งนี้   ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดีเยี่ยม  รถลำเลียงกำลังพล และอาวุธทั้งห้าคัน ผ่านมาถึงด่านตรวจสุดท้าย  ซึ่งมีรถทหารหลายคันของสวาติติ และมีทหารของสวาติติมาคอยตั้งแถวรอต้อนรับ 
    พันเอกศรัณย์  ลงจากรถยี เอ็ม ซี  เมื่อพบรถทหารของสวาติติ  ที่มาคอยต้อนรับที่ด่าน  มีนายทหารยศร้อยตรีเดินจากแถวทหาร  ตรงเข้ามาที่เขา พร้อมกับยกมือแตะปีกหมวก  และชิดเท้าทำความเคารพ  เมื่อเห็นว่าเขามียศสูงกว่า  พร้อมทั้งกล่าวแนะนำตัว  และกล่าวต้อนรับ
          " ผมร้อยตรี ราเมน  ได้รับคำสั่งจากท่านผู้บัญชาการ  ให้มาคอยต้อนรับทหารทุกท่าน  ที่มาจากเมืองไทย ครับผม "  ร้อยตรี ราเมน  นายทหารที่มีอายุเลยวัยกลางคน กล่าวรายงาน 
          เขาแตะปีกหมวกแบเร่ที่สวมอยู่  รับการทำความเคารพ  " ขอบคุณมากครับที่มาต้อนรับ ผมพันเอก ศรัณย์ วุฒิชัยจากหน่วยรบพิเศษกองทัพบก ประเทศไทย และเป็นผู้บังคับบัญชาทหารมาที่นี่ ครับผู้หมวด "
         " กระผมในนามของกองทัพ  และชาวสวาติติ  ยินดีต้อนรับทหารไทยทุกท่านครับ  และขอเรียนเชิญท่านผู้พัน  เข้าพบท่านผู้บัญชาการ  ที่กองบัญชาการของเราได้เลยครับผม  และทหารของเรา  จะนำทหารของท่านทั้งหมด  ไปที่เรือนนอนครับท่าน "  ร้อยตรีอาวุโส กล่าวต้อนรับ พร้อมทั้งเชื้อเชิญนายทหารหนุ่ม
          พันเอกศรัณย์ กล่าวขอบคุณ  และหันมากล่าวกับจ่าสิบเอก สมหวัง ทหารคนสนิท  ออกคำสั่งให้จ่าหวังนำกำลังพลตามทหารของสวาติติ  ไปที่เรือนนอน และให้จัดเก็บข้าวของและพักผ่อนได้  เขาจะเข้าไปพบผู้บัญชาการของสวาติติ  พันเอกศรัณย์ออกคำสั่งแล้ว  เดินกลับมาที่ร้อยตรี ราเมน  ซึ่งยืนคอยอยู่และเชื้อเชิญให้เขาขึ้น  ไปนั่งบนรถจิ๊ปทหารของสวาติติ  พลขับของสวาติติขับนำเข้าประตูเมือง  ซึ่งเขาสังเกตว่าสร้างด้วยหินทรายสีขาว ที่ถูกตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยม วางซ้อนกันอย่างงดงาม โดยที่ทั้งสองข้างมีซุ้ม  เป็นยอดประสาทแหลม ช่องประตูกว้างเป็นรูปโค้ง  เหนือประตูสลักเสลา ด้วยลวดลายที่มองดูเก่าแก่  และงดงามด้วยศิลปกรรมยุคเก่า  คล้ายกับทาวเวอร์ บริดส์ในลอนดอน 
          รถจี๊ปทหารของร้อยตรี ราเมน ได้ขับพาพันเอก ศรัณย์  แห่งกองทัพบกไทยไปจอดที่ถนน  หน้าตึกกองบัญชาการทหารของเมืองสวาติติ  ซึ่งเป็นตึกแบบยุโรปโบราณ  ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่  ท่ามกลางแมกไม้อันร่มรื่น  หน้าตึกเป็นสนามหญ้าเขียวขจี   ถูกตัดเรียบเสมอกว้างขวาง  ฝั่งถนนตรงข้ามเป็นสนามกว้างใหญ่ โดยรอบมีต้นสน  ถูกปลูกเป็นแนวสองข้างทางตัดแต่ง  อย่างเป็นระเบียบ ไม้ประดับปลูกไว้เป็นระยะ  ออกดอกสวยสดด้วยสีสันต่างๆ ไม้ใบสีแดง สีเขียว ถูกตัดแต่งเป็นแนวระนาบ  ขนานกับทางเดินเสมอกันเป็นแนว  ทำให้บรรยากาศนั้น เหมือนอยู่หน้าตึกในประเทศแถบยุโรป  พันเอกศรัณย์มองบรรยากาศนั้น  อย่างรู้สึกชื่นชม  แล้วกล่าวชมกับร้อยตรี ราเมน  ในขณะที่ก้าวเดินไปตามทางเดินด้วยกัน
          " อากาศที่สวาติติ นี่ดีมากเลยนะครับผู้หมวด  ธรรมชาติยังคงอุดมสมบูรณ์  สิ่งแวดล้อมปลอดมลพิษจริงๆ และที่นี่ก็งดงามเงียบสงบดีเหลือเกิน ทั้งๆที่อยู่ห่างจากเมืองไทยไม่เท่าไหร่เลย  "  พันเอกหนุ่มแห่งกองทัพบกไทย  กล่าวชมอย่างจริงใจ
          " ครับท่าน...ที่นี่ยังมีอากาศที่บริสุทธิ์อยู่ครับ เราเป็นเพียงประเทศเล็กๆ  ยังไม่มีรถยนต์หรือโรงงานอุตสาหกรรมมากมายอย่างเมืองไทยน่ะครับ  และเราก็อยากจะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  ตรงนี้ไว้ให้นานที่สุดครับ องค์หญิงรายาทรงเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยน่ะครับ " 
          “ องค์หญิง รายา  ทรงเป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียว  ของสมเด็จเจ้า นาดิฟ หรือครับ “ ผู้พันศรัณย์กล่าวถาม
          " ไม่ใช่ครับ......สมเด็จท่าน  ทรงมีพระราชธิดาสองพระองค์ครับ คือองค์หญิงรายาเป็นพระราชธิดาองค์โต และมีองค์หญิงเตรานีเป็นพระธิดาองค์เล็ก  แต่ต่างพระมารดากันครับ  องค์หญิงรายา  ท่านทรงเป็นองค์หญิงรัชทายาท ที่มีพระราชมารดาเป็นสมเด็จพระราชินีซึ่งเสด็จสวรรคตแล้ว  ส่วนองค์หญิงเตรานี เป็นพระธิดาในพระชายา  หม่อมอองสาครับผม " 
          " อ๋อ...หรือครับ เสียดายนะครับ ที่พระองค์ท่านไม่ทรงมีพระราชโอรสเลย "
          " ครับท่าน  แต่องค์หญิงรัชทายาท  ก็ทรงพระปรีชามากครับ " ผู้หมวดอาวุโสกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
          ก่อนที่นายทหารต่างวัยทั้งสอง  จะกล่าวอะไรกันอีกก็เดินมาถึงหน้าตึก  กองบัญชาการที่เงียบสงบ  มีป้อมรักษาการณ์ที่ตรวจคนเข้าออก   อยู่ด้านหน้าก่อนถึงตัวตึก ทหารที่ยืนเวรทำความเคารพเขา  และหมวดราเมน  และขอตรวจบัตรเขาตามระเบียบ   แต่หมวดราเมนรีบบอกทหารว่า  เขาเป็นอาคันตุกะของผู้บัญชาการ  ซึ่งทำให้ทหารต้องทำความเคารพเขาอีกครั้ง  แต่ผู้พันศรัณย์ก็ส่งบัตรให้ตรวจ  เพื่อทำตามระเบียบ  เมื่อเรียบร้อยแล้ว จึงเดินตามหมวดราเมนเข้าไปภายในตึก  เขาถอดหมวกแเบเร่ท์สีแดงที่สวมอยู่  และหนีบไว้ใต้ซอกแขน  เช่นเดียวกับร้อยตรี ราเมน 
          ภายในตึกทรงยุโรป ที่สร้างด้วยศิลปกรรมแบบอังกฤษ  นั้นงดงามด้วยเพดานที่เป็นรูปโค้ง ประตูหน้าต่างแบบโบราณ ทำให้ภายในตึกนั้นสง่างาม  มีห้องทำงานต่างๆเรียงรายหลายห้อง  ทั้งสองข้างทางเดิน ที่อยู่ตรงกลาง  อากาศภายในตึกบัญชาการนั้นเย็นสบาย  เหมือนกับมีลมผ่านเข้ามาตลอดเวลา  ร้อยตรี ราเมนพาผู้พันศรัณย์เดินมา จนถึงห้องด้านในสุด  ซึ่งเป็นห้องทำงานของผู้บัญชาการ  เสียงรองเท้าของเขาและหมวดราเมน ดังเป็นจังหวะเมื่อกระทบกับพื้น เขาก้าวเดินไป   พร้อมทั้งสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัว  และเมื่อเดินไปจนถึงสุดปลายทาง  มีทหารที่แต่งกายแบบทหารองครักษ์ ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องสองนาย ทั้งสองนายยืนระวังตรง  และทำความเคารพเขา  และหมวดราเมน  หมวดพาเขาเดินเข้าไปในห้องนั้น  ซึ่งเป็นห้องชั้นนอก  และเชื้อเชิญให้เขานั่งรอที่เก้าอี๊ยาวหน้าห้อง  ก่อนที่จะเดินไปที่บานประตูทำท่าจะเคาะประตูห้องชั้นใน  ซึ่งประตูห้องบานใหญ่นั้น  เปิดแง้มไว้ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้เสียงภายในห้องนั้น  ดังรอดออกมาภายนอกพอได้ยินถนัด หมวดอาวุโสยืนชะงัก
           เสียงของผู้หญิงที่รอดออกมาดังเข้ม จนพันเอก ศรัณย์ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ  "  หมวด ราชัย.... ความจริงคุณต้องเป็นตัวแทนของฉัน  ไปต้อนรับทหารที่มาจากเมืองไทย  เพราะคุณคือเลขาของฉัน  แต่คุณเพิกเฉยและเพิ่งมาทำงาน ฉันรู้นะว่าคุณไม่พอใจ  ในการตัดสินใจครั้งนี้ของฉัน   แต่ฉันก็อยากจะรู้นักว่า  แล้วใครที่จะกล้าตัดสินใจทำอะไร  ในขณะที่บ้านเมืองวิกฤติขนาดนี้   คุณบอกฉันหน่อยได้มั้ย  และคุณอย่านำท่านเสนาบดีซองปา  พ่อของคุณมาขู่ฉัน  และเลิกที่จะรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆขึ้นมาอีก  อย่านำความรู้สึกส่วนตัว  มาเกี่ยวกับงานบริหารบ้านเมือง " เสียงนั้นลงท้ายอย่างหนักแน่นนัก
          " เรื่องของเรา มันไม่เคยเป็นเรื่องเก่า สำหรับผมเลยนะ  ? "  เสียงของผู้ชายทอดอ่อนเว้าวอน
          " มันเป็นเรื่องของคุณ  เป็นความนึกคิดของคุณ  แต่สำหรับฉัน  มันเป็นเพียงอดีต ที่มีเพียงความทรงจำที่ดีๆเท่านั้น และฉันก็ไม่อยากจะให้  คุณทำให้สิ่งดีๆในอดีต  มันถูกลบเลือนไปจากความรู้สึกของฉัน  "  เสียงนั้นห้วนเข้มมีอำนาจ   
           ผู้หมวดราเมนหันมามองหน้า  ของผู้พันหนุ่มนิดหนึ่ง  แล้วตัดสินใจรีบเคาะประตู ที่เปิดแง้มอยู่นั้น  และเหมือนกับว่าไม่ต้องการให้เขา  ได้รับรู้ถึงความใน  ที่กำลังมีการถกเถียงกันอยู่  เสียงอนุญาตดังออกมา  ผู้พันหนุ่มขมวดคิ้วกับเสียงนั้นนิดหนึ่ง  พร้อมทั้งลุกขึ้นยืนและก้าวตามผู้หมวด ราเมนเดินเข้าไปในห้องนั้น  พันเอก ศรัณย์มองห้องทำงาน  ที่ตบแต่งด้วยสไตล์ยุโรปนั้น  อย่างรู้สึกทึ่งในความงดงาม  พระสาทิสลักษณ์ของสมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟ  ในเครื่องทรงที่งามสง่าแบบกษัตริย์ผู้ครองนคร  ประดิษฐานอยู่บนฝาผนังห้อง  เบื้องหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่  ซึ่งมีนายทหารแต่งชุดพลางนั่งทำงานอยู่
          นายทหารยศร้อยเอก  ซึ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน  หันมามองเขาและหมวดราเมน  เมื่อเห็นผู้มาเยือน  นายทหารที่นั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานผู้นั้น  ก็เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มบนโต๊ะ  ร้อยตรีราเมนทำความเคารพ  โดยยืนตรงชิดเท้าแล้วก้มศีรษะลง พันเอกศรัณย์ปฏิบัติตามทันที  ผู้หมวด ราเมนกล่าวรายงาน  ด้วยการแนะนำเขา
          “ ท่านผู้การครับ....ผู้พัน ศรัณย์ วุฒิชัย แห่งกองทัพบกไทย  มารายงานตัวครับท่าน “ 
          " สวัสดีค่ะผู้พัน ดิฉันเป็นผู้บัญชาการที่นี่ค่ะ "  เธอผู้นั้นยืนขึ้น  แย้มยิ้มให้เขานิดหนึ่ง พร้อมทั้งก้มศีรษะ  รับการทำความเคารพจากเขา
          " เอ่อ.... ผมพันเอก ศรัณย์ วุฒิชัย  ผู้บังคับบัญชาหน่วยรบพิเศษ จากกองทัพบกประเทศไทย  ขอรายงานตัวครับผม  " 
          พันเอก ศรัณย์ ชิดเท้า ทำความเคารพ  และมองหน้าผู้บัญชาการทหารของสวาติติ ด้วยอาการตื่นตะลึงอย่างคาดไม่ถึง  ที่พบว่านายทหารตรงหน้า  ซึ่งเป็นถึงผู้บัญชาการ  ยศนายพลตรีเป็นนายทหารหญิงสาวสวย จมูกโด่ง ผิวขาวจนแก้มเป็นสีชมพูเนียนใส  ปราศจากเครื่องสำอาง  ผมสีน้ำตาลเข้มรวบตึงไว้ด้านหลัง  เผยให้เห็นดวงหน้าเรียวงาม หน้าผากโค้งมน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตคมซึ้ง  ริมฝีปากอวบอิ่มงาม  เธอสวยและสวยมาก แบบลูกครึ่งที่ค่อนมาทางเอเชีย  แต่ก็ดูรู้ว่าเธอมีเชื้อสายของคนตะวันตก  ทำให้เขาต้องครางอยู่ในใจ  นี่นะเหรอ....ผู้บัญชาการทหารของสวาติติ สวยหยาดเยิ้ม อะไรจะขนาดนี้ 
          " ยินดีต้อนรับสู่สวาติติค่ะ “
          “ ขอบคุณครับท่าน “
          “ การเดินทางเป็นยังไงมั่งคะผู้พัน “
          “ เรียบร้อยดีครับท่าน “
          “ เชิญนั่งค่ะ "  หญิงสาวยศนายพลกล่าวเชื้อเชิญ  ให้เขานั่งล งและผายมือไปที่นายทหารหนุ่ม ที่ยังคงยืนอยู่  “ นี่ร้อยเอก ราชัยเลขาของฉันค่ะ “ ร้อยเอก ราชัยทำความเคารพเขา  โดยชิดเท้าแล้วก้มศีรษะลงน้อยๆ เขาทำความเคารพตอบแล้วจึงนั่งลง ผู้หมวดหนุ่มยังคงยืนชิดอยู่ข้างๆ ผู้การสาว เธอจึงหันไปเอ่ยขึ้นกับเขา 
          " หมวด ราชัย......คุณกลับไปทำบัญชี  กำลังพลทั้งหมด  ส่งมาให้ฉันด้วย และก็บัญชีเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงของเดือนนี้ส่งฝ่ายบัญชีกลางด่วนด้วยนะ ฝ่ายบัญชีจะได้ทำสรุปงบของเดือนนี้ เชิญ... " เธอหันไปสั่งผู้หมวดหนุ่มด้วยเสียงที่ราบเรียบ เขาชิดเท้าทำความเคารพ  แล้วกลับหลังหันเดินออกไป แต่ลอบชำเลืองมองนายทหารหนุ่ม จากเมืองไทยนิดหนึ่ง ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
          พันเอกศรัณย์แน่ใจว่า  เขาเห็นดวงตาของผู้หมวดหนุ่ม  ฉายแววไม่เป็นมิตรกับเขานัก  และเขายังสังเกตเห็นว่าผู้หมวดหนุ่ม นั้นมีใบหน้าหล่อเหลาเครื่องหน้าเข้ม  ผิวขาวเหมือนลูกครึ่งฝรั่ง  แต่ผมดำ ตาดำสนิท ผิวขาวของเขานั้นคล้ำแดด  รูปร่างสูงสมาร์ตล่ำสัน  เหมาะกับเครื่องแบบทหาร  ผู้หมวดชราซึ่งยังคงยืนอยู่ชิดเท้า ก้มศีรษะให้นายพลหญิง แล้วเดินกลับออกไปเช่นกัน นายพลสาวแห่ง สวาติติ มองหน้าผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพไทยยิ้มๆ  แล้วกล่าวเหมือนจะเดาใจว่าเขาคงแปลกใจ ที่สวาติติ มีผู้บัญชาการทหารเป็นผู้หญิง   เขาจึงแย้มยิ้มนิดหนึ่ง   พร้อมทั้งก้มศีรษะให้เธอน้อยๆ อย่างยอมรับ และตอบตามตรงว่า  เขาประหลาดใจจริงๆอย่างที่เธอพูด  เพราะเขาไม่เคยทราบมาก่อนว่า  สวาติติมีผู้บัญชาการทหารเป็นผู้หญิง 
           ผู้การสาวมองหน้าเขาตรงๆ และกล่าวขอบคุณรัฐบาลไทย  ที่ส่งกำลังมาช่วยในยามคับขัน  ในขณะที่กองกำลังของนายพล ราเปรียง กำลังลุกล้ำเข้ามาในอาณาเขต   และพยายามที่จะใช้พื้นที่ของสวาติติ   เป็นฐานผลิตยานรก รวมทั้งยังกวาดต้อนผู้คน  ไปบังคับให้ปลูกฝิ่น  และทำงานในโรงงานผลิตยานรก  และยังต้องการใช้เมืองสวาติติ  เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด  เข้าประเทศไทยเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่สาม  ทางสวาติติไม่มีกำลังพล  และอาวุธที่ทันสมัยเพียงพอที่จะต่อต้าน   การรุกรานของพวกนี้ได้  เพราะกองกำลังของนายพลราเปรียง  มีอาวุธที่ทันสมัยกว่า ด้วยมีปัจจัยในการซื้อหาอาวุธได้ดีกว่า  และยังใช้ยุทธวิธีแบบกองโจร  โจมตีกองกำลังที่อยู่ทางด้านชายแดน  ทำให้กองกำลังของสวาติติ บางจุด  ต้านทานกำลังของพวกนี้ไว้ไม่ได้  และยังกวาดต้อนคนหนุ่มสาว  ไปทำงานให้โดยใช้ยาเสพติดมอมเมา  จนต้องตกเป็นทาสของพวกมัน  เหตุการณ์ที่กำลังเป็นอยู่  ทำให้เห็นว่าคงต้าน  กองกำลังของพวกนี้ไว้ได้ไม่นาน  จึงจำเป็นต้องขอกำลังทหารจากเมืองไทย  มาช่วยต้านการรุกรานของนายพล ราเปรียงในครั้งนี้
          " รัฐบาลไทยและกองทัพ  ยินดีให้ความร่วมมือ  ในการต่อต้านขบวนการค้ายานรก นี้อย่างเต็มที่ครับผม  " ผู้พันหนุ่มกล่าวเรียบๆ
      นายพลหญิงแห่งสวาติติ  ยิ้มเยือนให้กับคำกล่าวของเขา  และบอกว่า เธอกำลังเร่งพัฒนาบ้านเมืองและบุคคลากร และกำลังจะเปิดนครนี้   เพื่อทำการค้ากับโลกภายนอกให้มากกว่านี้  เพราะว่าต้องการเม็ดเงินมาสร้างเมืองสร้างบุคลากรในด้านต่างๆ  รวมทั้งสร้างกองทัพให้แข็งแกร่งด้วย  ซึ่งแต่ก่อนนี้สวาติติเป็นเมืองปิด  เพราะเกรงว่าอารยะธรรมภายนอก  จะเข้ามาทำลาย วัฒนธรรม ประเพณี และสิ่งแวดล้อม   แต่มาถึงเวลานี้ไม่สามารถ  ที่จะทำอย่างนั้นได้อีกเพราะกำลังถูกขบวนการนี้  ทำทุกวิถีทางที่จะได้สวาติติเป็นฐานการผลิต  และขณะนี้สมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟ ก็กำลังทรงพระประชวร กำลังพลก็น้อยและยังขาดอาวุธ  ที่ทันสมัยไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้อีกต่อไป  ซึ่งทางกองทัพของสวาติติได้สั่งซื้ออาวุธเข้ามาแล้ว  แต่ก็ยังขาดผู้ชำนาญ  ที่จะมาฝึกให้ทหารให้ใช้ได้  อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยุทธวิธีต่างๆในการรบอีกด้วย  ซึ่งเธอต้องการเหมือนจะรื้อกองทัพใหม่ เพื่อจัดระเบียบและฝึกยุทธศาสตร์ใหม่   ทั้งหมดจึงต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย  นายพลหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  สีหน้าของเธอสงบขรึมน้อยๆ แต่สายตาที่มองมายังเขานั้น  มีรอยยิ้มแห่งไมตรีจิต  อยู่ในดวงตาสวยคู่นั้นด้วย
           เขามองหน้านายพลสาวแล้วถามขึ้น  " ขณะนี้ทางสวาติติมีกำลังพลเท่าไหร่ครับผม  และจะให้ช่วยทางด้านใดบ้างกรุณาช่วยบอกแผนงาน  ที่ต้องปฏิบัติด้วยครับผม ? "
          " ทางเรามีกำลังพลเพียงสองหมื่นกว่าเท่านั้น  ตั้งแค้มป์ไว้เป็นจุดๆ  และออกลาดตะเวนตามตะเข็บชายแดน  ซึ่งเป็นแนวยาวเกือบสามร้อยกิโลเมตร กำลังของเราส่วนใหญ่จึงจะอยู่ตามชายแดน กองกำลังรักษาพระนครชั้นใน  จึงมีกำลังรักษาพระนครไม่มาก  ซึ่งดิฉันนั้นคิดว่าไม่เพียงพอ  กับการรักษาความปลอดภัยภายในนัก  แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับเหตุการณ์  ทางชายแดนมากกว่า  ซึ่งภายในพระนคร  ก็มีการก่อการร้ายอยู่บ้าง แต่เราก็พยายามรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่เหมือนกัน  ดิฉันมีแผนที่ของสวาติติ  ที่จะให้คุณดูค่ะผู้พัน เชิญทางนี้ค่ะ "
            เธอกล่าวแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน  เดินไปเปิดประตูอีกห้องหนึ่ง  ซึ่งมีประตูอยู่ภายในห้องนั้น  และเปิดถึงกัน  ห้องนั้นจัดไว้เป็นห้องประชุมเล็ก  ที่มีโต๊ะเก้าอี้อยู่ประมาณแค่ยี่สิบที่นั่ง  มีโต๊ะกลางห้องตัวใหญ่  มีแผนที่แสดงอาณาเขตกางอยู่บนกลางโต๊ะแผ่นใหญ่  ผู้บัญชาการของสวาติติ  เดินไปที่โต๊ะตัวกลาง แล้วชี้ไปบนแผนที่อาณาเขตของสวาติติพร้อมทั้งอธิบายให้พันเอก ศรัณย์  ฟังอย่างคล่องแคล่ว  ว่าสวาติติมีเขตแดนทางด้านเหนือติดกับประเทศไทย  ทางตะวันออกติดกับสามเหลี่ยมทองคำ  และทางใต้นั้นมีอาณาเขตติดกับแม่น้ำสายใหญ่  ส่วนทางตะวันตกติดกับราชอาณาจักรไพลินยา เธอชี้แนวอาณาเขตด้วยปลายนิ้ว  ที่สวยเรียวยาวไปบนแผนที่ เขามองแผนที่และทำความเข้าใจ  แต่ก็เผลอไพล่มองใบหน้า  ของผู้บัญชาการสาวหลายครั้ง  แล้วคิดในใจ  ช่างเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ปาก คอ คิ้ว คางรับกับใบหน้ารูปไข่เรียวยาว  อย่างเหมาะเจาะ  คิ้วเข้มยาวพาดเป็นรูปสวย  อย่างเป็นธรรมชาติ  ดวงตาโตกลมใสสีน้ำตาลหวานคมซึ้ง จมูกโด่งงามรับกับริมฝีปากสวย  ที่เหมือนจะเผยอน้อยๆนั้นอิ่มเต็ม ยามแย้มยิ้มมองเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ อายุก็คงแค่ยี่สิบต้นๆเท่านั้น  รูปร่างสูงพองามของเธอ  สวยเท่อยู่ในเครื่องแบบทหาร เขามองหน้าตาท่าทางของเธอนั้นจนเพลิน
          " ดูแผนที่แล้วผู้พัน พอจะนึกภาพทางภูมิศาสตร์  ของสวาติติออกมั้ยคะ ? "  นายพลสาวหันหน้ามาถามเขา พร้อมทั้งมองหน้านายทหารหนุ่มจากเมืองไทย ทั้งสองสบตากัน
          " เอ่อ.......คิดว่า....อืม....พอเห็นภาพครับ "  เขาตอบอย่างเผลอไผล ซึ่งเขายังคงมองหน้านายพลสาวนิ่งอยู่เหมือนต้องมนต์สะกด
          นายพลตรีหญิงสบตา  กับนายทหารหนุ่มแล้วนิ่งคิดในใจ  ผู้พันศรัณย์นายทหารหนุ่มจากเมืองไทย อายุคงแค่สามสิบต้นๆ ตาคมกล้า ผมหยักศกตัดสั้น  เป็นคลื่นน้อยๆ คิ้วเข้มจมูกโด่ง เคราเขียวข้างแก้ม  และปลายคางนั้น  ทำให้เขาดูคมสันมากขึ้น  ริมฝีปากบางๆนั้นหยักน้อยๆแดงเข้ม  รูปร่างสูง  ไหล่กว้าง  ท่าทางแกร่งแบบชายไทย  แต่ก็เหมาะสมกับเครื่องแบบทหาร  ด้วยท่าทางองอาจผึ่งผาย  ถึงแม้ว่าจะไม่สูงใหญ่แบบชาวยุโรป  แต่ท่าทางเขาก็ดูสมาร์ตคมสันนัก ทั้งคู่สบตากัน  ต่างคนต่างคิดในใจ  ชั่วอึดใจที่นิ่งคิดผู้บัญชาการสาว  รีบสลัดความคิดนั้นออกไปทันที  และเสเบือนหน้าไปมองแผนที่
          เธอกล่าวกับเขา เหมือนจะออกตัวว่า   เธอไม่ได้เก่งกล้าอะไรมากนัก ก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง  มีแต่กำลังใจกับความรับผิดชอบเท่านั้น  ที่จำต้องรับภารกิจนี้ และตัวเธอเองก็เพียงแต่เข้าอบรม  การใช้อาวุธ การฝึกภาคสนาม และก็เรียนยุทธวิธีมาบ้างไม่มากนัก เพราะไม่ได้เรียนการทหารมาโดยตรง  คงต้องขอรับคำแนะนำจากเขา  ในหลายๆเรื่องด้วย เธอกล่าวเรียบๆยิ้มในสีหน้าน้อยๆ
          " ครับผม.......ผมยินดีที่จะช่วยในทุกๆเรื่องครับผม  สำหรับผู้หญิงที่ผ่านการฝึกภาคสนามมาได้  ก็นับว่าเก่งมากแล้วครับ  " เขากล่าวตอบมีรอยยิ้มเจือ  อยู่ในสีหน้าน้อยๆ
           เธอตอบเขาว่ามันเป็นความจำเป็น  ที่จะต้องฝึก เพราะจะต้องมารับตำแหน่งนี้  ซึ่งไม่ได้เตรียมตัวมาตั้งแต่แรก และบอกเขาว่าพรุ่งนี้  จะประชุมคณะนายทหาร  และบรรดาเสนาบดีกระทรวงเมืองกัน  เพื่อแนะนำเขา และเพื่อที่จะได้วางแนวทาง  ในการดำเนินแผนงานร่วมกัน  และคืนนี้เวลาประมาณหนึ่งทุ่มตรง  จะมีงานเลี้ยงต้อนรับเขา  และทหารที่มาจากเมืองไทย  ผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพบกไทย  ก้มศีรษะน้อยๆให้  และมองผู้บัญชาการสาว  แห่งสวาติตินึกชื่นชมความคล่องแคล่วของเธออยู่ในใจ  เธอนำเขาเดินกลับมายังห้องทำงาน  ท่าทางเดินของเธอสง่างาม ศีรษะของเธอตั้งตรง ผึ่งผายดูเธอจะเป็นคนที่มั่นอก มั่นใจในตนเอง  อย่างเหลือเกิน  เมืองสวาติติมีอะไรแปลกๆ  อย่างที่ผู้บัญชาการของเขาบอกจริงๆ และเมื่อกลับมานั่งลงที่เดิม  เขาจึงกล่าวถามเธอ
          " เอ่อ......ขอโทษนะครับ ผมมีหนังสือจากทางรัฐบาล  ที่จะต้องทูลเกล้าถวายองค์หญิงรายา  หรือว่าสมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟด้วยน่ะครับ ไม่ทราบว่า ผมจะทูลเกล้าถวาย  กับพระองค์ไหนที่จะสะดวกน่ะครับ "
         " เอ่อ.....ดิฉันคิดว่าผู้พันทูลเกล้าถวายองค์หญิงรายา  ก็แล้วกันนะคะ  ถ้าเป็นหนังสือถึงองค์หญิง เพราะคืนนี้องค์หญิงจะเสด็จมาร่วมงานเลี้ยงด้วยค่ะ  " 
         " องค์หญิงจะเสด็จมางานเลี้ยง  นี้ด้วยหรือครับ ? "
         " เสด็จค่ะ เพราะทรงเป็นองค์ประธานจัดเลี้ยง  คณะของคุณคืนนี้ค่ะ   เอ่อ.....และดิฉันจัดให้ผู้พัน  ได้พักที่ชั้นสองของตึกนี้นะคะ และลูกน้องของคุณทั้งหมด  จะอยู่ที่เรือนนอนที่ทางเราจัดไว้ให้นะคะ ถ้าต้องการอะไรหรือขาดเหลืออะไรให้บอกกับ หมวด ราเมนได้ตลอดเวลาค่ะ  และถ้าการต้อนรับไม่ดีพอ  ก็คงต้องขออภัยด้วยนะคะ " เธอกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มที่มีไมตรี ท่าทางคล่องแคล่ว  แต่ก็ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม  ทุกอิริยาบถ  เธอกดกริ่งบนโต๊ะทำงาน หมวด ราเมนเดินเข้ามาระวังตรงทันที  
         " หมวด ....ช่วยพาผู้พันศรัณย์  ไปที่ห้องพักด้วย และหมวดช่วยดูแลอำนวยความสะดวก  ทุกอย่างให้ท่านด้วยนะ และคืนนี้ก่อนหนึ่งทุ่ม  หมวดมานำท่าน กับคณะไปที่ ทาร์มาร่าด้วย "  นายพลตรีหญิงสั่งการ
         " ครับผม "  ผู้หมวดอาวุโสรับคำ แล้วชิดเท้าทำความเคารพ 
         " เชิญไปพักผ่อนก่อนค่ะผู้พัน  คืนนี้พบกันที่งานเลี้ยงนะคะ "  เธอกล่าวแล้วก้มศีรษะให้เขานิดนึ่ง พร้อมกับเดินออกมาจากโต๊ะทำงานเหมือนจะส่งเขา
         " ครับผม " เขารับคำแล้วชิดเท้าทำความเคารพ  เช่นเดียวกันกับหมวดราเมน
          ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินกลับออกไป นายพลสาวกล่าวขึ้นกับเขาอย่างนึกขึ้นได้  " เอ่อ...ผู้พันคะดิฉันคิดว่า คุณไม่จำเป็นที่จะต้องทำความเคารพ  ดิฉันหรอกนะคะ  ดิฉันจะรู้สึกสบายใจมาก  ที่คุณทำตามตัวตามสบาย เพราะคุณไม่ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของดิฉัน "  เธอกล่าวแล้วยิ้มให้เขาน้อยๆ นัยน์ตาของนายพลสาว ก็ดูเหมือนจะยิ้มด้วย
          " ยังไงคุณก็มียศสูงกว่าผมอยู่แล้ว ผมขอเป็นว่า  ขอปฏิบัติตามวินัยต่อหน้าทุกๆคน  ดีกว่านะครับ  แล้วเวลาที่ รีแลก  ก็ค่อยว่ากันใหม่ดีมั้ยครับ ?   
          " ก็ได้ค่ะ.....นอกเวลางาน  เราก็ไม่มียศก็แล้วกันนะคะ " เธอกล่าวยิ้มๆ
          เขารับคำด้วยรอยยิ้มน้อยๆพร้อมกับก้มศีรษะให้เธอ  นายพลตรีหญิงหันหลังเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน ทิ้งให้นายทหารหนุ่มจากเมืองไทย มองรูปร่างสูงโปร่ง  เอวคอด สะโพกผายงามของเธอ  ที่ได้สัดส่วน  อย่างนึกชมเชยอยู่ในใจ  เสียงกระแอมของหมวด ราเมนดังขึ้น  คล้ายจะเตือนสติเขานิดหนึ่ง  แล้วก้มศีรษะน้อยๆผายมือไปทางประตูให้เขา
          พันเอก ศรัณย์เดินตามหมวดราเมน  ขึ้นไปที่ห้องพักบนตึกบัญชาการ  เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมกับหมวดราเมน ถึงผู้บัญชาการสาวของเขาว่ายอดเยี่ยม เก่งแผนที่ และคงเก่งทางยุทธศาสตร์ด้วย  เขากล่าวถามอย่างชวนคุย  มากกว่าอยากรู้ หมวดราเมนกล่าวกับเขาว่าท่านเก่งมาก  และก็ชำนาญแผนที่ และพื้นที่แทบทุกตารางนิ้วของสวาติติ
         " ท่านผู้การของหมวดเก่งมากนะ "   
         " ใช่ครับ ท่านศึกษาและเชี่ยวชาญทั้งแผนที่และการใช้อาวุธ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว  ท่านเก่งพอๆกับผู้ชายน่ะครับ  "   
         "  อืม.....น่ายกย่องท่านนะครับ ท่านรักบ้านเมืองและเสียสละจริงๆ  ทั้งๆที่เป็นเพียงผู้หญิง "  เขาเปรยขึ้นเบาๆ
         " ท่านรักบ้านเมืองมากกว่าตัวท่านเอง  ท่านทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ และไม่เคยมีวันหยุดครับ "   
         " โอ...หรือครับ ชาวสวาติติช่างโชคดีนะครับ  ที่มีผู้นำที่เก่งกล้าสามารถอย่างนี้ "  เขากล่าวออกมาคล้ายรำพึงกับตนเอง
         " ใช่ครับ ท่านเก่งกล้าเท่ากับผู้ชายอกสามศอก  เชียวละครับ "  ผู้หมวดราเมนกล่าวอย่างยกย่อง
         " และท่านก็คงทำให้ผู้ชายอกสามศอก อย่างผู้หมวดรูปหล่อผู้นั้น  ต้องอกหักด้วยละมังครับ "  เขากล่าวกับผู้หมวด  คล้ายจะเปรย 
          หมวดราเมนจึงเล่าให้เขาฟังว่าหมวดราชัย.....หลงรักผู้การมานานแล้ว ผู้การเกรงใจพ่อของผู้หมวด  ที่เป็นคณะเสนาบดีเมืองของที่นี่ ท่านจำต้องให้หมวดราชัย  มาทำงานใกล้ชิดด้วย สงสารท่านที่พูดไม่ออก  ต้องคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ผู้หมวดราเมนกล่าวกับเขาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่  ทำให้เขาต้องถามขึ้นอย่างสงสัยว่า  ผู้หมวดราชัยคิดมิดีมิร้ายกับท่านผู้การด้วยหรือ  หมวดราเมนจึงเล่าต่อว่า  หมวดราชัยคงไม่กล้าถึงขนาดนั้น  แต่ที่ท่านต้องระวังก็คือทั้งศึกภายใน ศึกภายนอกที่รุมเร้า ท่านเสนาบดีซองปา พ่อของหมวดราชัยต้องการ  ให้หมวดราชัยได้เป็นใหญ่ พยายามให้ลูกได้แต่งงานกับผู้การ   แต่ผู้การท่านรักหมวดราชัยแบบเพื่อนเท่านั้น  เพราะทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน  หมวดราชัยเองก็มีผู้หญิงปรนเปรอลับๆอยู่ถึงสองคน  ผู้การท่านก็รู้เรื่องนี้ดี  หมวดราเมนกล่าวเล่า  เหมือนจะต้องการระบายความในใจ  ของเขาเองด้วย
          " ก็ผู้การของหมวดสวยอย่างกับดาราหนัง  และก็เก่งออกอย่างนี้ ถึงท่านเสนาบดีไม่บงการให้หมวดราชัยรัก  หมวดก็คงต้องหลงรักอยู่ดีนั่นแหละ  "  ผู้พันกล่าวยิ้มๆ
          หมวดราเมนเล่าให้เขาฟัง ในระหว่างที่เดินมาด้วยกันว่า  ท่านผู้การมีเจ้าชายต่างแคว้นมาทรงปฏิพัทธ์ บางพระองค์ก็ทรงส่งผู้ใหญ่มาทาบทามขออภิเษก ท่านก็ยังผัดผ่อนเลย  แล้วอย่างหมวดราชัยน่ะหรือ  ท่านจะยอมรับรัก คงคิดว่าใกล้ชิดสนิทกับท่าน   แล้วท่านจะใจอ่อนไม่มีทางหรอก  ท่านทราบดีว่าท่านต้องเลือกใคร ผมเป็นทหารรับใช้ของท่านมาตั้งแต่ท่าน  ยังเป็นเด็กผมรู้จักท่านดี  คำกล่าวเล่าของหมวดราเมน ทำให้เขาต้องถามขึ้นว่า
          “ ขอโทษนะครับหมวด แล้วท่านผู้การเกี่ยวข้องเป็นอะไรกับสมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟกันครับ “ ทั้งสองเดินมาจนถึงหน้าห้องพักของผู้พันพอดีเช่นกัน  หมวดราเมนจึงหันมาบอกกับผู้พันหนุ่มว่านี่คือห้องพักของผู้พัน  ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกได้ หมวดราเมนไขกุญแจห้องให้  และส่งกุญแจให้เขาพร้อมทั้งชิดเท้าทำความเคารพ  เขาทำท่าจะหันหลังกลับแต่ผู้พัน ศรัณย์เรียกเขาไว้  " หมวด......ยังไม่ตอบผมเลยว่า  ท่านผู้การเป็นอะไรกับสมเด็จเจ้า นาดิฟ กันครับ?”
         " คืนนี้ผู้พันก็จะทราบเองแหละครับ  เพราะคงมีการกล่าวแนะนำ "  ผู้หมวดกล่าวตอบ ชิดเท้าทำความเคารพอีกครั้งแล้วหันหลังออกเดินไปทันที  ทิ้งให้ผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพบกไทย  ยืนขมวดคิ้วมุ่นอย่างงงๆ และพยายามหาคำตอบเพียงลำพัง    

           เกือบห้าโมงเย็น  นายพลตรีหญิงออกจากตึกบัญชาการ  โดยเดินลงบันไดไปทางด้านหลัง  ของตึกบัญชาการ  และมีทหารองครักษ์สองนาย  เดินตามอารักขา  เพียงห้าร้อยเมตรก็ผ่านประตูใหญ่  ที่มีทหารยืนเวรอยู่ และทำความเคารพ เธอรับการทำความเคารพ  และเดินไปจนถึงประตูชั้นในอีกชั้น ทหารองครักษ์  เดินไปส่งที่หน้าตึกสองชั้นสีขาว  ที่ถูกสร้างอย่างทันสมัยงดงาม  ซึ่งเป็นเขตพระราชฐาน  และอยู่ไม่ไกลจากตึกบัญชาการมากนัก  เมื่อเธอเดินเข้าไปในเขตพระราชฐานแล้ว  ทหารทั้งสองนาย  ก็ยืนเวรเฝ้าอยู่ที่ประตูหน้าตึกนั้น  ผลัดให้ทหารที่ยืนเวรอยู่แล้ว  ผลัดเวรกลับออกไป  เธอเดินขึ้นบันไดเข้ามาภายในตึกนั้น  แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ภายในห้องพักผ่อน  ก้มลงถอดรองเท้าบูททหารออกแล้วสวมรองเท้าแตะใส่เดินในบ้าน  และเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน  เมื่อก้าวเข้าไปในห้องนอนที่กว้างขวาง และเดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง  ดึงมวยผมที่ขมวดมุ่นไว้ที่ท้ายทอยออก  ปล่อยผมลงมาสยาย  รูดซิปเสื้อชุดพลางออก  เหลือเพียงเสื้อยืดคอกลมแขนสั้น  กับกางเกงทหารที่สวมอยู่  แล้วนั่งลงบนเก้าอี๊  ซึ่งตั้งติดอยู่กับหน้าต่าง เหม่อมองออกไปภายนอกอย่างใช้ความคิด  เสียงเคาะประตูดังขึ้นเธอกล่าวอนุญาต หญิงวัยหกสิบเศษ  แต่งกายสะอาดสะอ้านเรียบร้อย  เดินเข้ามายอบตัวลง 
          " ฝ่าบาท.......หม่อมฉันลืมไปว่าวันนี้  ฝ่าบาทจะเด็จกลับมาเร็ว ก็เลยมัวอยู่ข้างในห้องเครื่อง  ดูเด็กๆจัดผลไม้ไม่ได้ออกมาถวายงาน ขอประทานอภัยนะเพคะ  แล้วนี่พระสุธารสน้ำส้มคั้นเพคะ "  หญิงผู้นั้นคุกเข่า แล้ววางแก้วน้ำส้มลงบนโต๊ะ 
         " ปารองจ๊ะ ......หญิงบอกหลายหนแล้ว  ว่าไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรกับหญิงมากนัก  หญิงไม่ชอบจ๊ะ  หญิงโตแล้วนะไม่ต้องถอดรองเท้าให้ ไม่ต้องถอดเสื้อให้  หญิงทำเองได้จ๊ะ  แล้วปารองก็แก่แล้ว ไม่ต้องมาเหนื่อยกับหญิงนักหรอกจ๊ะ  ให้พวกข้าหลวงเด็กๆ เขาทำกันมั่ง  " รับสั่งกับพระพี่เลี้ยงยิ้มๆทำสีพระพักตร์รำคาญน้อยๆ ทรงหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นเสวย
          " รับสั่งว่าปารองแก่แล้ว ถวายงานไม่คล่องแล้วมังคะ? " พระพี่เลี้ยงชราตัดพ้ออย่างน้อยใจ  
          " โถ......ปารอง หญิงไม่ได้คิดอย่างนั้นเสียหน่อย หญิงไม่อยากให้เหนื่อยน่ะจ๊ะ  อยากให้พักผ่อนมากๆ ให้เพียงดูแลให้คนอื่นเขาทำก็พอจ๊ะ  ไม่ต้องมาลงมือทำเอง  ไม่ใช่ทำงานไม่ไหวแล้วจะไม่ให้ทำนี่จ๊ะ  ปารองอยู่เฉยๆเวลาหญิงกลับมาเห็นหน้า  หญิงก็สบายใจ อบอุ่นน่ะจ๊ะ อย่าทำใจน้อยสิจ๊ะ "   รับสั่งกับพระพี่เลี้ยงยิ้มๆพระสุรเสียงอ่อนโยนลง  แล้วดำเนินมาประทับนั่งลงกับพื้น  ทรงโอบเอวหญิงชราไว้ ซบพระพักตร์ลงกับบ่าของหญิงชรา อย่างทรงประจบ
          หญิงชรายิ้มออกมาได้ทันที  แล้วกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข  ว่าเธออยากทำงานถวายให้ท่าน และยังกล่าวถึงเจ้าน้อง  ว่ายังมีข้าหลวงถวายงานตั้งหลายคน  แต่ฝ่าบาทของเธอทรงงานเหนื่อย  มาทั้งวันก็ต้องมีคนถวายงานรับใช้  ให้ทรงพระสำราญถึงจะถูก  แล้วเมื่อไหร่ที่ทรงอภิเษกแล้ว  เธอถึงจะคลายความเป็นห่วงลงได้  พระพี่เลี้ยงชรากราบทูลคล้ายจะบ่นต่อไปว่า ไม่ทรงสนพระทัยองค์เองเลย พระชันษาแค่นี้เท่านั้น  ทรงงานมากมายเหลือเกิน พระพี่เลี้ยงยังคงกราบทูลบ่นอย่างเป็นห่วงเป็นใย  มองพระพักตร์ผู้การสาว  อย่างจงรักภักดีและเทิดทูน  อย่างเหลือล้น
          ผู้การสาวกล่าวยิ้มๆว่า “ หญิงแก่แล้วจริงๆนี่จ๊ะปารอง  เมืองเราน่ะผู้หญิงเขาแต่งงานกันตั้งแต่ อายุสิบหก สิบเจ็ดเท่านั้น หญิงคงไม่มีโอกาสได้แต่งงานหรอกจ๊ะ  หญิงมีเวลาเสียที่ไหนกันจ๊ะปารอง หญิงใกล้จะขึ้นคานแล้วละไม่ว่า  แต่ก็ดีนะ....หญิงจะได้อยู่กับปารอง ไปตลอดชีวิตไงจ๊ะ  “ ทรงยกข้อพระกรขึ้นดูนาฬิกา “ ปารองจ๊ะ... นี่เพิ่งห้าโมงเย็นเอง หญิงไปเฝ้าเสด็จพ่อก่อนก็คงทันนะ หญิงไม่ได้ขึ้นเฝ้ามาสองวันแล้วนะจ๊ะ  แล้วจะรีบกลับจ๊ะ “    
          " วันนี้ไม่ได้เพคะ  นี่ห้าโมงเย็นแล้ว ฝ่าบาทต้องทรงแต่งพระองค์  สำหรับงานเลี้ยงคืนนี้นะเพคะ  แล้วก็ต้องทรงเตรียมแต่งองค์ได้แล้วด้วยนะเพคะ "  นางข้าหลวงแย้งยิ้มๆ
          " แต่งตอนนี้เลยเหรอจ๊ะ งานเลี้ยงตั้งทุ่มนึงนะ  จะให้หญิงแต่งตัวกี่ชั่วโมงจ๊ะ ปารอง ? "
          " ต้องทรงรีบแต่งเพคะ  กว่าจะทรงแล้วเสร็จก็เกือบสองชั่วโมง เดี๋ยวเวลาจะจวนเจียนนะเพคะ  ถ้าช้าเกินไปคนอื่นก็จะรอฝ่าบาทนะเพคะ "  พระพี่เลี้ยงชราทูลเตือน 
          " นานจัง....ตั้งสองชั่วโมง  ทำไมต้องแต่งจนนานขนาดนั้นนะ ความจริงหญิงอยากแต่งเครื่องแบบทหาร เสียด้วยสิไม่ยุ่งยากดี  "  รับสั่งบ่นน้อยๆทำสีพระพักตร์เบื่อๆ 
          " ไม่ได้นะเพคะฝ่าบาท เสด็จทรงทราบความว่าฝ่าบาท  ทรงแต่งทหารออกงานนี้ละก็  ต้องทรงพระกริ้วแน่ พระองค์ท่านทรงโปรดให้พิธีการธรรมเนียมต่างๆ  ให้ยังคงอยู่กับเมืองของเรานะเพคะ  และก็จะได้อวดแขกบ้านแขกเมืองถึงประเพณีเราด้วยมังคะ  ทรงเข้าห้องสรงเลยนะเพคะ  พวกช่างแต่งพระพักตร์ แต่งพระองค์มาคอย อยู่แล้วนะเพคะ อย่าทรงโอ้เอ้สิเพคะ  ดูสิ.....ยิ่งเร่งก็ยิ่งทรงแกล้งถ่วงเวลา  ไม่เอาเพคะ อย่าทรงงอแงสิเพคะ ปารองไม่อยากถวายผางนะเพคะ "  พระพี่เลี้ยงปารอง เริ่มกราบทูลเร่ง เมื่อเห็นว่าองค์หญิงทรงแกล้งหลับพระเนตร  และทรงหนุนพระเศียรลงบนตักของเธอ 
          ทรงลุกขึ้นประทับนั่งแล้วแย้มพระสรวล " ก็ได้จ๊ะ....โอเค โอเค อย่าทำหน้าบึ้งอย่างนี้สิจ๊ะ  หญิงจะไปอาบน้ำแล้วละ  หญิงขี้เกียจจังเลย งานเอกสารก็มีค้างเยอะแยะไปหมด  ปารองจ๊ะวันนี้ ถ้าไม่ได้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับทหาร ที่มาจากเมืองไทย  หญิงคงจะไม่ลงไปงานเลี้ยงนี้หรอก  หญิงจะให้น้องหญิงเตลงไปแทน  แต่หญิงเป็นคนขอให้เขามาช่วย ก็เลยต้องลงไปต้อนรับเขาด้วยตัวเอง หญิงเบื่อพิธีการ  ขี้เกียจแต่งตัวด้วยน่ะ "  รับสั่งบ่นอีกครั้งพร้อมทั้งทรงทำพระพักตร์เหนื่อยๆเบื่อๆ
          " มีทหารมากันมากมั้ยเพคะฝ่าบาท " 
          " ก็ไม่มากหรอกจ๊ะ แค่สามกองร้อยเท่านั้น "  ทรงประทับยืน แล้วรับสั่ง 
          " แล้วท่าทางพวกนี้เขาดีมั้ยเพคะ ? "
          " หญิงพบกับผู้บังคับบัญชาของเขาคนเดียวเท่านั้นน่ะจ๊ะ หญิงคุยกับเขาแล้ว  ก็รู้สึกว่าเขาก็ดูดีน่ะจ๊ะ  " ทรงรับสั่งยิ้มๆ 
          " แก่เท่าหมวดราเมนของเรามั้ยเพคะ  ผู้ที่เป็นหัวหน้าน่ะเพคะ " 
          “ ผิดคาดของปารองจ๊ะ ผู้พันยังหนุ่มมากเลย  อายุประมาณสักสามสิบนิดๆ แล้วก็ท่าทางไม่ดุ  แต่เขาก็ไม่ค่อยยิ้มนะ  หน้าตาก็หล่อดีจ๊ะ  รูปร่างก็สมาร์ตด้วยนะจ๊ะ  แล้วตอนที่เขาเห็นหญิง  ก็ทำท่าประหลาดใจมากเลยละจ๊ะ  แล้วคืนนี้เขาก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง  ที่พบว่านายพลตรีหญิงที่เขาพบ  ก็คือ องค์หญิงรายาที่เขาต้องการพบ "  รับสั่งและทรงทำสีพระพักตร์ยิ้มๆ สรวลน้อยๆกับพระพี่เลี้ยงอย่างทรงนึกสนุก
          “ อย่าทรงใกล้ชิดกับเขานักนะเพคะ เดี๋ยวเขามาหลงรักฝ่าบาทของปารองจะยุ่ง “ พระพี่เลี้ยงชราทูลกับองค์หญิง พระพี่เลี้ยงชรามองพระพักตร์ที่กำลังทรงแย้มสรวล ดวงพระเนตรมีแววว่า  กำลังทรงสำราญเต็มที่   
          “ คิดอะไรอย่างนั้นจ๊ะ เขาคงมีครอบครัวมีลูกเป็นแถวแล้วละ เขาออกจะหน้าตา  ท่าทางดีอย่างนั้นน่ะจ๊ะปารอง ผู้หญิงไทยน่ะสวยๆทั้งนั้นเลยนะ เขาคงไม่เป็นโสดมาถึงป่านนี้หรอกจ๊ะ “ รับสั่งแล้วมองหน้าพระพี่เลี้ยงแย้มสรวลให้อย่างเห็นขัน
          " ปารองจะต้องไปแอบดูผู้พันคนนี้  บ้างแล้วละเพคะ ว่าจะหล่ออย่างที่รับสั่งหรือเปล่า แล้วจะหล่อเท่าพระองค์ชายอิงภูมั้ยเพคะ " 
          " เขามาอยู่หลายเดือนจ๊ะ สักวันปารองก็ต้องพบเขาบ้างละจ๊ะ  ไม่ต้องไปแอบดูเขาหรอก  และเขาก็หล่อคนละแบบกับเจ้าพี่จ๊ะ  เจ้าพี่น่ะทรงมีพระฉวีขาว  ทรงสง่างามแบบนักปกครองจ๊ะ  ส่วนผู้พันที่มาจากเมืองไทยน่ะ  เขาท่าทางแบบทหาร  ที่ดูเข้มแข็งแบบที่เขาเรียกว่า  มาดแมนน่ะจ๊ะ คงเปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก แต่ปารองอย่าไปเห็นเขาเลยนะจ๊ะเดี๋ยวเกิดไปหลงรัก  และตามเขาไปอยู่เมืองไทยจะยุ่ง  "  รับสั่งด้วยรอยสรวลน้อยๆ ดวงพระเนตรระยิบระยับ หยอกเย้าพระพี่เลี้ยง  อย่างทรงนึกสนุก แล้วรีบดำเนินเข้าห้องสรง พระพี่เลี้ยงมองตามพระปฤษฎางค์ ของพระองค์หญิงไปพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างขัน ในรับสั่ง 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×