ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรางรัก ลวงใจ (ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สมาร์ทบุ๊ค)

    ลำดับตอนที่ #11 : ความในพระหทัย(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.88K
      5
      12 ก.พ. 52

    ตอนที่ 11  ความในพระหทัย

           รุ่งขึ้นเขาได้รับพระราชโองการ  จากสมเด็จเจ้าหลวง นาดิฟ  ให้เข้าเฝ้าในตอนสาย  เขาจึงคิดว่าเขาคงต้องไปพบกับองค์หญิง  ที่พระตำหนักก่อนที่จะต้องเข้าเฝ้า  เมื่อเขาเข้ามาถึงพระตำหนัก  นางข้าหลวงทูลเชิญให้เข้าไปประทับในห้องรับรอง เขาได้ยินเสียงองค์หญิงรายา และองค์หญิงเตรานี ทรงกำลังสนทนากันอยู่ ในห้องพระสำราญข้างๆ  ซึ่งพระพี่เลี้ยงปารองนำพระสุธารสกาแฟมาถวาย  หญิงชรามีสีหน้าไม่สู้ดีนัก  และบอกกับเขาว่าองค์หญิงเตรานีเสด็จมา เขาได้ยินเสียงองค์หญิงรายา รับสั่งกับพระขนิษฐา อยู่ในห้องใกล้ๆนั้น โดยที่เขาไม่เห็นพระองค์  
          " หญิงเต......น้องเคยเชื่อพี่บ้างมั้ย  พี่ต้องทำงานอย่างหนัก  ตลอดเวลาที่ผ่านมา  พี่ก็ไม่ได้สนใจที่จะรักใครเลย  พี่ไม่ได้รักเจ้าพี่ อิงภู  พี่ไม่ได้เสียสละเจ้าพี่ให้น้อง  มันเป็นความเข้าพระทัยผิดของเจ้าพี่เอง  แล้วที่เจ้าพี่ภูรับสั่งบอกกับน้องว่าจะรอพี่  เพราะสักวันหนึ่งที่พี่อภิเษก  เพื่อให้เป็นไปตามกฎ  และพี่ก็จะหย่ากับเขาน่ะหรือ  พี่ว่า...เจ้าพี่รับสั่งแบบไม่มีเหตุผล  ถ้าพี่คิดจะอภิเษกกับเจ้าพี่  เสียในขณะนี้พี่ก็ย่อมทำได้  โดยเมื่อพี่เนรเทศตัวเองไปอยู่ที่ไพลินยา  และเมื่ออภิเษกแล้วก็กลับมาที่นี่ได้อีก  และรวมแคว้นของเราทั้งสอง  เป็นแคว้นเดียวกัน  แต่พี่ก็ไม่ได้คิดจะทำอย่างนั้น  "  สุรเสียงองค์หญิงรายาเข้ม 
         " พี่หญิงอย่าทรงรับสั่งปฏิเสธเลยเพคะ  น้องไม่ทราบว่าพี่หญิง  มีแผนการอะไรอยู่ในพระหทัยบ้าง พี่หญิงทรงแยบยลในทุกเรื่องเสมอ  พี่หญิงทรงได้ทุกสิ่งทุกอย่าง  ไปครองเพียงองค์เดียว  พี่หญิงทรงได้ครองสวาติติ  ทรงได้ครองพระหทัยของเจ้าพี่อิงภู  พี่หญิงคงต้องทรงรออีกสักนิดนะเพคะ  ว่าเมื่อไหร่ที่การอภิเษกกับผู้พัน  จะจบลงด้วยการหย่า และก็จะได้ทรงอภิเษก  กับเจ้าพี่อิงภูอีกครั้ง  โดยไม่ต้องทรงเนรเทศพระองค์เอง พี่หญิงก็จะทรงเป็นราชินี  แห่งแคว้นไพลินยาอีกด้วยไงเพคะ และเมื่อนั้นก็ทรงพ้นจากข้อครหา  เรื่องจริยธรรมด้วย  พี่หญิงช่างทรงโหดร้าย เลือดเย็น กับทุกคนเลยนะเพคะ "  สุรเสียงขององค์หญิงเตรานี  รับสั่งต่อว่าต่อขาน เย้ยหยันอย่างรุนแรง
         " หญิงเต.......หยุดนะ...หญิงดูถูกพี่เกินไป  ถึงพี่จะแต่งงานกับผู้พัน  เพราะพี่ทำผิดกฎมณเฑียรบาล  แต่ก็ไม่ได้หมายถึง  พี่จะคิดเลิกหรือหย่าร้างกับเขา  พี่บอกเธอหลายหนแล้วนะหญิง  ว่าพี่ไม่ได้รักเจ้าพี่อิงภู  แต่ถ้าเจ้าพี่ทรงโปรดพี่ก็เป็นเรื่องของพระหทัยของท่าน  และถ้าเจ้าพี่ไม่ทรงโปรดหญิง พี่ก็สุดจะบังคับพระหทัยท่านได้  พี่ผิดอะไรหรือที่หญิงมาต่อว่าพี่อย่างนี้   " สุรเสียงขององค์หญิงสั่นเครือ ด้วยความเสียพระทัย
         " พี่หญิง ....ทรงปฏิบัติองค์  ว่าทรงเป็นเจ้าหญิงที่แสนดี ทรงเป็นผู้เสียสละ  ทรงงานหนัก  และทรงเรียกร้องความสนใจจากทุกคน  ให้รู้สึกประทับใจในตัวพี่หญิง  และให้ทุกคนมองเห็นน้อง  เป็นเจ้าหญิงที่ไม่เอาไหน  แม้แต่เสด็จพ่อ ก็ยังทรงโปรดแต่พี่หญิง  ไม่เคยทรงทอดเนตรมองหญิงเลยแม้แต่น้อย  หญิงไม่เคยมีความหมายในสายตาของใคร  ในสวาติตินี่เลยสักนิด พี่หญิงทรงพระปรีชามากเพคะ ที่คิดการณ์ทุกอย่างไว้ในพระทัย และก็ประสพผลสำเร็จมากมายอย่างนี้  " เสียงต่อว่าต่อขาน อย่างรุนแรงจากเจ้าหญิงองค์น้อง  สั่นเครือด้วยแรงแห่งอารมณ์ และดังอย่างต่อเนื่อง
         " หญิงเต.......พี่เสียใจมากนะ  ที่หญิงคิดอย่างนี้   แต่พี่ก็ต้องทำ ทำเป็นผู้เสียสละ  อย่างที่หญิงว่านั่นแหล่ะ  แล้วถ้าพี่ไม่ทำ ใครจะทำ บ้านเมืองและประชาชนจะอยู่ยังไง  หรือว่าเราจะยอมให้  นายพลราเปรียงใช้เมืองของเรา เป็นที่ผลิตยานรกนั่นล่ะ  แล้วการที่พี่บาดเจ็บ  และยอมที่จะรักษากฎ  โดยที่ต้องแต่งงานกับผู้พันศรัณย์ล่ะ  เพราะว่าพี่ต้องการให้ทุกคนประทับใจหรือจ๊ะหญิงเต แล้วผู้พันล่ะ....เขาอาจจะยอมแต่งงานกับพี่ เพียงเพราะความสงสารพี่ สงสารในชะตากรรมของผู้คนในสวาติติเท่านั้นก็ได้  หญิงยังต้องการให้เจ้าพี่อิงภูทรงโปรด  แล้วพี่ล่ะ...ต้องแต่งงานกับผู้ชาย  ที่พี่ไม่รู้ว่าเขารักพี่หรือเปล่า พี่คงมีความสุขมากสินะหญิง "  เสียงองค์หญิงรายารับสั่งประชดพระองค์เอง
          " ถ้าพี่หญิงรักน้อง  พี่หญิงต้องรับสั่งกับเจ้าพี่ อิงภู  ให้ทรงมาสู่ขอน้องสิเพคะ  หญิงรักเจ้าพี่ภู พี่หญิงก็ทรงทราบ แต่เมื่อวานเจ้าพี่ภูรับสั่ง  กับน้องว่า ท่านจะทรงรอพี่หญิง รอจนกว่าพี่หญิง จะหย่าขาดกับผู้พัน  ทำไมเจ้าพี่อิงภูจึงยังทรงมีความหวังแบบนั้นล่ะเพคะ  ถ้าพี่หญิงไม่ได้ทรงให้ความหวังกับท่าน  ? " 
          องค์หญิงทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง  “ หญิงเต........พี่ไม่เคยให้ความหวังกับเจ้าพี่เลย. .พี่ไม่เคยคิดว่า  การแต่งงานครั้งนี้ของพี่  เพื่อรอวันหย่านะจ๊ะหญิง  พี่จะแต่งงานกับเขา  และถ้าเขาเลิกจากพี่ไปก่อน  หรือมีเหตุอันใดก็ตาม ที่เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน  พี่ก็จะไม่แต่งงานกับใครอีก  หญิงจำคำพี่ไว้นะจ๊ะ “
          “ พี่หญิงเป็นเลือดกษัตริยา  เต็มพระองค์นะเพคะ  พี่หญิงคงไม่ตรัสแล้วคืนคำใช่มั้ยเพคะ  และที่พี่หญิงบอกกับน้องว่า  พี่หญิงไม่ได้ทรงรักเจ้าพี่ภู  พี่หญิงก็ไม่ได้ทรงหลอก น้องใช่มั้ยเพคะ  “ องค์หญิงเตรานีรับสั่งถาม อย่างชาญฉลาด
          “ พี่ไม่ได้หลอกหญิง  ทุกๆเรื่องที่พี่พูด  เป็นเรื่องจริงจากใจพี่  จากความคิดของพี่จ๊ะ และพี่อยากให้น้องของพี่ได้อภิเษกกับเจ้าพี่ภูจริงๆ และพี่ก็จะพยายาม  ทำให้เรื่องนี้ให้เป็นเรื่องจริงให้ได้จ๊ะ “
          “ น้องรักเจ้าพี่ภูมากเกินไปใช่มั้ยเพคะ  น้องเห็นแก่ตัวไปเสียทุกๆอย่าง  เลยใช่มั้ยเพคะ  น้องไม่เคยอยู่ในสายพระเนตร ของเจ้าพี่ภูเลยใช่มั้ยเพคะ “ ทรงรับสั่งด้วยเสียงที่อ่อนเศร้าลง
         “ หญิงเต.....ความรักเป็นสิ่งที่งดงาม  มองความรักในด้านดีสิจ๊ะ  ถ้าหญิงคิดจะรัก  และจงทำให้คนที่เรารักเข้าใจเราให้ได้  อย่าทรงใช้อารมณ์เป็นใหญ่ จนลืมเหตุลืมผล  สักวันน้องของพี่ อาจจะได้เป็นราชินีของไพลินยา และต่อไปนี้หญิงต้องปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่  ออกไปดูแลทุกข์สุข  เยี่ยมราษฎรอย่าทอดทิ้งเขา ถึงแม้หญิงจะไม่ได้เป็นนักปกครอง แต่ก็จะชนะใจราษฎรได้ไม่ยาก  ใจก็คงต้องซื้อด้วยใจนะจ๊ะหญิง  เจ้าพี่อิงภูกำลังจะทรงได้อภิเษก  เป็นกษัตริย์ผู้ครองนคร ก็คงทรงต้องการผู้หญิง  ที่เก่งงานเมือง  ไว้เคียงข้างกับพระองค์ท่าน  พี่ถึงอยากให้น้อง ทรงออกไปปฏิบัติหน้าที่ ที่สมควร  ต้องทรงปฎิบัติภารกิจ  ในฐานะเจ้าหญิงพระองค์หนึ่ง ของสวาติติ   แล้วไม่นานเจ้าพี่ภูก็จะทรงเห็นเอง  ว่าน้องเป็นผู้ที่เหมาะสมกับพระองค์ท่าน  เชื่อพี่สิจ๊ะ  " องค์หญิงรายารับสั่ง  กับพระขนิษฐา ด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน
          " จริงนะเพคะพี่หญิง  พี่หญิงทรงอภิเษกแล้ว  ไม่ทรงคิดที่จะเลิกกับผู้พันจริงๆหรือเพคะ แล้วถ้าน้องออกไปปฏิบัติภารกิจช่วยพี่หญิง  เจ้าพี่อิงภูก็จะเห็นความดี  ในตัวน้องและจะทรงโปรดน้อง  แล้วสักวันเจ้าพี่ ก็จะทรงขอน้องอภิเษกใช่มั้ยเพคะ ? "  สุรเสียงแหวๆเมื่อสักครู่อ่อนลง เปลี่ยนมาเป็นเสียงที่ทรงออดอ้อนแทน
         " จริงสิจ๊ะหญิง พี่ไม่เคยพูดปดกับน้องเลยไม่ใช่หรือ พี่ไม่ได้คิดจะหย่ากับเขา  นอกจากเขาจะขอเลิกกับพี่ก่อน พี่คิดอย่างนี้จริงๆจ๊ะ  และพี่ต้องการให้หญิง  ปฎิบัติหน้าที่ทุกอย่างด้วยใจนะจ๊ะ  ไม่ใช่เพียงเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  แล้วหญิงก็จะได้รับความจงรักภักดี  จากประชาราษฎร  เชื่อพี่นะจ๊ะหญิงเต  " สุรเสียงขององค์หญิงรายา รับสั่งด้วยพระสุรเสียงที่ทรงหนักแน่น
         " พี่หญิงเพคะ  ถ้าพี่หญิงไม่ได้ทรงรักเจ้าพี่ภู  พี่หญิงทรงรักผู้พันใช่มั้ยเพคะ  น้องคิดว่า น้องเห็นความรักในดวงเนตรของเจ้าพี่นะเพคะ ที่เขาพูดว่าดวงตา  คือหน้าต่างของหัวใจน่ะเพคะ  ใช่มั้ยเพคะ บอกหญิงได้มั้ย ?  " เสียงองค์หญิงเตรานีรับสั่งถาม ซึ่งทำให้พันเอก ศรัณย์กลั้นใจฟัง 
          ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงขององค์หญิง  รับสั่งตอบคำถาม  พระพี่เลี้ยงปารอง ก็เดินมายอบกายลง และกราบทูล
          " ผู้พันพระคู่หมั้นเพคะ....หมวดราเมนให้มาทูลว่า คงต้องเชิญเสด็จก่อนเพคะ  เพราะใกล้จะได้เวลาเข้าเฝ้าแล้วเพคะ  " 
    พระพี่เลี้ยงทูลอย่างนอบน้อม  ทำให้เขาลุกขึ้นยืนและเดินออกมาขึ้นรถ  ไปพระบรมมหาราชวังทันที สมองของผู้พันหนุ่ม  ครุ่นคิดถึงการสนทนา  ระหว่างพี่น้องสองขัตติยะนารี  ทำให้เขายิ่งรู้สึกเห็นพระหทัย  ในเจ้าหญิงรายามากขึ้น ที่ไม่ทรงมีเรื่องที่สบายพระหทัย  เลยแม้แต่เรื่องเดียว  และในความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อเขา ก็เหมือนจะไม่ทรงเชื่อใจในตัวของเขานัก  ซึ่งก็คงเป็นธรรมดาที่ผู้หญิงทุกคน  ต้องคิดกับผู้ชายแปลกหน้า ที่เพิ่งจะรู้จักกัน
           เมื่อเข้ามาในพระบรมมหาราชวังแล้ว เขาและหมวดราเมนก็เดินตาม  ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์  เพื่อเข้าเฝ้า  เมื่อถึงทวารชั้นใน  หมวดราเมนจึงกล่าวกับเขา
         “ หม่อมฉันจะรออยู่แถวๆนี้  กระหม่อม “ 
         " ทำไมหมวดต้องพูดอย่างนี้กับผม  หรือว่าอยู่ในนี้ต้องพูดอย่างนี้ด้วย ? "  เขาถามอย่างสงสัย
         " หม่อมฉันถูกเจ้าหลวง  ทรงพระกริ้วมาแล้วเมื่อวานนี้  ที่กล่าวถึงพระคู่หมั้นไ ม่สมควรกระหม่อม  และถ้าอยู่ในพระราชฐาน  ก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ  ที่ต้องพูดแบบนี้ด้วยกระหม่อม  " หมวดราเมนตอบข้อสงสัยของเขา  แล้วก้มศีรษะลงน้อยๆ ยืนคอยอยู่ตรงนั้น
          มหาดเล็กราชองครักษ์ เดินนำหน้าพาเข้าไปในห้องประทับ  ซึ่งเป็นห้องพักผ่อนอิริยาบถ  ที่โอ่อ่างดงาม เขาพบว่าสมเด็จเจ้านาดิฟ ทรงประทับนั่งอยู่บนพระเก้าอี้ตัวยาว เขาจึงคลานด้วยเข่าเข้าไปจนใกล้  แล้วจึงนั่งลงราบกับพื้น หมอบกราบแทบพระบาท 
         " ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม  ข้าพระพุทธเจ้า พันเอกศรัณย์  มาเข้าเฝ้าตามพระราชโองการพระเจ้าค่ะ  " 
         " ขึ้นมานั่งเสียบนเก้าอี๊นี่  ตามสบายนะผู้พัน  ฉันอยากสนทนาด้วยน่ะ และอยากให้คุณพูดกับฉัน  อย่างสบายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากมาย กับฉันหรอกนะ  คุณมาอยู่ที่นี่ได้กี่วันแล้วล่ะ  สบายดีมั้ย ?  " 
         " ได้สิบวันแล้วพระเจ้าค่ะ  เกล้าหม่อมฉันสบายดีพระเจ้าค่ะ " เขากราบบังคมทูล ด้วยคำราชาศัพท์ที่ใช้ง่ายขึ้น
            ทรงมีพระแสรับสั่งถามว่า “ แล้วคุยกับองค์หญิงรายา  ได้ความว่ายังไงบ้างล่ะ “
           ผู้พันศรัณย์กราบบังคมทูลว่า “ เกล้าหม่อมฉันและพระองค์หญิง  ได้ทำความเข้าใจกันแล้วพระเจ้าค่ะ  และจะแต่งงานกัน ตามกฎของที่นี่พระเจ้าค่ะ “
          สมเด็จเจ้านาดิฟ ทรงแย้มสรวลน้อยๆตรัสถามเขาว่า  “ ผู้พัน....เมื่ออภิเษกแล้ว  ฉันอยากรู้ว่า สักวันหนึ่งคุณจะรักลูกหญิงของฉันได้มั้ย  มันจะพอเป็นไปได้หรือเปล่าล่ะ “
          ทรงทอดพระเนตรมองเขา ด้วยพระพักตร์ที่ทรงเปี่ยมพระเมตตา  เขากราบบังคมทูลว่า
          “ พระอาญามิพ้นเกล้า ณ.ขณะนี้ เวลานี้  เกล้าหม่อมฉันรักเจ้าหญิงรายา  และรักพระองค์จากใจจริงพระเจ้าค่ะ  ขออย่าให้พระองค์ท่าน  ทรงตำหนิเกล้าหม่อมฉันเลยพระเจ้าค่ะ  ที่เกล้าหม่อมฉันกล่าวคำว่ารัก  เพราะเกล้าหม่อมฉันนั้นหาเหตุผล  มาอ้างกับตนเองไม่ได้  ว่าทำไมจึงมีความรู้สึก ที่ห่วงหาอาทร  คิดถึง  อยากพบพระพักตร์  และทรมานใจที่ไม่ได้พบ  และเกล้าหม่อมฉันขอยืนยัน  ด้วยเกียรติของลูกผู้ชายว่า  เป็นความจริงจากใจ ของเกล้าหม่อมฉันพระเจ้าค่ะ พระอาญามิพ้นเกล้า ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรด  “ เขากราบบังคมทูลสารภาพความในใจ 
          สมเด็จเจ้า นาดิฟ ทรงพระสรวลน้อยๆ  ทอดพระเนตรมองหน้าชายหนุ่ม  ที่นั่งอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ทรงทอดพระเนตรเห็นความจริง  จากดวงตาของชายหนุ่ม  ทรงพอพระหฤทัยและมีพระกระแสรับสั่ง
          “ ฉันดีใจที่คุณรักลูกหญิงรายา และฉันก็เชื่อว่า คุณพูดความจริงนะผู้พัน  ฉันเชื่อว่าความรักไม่ได้ต้องการใช้เวลาถ้ามันจะเกิด ความรักเป็นความรู้สึกส่วนที่ดี ที่สุดของมนุษย์ “ 
         เขาจึงถือโอกาสกราบบังคมทูลถาม  " พระอาญามิพ้นเกล้า เกล้าหม่อมฉันขอพระราชทานอภัย  กราบบังคมทูลถามว่าในการอภิเษกสมรสนี้  เกล้าหม่อมฉันจะต้องเตรียมสินสอดอย่างไรบ้าง  ที่จะทรงสมพระเกียรติยศ ของพระองค์หญิงรายา เกล้าหม่อมฉันจะได้บอกทางคุณพ่อ คุณแม่  ให้จัดหามาทูลเกล้าถวาย ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรดพระเจ้าค่ะ " 
          สมเด็จเจ้า นาดิฟ ทรงแย้มสรวลน้อยๆ  แล้วรับสั่งอย่างทรงพระเมตตากับเขาว่า  พระองค์ท่านนั้นเหมือนจะขอร้องให้เขามาขอแต่งงานกับพระราชธิดา  เพื่อให้องค์หญิงได้มีโอกาส ดูแลบ้านเมืองต่อไป  ท่านจะยังทรงเรียกร้อง สิ่งใดมาเป็นสินสอด  แต่ถ้าเขาต้องการที่จะให้ ก็ขอให้กับองค์หญิงก็แล้วกัน
         " พระอาญามิพ้นเกล้า เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม  แก่เกล้าหม่อมฉันอย่างหาที่สุดมิได้พระเจ้าค่ะ  "  เขากราบบังคมทูลแล้ว ลงมานั่งราบกับพื้น ก้มลงกราบพระบาทอีกครั้ง
         " ผู้พัน......ต่อไปนี้  คุณก็เท่ากับเป็นลูกของฉัน อีกคนหนึ่งนะ  และก็ไม่ต้องพูดกับฉัน อย่างลำบากนักหรอก ฉันไม่ได้ถือพระยศ พระเกียรติอะไรนัก ตามสบายนะ  ถ้ายุ่งยากนัก คุณก็จะไม่อยากมาหาฉัน  เราจะคุยกันไม่สะดวกต่อไปนี้เราต้องมีอะไรคุยกันบ่อยๆนะ  "   สมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟ ทรงมีพระกระแสรับสั่ง อย่างทรงมีพระเมตตา
         " พระเจ้าค่ะ "  เขารับคำ    
          เสียงเคาะพระทวารดังขึ้นและก็เปิดออก  องค์หญิงรายาทรงคลาน เข้ามาหมอบกราบพระชนก  แล้วทรงประทับยืนด้วยพระชานุ ทรงสวมกอดพระราชบิดา  ไว้ด้วยพระพาหาข้างขวา  แล้วทรงจุมพิตที่พระปราง ของพระองค์ท่านเบาๆทั้งสองข้าง ทรงหันมาแย้มสรวลกับเขานิดหนึ่ง  พระพักตร์แดงเข้มขึ้น
          " กราบฝ่าละอองธุลีพระบาทเพคะ เสด็จพ่อทรงให้หาหญิงหรือเพคะ ?  "
          " พ่อเรียกหญิงก่อนเรียกผู้พันเสียอีก แต่ลูกทำไมมาช้ากว่าผู้พันล่ะ ?  "  สมเด็จเจ้าตรัสถามองค์หญิงรายา ด้วยสีพระพักตร์อ่อนโยน" น้องหญิงเตเสด็จไปเยี่ยมหญิง ที่ตำหนักเพคะ ก็เลยคุยกันนิดหน่อย ขอประทานอภัยเพคะ  ที่ทำให้เสด็จพ่อทรงรอนาน  "  องค์หญิงกราบบังคมทูล แล้วทรงก้มลงกราบที่พระอุระ
         " หญิงเตไปอาละวาด  ต่อว่าต่อขานอะไรหญิงหรือลูก  พ่อได้ยินเสียงบ่นน้อย อกน้อยใจมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ที่ชายอิงภูเสด็จมาน่ะ "  ทรงมีพระกระแสรับสั่งถาม ทอดพระเนตรมองพระพักตร์พระราชธิดา ด้วยสายพระเนตรที่เห็นพระหทัยพระราชธิดา
         " หามิได้เพคะ เพียงแต่คุยกันธรรมดาเพคะ น้องหญิงไม่ได้รับสั่งต่อว่า อะไรหญิงหรอกเพคะ  น้องไปเยี่ยมเพราะเห็นว่าหญิงไม่สบายเพคะ  "  ทรงรับสั่งตอบ  แต่ทรงก้มพักตร์ลงมอง  แค่พระหัตถ์ของพระองค์เองเท่านั้น 
         " หญิงรายา.......ไม่ต้องปิดพ่อหรอก พ่อรู้ทุกอย่าง หญิงเตน่ะเอาแต่ใจองค์เองนัก  เพราะหม่อมแม่ให้ท้าย หญิงต้องอดทนกับอารมณ์ของน้อง พ่อรู้นะหญิง  พ่อสงสารหญิงเหลือเกิน ที่ต้องอดทนกับหลายสิ่ง หลายอย่างรอบด้าน  แม้แต่เรื่องพระญาติพระวงศ์  "    ทรงตรัสและทอดสายพระเนตร มองพระพักตร์ขององค์หญิงรายา ลูบพระเกศาองค์หญิงรายาเบาๆ อย่างทรงปลอบพระหทัย
          " ไม่มีอะไรหรอกเพคะ  อย่าทรงมีพระกังวลเลยเพคะ  หญิงเป็นพี่ หญิงรักน้อง หญิงอธิบายอะไรให้น้องฟัง น้องก็ทรงเชื่อหญิง หญิงไม่ได้คิดอะไรมากหรอกเพคะ " 
         " ดีแล้วลูก..พ่อก็สบายใจ ที่หญิงไม่ถือสาน้อง  แล้วเรื่องของหญิงล่ะ....หญิงตกลงกับผู้พัน เรื่องการอภิเษกเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ลูก  ? "
         " เพคะ "  องค์หญิงรับสั่งตอบพระราชบิดาเบาๆ  ปรายพระเนตรมาที่ผู้พันหนุ่มนิดหนึ่ง
         " หญิง.....การอภิเษกครั้งนี้  พ่ออยากจะจัดให้ลูก  อย่างสมพระเกียรติ ในฐานะที่หญิงเป็นองค์รัชทายาท เราจะเชิญผู้นำมิตรประเทศต่างๆ  มาร่วมในพระราชพิธีครั้งนี้ ด้วยนะลูกนะ " 
         " อย่าเลยเพคะ สิ้นเปลืองงบประมาณเปล่าๆ  บ้านเมืองเราก็ไม่สงบ ราษฎรก็ยังอดอยากยากแค้น หญิงอยากให้ทำพิธีทางศาสนาอย่างเรียบง่าย  ทูลเชิญเฉพาะพระญาติพระวงศ์ของเรา  และผู้ใหญ่ของผู้พันก็พอเพคะ  ถ้ามีผู้นำมาจากต่างแดน  คงต้องใช้กำลังทหาร  มารักษาความปลอดภัย ให้กับบุคคลสำคัญๆ  ที่จะมาร่วมงานมากมาย  หญิงไม่อยากให้ทหาร ต้องมาลำบากด้วยเพคะ  " องค์หญิงรับสั่งแล้วมองหน้าพระคู่หมั้น 
         " ต้องการอย่างนั้นหรือหญิง   แล้วทางผู้พันล่ะต้องการจะให้ทำพิธีการ อย่างไรบ้างมั้ย  จะได้จัดการคุยกันวันนี้เสียเลย  "  เจ้าหลวงนาดิฟ มีพระราชดำรัสถามเขา 
         " เกล้าหม่อมฉัน  คงเรียนคุณพ่อคุณแม่ ของเกล้าหม่อมฉัน  และก็ผู้บังคับบัญชา  และก็เพื่อนๆไม่กี่คนมาเท่านั้น พระเจ้าค่ะ  เรื่องพิธีการทุกอย่าง ก็ขอให้เป็นไปตามราชเพณี  ของสวาติติพระเจ้าค่ะ  "  พันเอก ศรัณย์กราบบังคมทูลเรียบๆ มองไปที่พระพักตร์ของพระองค์หญิง  สายตาของเขาบอกความในใจอย่างเต็มเปี่ยม  จนองค์หญิงต้องก้มพักตร์ลงซ่อนสายพระเนตร
          สมเด็จเจ้า นาดิฟ ทรงสังเกตกริยา ของหนุ่มสาวทั้งสอง  ก็ทรงรู้ว่าทั้งคู่นั้น คงมีใจปฏิพัทธ์ต่อกันเป็นแน่ ทรงพอพระหฤทัย ที่ไม่ได้ทรงฝืนใจของทั้งคู่มากนัก ตรัสรับสั่งกับเขา เหมือนจะทรงประทานเล่า  เรื่องราวของสวาติติ  ว่าเป็นเมืองที่ได้รับวัฒนธรรมจากอังกฤษ  ตั้งแต่สมัยที่อังกฤษล่าอาณานิคม  และสวาติติยังเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ และถูกรวมแคว้นใหญ่น้อย มาขึ้นกับการปกครองของอังกฤษ   โดยที่เขาก็คงจะเห็น  จากสถาปัตยกรรมของที่นี่  ที่สร้างแบบยุโรปเมื่ออังกฤษยังครองแคว้น  และคืนแคว้นนี้ให้เป็นเอกราช  เมื่ออังกฤษขอแลกกับเพชรสีชมพู  ของสวาติติซึ่งขุดพบ และมีมูลค่ามากมายมหาศาล  ทำให้การปกครองของสวาติติ  เป็นระบอบกษัตริย์แบบอังกฤษ  รวมถึงการนับถือศาสนา และสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้  เป็นประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของสวาติติ  สวาติติจึงมีประเพณีแบบตะวันตก  และประเพณีโบราณเก่าแก่ผสมผสานกันด้วย และการแต่งงาน ก็จะแต่งกันในโบสถ์แบบคริสตจักร
          " เกล้าหม่อมฉันยินดีที่จะแต่งงาน  ด้วยพระราชพิธีของ สวาติติ พระเจ้าค่ะ  " 
          " ฉันยินดีมากนะ  ที่ได้คุณมาเป็นพระชามาดา  " 
          " เป็นพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้าล้นกระหม่อม อย่างหาที่สุดมิได้พระเจ้าค่ะ  "  เขากราบบังคมทูล แล้วก้มลงกราบพระบาทอีกครั้ง
          " ฉันจะบอกกำหนดวันอภิเษกสมรส  ให้ทราบอีกครั้งหนึ่งนะผู้พัน  คงจะประมาณอีกสองอาทิตย์ ที่ต้องเลื่อนออกไปนานหน่อย  ก็คงเป็นเพราะหญิงรายา ยังไม่ทรงหายจากพระอาการบาดเจ็บน่ะ  เราจะมีแถลงการณ์ให้ทุกคนรู้อีกครั้ง " 
          " พระเจ้าค่ะ "  เขารับคำ 
          " หญิง....พาผู้พันกลับไปพักผ่อนเถอะ  พ่อรู้สึกเหนื่อยๆน่ะ อยากจะพักเหมือนกัน "  
           ทั้งสองหนุ่มสาวก้มลงกราบแล้วพากันกลับออกมา  ทั้งสองพระ ดำเนินเคียงคู่กันมาเงียบๆ และเมื่อกลับออกมาถึงหน้าพระบรมมหาราชวัง ทหารรักษาพระองค์ และหมวดราเมน เดินตามถวายการอารักขา  และส่งเสด็จ ทั้งสองพระองค์ขึ้นรถกลับมาที่พระตำหนักหน้า
          " ผู้พันคะ....เชิญในตำหนักก่อนค่ะ "  องค์หญิงรายา ทรงเชิญให้เขานั่งลง ในห้องรับรองแขก  ข้าหลวงรีบนำน้ำสุธารสชามาถวาย 
          " รายาครับ.....ผมส่งข่าวไปให้คุณพ่อ  คุณแม่ของผมได้รับทราบแล้ว  ท่านโทรศัพท์กลับมาเมื่อคืนนี้  ว่าท่านดีใจด้วยกับผม ท่านอยากเห็นคุณมากนะ  " 
          " คุณพ่อ คุณแม่ของคุณ  ยินดีที่จะให้คุณมาอยู่ที่นี่ โดยคุณต้องเป็นคนของที่นี่หรือคะ ?  "  รับสั่งถามเขาด้วยเสียงเรียบๆ แต่ยังทรงก้มพระพักตร์น้อยๆ และพลิกสมุดในพระหัตถ์ หลบสายตาเขาอยู่ 
          " ผมจะเป็นคนเมืองไหน  ก็ไม่มีเวลาอยู่กับท่านอยู่แล้ว ตอนที่ผมไปเรียนวิชาทหารที่เยอรมัน ก็ต้องจากกันเป็นปี พอมาประจำการ  ก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านอีก  ไปราชการที่โน่นที่นี่ตลอด  ท่านคงเคยชินแล้วละครับ "  เขาเล่าประวัติตัวเองให้องค์หญิงทรงรับรู้
         " ผู้พันคะ....พรุ่งนี้มีการประชุมเสนาบดีเมือง  ฉันอยากให้คุณเข้าประชุมด้วยค่ะ  " 
         " ได้ครับกระผม " เขารับคำอย่างล้อเลียน โดยทำท่าตะเบ๊ะ  แล้วมองพระพักตร์องค์หญิงรายาที่มีพระพักตร์เหมือนกับจะทรงเป็นกังวล 
         " รายา......สีหน้าคุณไม่ค่อยดีเลย  ยังเจ็บแผลอยู่มากหรือครับ น่าจะพักผ่อนเสียบ้างนะ "  เขากล่าวแล้วมององค์หญิงด้วยความอาทร
         " ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง  แผลก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ แต่ยังเจ็บอยู่บ้างไม่มากเท่าไหร่  แต่......เอ่อ....ไม่มีอะไรหรอกค่ะ " ทรงไม่ต้องการบอกเขา  ถึงความกังวลพระหทัย ต่อการประชุมในวันพรุ่งนี้
         " คุณดื้อมากนะรายา  "  เขากล่าวพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ 
         " ค่ะ........คุณคงต้องแต่งงานกับคนดื้อแล้วละ "  องค์หญิงรับสั่งพร้อมกับแย้มสรวลน้อยๆ  
         "  แล้วผมจะปราบคนดื้อเองนะ รายา  "  เขากล่าวยิ้มๆเช่นกัน
          ทรงมีพระปรางเข้มขึ้น และทรงเสก้มพระพักตร์ทอดพระเนตร  สมุดในพระหัตถ์  เขารู้ว่าทรงเขินอาย ด้วยการที่พระองค์ทรงกัดริมพระโอษฐ์น้อยๆ เมื่อทรงเงยพระพักตร์ขึ้น  มีรอยสรวลอยู่ในดวงพระเนตรวิบวับ ก่อนที่จะรับสั่ง
          “ ยังไม่เคยมีใครปราบฉันสำเร็จเลยค่ะผู้พัน “
         “ ก็ใครๆของคุณ คงไม่กล้าเท่าผมหรอกครับ “
         “ จะคอยดูค่ะ “ ทรงท้าเขา แล้วสรวลน้อยๆ  สายพระเนตรท้าทาย
          ข้าหลวงคลานเข้ามากราบทูล  ว่าหมวดราชัยมาขอเข้าเฝ้า  ทรงปรายพระเนตรมองเขานิดหนึ่ง  แต่ก็เห็นว่าเขามีสีหน้าเรียบๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์อะไร  เพียงแต่มองสบตากับพระองค์เหมือนจะถาม  และลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งกล่าวคำลา แต่ทรงรับสั่งให้เขาอยู่ก่อน  เขาจึงจำต้องนั่งลงอีกครั้ง  ทรงหันไปรับสั่งให้  ข้าหลวงไปเชิญหมวดเข้ามา
          หมวดราชัยเดินเข้ามาและทำความเคารพ  ทรงรับสั่งเชื้อเชิญให้เขานั่งลง  เขามองมาที่ผู้พันศรัณย์ ด้วยท่าทางที่ไม่ต้องการให้เขาอยู่ตรงนั้น  และไม่คิดที่จะทำความเคารพเขาด้วย  ผู้พันศรัณย์รู้สึกอึดอัดขึ้นมานิดหนึ่ง  และหยิบนิตยสารที่วางอยู่ขึ้นมาอ่าน
          “ รายา.....ผมมีเพียงช่อดอกไม้นี้มาเยี่ยม  เพราะเพิ่งกลับจากหัวเมือง  คุณหายดีแล้วเหรอ  ผมเป็นห่วงคุณมากนะ “ หมวดราชัยถวายช่อดอกไม้ช่อใหญ่งดงาม  องค์หญิงทรงเอื้อมหัตถ์รับ  เขากราบทูลกับองค์หญิงอย่างคุ้นเคย  เหมือนกับต้องการ แสดงความสนิทสนมให้เขาเห็น
          “ ขอบใจราชัย ฉันหายดีแล้ว  ขอบใจที่มาเยี่ยม งานที่มอบหมายให้ไปทำเรียบร้อยดีมั้ย “
          “ ก็เรียบร้อยดีครับ กำลังให้นายช่างเซอร์เวย์ แล้วก็ให้คนงานลงมือถางป่า ระยะทางเกือบห้าสิบกิโล คงยังไม่เสร็จง่ายๆหรอก อีกสองสามวัน  ผมจะลงไปดูอีกครั้งหนึ่ง ผมเป็นห่วงคุณน่ะ  ก็เลยรีบกลับมาก่อน  ข่าวที่หัวเมืองลือกันว่าคุณจะแต่งงานในเร็วๆนี้  ไม่เป็นความจริงใช่มั้ยรายา “
          “ เป็นความจริงค่ะ  ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันกำลังจะแต่งงาน คุณก็น่าจะเดาเรื่อง ทุกอย่างออกไม่ใช่เหรอ นับตั้งแต่วันที่ฉันบาดเจ็บน่ะ ความจริงคุณก็ทราบ ถึงแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังแล้วนี่ “
          “ ไม่นะรายา ผมไม่คิดว่า คุณจะตัดสินใจแบบนี้  ผมทนให้คุณแต่งงานไม่ได้ คุณก็รู้ว่าผมยอมไม่ได้  “ สีหน้าของเขาผิดหวังอย่างรุนแรง แล้วกล่าวต่อ  “ เมื่อกี้ผมเพิ่งต่อยหมวด มินเลมาหยกๆ มันบอกว่าคุณกำลังจะแต่งงาน “
         “ ราชัย.....ฉันกำลังจะแต่งงานจริงๆ  คุณเลิกเป็นอันธพาลเสียที  คุณชกต่อยหาเรื่องคนไปทั่วแบบนี้  ไม่ใช่วิสัยของทหารสักนิด “ รับสั่งตำหนิทันที
          หมวดราชัยมี สีหน้าเครียด มองพันเอกศรัณย์ด้วยหางตา อย่างชิงชังก่อนที่จะเอ่ย  “ รายา.....คุณใช้ให้ผมไปทำงาน  ผมก็ทำงานทุกอย่างตามที่คุณสั่ง  ผมทำเพื่อคุณทุกอย่าง  ทำไมคุณไม่เห็นใจผมบ้าง “
         “ มันเป็นหน้าที่ของคุณนะหมวดราชัย  ทหารที่อยู่ในสวาติติ  ก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่กันทั้งนั้น  ในเมื่อคุณเป็นเลขาฉัน  คุณก็ต้องทำงานตรงนี้  เพื่อบ้านเมือง ไม่ใช่ทำเพื่อฉันหรือเพื่อใคร  “ องค์หญิงรับสั่งด้วยสุรเสียงเข้มห้วน
         “ รายา....ผมยอมได้ทุกอย่างเพื่อคุณ  แต่ผมยอมให้คุณแต่งงานไม่ได้  ยังไงก็ยอมไม่ได้ “ กระแสเสียงของเขาอ่อนลง   สีหน้าอ่อนเศร้า สายตาของเขาวิงวอน
         “ เชิญกลับไปได้แล้วหมวด  ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณอีก เราจะคุยกันเรื่องงาน ที่กองบัญชาการก็แล้วกัน “
         “ แล้วคนอื่นล่ะ  ทำไมอยู่ที่นี่ได้หือรายา ในเมื่อการแต่งงาน ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรัก  มันเป็นเพียงแค่กฎก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไร  ที่จะต้องให้เข้ามาสนิทสนมกัน  ถึงภายในพระราชฐานอย่างนี้นี่ “ เขาปรายตาไปที่ผู้พันศรัณย์
         “ ผู้พันเป็นคู่หมั้นของฉัน  และมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาที่นี่  และเราก็กำลังคุยกันถึงเรื่องงานแต่งงาน ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่กฎ  แต่ฉันก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกับท่าน  ในอีกไม่ช้าไม่ใช่หรือราชัย  “
         “ รายา.....จำไว้นะ ผมไม่ยอมให้คุณแต่งงานกับใครหรอก  ผมขอให้คุณเนรเทศตนเอง  ไปอยู่ที่อังกฤษ  แล้วเราจะแต่งงานกัน คุณลืมทุกสิ่งทุกอย่างของเรา  ที่อังกฤษแล้วหรือครับรายา “ เขาทวงถามถึงความหลังครั้งก่อน
         “ ราชัย....อย่าพูดเรื่องนั้นกับฉันอีก มันจบสิ้นไปแล้วทุกอย่าง  และก็นานมากแล้ว  ชีวิตเราสองคนเปลี่ยนไปมากแล้วนะราชัย  เรื่องส่วนตัวของคุณ  ฉันเคยยุ่งเกี่ยวหรือเปล่า ว่าคุณจะมีใครสักกี่คน  ก็เป็นเรื่องของคุณ  และนี่ก็เป็นเรื่องของฉัน  หัดเข้าใจอะไรเสียบ้าง จะได้ไม่พูดอะไรที่ไร้สาระแบบนี้อีก  ความจริงการที่คุณเข้ามาในเขตพระราชฐาน  คุณต้องปฏิบัติตัวยังไง  คุณยังไม่เคยปฏิบัติเลย  คุณรู้กฎธรรมเนียมปฏิบัติดีทุกอย่าง  แต่คุณก็ละเลยทุกอย่างเหมือนกัน  ต่อไปนี้ ห้ามมาขอเข้าพบฉันที่นี่อีก  “ พระสุรเสียงที่รับสั่งในตอนท้าย ห้วนเข้มเฉียบขาด
          “ รายา.....เราไม่เห็นต้องพูด  คำราชาศัพท์แก่กันเลย  ตอนเราอยู่อังกฤษด้วยกัน  เราก็พูดกันธรรมดาไม่ใช่หรือ  แล้วเราก็อยู่กันเพียงแค่นี้เท่านั้นนี่  “
          “ ที่นี่สวาติติ  แล้วฉันก็เปลี่ยนสถานะแล้วไม่ใช่หรือ  เราไม่ได้เป็นเด็กๆเหมือนเมื่อก่อนแล้ว  แม้แต่ที่กองบัญชาการคุณก็ต้องรู้ด้วยสัญชาติญาณของทหาร  ว่าต้องใช้คำพูดแบบไหนกับฉัน  คุณก็ไม่เคยคิดจะปฏิบัติ  คุณทำให้ระเบียบวินัยและขนบธรรมเนียมของที่นี่เสียหายเสมอ  เพียงเพราะว่าความสนิทของเราในครั้งก่อน  แต่หมอเลนินไม่เคยทำแบบคุณสักครั้ง “  ทรงรับสั่งด้วยเสียงที่ราบเรียบเย็นชา
          เขานิ่งฟังด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำขึ้นและกลับซีดสลดลง “ หม่อมฉันขออภัยโทษ “
          “ เชิญ “ ทรงประทับยืนขึ้นเหมือนจะส่งเขา
          “ หม่อมฉันทูลลา “ เขากล่าวแล้วมององค์หญิง  ด้วยสายตาที่ตัดพ้อ สีหน้าเศร้าสร้อย  ก้มศีรษะลงน้อยๆทำความเคารพ
          เมื่อหมวดราชัยเดินลับกายออกไปแล้ว  ผู้พันศรัณย์มองพระพักตร์น้อยๆ และเห็นว่าทรงมีท่าทางขุ่นเคือง พระทัยมิใช่น้อย สังเกตที่มีพระพักตร์เรียบตึงนิ่งเงียบ  แต่ก็ทรงพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปรกติ
         “ เขาอาละวาดกับคุณแบบนี้เสมอๆเหรอ “
         “ ก็ไม่บ่อยนัก  เขาถือว่าเราเคยเป็นเพื่อนกันมา ตั้งแต่เด็กๆน่ะค่ะ “
         “ แต่การที่เขาไม่ยอมให้คุณแต่งงานกับใคร  คงไม่ใช่เพียงเป็นความรู้สึก  แค่เป็นเพื่อนหรอกนะรายา “
         “ ฉันกับเขา จะเรียกได้ว่า เป็นคนที่สนิทกันมากที่สุด  ตั้งแต่เด็กๆก็ว่าได้  เราจากบ้านเมืองไปเรียนด้วยกัน  ตั้งแต่มัธยม เราเคยร้องไห้เพราะคิดถึงบ้านด้วยกัน  เรามีความรู้สึกที่อ้างว้างเหมือนกัน  เราเข้าใจกันในทุกเรื่อง  และเมื่อเราเข้ามหาวิทยาลัยที่อังกฤษด้วยกัน  เขาก็เป็นเหมือนเพื่อน  เหมือนพี่  เหมือนองครักษ์เหมือนทหารรับใช้   แต่แล้วก่อนที่เราจะทันรู้ตัว  เราก็ถูกจับแยกจากกัน  เพราะกลัวว่าเราสองคนจะรักกัน  และเราก็มีความรู้สึกสูญเสีย และเศร้ากับการจากพรากเหมือนกัน  “
         “ คุณเคยรักเขาใช่มั้ยรายา “
            เธอนิ่งอึ้งและเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง   “ อาจจะ....ค่ะ  ฉันไม่แน่ใจในความรู้สึกนั้นนัก  ตอนที่เราถูกจับแยกกันในตอนนั้นฉันก็รู้สึกใจหายมาก  ฉันร้องไห้เหมือนเด็กๆที่ขาดเพื่อนสนิท  ฉันท้อแท้สิ้นหวัง จนเกือบจะเรียนไม่จบ แต่แล้วฉันก็ถูกเสด็จพ่อเรียกตัวกลับมา  และทรงตรัสสอนฉันหลายอย่าง  การที่ฉันเป็นมกุฎราชกุมารี  มีกฎข้อห้ามมากมาย ฉันเป็นเหมือนนักโทษที่ถูกขังด้วยกฎระเบียบ  ขนบธรรมเนียมประเพณี  เป็นชีวิตที่ต้องเก็บกดทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นอิสระเป็นเสรีภาพของตัวเองเลย สมเด็จรับสั่งเหมือนจะบังคับให้ฉัน  ต้องรักเพียงเจ้าพี่ภูเท่านั้น  ฉันจึงต่อต้านกับการชี้นำนี้มาตลอด  จนใครๆก็สงสัยว่าทำไมฉันถึงบ่ายเบี่ยงเจ้าพี่ภู  “ 
            

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×