ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรางรัก ลวงใจ (ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สมาร์ทบุ๊ค)

    ลำดับตอนที่ #5 : ต้นเหตุของปัญหา(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.06K
      4
      8 ก.พ. 52

                        ตอนที่  5 ต้นเหตุของปัญหา
            
             นายแพทย์หนุ่มเลนิน  ซึ่งองค์หญิงทรงเคย  แนะนำกับเขาว่าเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล  เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน  เขาก็ลุกพรวดถลันเข้าไปหา  อย่างลืมตัวทันที
             “ ผู้การเป็นยังไงบ้างครับหมอ  “ เขาถามหมออย่างร้อนรน หญิงชราที่นั่งอยู่ก็เช่นกัน เธอรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหาหมอด้วยอีกคน 
              นายแพทย์หนุ่มมองหน้าเขานิดหนึ่ง  สีหน้าของหมอหนุ่มมีแววกังวลน้อย ๆแต่ก็ยังมีรอยยิ้มประดับ  ก่อนที่กล่าวรายงานพระอาการว่า ได้ถวายการทำแผล และก็ถวายการฉีดพระโอสถ กันบาดทะยักให้เรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้ยังคงไม่รู้สึกพระองค์ ทรงเสียพระโลหิตมากไปหน่อย แล้วแผลก็ทรงอักเสบมาก  แต่ไม่ต้องห่วงคณะแพทย์  ได้ถวายการรักษาอย่างดีที่สุดแล้ว  ตอนนี้คงต้องให้บรรทมพักอิริยาบถก่อน  หมอกล่าวรายงานกับเขา และหันมาที่หญิงชรา
           “ อ้าว.....แล้วนี่ใครไปบอกพระพี่เลี้ยงปารองแต่เช้าเลย ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ  ทูลกระหม่อมของปารองน่ะ เดี๋ยวก็ทรงพระเกษมสำราญจ๊ะ  ทรงเข้มแข็งออกขนาดนี้  แล้วก็ทรงดื้อมาก อีกไม่กี่วันปารอง  ก็จะวิ่งไล่จับให้บรรทมไม่ทันเลยละ “ หมอหันมาพูดกับพระพี่เลี้ยงขององค์หญิง พร้อมทั้งแย้มยิ้มและสัพยอก กับหญิงชราอย่างเป็นกันเอง และคุ้นเคย พระพี่เลี้ยงชรามีสีหน้าโล่งอก  แต่รอยกังวลก็ยังไม่จางหาย
          เสียงย่ำรองเท้ากับพื้นหินขัดของโรงพยาบาล  ดังก้องเป็นจังหวะทำให้ทุกคนหันไปมอง  หมวดราชัยในเครื่องแบบนายทหารเดินตรงเข้ามาที่พันเอกศรัณย์  หมอเลนิน และพระพี่เลี้ยงปารอง ที่กำลังยืนสนทนาอยู่ด้วยกัน เขาไม่กล่าวทักทายใคร แต่ตรงเข้ามาหาพันเอกศรัณย์  ด้วยสีหน้าถมึงทึงและตะคอกถามทันที
          " ผู้พัน......คุณทำอะไรผู้การ คุณอยู่กับรายาทั้งคืนเลยหรือ  พวกทหารโจษกันไปทั่ว ? " 
          เขามองหน้าถมึงทึงของหมวดราชัยตรงๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา  และตอบด้วยอาการปรกติ  " ก็ใช่....ที่ผมอยู่กับผู้การเมื่อคืนนี้  แต่ผมก็เพียงแต่เข้าไปช่วยท่านออกมา จากวงล้อมของทหารป่าก็เท่านั้น  และท่านถูกยิงก่อนที่ผมจะเข้าไปพบ  ท่านบาดเจ็บมาก  ผมจะทำอะไรท่านได้ล่ะ....นอกจากปฐมพยาบาลท่าน คุณคิดอะไรอยู่หรือผู้หมวด ? " 
           ผู้หมวดหนุ่มเลขาของผู้การรายา  หรี่ตามองเขาด้วยสีหน้าที่บ่งบอก  ถึงความเกลียดชังเขาอย่างเปิดเผย  " ผู้พัน..คุณต่างหากที่คิดอะไรอยู่  แผนการล้ำลึกมากนี่ มาได้แค่สองวันก็คิดไม่ซื่อแล้วหรือ  บัดซบจริงๆ "  
          นายแพทย์หนุ่มเห็นสถานการณ์ไม่ดี  เขารีบเดินเข้ามาคั่นกลาง  ระหว่างสองนายทหารหนุ่ม  และรีบกล่าวอย่างไกล่เกลี่ย  "  เฮ้ย ไอ้หมวด....ใจเย็นๆน่ะ ค่อยๆคุย ค่อยๆถามกันก่อนดีกว่านะ ผู้การรอดมาได้ก็บุญมากแล้วละ ถ้าผู้พันไม่เข้าไปช่วย  ผู้การจะรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทหารที่ไปด้วยตายเรียบเลยนะราชัย  แล้วผู้พันก็คงไม่รู้เรื่องอะไร  ที่นายกำลังจะพูดหรอก " 
          " ไอ้หมอ......นายก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกทหารที่ไปรับเสด็จกลับ ก็รู้ก็เห็นกันทั้งนั้น "  เขาหันกลับมากล่าวกับหมอด้วยสีหน้าเครียดขึ้ง กรามขบเข้าหากัน นัยน์ตาขุ่นขวาง มองหน้าผู้พันศรัณย์  อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
           หมอหนุ่มตบบ่าหมวดราชัยเบาๆ  แล้วกล่าวเหมือนจะเตือน  " ราชัย.....นายอย่าเพิ่งตีโพยตีพายอะไรเลย เชื่อฉันสิ " 
           แต่อารมณ์ของหมวดราชัย  ก็ไม่ได้สงบลงแม้แต่น้อย ดูเหมือนกับจะยิ่งทวีความรุนแรง ในอารมณ์เพิ่มขึ้นอีก ด้วยที่เขาเบี่ยงกายหนี หมอพยายามที่จะเผชิญหน้ากับเขา  และกล่าวออกมาด้วยเสียงอันดัง  " ผู้พัน...อย่าคิดใฝ่สูงนะ รายาไม่ใช่คนที่นายจะคิดอะไรกับเธอ   และผมจะไม่มีวันยอมถ้าต้องเกิดอะไรขึ้น " 
           คำกล่าวของหมวดราชัย  ทำให้เขารู้สึกเลือดฉีดขึ้นหน้าทันที ความหมายในคำพูดนั้นรุนแรง  มากเกินกว่าที่เขาจะนิ่งและไม่โต้ตอบ
           " คุณกำลังดูถูกผมนะผู้หมวด ถึงคุณจะไม่ได้เป็นลูกน้องผมโดยตรง แต่ผมก็มียศสูงกว่าคุณนะ  และคำพูดของคุณทำให้ผมไม่เข้าใจ  แทนที่คุณจะดีใจ ที่ผมได้ช่วยท่านให้รอดพ้นจากอันตราย ออกมาได้ แต่คุณกลับมากล่าวหาผมอย่างเสียหายแบบนี้ มันไม่สวยเลยนะหมวด "   
           หมวดราชัยก็ไม่ได้ครั่นคร้าม เขายังคงฮึดฮัดและตอบกลับ ด้วยสีหน้าแค้นเคือง " ก็นายคงจะรู้เรื่องนี้ดี  และจงใจให้มันเกิดใช่มั้ย นายอาจจะเป็นคนจัดการ  ฆ่าทหารที่ติดตามไปก็ได้นี่  ?  " เสียงของเขาสะท้านด้วยแรงแห่งอารมณ์
          เขาไม่เข้าใจกับคำพูดของหมวดราชัยเลยสักนิด  ดูเขาไม่ได้ห่วงอาการ ของผู้บังคับบัญชา  แต่กลับห่วงว่าเขากับเธออยู่กันตามลำพัง และยังตั้งข้อหาร้ายแรง  ให้กับเขาอีกด้วย เขาขมวดคิ้วมุ่นแล้วตอบกลับ อย่างพยายามทำอารมณ์ให้ปรกติที่สุด
           " อ้าว....หมวด ทำไมถึงกล่าวหาผมแบบนั้นล่ะ  ผมจะฆ่าทหทารติดตามเพื่ออะไร  และในเมื่อทหารของผู้การเสียชีวิตทั้งหมด  เราก็จำต้องอยู่กันสองต่อสอง  แต่ท่านบาดเจ็บมากนะ  ผมก็จำเป็นต้องปฐมพยาบาลห้ามเลือดให้  คุณคิดว่าผมทำมิดีมิร้ายท่านหรือไง ผมไม่ได้คิดหรือทำอะไรต่ำทราม  อย่างที่คุณคิดหรอกนะหมวด  ถ้าผมทำอะไรมิดีมิร้ายอย่างที่คุณคิด  ผมคงเลวเต็มทน  ผมมีเกียรติมีศักดิ์ศรีพอนะ แล้วคุณก็ลองถามผู้การดูก็ได้นี่ว่า ผมทำอะไรที่ไม่ให้เกียรติท่านบ้าง และท่านก็เห็นว่าพลทหารที่ตามไปด้วยน่ะ ถูกทหารป่ายิงตายตั้งแต่ตอนเย็น  "  
           พระพี่เลี้ยงปารอง  มองหน้านายทหารหนุ่มทั้งสอง  ที่กำลังทุ่มเถียงกัน ด้วยท่าทางที่กำลังจะบานปลาย  จึงเอ่ยขึ้นกับหมวดราชัย  เหมือนจะให้สติเขา  ด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นเครือ
           “ ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะหมวดราชัย  ท่านผู้นี้ช่วยพระชนม์ชีพพระองค์หญิงไว้  ถ้าไม่มีเขาผู้นี้ พระองค์หญิงก็อาจจะถูกพวกนั้นจับตัวไป หรืออาจจะทรงเสียพระชนม์ชีพก็ได้นะหมวด “ หญิงชราให้เหตุผล หมวดราชัยหันมากล่าวกับข้าหลวงปารอง  ด้วยเสียงเหมือนจะตวาดว่า
          “ พระพี่เลี้ยงปารองก็รู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น  เริ่มจะทำตัวเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสี  แล้วหรือปารอง ทีกับผมคุณพี่เลี้ยงกีดกันผมทุกอย่าง  ทั้งที่ผมกับรายาน่ะรักกัน  “ หมวดราชัยกล่าวอย่างใช้อารมณ์  กับหญิงชรา ซึ่งทำให้พระพี่เลี้ยงเหลือบมองหน้าหมอเลนิน  เหมือนจะขอความช่วยเหลือ  หมอเลนินมองหมวดราชัยแล้วส่ายหน้า  ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างหนักอกหนักใจ  รีบเข้ามาไกล่เกลี่ยอีกครั้งกับหมวดราชัย
          “ ราชัยใจเย็นๆน่ะ พูดอะไรออกมาคิดให้ดีก่อน ใครได้ยินเข้าพระองค์หญิง  จะทรงเสื่อมเสียพระเกียรติยศนะ  แล้วพระพี่เลี้ยงปารองก็พูดถูกด้วย ถ้าองค์หญิงไม่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้พัน พระองค์ท่านก็อาจจะทรงถูกจับพระองค์ไป หรือถูกพวกมันปลงพระชนม์ทิ้งแล้วก็ได้  สวาติติก็คงจะเกิดการสูญเสีย  อย่างใหญ่หลวง และถ้าอะไรมันจะเกิด  นับจากนี้มันก็ต้องเกิด  มันอาจจะเป็นลิขิตของสวรรค์  ก็ได้นะราชัย ถึงนายโวยวายอะไรไปตอนนี้  ก็ไม่มีประโยชน์หรอก เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว  ไม่มีใครแก้ไขให้กลับคืนมาได้อีกหรอก  “ หมอ เลนินให้เหตุผล แล้วมองหน้าหมวดราชัยด้วยสีหน้าวิงวอนขอร้อง
            ผู้พันหนุ่มมองทุกคนอย่างไม่เข้าใจ  ถึงปัญหาที่ทุกคนกำลังถกเถียงกัน  หมวดราชัยทำท่าเหมือนจะไม่ฟังเสียงของหมอ  เขายังคงฮึดฮัดมองหน้าผู้พันศรัณย์  ด้วยสายตาเคียดแค้นจนน่ากลัว  ผู้พันศรัณย์มีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาของเขาเย็นชามองหน้าหมวดราชัย  แบบไม่ระย่อเช่นเดียวกัน  หมอจำเป็นต้องเข้ามายืนขวางกลางไว้  หมวดราชัยยังคงกล่าวเสียงเครียดๆ
          “ ไอ้หมอ...นายอย่ามาพูด  เรื่องลิขิตสวรรค์อะไรกับฉัน ฉันไม่มีวันยอมให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นหรอก  นายก็รู้ดีทุกอย่างว่าฉันรักรายามากแค่ไหน “
          “ ราชัย.....ความรักที่บริสุทธิ์น่ะ  ก็คือการเสียสละนะ “  หมอกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่หม่นเศร้า มองหน้าหมวดราชัย  เหมือนต้องการจะบอกความรู้สึกของตนเอง
          “ นั่นมันเป็นความคิดของนายไม่ใช่ของฉัน “ เขาโต้กลับทันที
          “ แต่เวลานี้มันก็ไม่ใช่เวลา  ที่เราจะมาเถียงกันเรื่องนี้นะราชัย  ฉันขอร้องละเพื่อน “
          “ เรื่องมันเกิดขึ้นตอนนี้ ฉันก็ต้องจัดการตอนนี้  ให้มันรู้ดำรู้แดงไป ฉันไม่สนหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น  แกหลีกไปดีกว่าหมอ “ เขาผลักร่างหมอออก จนหมอเลนินเซออกไป  และย่างสามขุมเข้าหาเขา พันเอกศรัณย์เตรียมตัวตั้งรับกับสถานการณ์ตรงหน้า
           หมอรีบทรงตัวและเอ่ยออกมา  ด้วยเสียงเหมือนจะตวาด “ ราชัยที่นี่เป็นโรงพยาบาลนะ  ถ้านายคิดจะฆ่าจะแกงใครก็ไปทำที่อื่น “
           แต่ก่อนที่จะเกิดเรื่องรุนแรงอะไรขึ้น  หญิงกลางคนผู้หนึ่ง  แต่งกายด้วยอาภรณ์เหมือนผู้หญิงชั้นสูง  ในราชสำนักของสวาติติ  ได้เดินอย่างรีบเร่งแต่ก็สง่างามตรงเข้ามา  ทหารราชองครักษ์เดินติดตามอารักขามาด้วย  และเดินตรงมาที่ทุกคนยืนอยู่  หมอรีบยืนตรงทำความเคารพอย่างสูง  พร้อมทั้งหมวดราชัย และพระพี่เลี้ยงปารองก็ปฏิบัติเช่นกัน  ซึ่งทำให้พันเอกศรัณย์  ต้องทำความเคารพตามคนอื่นไปด้วย  หญิงท่านนั้นหันไปบอกให้ทหารองครักษ์  ออกไปคอยข้างนอก เมื่อทหารทั้งสองนายเดินออกไปแล้ว  เสียงที่ทรงอำนาจก็ดังขึ้น
           “ มีเรื่องอะไรกัน ใครทะเลาะอะไรกันอยู่หรือ  เสียงหมวดราชัย เสียงหมอ  ดังอึงคะนึงไปถึงข้างนอก ที่นี่เป็นโรงพยาบาลนะ ” เสียงนั้นบ่งบอกถึงอารมณ์  และสีหน้าของหญิงผู้นั้นก็ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง  หมวดราชัยรีบกล่าวฟ้อง
          “ หม่อมฉันต้องขอพระอภัยโทษพระเจ้าค่ะ  หม่อมฉันเพียงแต่กำลังไต่สวนผู้พัน ศรัณย์  เรื่องไปช่วยพระองค์หญิงพระเจ้าค่ะ   ผู้พันบอกกับหม่อมฉันว่า  อยู่กับพระองค์หญิงเพียงลำพังทั้งคืนพระเจ้าค่ะ “ หญิงผู้ซึ่งเขาคิดว่า  คงเป็นใครสักคนที่เป็นเจ้านายพระองค์หนึ่ง สดับรับฟังหมวดราชัยแล้วทรงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่  แล้วเอ่ยกับหมวดราชัย ด้วยสีหน้านิ่งๆว่า
          “ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ได้มั้ยหมวดราชัย  และหมวดก็ไม่มีหน้าที่  ที่จะไต่สวนเรื่องนี้มิใช่หรือ  และเรื่องอะไรก็คงไม่สำคัญเท่าตอนนี้ ฉันอยากทราบเท่านั้นว่า  พระองค์หญิงทรงมีพระอาการประชวรเป็นอย่างไรบ้าง  และฉันอยากให้หมวดกลับไปก่อน  ฉันต้องการคุยกับหมอแล้วก็ผู้พันท่านนี้ “ หญิงผู้นั้นกล่าวจบ  มองหน้าหมวดราชัยนิดหนึ่ง และหันมามองหน้าหมอแทน  พร้อมทั้งกล่าวขึ้น “ หมอเลนินรายงานพระอาการของฝ่าบาทสิ “
            ซึ่งทำให้ผู้หมวดหนุ่มก้มศีรษะ  ลงพร้อมทั้งชิดเท้าทำความเคารพ  แต่ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไปเขาหันมามองหน้าผู้พันศรัณย์ด้วยสายตาแค้นเคือง อาฆาตมาดร้ายอย่างเปิดเผย  หญิงผู้นั้นปรายตามองกริยา  ของผู้หมวดราชัยนิดหนึ่ง  แล้วหันหน้ากลับมาที่หมอเลนิน
           หมอเลนินค้อมศีรษะลง  และกล่าวถวายรายงานทันที  “ ถวายบังคมฝ่าละอองพระบาทพระเจ้าค่ะ ตอนนี้เสด็จพระองค์หญิง  ยังไม่ทรงรู้สึกพระองค์  แต่ก็ทรงพ้นขีดอันตรายแล้วพระเจ้าค่ะ  พระองค์หญิงทรงโดนกระสุนปืน  ถากที่พระอังสาข้างซ้าย  มีพระบาดแผลลึกและอักเสบมาก  ตอนที่เสด็จมาถึงโรงพยาบาลพระหทัยเต้นอ่อน  ความดันพระโลหิตลดลง  ด้วยทรงเสียพระโลหิตมาก พระวรกายขณะนี้จึงทรงอ่อนเพลีย มากพระเจ้าค่ะ “
           “ โถฝ่าบาท.....” พระชายาอองสารับสั่งเสียงเครือ ดวงพระเนตรแดงระเรื่อขึ้น  หญิงสาวอีกผู้หนึ่งเดินเข้ามาสมทบซึ่งพันเอกศรัณย์จำได้ทันทีว่า  เธอคือ องค์หญิงเตรานีพระขนิษฐา
           และไม่ทรงที่จะรีรอรับสั่งถามใคร  ก็มีกระแสรับสั่งกับหญิงผู้นั้นทันที  ซึ่งรับสั่งขององค์หญิงเตรานี  ทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นต้องนิ่งอึ้ง หมอเลนินก้มหน้าลงเหมือนจะซ่อนสายตาทันที
          “ หม่อมแม่เพคะพี่หญิงทรงเป็นยังไงบ้างเพคะ เห็นทหารบอกว่าเสียพระโลหิตมาก  และทรงไม่รู้สึกองค์เลย พี่หญิงจะทรงสิ้นพระชนม์ชีพ หรือเพคะ “
          " หญิงเต.....ทำไมรับสั่งอย่างนี้นะ ไม่เป็นมงคลกับเจ้าพี่หญิงเลยสักนิด  " พระมารดารับสั่งด้วยสุรเสียงเข้มอย่างตำหนิ 
    องค์หญิงเตรานี มีสีพระพักตร์บึ้งตึงทันที  เมื่อโดนรับสั่งตำหนิ  และเมื่อทรงหันพระพักตร์มาทางเขา  แล้วรับสั่งขึ้นอย่างจำได้ทันที  " ผู้พัน.......ผู้พันศรัณย์หรือคะนี่  ทำไมมอมแมมจนหญิงจำไม่ได้เลยล่ะคะ “  
           ผู้พันศรัณย์ก้มมองตนเองนิดหนึ่ง  และรีบถวายความเคารพทันที  แต่ผู้เป็นพระมารดาทรงรับสั่งถามขึ้นกับหมอว่า 
          “ หมอ....ใครไปพบองค์หญิงรายา  พบที่ไหน พบเมื่อไหร่ รายงานให้ฉันทราบ เรื่องที่เกิดขึ้นสิ ฉันจะได้กลับไปกราบบังคมทูลถวายรายงานเจ้าหลวง  ตอนนี้พระองค์ท่านทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว  และก็ทรงมีพระกระแสจะทรงเสด็จพระราชดำเนินมาที่นี่  อีกพระองค์หนึ่ง ทรงเป็นห่วงพระองค์หญิงมาก  ฉันต้องกราบบังคมทูลขอร้องพระองค์ท่านไว้ไม่ให้เสด็จมา พระองค์ท่านก็ยิ่งทรงพระประชวรอยู่แล้ว  เกรงว่าพระอาการก็จะทรงทรุดลงอีก  "   
           ผู้พันศรัณย์ มองผู้หญิงวัยกลางคน  ที่ยืนอยู่ตรงหน้าซึ่งมีรับสั่งกล่าวถามขึ้น  ด้วยหลายคำถามพร้อมกัน  แต่ไม่ทรงเจาะจง  ว่าจะรับสั่งถามเขา  หรือใครในที่นั้น  ทำให้เขาไม่กล้าที่จะกราบทูล  ได้แต่มองไปที่หมอ  และองค์หญิงเตรานีด้วยสีหน้าที่เหมือนจะขอความช่วยเหลือ  ซึ่งทำให้องค์หญิงเตรานีทรงระลึกขึ้นได้ว่า  ผู้พันและหม่อมแม่ของพระองค์ยังไม่เคยพบหรือรู้จักกัน จึงทรงรับสั่งแนะนำ
          “ ผู้พันคะ......ผู้พันคงยังไม่ทราบ เตขอแนะนำนะคะนี่คือ  พระชายาอองสาในสมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟ  ท่านทรงเป็นหม่อมแม่ของเตค่ะ  และหม่อมแม่เพคะ....นี่คือท่านพันเอก ศรัณย์  เป็นผู้บังคับบัญชาการทหาร  ที่มาจากเมืองไทยเพคะ “ ผู้พันหนุ่มรีบถวายความเคารพพระชายาอองสาอีกครั้ง  
          " กราบฝ่าละอองพระบาทพระเจ้าค่ะ ขอพระราชทานอภัย  ที่เกล้าหม่อมฉันไม่ทราบว่า  พระองค์ท่านเป็นผู้ใด พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันคงจะทำกริยาไม่เหมาะไม่ควร "  ผู้พันหนุ่มกราบทูลพระชายาอองสา  พร้อมกับก้มศีรษะถวายความเคารพอีกครั้งหนึ่ง
           " ไม่เป็นไรจ๊ะ ฉันไม่ถือสาอะไรหรอก ยินดีที่ได้รู้จักนะ นี่หรือ...พันเอก ศรัณย์เห็นแต่หญิงเต เล่าให้ฟังบ้างน่ะ "  รับสั่งแล้วแย้มสรวลให้เขาน้อยๆ  ยื่นพระหัตถ์ประทานให้เขา เขาจับปลายพระหัตถ์พร้อมกับก้มศีรษะลง พระชายาทอดพระเนตรมองสำรวจเขาทั่วร่าง 
          เขาก้มศีรษะลงคำนับอีกครั้ง  และกราบทูลรายงาน  ถึงเรื่องที่ผู้การออกไปช่วยหน่วยลาดตะเวน  ที่สิบสามที่หมู่บ้าน เพิงคา  การปะทะครั้งนี้ทางฝ่ายของทหาร  ของสวาติติได้วิทยุ  ขอกำลังมาที่กองบัญชาการ  และผู้การได้ยกกำลังออกมาช่วย  ในขณะที่บรรดานายทหารกำลังมีประชุมกันอยู่  และเมื่อผู้การยกกำลังมาช่วย  ก็เสียเปรียบที่โดนโอบล้อมจากกำลังทหารป่า  ของนายพลราเปรียง ผู้การตกอยู่ในวงล้อมทหารป่า  ของนายพล ราเปรียงและกำลังทหารที่ไปด้วยกับผู้การ  ก็ถูกยิงเสียชีวิตลงเกือบจะทั้งหมด ผู้การถูกยิงที่หัวไหล่และหลบซ่อนตัวอยู่  เขาได้พบท่านและเข้าไปช่วยได้พอดี และนำผู้การหนีไปที่หมู่บ้านตรงชายแดน  มีชาวบ้านที่นั่นให้ที่อาศัยหลบอยู่เมื่อคืนนี้  เขากราบทูลพร้อมกับค้อมศีรษะลงน้อยๆ
          “ แล้วเมื่อคืนมีใครอยู่กับท่านและพระองค์หญิงบ้าง “ พระชายารับสั่งถามทอดพระเนตร  มองหน้าผู้พันหนุ่มตรงๆ 
          " ไม่มีใครอยู่ด้วยเลยกระหม่อม เพราะพลทหารที่ติดตามไปด้วยในตอนนั้น ก็โดนยิงเสียชีวิตหลังจาก ที่ออกจากหมู่บ้านเพิงคา ได้เพียงไม่นานกระหม่อม "  เขากราบทูลรายงานตามตรง
           เมื่อทรงฟังจบ ทรงถอนพระทัยน้อยๆ พร้อมทั้งรับสั่งเหมือนจะทรงมีพระปรารภ  " แล้วทีนี้จะทำยังไงกันดีล่ะ ? “ 
    เขาฟังเสียงของพระชายาก็รู้ว่า  คงจะมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ผิดปรกติ  เพราะทุกคนดูเหมือนจะมีความกังวลคล้ายๆกัน  แต่เขาก็เดาสาเหตุนั้นไม่ออก  เขาจึงตัดสินใจกราบทูล
          " หม่อมฉันทราบว่า  การที่หม่อมฉันได้เข้าไปช่วยองค์หญิงในครั้งนี้  อาจจะก่อให้เกิดความละคายเคือง  เบื้องพระยุคลบาท  แต่หม่อมฉันก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง  ในสถานการณ์นั้นได้พระเจ้าค่ะ  แต่ด้วยความบริสุทธิ์ใจของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็มิได้คิดที่จะบังอาจล่วงเกิน  พระองค์หญิงแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยห้ามพระโลหิตปฐมพยาบาล  ในเบื้องต้นถวายให้เท่านั้นพระเจ้าค่ะ " 
          " ฉันเข้าใจและเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของผู้พันนะ ว่าคุณมีเจตนาดีกับพระองค์ท่านแต่ว่า......เอ่อ "  พระชายารับสั่งเพียงแค่นั้น  แล้วทรงหยุดนิ่งอึ้งไม่รับสั่งสิ่งใดต่ออีก  แต่ทำสีพระพักตร์ที่พันเอกศรัณย์ไม่เข้าใจอีกครั้ง  พระพี่เลี้ยงปารองยืนฟังด้วยกริยาสงบนิ่ง  และก้มหน้าลงน้อยๆ ไม่กราบทูลคำใดออกมา  ทุกคนในที่นั้นนิ่งเงียบ  และมีสีหน้ากังวล และทำท่าแปลกๆ แม้แต่องค์หญิงเตรานี  ที่ทรงโปรดที่จะรับสั่งอะไรตรงๆ ก็ยังทรงนิ่งเงียบ  เขาลอบถอนหายใจน้อยๆเก็บความรู้สึกสงสัยไว้ในใจ
           ทั้งพระชายาอองสาและองค์หญิงเตรานี  ต่างทอดพระเนตรมองหน้าพระพี่เลี้ยงปารอง  เหมือนจะรับสั่งอะไรด้วย แต่ก็ไม่รับสั่ง เหมือนจะทรงลังเล  และทรงทำเหมือนจะครุ่นคิด พระพี่เลี้ยงปารองนั้นก้มหน้าลงนิ่งๆและซับน้ำตาที่ไหลรินลงมาอาบแก้ม  ด้วยผ้าเช็ดหน้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผู้พันศรัณย์เริ่มไม่สบายใจนัก  แต่ก็ไม่กล้าถามใครในขณะนั้น เขาจึงกราบทูลลา  และทำความเคารพทั้งสองพระองค์ ก้มศีรษะให้พระพี่เลี้ยงชรา และหมอเลนินน้อยๆ  แล้วเดินออกมาขึ้นรถจิ๊ปทหารมีจ่าสมหวังนั่งกลับมาด้วย 
           เมื่อไปถึงที่ตึกบัญชาการ บรรดานายทหารที่ยังคงอยู่ที่กองบัญชาการ  เข้ามารุมล้อมถามเขา  ถึงพระอาการขององค์หญิง และถามถึงเหตุการณ์เมื่อคืน  ซึ่งเมื่อเขาเล่าจบ นายทหารเหล่านั้นมีสีหน้า  ที่เขาเองก็เดาไม่ออกว่า  คนเหล่านั้นคิดอะไรกัน ทุกคนปิดปากเงียบ  และเลี่ยงไปจับกลุ่มคุยกันเบาๆ แล้วลอบมองมาที่เขา  จนเขารู้สึกอึดอัดและไม่เข้าใจ  หมวดราเมนเองก็เช่นกัน  ที่มีสีหน้าที่เหมือนจะมีคำถาม  มากมายที่จะถามเขา  แต่ก็เพียงมองเขานิ่งๆไม่เอ่ยถามอะไร  เขางุนงงกับอากัปกิริยาของทุกคน  แต่ก็จำต้องเก็บความสงสัยไว้  และเดินขึ้นไปห้องพักชั้นบนทันที  เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า  แล้วนอนเหยียดยาวลงบนโซฟายาวภายในห้องพัก  คิดหาเหตุผลต่างๆจากปฏิกิริยา  ของทุกคนจนกระทั่งหลับสนิทลงอย่างอ่อนล้า   

           ภายในพระบรมมหาราชวัง  หม่อมอองสาชายาของสมเด็จเจ้า นาดิฟ ประทับนั่งลงที่พระเก้าอี้  ข้างแท่นพระบรรทม ของสมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟ  เมื่อเสด็จกลับมาจาก  เยี่ยมองค์หญิงรายา  สมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟ ทรงพยักพระพักตร์ให้ข้าหลวง  นำเครื่องว่างที่ทรงเสวยแล้วออกไป  เมื่อข้าหลวงออกไปแล้ว  พยาบาลนำพระโอสถ  มาทูลถวายเมื่อทรงเสวยแล้ว  รับสั่งให้พยาบาลออกไป แล้วจึงทรงมีพระกระแสรับสั่งถามเบาๆ เมื่อพระชายาประทับนั่งลง
          “ หม่อม......หญิงรายาเป็นยังไงบ้าง  อาการเป็นยังไงทำไมไปนานนัก บอกฉันสิ  “ ตรัสถามด้วยสีพระพักตร์ที่ทรงพระกังวลอย่างเห็นได้ชัด
           จนพระชายาต้องเอื้อมพระหัตถ์มาทรงแตะที่พระกรเหมือนจะทรงปลอบพระหทัย  แล้วกราบบังคมทูลถวายรายงานว่า พระองค์หญิง ทรงถูกลูกยิงถากพระอังสา  แผลทรงลึกสักหน่อย  ทรงเสียพระโลหิตมากและก็ทรงมีอาการอักเสบของแผล  หมอ เลนินถวายรายงานว่าพระอาการไม่น่าเป็นห่วง ถ้าไม่มีพระอาการอื่นแทรกซ้อน อีกไม่กี่วันก็ทรงพระสำราญ หมอบอกให้ทรงพักอิริยาบถมากๆ และกราบบังคมทูลว่า  ไม่ต้องทรงเป็นห่วง  และทรงกราบบังคมทูลว่าขณะที่ดำเนินไปทรงเยี่ยม  ก็ทรงทอดพระเนตรเห็นว่า  พระองค์หญิงยังทรงบรรทมหลับ และหมอกำลังถวายพระโอสถน้ำเกลือด้วย  ก็เลยเสด็จกลับมาก่อน  ไม่อยากรบกวน  และพรุ่งนี้ท่านจะเสด็จไปเยี่ยมอีกครั้ง
            สมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟทรงฟังพระชายา  กราบทูลถวายรายงาน สีพระพักตร์ค่อยคลายความพระกังวลลง  ทรงหลับพระเนตรลงน้อยๆ และมีพระราชดำรัสกับพระชายา
           ” ขอบใจเธอมากนะ  ที่ช่วยดูแลหญิงรายาแทนฉัน  ฉันอยากไปดูลูกเหลือเกิน  แต่ก็เพียงลุกนั่งได้เท่านั้น วันนี้รู้สึกว่าดีขึ้นหน่อย แต่ก็ยังเหนื่อยเหลือเกิน ได้รู้ว่าลูกหญิงอาการไม่สาหัส  ก็ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย “  พระองค์ทรงตรัสรับสั่งสีพระพักตร์ทรงสำราญขึ้น 
          พระชายาทรงทอดพระเนตร  สีพระพักตร์ของพระองค์ท่าน  แล้วทรงมีพระอาการอ้ำอึ้ง และลังเล ทอดพระเนตรมองพระพักตร์พระองค์ท่านหลายครั้ง เหมือนอยากจะทรงกราบบังคมทูล  อะไรสักอย่าง แต่ก็ยังไม่ทรงกล้าจนเจ้าหลวงทรงทอดพระเนตร  สีพระพักตร์พระชายา  และมีพระกระแสรับสั่งถาม
           “ หม่อม...หม่อมยังมีเรื่องอะไร  ที่จะบอกฉันอีกมั้ย  ทำท่าทางอ้ำอึ้งแบบนี้ฉันไม่ชอบ มีอะไรก็พูดมา “
          หม่อมอองสาทรงทอดพระเนตร  มองพระพักตร์อยู่ครู่หนึ่ง  แล้วทรงตัดสินพระทัยกราบบังคมทูล  " เสด็จเพคะ  หม่อมฉันขอกราบบังคมทูล  อะไรบางอย่างเพคะ  คือหม่อมฉันเห็นว่า  เป็นเรื่องสำคัญมาก  ถ้าไม่กราบบังคมทูลให้ทรงทราบในตอนนี้  ฝ่าพระบาทก็จะทรงพระกริ้ว หม่อมฉันได้ในภายหลังเพคะ  เพราะคงไม่มีผู้ใดกล้ามากราบบังคมทูลให้ทรงทราบด้วยเพคะ " 
    สมเด็จทรงทอดพระเนตร มองพระพักตร์พระชายา แล้วทรงขมวดพระขนงรับสั่งถาม  " มีเรื่องอะไรสำคัญหรือ  บอกฉันมาเถอะหม่อม  ฉันน่ะทำใจได้ทุกเรื่องนั่นแหล่ะ  แต่ก็อย่างที่หม่อมพูดน่ะ ถ้ามีเรื่องสำคัญแล้วมาปกปิดฉัน ฉันอาจจะโกธร  ที่หม่อมไม่บอกฉันก็ได้  "  
          " เอ่อ.....คือว่า.....” หม่อมอองสาทอดพระเนตร มองพระพักตร์ของเจ้าหลวง  แล้วก้มพระพักตร์ลง รับสั่งตะกุกตะกัก
         “ เล่ามาเถอะหม่อม ฉันฟังได้ทุกเรื่องน่ะแหละไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก “ ทรงรับสั่งเมื่อทรงเห็นว่าพระชายาทรงทำเหมือนยังไม่ทรงกล้าที่จะกราบทูล 
         “ เอ่อ....คือ...เอ่อ...เรื่องที่พระองค์หญิงรายา  เสด็จออกไปชายแดนเมื่อวานนี้น่ะเพคะ  และถึงกับต้องทรงประชวรบาดเจ็บน่ะเพคะ ” พระชายารับสั่งออกมาแล้วทรงหยุด  ทรงทอดพระเนตรมองพระพักตร์สมเด็จเจ้าหลวง นาดิฟ ทรงมีท่าทีที่อึกอักขึ้นมาอีกครั้ง  จนทำให้เจ้าหลวงต้องทรงขมวดพระขนงเข้าหากันอีกครั้ง  ทรงทอดพระเนตรมองพระพักตร์พระชายา  และรับสั่งดุขึ้นทันทีที่  ทรงเห็นว่าพระชายาทรงอ้ำอึ้ง
          “ หม่อม.....มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ฉันไม่ชอบมาทำอะไร  มีลับลมคมในกับฉัน “ 
          “ เอ่อ...เพคะ คือเมื่อคืนที่พระองค์หญิงรายา  ทรงถูกพระแสงปืนน่ะเพคะ  มีผู้พันที่เป็นผู้บังคับบัญชามาจากเมืองไทยเข้าไปช่วยพระองค์หญิงไว้  ผู้พันท่านนั้นได้พาพระองค์หญิง  ดำเนินหนีการติดตามของทหารป่าไปอยู่ในกระท่อม  ที่หมู่บ้านจองข่าตามลำพังเพคะ  เพราะทหารที่ไปด้วยถูกยิงเสียชีวิตทั้งหมดเพคะ   และผู้พันท่านนั้นก็อยู่ด้วยกับพระองค์หญิง  จนกระทั่งรุ่งขึ้นของวันใหม่เพคะ  เมื่อคืนนี้ทหารได้ออกติดตาม และไปพบพร้อมทั้งช่วยออกมาได้ในตอนเช้าของวันนี้น่ะเพคะ  หม่อมฉันพบท่านผู้นั้นที่โรงพยาบาล เมื่อหม่อมฉันถามเขาถึงเหตุการณ์เมื่อวาน  เขาก็รายงานอย่างที่หม่อมฉันกราบทูลนี่แหละเพคะ “ 
           สมเด็จเจ้านาดิฟทรงนิ่งงัน  สีพระพักตร์ซีดสลดลงพระหัตถ์ทรงสั่นน้อยๆ ทอดพระเนตรมองหน้าพระชายานิ่งขึงไม่ทรงตรัสรับสั่งสิ่งใด พระชายาอองสาทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่เช่นกัน  และค่อยๆเอื้อมพระหัตถ์ไปทรงแตะที่พระหัตถ์ของเจ้าหลวงเบาๆเหมือนจะทรงปลอบพระหทัย  และกราบบังคมทูลถามขึ้นว่า
          “ เอ่อ...จะทำยังไงกันดีเพคะ ในเมื่อเรื่องที่เกิดขึ้น  มีทหารที่ไปช่วยรับเสด็จออกมา ก็เห็นเหตุการณ์กันหลายคนด้วยเพคะ  และเมื่อเช้านี้หมวดราชัย  คงจะทราบเรื่องจากทหาร ก็ยังไปเอะอะอาละวาด  กับผู้พันท่านนั้นที่โรงพยาบาลอยู่เลยเพคะ  ดีแต่ที่หม่อมฉันไปถึงเสียก่อน  ที่จะมีเรื่องเพคะ  “ หม่อมอองสากราบทูลตามความจริง
          “ หมวดราชัยเป็นเลขาของหญิงรายา  ทำไมไม่มารายงานเรื่องอะไร  ให้ฉันรู้บ้างใช้ไม่ได้เลย  แล้วมันไปแสดงอหังการอะไร  กับคนที่เขาช่วยชีวิตเจ้านายมันบ้างล่ะ “
          “ ตอนหม่อมฉันไปถึงก็ได้ยินเสียงหมวดราชัย  เอ็ดลั่นโรงพยาบาลเพคะ กำลังต่อว่าต่อขานผู้พันท่านนั้น ว่าผู้พันท่านนั้น รู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถึงได้ทำแบบนั้น พูดเหมือนว่าเป็นแผนการของผู้พัน  ท่านนั้นน่ะเพคะ ผู้พันท่านนั้นก็มีท่าทางงงๆ อย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้แต่บอกว่าเขาปฏิบัติ  ต่อพระองค์หญิงอย่างดีที่สุด  เพราะรู้ที่ต่ำที่สูงดีว่าพระองค์คือใครทำนองนั้นน่ะเพคะ  แต่หมวดราชัยก็ไม่ยอมฟังทำท่าจะหาเรื่อง จนหมอเลนินต้องเข้าขวางไว้เพคะ  และเมื่อหม่อมฉันไปถึง  ก็เลยไล่หมวดราชัยให้กลับไปก่อนเพคะ “
          “ เจ้าราชัยนี่มันจะเอายังไงนะ  มันน่าจะรู้ดีกว่าใครว่า  หญิงรายาไม่ได้ทรงโปรดมันอีกแล้ว ต้องตักเตือนกันเสียบ้างแล้วละ  “ ทรงกริ้วขึ้นมาทันที สมเด็จเจ้าหลวง นาดิฟตรัสรับสั่ง แล้วทรงนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ทรงถอนพระหทัย หลับพระเนตรลง พระขนงขมวดเข้าหากันแล้วตรัสขึ้นเบาๆ อย่างทรงตัดสินพระหทัยแล้ว  “ หม่อม.....ให้ใครไปเชิญนายทหารผู้นั้นมาพบฉันทีสิ  แล้วเขารู้เรื่องนี้หรือยัง “
          “ หม่อมฉันคิดว่ายังคงไม่รู้อะไรเลยเพคะ  และคงยังไม่มีใครกล้าพูด  เรื่องนี้ให้ผู้พันผู้นั้นได้รับรู้หรอกเพคะ  แล้วฝ่าบาทจะทรงให้  เขามาเข้าเฝ้าเมื่อไหร่เพคะ “ หม่อมอองสากราบทูล  ถามเบาๆด้วยท่าทางที่ทรงกริ่งเกรง 
           “ วันนี้เลย ฉันอยากเห็นหน้าเขา แล้วก็อยากจะรู้เรื่องราว จากปากของเขาเองด้วย “ สมเด็จเจ้า นาดิฟมีพระกระแสพระราชดำรัส อย่างที่ทรงตัดสินพระหทัยแล้ว
         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×