ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรางรัก ลวงใจ (ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สมาร์ทบุ๊ค)

    ลำดับตอนที่ #7 : คำแถลงการณ์ ( รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.91K
      5
      9 ก.พ. 52

                 
           ตอนที่  7  คำแถลงการณ์
                 
           ผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพบกไทย  เดินตามร้อยตรี ราเมน กลับออกมาจาก  พระบรมมหาราชวัง  เมื่อลงจากรถแล้วทั้งสองนายทหารต่างวัย  ต่างก็เดินมาเงียบๆ ตามทางเดินหน้าตึกบัญชาการ  ผู้พันศรัณย์เงียบขรึม  ครุ่นคิดอย่างหนัก ทั้งสับสน งงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาพยายามที่จะคิดว่า  ทุกอย่างที่เขาได้พบ ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ เป็นเพียงแค่ความฝัน เขาเดินทอดน่องมาเอื่อยๆอย่างเลื่อนลอย  เหม่อเบลอ  ในสมองจนมาถึงห้องพัก  อย่างไม่รู้สึกตัว  เมื่อถึงหน้าห้องพักผู้หมวดราเมน ซึ่งยังคงเดินตามมาด้วย  กล่าวถามเขาเบาๆทำให้เขาออกจากภวังค์ทันที 
          " ผู้พันครับขอโทษนะครับ เมื่อไหร่ครับ ? "  ผู้หมวดถามพร้อมกับยิ้มเห็นฟัน  ที่อยู่ไม่ค่อยจะครบนัก  ซึ่งเป็นยิ้มครั้งแรกตลอดทั้งวันนี้  ที่เขาเพิ่งเห็นจากผู้หมวดชรา 
         เขานิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วย้อนถามทำสีหน้างงๆ  " อะไรเมื่อไหร่หรือหมวด  ? " 
         " เอ่อ...ก็งานอภิเษกน่ะครับ  ผมคิดใจว่าสมเด็จท่าน  คงเรียกผู้พันไปรับสั่งเรื่องนี้แน่ๆใช่มั้ยครับ "  เขาถามอย่างเกรงๆ ค้อมตัวลงน้อยๆ
        " อืม.......ก็ยังไม่รู้เลยหมวด  พระองค์หญิงของหมวด  ก็ยังทรงประชวรอยู่  แล้วก็ยังไม่รู้ว่าพระองค์หญิงของหมวดน่ะ จะทรงตัดสินพระทัยยังไง  ท่านจะทรงรังเกียจผม  สักแค่ไหนก็ไม่รู้เลย  ท่านทรงมีเจ้าอิงภูเป็นคู่หมายอยู่แล้ว และทั้งสองพระองค์  ก็ทรงเหมาะสมกันมาก  ผมเป็นแค่นายทหารยศนายพันเท่านั้น  พระองค์หญิงคงจะทรงเสียพระหทัยว่าท่าน  จะต้องทรงเสื่อมพระเกียรติยศแค่ไหน ที่จะต้องทรงมาอภิเษกกับผมน่ะหมวด  "  เขากล่าวอย่างรู้สึกหนักใจ  คิ้วผูกเข้าหากัน  อย่างเป็นเป็นกังวล
         หมวดราเมนมองหน้าเขาน้อยๆ  แล้วกล่าวกับเขาเรียบๆคล้ายจะเล่า   " ผู้พันครับ.......ผู้พันไม่รู้หรอกว่าเจ้าหญิงพระองค์นี้ทรงเป็นยังไง  ท่านไม่เคยถือพระองค์สักนิดเดียว ทรงชอบความเรียบง่าย  ไม่ทรงเจ้ายศเจ้าอย่าง  อะไรกับใคร ท่านทรงเสวยพระกายาหาร  กับพลทหารในโรงอาหารเสมอๆ  ทรงอุ้มเด็กๆลูกของราษฎร  อย่างไม่เคยทรงรังเกียจ  ทรงทำแผลให้ทหารที่บาดเจ็บด้วยองค์เอง  ในยามที่ไม่มีหมอ  แล้วถ้าพระองค์ท่าน  จะต้องทรงอภิเษกกับสามัญชน  อย่างผู้พัน  ผมก็ไม่เห็นว่า  ท่านจะต้องเสียพระหทัยเลยนี่ครับ  " ผู้หมวดราเมนออกความเห็น
         " ผู้หมวดอย่าลืมนะ  ว่านี่เป็นการแต่งงาน  การที่คนสองคน  ที่แทบจะเพิ่งรู้จักกันแค่สองวัน  แล้วจู่ๆก็ต้องมาแต่งงานกัน  มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน  ผู้หญิงเขาก็คงจะทำใจลำบาก  ผมเป็นผู้ชาย ผมยังนึกไม่ออกว่า  ผมจะทำตัวยังไงเลย มันตั้งตัวไม่ทันเลยน่ะหมวด  "  เขากล่าวออกมาจากความรู้สึกในใจ 
          ผู้หมวดราเมนนิ่งเงียบ  เหมือนจะคิดอยู่ครู่ใหญ่  แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆเหมือนจะรำพึง  " จริงของผู้พัน....ฝ่าบาททรงเป็น อิสสตรี  พระองค์ท่านคงจะทรงลำบาก  พระหทัยไม่น้อยเลย  ผมสงสารพระองค์ท่านเหลือเกิน ทรงอุทิศพระวรกายทรงอดทน  เพื่อชาติบ้านเมืองทุกอย่าง เรื่องความรักก็ยังไม่ทรงสมหวังอีก  "  ผู้หมวดกล่าวแล้ว  เดินหันหลังกลับไป ไม่ร่ำไม่ลาเหมือนทุกครั้ง คล้ายกับจะครุ่นคิดจนลืม
          ผู้พันศรัณย์เดินเข้าห้อง  แล้วถอดรองเท้าโยนเบาๆลงกับพื้น  จ่าสมหวังที่กำลังหลับสนิท  ลุกพรวดขึ้นมาอย่างตกใจรีบยืนตรงแล้วถามทันที   " เจ้านาย....ไปไหนมาครับ ผมถามใคร ใครก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็น  วันนี้มีแต่คนทำท่าแปลกๆกันทั้งนั้นเลย เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้นะครับ เจ้านายสังเกตบ้างหรือเปล่าครับ  "  จ่าหวังถามพร้อมทั้งบ่นพึมพำ
          ผู้พัน ศรัณย์ปลดกระดุมเสื้อตัวนอกออก  จ่าหวังรีบรับไปเก็บ เขาสังเกตเห็นว่า  เจ้านายมีสีหน้าเคร่งขรึม กว่าทุกวัน แต่ก็เอ่ยปากตอบลูกน้องว่า  ไปเข้าเฝ้าสมเด็จเจ้านาดิฟมา  ท่านทรงเรียกเข้าเฝ้าด่วน  พันเอกศรัณย์ตอบลูกน้องแล้วนั่งลงบนโซฟา เอนหลังพิงพนักหลับตานิ่ง ๆทำท่าคล้ายจะเหนื่อย  จ่าหวังเข้าไปนั่งกับพื้นใกล้ๆ  แล้วบีบขาให้อย่างประจบแล้วถามอย่างใคร่รู้เต็มที่
          " สมเด็จท่านเรียกผู้พันไปทำไมครับ ท่านคงทรงกริ้ว คิดว่าผู้พันทำมิดีมิร้าย  องค์หญิงรายาหรือครับ  แล้วนี่พระองค์ท่าน  จะลงโทษผู้พันมั้ยครับ  ผู้พันคงต้องติดคุกที่นี่หรือครับ  ซวยจริงๆเลยนะครับ อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยยังจะต้องโดนลงโทษเสียอีก  อย่างนี้เราก็เก็บของกลับบ้าน  กันดีกว่าเลิกช่วยกันไปเลย  "  จ่าหวังโวยวายออกมาอย่างวิตกกังวลแทนเจ้านาย  และทำท่านึกได้  พร้อมทั้งเงยหน้าทะเล้นขึ้นถาม  อย่างสงสัย  " เอ่อ...หรือว่าเมื่อคืนนั้นนี้  เจ้านายไปทำอะไรมิดีมิร้าย  ท่านผู้การคนสวยเข้าจริงๆ  ผมเห็นผู้พันกอดท่านกลมดิกเลย  ความจริงก็น่าอยู่หร็อก ใครจะอดใจได้ก็สวยอย่างกับดาราหนังเลยนี่  แล้วทีนี้จะทำยังไงกันต่อไปดีครับ  จะติดคุกที่นี่  หรือว่าไปติดที่เมืองไทยครับ " จ่าหวังเดาเรื่องราวพร้อมทั้งสรุป
         " นี่จ่าหวัง....พูดเองเออเองเลยนะ เข้าใจพูดเรื่องร้ายๆ  ใส่ผู้บังคับบัญชาดีนักนะ  ขังสักสิบห้าวันดีมั้ย  "  เขากล่าวเสียงเรียบๆ ทั้งที่ยังคงหลับตาอยู่
          เขาทำหน้าแหยๆ  " เอ่อ....ไม่ใช่เหรอครับ  ขอโทษครับเจ้านาย ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายเลยนะครับ แต่อดเป็นห่วงเจ้านายไม่ได้น่ะครับ  ก็พวกนายทหารของสวาติตินี่แต่ละคน  ทำสีหน้าท่าทางประหลาด  กันทั้งนั้นเลยนะครับ พวกนี้หัวโบราณ  หรือว่าคิดลึกเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้  เห็นจับกลุ่มซุบซิบกันตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว "  เขากล่าวเล่าด้วยสีหน้าเป็นกังวลจริงๆ  อย่างคนช่างพูด  ช่างสังเกต
          พันเอกศรัณย์ยังคงหลับตา  ในขณะที่ยังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ในท่าเดิม  และกล่าวถามจ่าหวัง
         " จ่าหวัง......จ่าน่ะผ่านการแต่งงาน  มีลูกมีเมียมาแล้ว  จ่ารู้มั้ยว่าผู้หญิงน่ะ  ถ้าเขาจะพอใจในตัวผู้ชาย  เขาจะมีท่าทางให้เรารู้ยังไง " 
         จ่าหวังหัวเราะก๊ากขึ้นทันที  แล้วกล่าวกระเซ้าเจ้านาย  "  แหม.....หนิดหนมกันแค่คืนเดียว  อยากรู้เรื่องความรักแล้วนี่  สงสัยเจ้านาย  จะตกหลุมรักผู้การสาวเสียแล้วสิ   แต่ก็น่าจะหลงรักหรอก  สวยระเบิดเถิดเทิงขนาดนั้น  ท่าทางเดินนี้เท่อย่าบอกใครเลย  ผมเป็นผู้พัน  ผมก็คงหลงรักผู้การ  เหมือนผู้พันแน่ๆเลยเหมือนกัน " 
         " เอ๊ะ...จ่านี่....ตีความไปได้เรื่อยเปื่อยเชียวนะ  ถามอย่างตอบเสียอย่าง "  เขายังหลับตาแล้วใช้มือก่ายหน้าผากอย่างใช้ความคิด 
         " ต้องเป็นผู้การแน่เลย ใช่มั้ยครับ  ผู้หญิงอย่างผู้การน่ะดูยากนะครับผู้พัน  เพราะท่านเป็นถึงองค์หญิงรัชทายาทท่านจะมาแสดงให้ใครเห็นว่า  ท่านสนใจหรือว่ารักใครชอบใครคงจะยาก  "  จ่าหวังวิเคราะห์ 
         " แล้วถ้าฉันจะต้องแต่งงานกับท่านล่ะ  แล้วฉันจะรู้มั้ยว่า ท่านจะรักฉันได้มั้ย ในเมื่อฉันเป็นแค่นายทหาร  เป็นแค่สามัญชนน่ะ  "  เขายังคงปรับทุกข์กับจ่าคนสนิท
         " โอ้โฮ....เจ้านายฝัน  ขนาดแต่งงานเลยหรือนี่.....เป็นเอามากขนาดนั้นเชียว.... แต่ผมจะพูดให้เจ้านายฟังนะครับ ถึงจะแค่ฝันก็เถอะ    ผู้หญิงก็คือผู้หญิงวันยังค่ำละครับ จะสูงส่งขนาดไหน  ลองได้เสียเป็นเมียผัวกัน  เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น  รักผัวหวงผัวทั้งนั้น แต่ผู้หญิงน่ะปากแข็งนะ เจ้านาย ร้อยทั้งร้อยเหมือนกันหมด "  จ่าหวังกล่าวพลางหัวเราะพลาง
         " ฉันจะต้องแต่งงานกับองค์หญิงรายาในเร็วๆนี้  "  เขากล่าวเสียงเรียบๆทั้งที่ยังหลับตาใช้มือก่ายหน้าผากอยู่
          จ่าหวังทำหน้าเหรอ  แล้วยิ้มมองผู้บังคับบัญชาเหมือนจะขำ  " พูดเป็นการ์ตูนเลยนะเจ้านายนี่  กำลังฝันอยู่หรือเปล่านี่ ละเมอใช่มั้ยครับ ท่านเสน่ห์รุนแรงขนาดทำให้เพ้อ  ขนาดนี้เลยหรือครับนี่  "  จ่าหวังลุกขึ้นนั่งคุกเข่า  เพ่งมองหน้าผู้พันศรัณย์ เขย่าขาน้อยๆอย่างนึกว่าเจ้านายของตนกำลังฝัน
          ผู้พันยกท่อนแขนออกจากหน้าผากตนเอง  ลืมตาแล้วขยับกายขึ้นนั่ง  มองหน้าลูกน้องคนสนิท   " จริงๆนะจ่า สมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟ  เรียกฉันไปเข้าเฝ้า  ก็เพราะว่าฉันกับองค์หญิงรายา  ได้ทำผิดกฎมณเฑียรบาลของนครนี้  ที่มีกฎว่าผู้หญิงกับผู้ชาย  ที่อยู่กันเพียงลำพังสองต่อสองจากหัวค่ำ จนรุ่งสว่างของอีกวันหนึ่งน่ะ  ต้องแต่งงานกัน ถึงแม้ชายหรือหญิงนั้นจะมีสามี  หรือภรรยาอยู่แล้วก็ตาม  ถ้าไม่ทำตามกฎ  ก็จะถูกขับไล่ออกจากเมืองนี้ทันที  และต้องแต่งกันให้เร็วที่สุดด้วย ฉันจะทำยังไงดีล่ะจ่า  "
          "โอ๊ะ  ๆ  ๆ  จริงหรือครับผู้พัน  ถ้าจริงก็ส้มหล่น  หล่นลงมาเป็นคันรถสิบล้อเชียว  นะครับนี่  ถึงว่าสิพวกนายทหารที่นี่ถึงทำท่าแปลกๆกันทั้งนั้น  คงมีแต่คนอิจฉาเจ้านายแน่ๆเลย  "  จ่าหวังอุทาน แล้วกล่าวเสียยาวเหยียด ทำท่าทางตกใจ ดีใจระคนกันไปหมด  และเขย่าขาเขาอย่างตื่นเต้น  คำพูดของจ่าหวัง  ทำให้เขาคิดถึงคำพูด  และท่าทางของหมวดราชัยที่โรงพยาบาลเมื่อเช้านี้  แต่ก็กล่าวอย่างรู้สึกเขินๆกับลูกน้อง
          " จ่าจะบ้าหรือไงส้มหล่น  หรือว่าลูกปืนจะหล่นใส่ก็ยังไม่รู้  ขืนฉันแต่งงานกับผู้การคนสวยนั่น  วันดีคืนดีทำผิดใจท่านขึ้นมา ท่านไม่คว้าปืนขึ้นมายิงตายหรือไง  "  เขากล่าวแล้วยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาของผู้พันหนุ่มมีแววหวานฝัน จนลูกน้องสังเกตเห็น
         "  แต่ตาของผู้พันมันฟ้องนะว่า  ยอมถูกยิงน่ะ  ตายเป็นตายสิ  "  จ่าหวังล้อเลียน 
         "  เดี๋ยวโดนจนได้  "  ผู้พันศรัณย์กล่าวแล้วทำท่ายกเท้าขึ้น  จ่าหวังรีบเบี่ยงกายหลบ  แต่ก็เห็นแววตาหวานวิบวับของเจ้านาย  จ่าหวังนั้นรู้ด้วยสัญชาติญาณ  ว่าเจ้านายของเขา  คงกำลังตกอยู่ในห้วงรักเสียแล้ว 
          จ่าหวังมีสีหน้าชื่นมื่น  รีบบีบนวดขาของเจ้านายอย่างขมีขมัน  และยังกล่าวล้อเลียนเขาอย่างทะเล้นขึ้นอีก   " ผู้พันก็จะได้เป็นพระราชสวามี  ของเจ้าหญิงรายาองค์รัชทายาทแล้วละสินี่  หม่อมฉันจ่าสมหวังต้องขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ กระหม่อม  "  จ่าหวังกล่าวล้อเลียน ยิ้มหน้าบาน แล้วทำท่ายกมือพนมขึ้นเหนือหัว
           เขารีบกล่าวด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก  " จ่าหวังพูดอะไรเป็นเล่นไปหมด  ฉันยิ่งกลุ้มๆอยู่  " ผู้พันหนุ่มรูปหล่อบ่นใช้ฝ่ามือทั้งสองลูบหน้าตนเอง  จ่าหวังยังคงกระเซ้าเย้าแหย่เขาต่อ
         "  แล้วสาวๆที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้งหลายล่ะ ผู้พันจะเอาไปไว้ที่ไหนกันครับเนี่ย "
         "  ฮื้อ...ก็จ่าเคยเห็นฉันยุ่งกับใครที่ไหนล่ะ  พอนึกจะชอบใครสักคน ก็ถูกส่งไปราชการที่โน่น ที่นี่  พอกลับมาอีกทีก็แห้วหมด  จนฉันเลิกคิดจะจริงจังกับใครไปตั้งนานแล้ว  " 
         "  แต่ก็มีคนรอนะผู้พันอยู่นะครับ  คุณอะไรนะ....เอ่อคุณนิตยาน่ะครับ ที่เฝ้ารักเฝ้ารอผู้พันอยู่น่ะ  ท่าทางจะต้องขึ้นคานเสียแล้วสิแล้วงานนี้  "  เขากล่าวอย่างรู้ความนัยของผู้พันหนุ่มดี
         " ฉันไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษ  อะไรกับเขาสักหน่อย  ฉันกลัวผู้หญิงอย่างนิตยา  เขากล้าเกินไป  ฉันรับไม่ได้ แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ชอบนิตยา  ท่านเตือนฉันบ่อยๆ  กลัวฉันจะจริงจังกับผู้หญิงคนนี้  ท่านบอกว่าท่าทางเป็นคนหลุกหลิก ท่านอยากให้ฉันแต่งงานกับน้องศรีเจิด  แต่ฉันกับเจิด  ก็คงไปกันไม่ได้หรอกจ่าหวัง  เจิดเขาชอบเข้าสังคมหรูๆ ฉันไม่ชอบออกงานอะไรๆพวกนั้น "  ผู้พันศรัณย์กล่าวเบาๆ
         " ก็คงอย่างนั้นแหล่ะครับ  คงไม่ถูกสเป็คผู้พันมากกว่า ผมเห็นคุณนิตยาเช้าถึงเย็นถึง ผู้พันก็หลบฉากเป็นประจำ  เป็นผมหน่อยไม่ได้  มาหากลางค่ำกลางคืนอย่างนั้น  และยังทำท่าจะไม่ยอมกลับละก็  เรียบร้อยโรงเรียนจีน  ไปตั้งนานแล้ว  ผมไม่ยอมให้รอดมือไปหร๊อก  ส่วนคุณเจิดน่ะ  เธอแต่งตัวสวยไฮโซทุกวัน  ขับรถสปอร์ตเฟี้ยวฟ้าวโฉบฉาย ผมรู้ว่าเจ้านายไม่ชอบสาวไฮโซ  แบบคุณเจิดแน่ๆ  "  จ่าหวังกล่าวพร้อมกับกลั้วหัวเราะ
          ผู้พันศรัณย์ นั่งนิ่งไม่ได้ฟังที่จ่าหวังพูด  เขาไพล่ไปคิดถึงหน้าผู้การสาว  ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาเมื่อคืนนี้  แก้มที่เคยใสๆ นวลเนียนน่าสัมผัสนั้นมอมแมม  แต่ก็ยังน่ามอง  น่าสัมผัสเสียเหลือเกิน  ดวงตาหวานคมซึ้งมองเขา  พร้อมทั้งอ้อนวอน ให้เขาพาเธอ  กลับออกมาก่อนสว่าง  เธอบอกกับเขาว่าเขาจะเดือดร้อน  หรือเธอกลัวว่าจะต้องมาแต่งงานกับเขากันนะ  เธอคงนึกรังเกียจผู้ชาย  ที่มียศแค่นายพันคนนี้สินะ  ก็ดูอย่างเจ้าอิงภูสิ...ทรงเป็นถึงองค์ยุพราช  อีกทั้งยังทรงสิริโฉมจนน่าอิจฉา  องค์หญิงรายายังทรงบ่ายเบี่ยงเลย  บ่ายเบี่ยงเพราะไม่ได้รัก  หรือว่าเพราะอะไรกันนะ  แล้วกับเราล่ะท่านคงจะขยะแขยงเสียด้วยซ้ำ จ่าหวังนั่งมองหน้าผู้พันหนุ่ม  ที่ทำหน้าขรึมๆเงียบๆครุ่นคิด  อย่างไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร 
     
          วันรุ่งขึ้นผู้พันศรัณย์ตื่นแต่เช้ามืด  ลงไปฝึกทหารแทนผู้การ  และกลับมานั่งทานอาหารเช้าเงียบๆ  ที่ทหารจัดมาวางให้ ที่สโมสรนายทหาร  หมวดราชัยเดินเข้ามาหา  และเอ่ยต่อว่าต่อขานทันที
         " ผู้พัน.....คุณมีแผนการชั่วช้าล้ำลึกนักนะ  วางแผนที่จะได้อภิเษกกับรายางั้นเหรอ  ผมจะบอกคุณให้นะ ว่าผมรักรายา  เราสองคนรักกัน รักกันมาตั้งแต่  เรายังอยู่เมืองนอกด้วยกัน "
          เขาเงยมองผู้หมวดหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย  ไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา  ก่อนที่กล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ราบเรียบ  " ผู้หมวด.....ถ้าผู้หมวดจะพยายาม  ใช้เหตุผลสักหน่อย  ก็จะรู้ว่าผมไม่ได้ต้องการ  ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น  และผมก็ไม่เคยรู้เรื่องกฎมณเฑียรบาล  ของที่นี่ข้อนี้เลย  แล้วผมจะวางแผนได้ยังไง "
          " จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ คุณไม่ควรที่จะยุ่งเกี่ยวกับรายา  และถ้าจะต้องถึงกับอภิเษกกับเธอ   ผมคงยอมไม่ได้และเราคงต้องเห็นดีกัน "  สีหน้าของผู้พูด  บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ขุ่นมัว แววตาอาฆาตมาดร้าย
          ผู้พันศรัณย์เริ่มโมโหและใช้วาจาตอบโต้  " คุณใช้สิทธิ์อะไรตรงไหน  มาห้ามผมไม่ทราบ ยังไงในหลายๆเรื่องผมก็ต้องยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว  เพราะผมมาทำงาน  ให้ประเทศของคุณ  และสิ่งที่ผมไม่ต้องการ  ก็คือทะเลาะกับคุณ โดยที่คุณไม่ฟังเหตุผลของผมเลย "
          เสียงหมวดราชัยดังขึ้นด้วยแรงของอารมณ์  "  ถ้าเตือนแล้วไม่ฟังกันบ้าง  เราก็คงจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้  "
          ผู้พันศรัณย์  ซึ่งพยายามอย่างเต็มที่  ที่จะเก็บอารมณ์ลุกผึงขึ้นยืน ทั้งสองหนุ่มยืนประจันหน้ากันทันที  หมวดราเมน  รีบเข้ามาห้ามทัพ  เมื่อเห็นว่ากำลังจะเกิดเรื่องขึ้นแน่  เขากล่าวกับหมวดราชัยทันที
          " หมวดราชัย...สมเด็จท่าน  มีพระบรมราชวินิจฉัยแล้วนะครับ  และทรงโปรดเกล้า  ให้ผู้พันเข้าเฝ้า  ตั้งแต่เมื่อวานเย็นนี้แล้วด้วยนะครับ " 
          หมวดราชัยฟังแล้วนิ่งขึง  หันมามองหน้าหมวดราเมนแล้วถามว่า  " หมวด...เสด็จท่าน  ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่ายังไง  "
          หมวดราเมนจึงบอกให้เขาคอยฟัง  แถลงการณ์ของสำนักพระราชวัง ที่กำลังจะกระจายเสียงทางวิทยุในตอนเช้าวันนี้  ท่าทางของ  หมวดราชัยเงียบงันขึ้นทันที  และหันมาทำท่าทางฮึดฮัดใส่เขา  เขายังคงมองหน้าผู้หมวดหนุ่มด้วยสายตานิ่งๆ แต่ก็เยือกเย็น  จนหมวดราเมน  ยังนึกครั่นคร้ามในท่าทีของเขา
          หมวดราชัยยังคงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเข้ม  " อย่าคาดหวังอะไรให้สูงเกินไปเลยนะผู้พัน  เพราะตราบเท่าที่ผมยังมีลมหายใจอยู่ ผมจะไม่มีวันยอมกับเรื่องนี้  "
          เขาตอบหมวดราชัยแค่สั้นๆว่า " หมวด...ผมไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น  แต่ถ้าต้องทำเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมแล้วละก็  คงต้องว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง  สำหรับผมแล้ว  ในเมื่อผมทำผิดกฎหมายของที่นี่ ก็ต้องถูกลงโทษ  ทำตามกฎของที่นี่อยู่แล้ว  ซึ่งผมอาจจะถูกส่งตัวกลับ  ในเมื่อองค์หญิงทรงยอมที่จะ  สละราชบัลลังและเสด็จไปจากที่นี่  ผมก็คงแล้วแต่องค์หญิงจะต้องพระประสงค์  "  คำพูดของเขา  ทำให้  หมวดราชัยถึงกับนิ่งอึ้ง ไม่อาจที่จะหาคำใด  มาตอบโต้เขาอีก แต่ก็ยังมีทีท่าฮึดฮัดไม่พอใจ  และสะบัดหน้าเดินจากไป
          เขายังคงนั่งนิ่งเงียบอยู่ที่โต๊ะอาหาร  ครุ่นคิดตัดสินใจ  ว่าจะไปเยี่ยมเธอแต่เช้าดีมั้ย  เมื่อเจอเธอแล้วจะพูดกับเธอว่ายังไง  และเธอล่ะจะพูดกับเขาหรือเปล่า จะโกธรเกลียดขยะแขยงเขา  จนไม่อยากจะมองหน้าเลยหรือเปล่านะ  เขาเฝ้าแต่ตั้งคำถามกับตัวเอง  ด้วยคำถามสารพัด  ที่ผุดขึ้นในสมอง  เขาลุกขึ้นยืนและเดินไป  เดินมาอย่างตัดสินใจ  ในใจนั้นอยากไปพบเธอเหลือเกิน  ป่านนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ  หายเจ็บหรือยัง  ฟื้นหรือยัง  และจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่านะ
          ดวงหน้าสวยซึ้งของเธอ ลอยเด่นอยู่ในมโนภาพตลอดเวลา กลิ่นกายสาวยังกรุ่นหอม  อยู่ในความรู้สึกจนยากที่จะลืมเลือน  เขาถอนหายใจหลายครั้ง  พยายามที่จะสลัดความรู้สึก  ซาบซึ้งในใจให้หมดไป  แต่มันก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง  ดวงหน้าของเธอ  ยังติดตาตรึงหัวใจจนแนบแน่น  เขาใช้มือล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ทั้งสองข้าง ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา จนผู้หมวดราเมน  ซึ่งมองตามเขา และทำท่าเวียนหัว  จึงตัดสินใจเดินเข้ามาหา 
          " ผู้พันครับ รถมารอนานแล้วครับ  จะไปหรือยังไงครับ "
         "  รถอะไร  ไปไหนหรือหมวด "  เขาถามพลางขมวดคิ้ว  มองหน้าหมวดผู้อาวุโสอย่างงงๆ
         "  อืม...ก็...เอ่อ...ผู้พันสั่งพลขับไว้เมื่อวาน ว่าวันนี้ให้มารับไปโรงพยาบาลแต่เช้า  ไม่ใช่หรือครับ  ? " 
         "  เหรอหมวด  ผมสั่งเหรอ  เอ่อ......ไป....ไปเดี๋ยวนี้เลย "  เขากล่าวจบยิ้มให้หมวดน้อยๆ  แล้วรีบเดินออกมาหน้าตึกกองบัญชาการ   ขึ้นรถจี๊ปไปพร้อมกับหมวดราเมน 
          เขานั่งคิดมาตลอดทาง  ว่าเขาจะพูดกับเธอว่ายังไงดี  จะขอโทษเธอ  หรือว่าจะบอกเธอว่าเขาเสียใจ  และถ้าเธอไม่พูดด้วยล่ะ เขาจะทำยังไง และป่านนี้เธอจะรู้หรือยังถึงเรื่องนี้  ถ้ารู้แล้วเธอจะมีปฏิกิริยากับเขายังไง  ถ้าสายตาของเธอมองเขาอย่างเดียดฉันท์  เขาจะวางหน้ายังไงดี  เธอจะมองว่าเขา  กำลังทะเยอทะยานใฝ่สูงหรือเปล่านะ  เขาคิดพร้อมกับถอนหายใจ  อย่างหนักหน่วงหลายครั้ง
          เมื่อถึงโรงพยาบาลหมวดราเมน   บอกว่าจะคอยเขาอยู่แถวๆนั้น  เขาพยักหน้าให้หมวดชรานิดหนึ่ง  และเดินเอื่อยๆไปตามทางเดิน  ทหารยืนอารักขาตั้งแต่หน้าประตูโรงพยาบาล  และตามจุดต่างๆอีกหลายจุด เขารับการทำความเคารพ   และเดินทอดน่องช้าๆ  ด้วยท่าทางครุ่นคิด  ไปจนถึงหน้าตึกที่องค์หญิงทรงประทับ  รักษาพระองค์อยู่  มีทหารองครักษ์สองนาย   ยืนเฝ้าอยู่หน้าทางเข้า  ซึ่งเมื่อเห็นเขา  ก็รีบยืนตรงชิดเท้าทำความเคารพทันที  เขาตอบรับรับการทำความเคารพ  แล้วทำท่าสูดลมหายใจเข้าปอด  เหมือนกับจะรวบรวมความกล้า  เดินไปที่หน้าห้อง  แล้วตัดสินใจเคาะประตู  เมื่อกำลังยืนคอย   เขาสูดลมเข้าปอดลึกๆอีกครั้ง  ปั้นสีหน้าตนเองให้เป็นปรกติ  มีพยาบาลเดินมาเปิดประตูห้องให้  และยอบตัวลง  ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม  เขามองอย่างรู้สึกแปลกใจ  เมื่อเดินเข้าไปก็พบว่าองค์หญิงรายา  ยังคงบรรทมหลับ  พระเนตรนิ่งอยู่บนพระแท่น  มีพยาบาล และพระพี่เลี้ยงปารอง  นั่งอยู่ที่เก้าอี้รับรองแขกภายในห้อง  ซึ่งเมื่อทั้งหมดเห็นเขาเดินเข้ามา ก็ลุกขึ้นยืนแล้วยอบตัวลง  ทำกริยาเหมือนกับทำความเคารพเจ้านาย  เขากล่าวถามพยาบาลถึงพระอาการ
          พยาบาลรีบกล่าวถวายรายงานว่า  " ทรงรู้สึกองค์แล้วเพคะ  พระอาการทรงดีขึ้น  แต่ก็ทรงปวดแผลบ้างเป็นบางเวลา  และทรงมีพระประสงค์  จะเด็จกลับพระตำหนักเพคะ "  พยาบาลกล่าวรายงาน  และมองหน้าเขา  ด้วยสายตาที่ชื่นชม และด้วยท่าทางนอบน้อม
         " แล้วหมอบอกว่าไงบ้างครับ ?  "
         " หมอบอกว่าต้องขอดู  พระอาการอีกสักวันสองวัน  แต่ฝ่าบาททรงไม่ยอมจะขอเด็จกลับวันนี้เพคะ " พยาบาลรายงาน
         " เอ่อ.....คุณพยาบาล  ผมไม่ใช่เจ้านาย  คุณไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์กับผมหรอก "  เขากล่าวเสียงเรียบๆกับพยาบาลผู้นั้น พระพี่เลี้ยง ปารองซึ่งยืนอยู่  ถัดจากนางพยาบาล  รีบทูลบอกทันที   " คงไม่ได้เพคะ  ทางวังหลวงมีแถลงการณ์ประกาศ  เมื่อสักครู่นี้แล้วนะเพคะ ว่าท่านทรงเป็นพระคู่หมั้น  ของพระองค์หญิงรายาเพคะ  แล้วราชประเพณีของที่นี่ทุกคน  ต้องถือปฏิบัติ ให้ต้องใช้คำราชาศัพท์  กับพระคู่หมั้นด้วยเพคะ "  
          ใบหน้าเขาร้อนผ่าวขึ้นทันที  เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน  และพยักหน้าหงึกหงัก  แสดงความเข้าใจ  " เอ่อ...แล้วฝ่าบาท ทรงรับทราบเรื่องนี้หรือยัง "
          พระพี่เลี้ยงชรารีบทูล  " ยังเพคะ  ยังไม่มีใครกราบทูล  พระองค์หญิงเลยเพคะ  คุณพยาบาลเพิ่งฟังการแถลงข่าวจากวิทยุเมื่อสักครู่นี้  และก็เพิ่งเข้ามาบอกหม่อมฉันเพคะ "
         เขาฟังจบพร้อมกับพยักหน้าน้อยๆอย่างรับทราบ  " มีใครมาเยี่ยมฝ่าบาทเหรอยัง  "
         "  มีบรรดาพระบรมวงศ์สานุวงศ์  เหล่าเสนาบดี และพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่  มาเยี่ยมกันมากมายเพคะ ตั้งแต่เมื่อบ่ายวานนี้  แต่หมอยังคงให้งดเยี่ยมเพคะ ก็เลยมีแต่ของที่มาทูลเกล้า  ถวายฝากไว้เพคะ  แล้วเมื่อเช้าตรู่  ก็มีผู้หมวดราชัยมาขอเข้าเฝ้า  แต่ก็ยังไม่ทรงบรรทมตื่ม ก็เลยกลับไปก่อนเพคะ  " 
         เขาเดินเข้าไปที่ข้างพระแท่นบรรทม ก้มมองพระพักตร์ที่ยังคงซีดเซียว  หลับพระเนตรพริ้ม  พระนลาฏโค้งกลมมน พระขนงสวยได้รูปพาดยาว พระปรางใสเนียนเป็นสีชมพูระเรื่อ  ริมโอษฐ์เต็มอิ่มเผยอน้อยๆ เขายืนมองพระพักตร์นั้นนิ่งๆอยู่นาน  ไม่มีความกล้าพอ  ที่จะทำให้ทรงตื่นบรรทม  นานจนองค์หญิงกระพริบพระเนตรถี่ๆ ขยับพระองค์นิดหนึ่ง  นิ่วพระพักตร์อย่างทรงรู้สึกเจ็บ  และค่อยๆลืมพระเนตรขึ้นทีละน้อยๆ  และแย้มพระสรวลให้เขาทันที  ที่ทอดพระเนตรเห็นเขา 
         "  ผู้พัน......."  ทรงรับสั่งขานเรียกเขาด้วยรอยสรวลน้อยๆ 
         " ถวายบังคมฝ่าบาท  " เขากราบทูลแล้วก้มศีรษะลงน้อยๆ  ทำความเคารพ แล้วทูลถาม " ยังทรงเจ็บมากมั้ย   กระหม่อม " เขาทูลถามเสียงเรียบๆ ยิ้มให้น้อยๆในสีหน้า สายตาของเขาที่ทอดมองพระองค์  อ่อนเชื่อมลง อย่างนึกสงสารที่ทรงบรรทมอยู่กับพระที่  ที่ข้อพระกรยังมีสายน้ำเกลือคาเข็มไว้
         ทรงรับสั่งตอบเบาๆ  "  เรียกฉันว่า รายา สิคะผู้พัน  " องค์หญิงรับสั่งคล้ายจะเตือนเขา
         เขาก้มศีรษะลงน้อยๆเหมือนจะรับทราบ " รายา....ผมมาเยี่ยม สงสารคุณจัง อยากจะหาช่อดอกไม้สวยๆ  มาให้คุณ   แต่ก็ไม่ทราบว่า จะไปหาซื้อที่ไหน  " เขากล่าวเบาๆยิ้มในสีหน้า
         ทรงแย้มสรวลน้อยๆแล้วรับสั่ง " ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ  แค่นี้ก็ขอบคุณ  คุณจนไม่รู้จะบอกกับคุณว่า  มากแค่ไหนขอบคุณมากค่ะ ที่คุณช่วยชีวิตฉันไว้  "  
         "  ทำไมต้องขอบคุณด้วยล่ะครับ  มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วนี่  " เขากล่าวแล้วยิ้มมองหน้าเธอ  ด้วยแววตาอ่อนโยน
          องค์หญิงรายาทรงนิ่งคิดในพระทัย  ถึงเรื่องที่เกิดเมื่อคืนวานนี้ เขาจะรู้หรือยังนะ ว่าเราทั้งสองคนทำผิดกฎมณเฑียรบาล  คงไม่มีใครกล้าบอกเขาหรอก ปารองก็ไม่เห็นบอกอะไรกับเราเลย  เสด็จพ่อล่ะ....ทรงทราบเรื่องนี้หรือเปล่า ถ้าทรงทราบ จะทรงทำประการใดกัน  เราจะถามเขาดีมั้ย คงไม่ดีแน่ น่าละอายออก  ทำไมนะ....เราถึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง 
         " เอ่อ.....ผู้พันคะ....ฉันทำให้คุณลำบากใจ  อะไรหรือเปล่า " รับสั่งถาม แล้วทรงกลั้นพระหทัย  สดับคำตอบจากเขา
          เขาฟังจบแล้ว  ก็ยังไม่ทราบความหมาย  ในรับสั่งขององค์หญิงนัก  เขาจึงทูลเหมือนจะปลอบพระทัย   " ผมลำบากใจ  ก็เพราะสงสารคุณ ที่เห็นคุณนอนเจ็บอยู่อย่างนี้   อืม...อย่าเพิ่งคิดอะไรเลยนะครับ  ทำใจให้สบาย นอนพักผ่อนให้มากๆจะได้หายไวๆ  ผมเห็นคุณดีขึ้น  ผมก็สบายใจแล้วละครับ รายา "
         " เอ่อค่ะ.....คุณทานเช้าแล้วหรือยังคะ " รับสั่งถามแล้วแย้มสรวลน้อยๆ  อย่างทรงรู้สึกเขินๆ เหมือนไม่ทราบว่าจะรับสั่งถามอะไรเขาดี
         เขาก็ออกอาการเขินๆเช่นเดียวกัน  " ครับ.....ก็เรียบร้อยแล้วครับ  หมวดราเมนหาให้น่ะครับ " 
         "  ผู้พันคะ.......ช่วยเรียกหมอ   ให้ฉันหน่อยได้มั้ยคะ ฉันอยากกลับแล้วละค่ะ  ?  "
         "  รายา.......คุณควรที่จะรักษาตัว  ก่อนเถอะนะครับ ร่างกายคุณอ่อนเพลียมากนะครับ เพราะคุณเสียเลือดมากรู้มั้ย   และหมอก็คงไม่อนุญาตด้วย "
         "  ผู้พัน.......ขอร้องเถอะค่ะ พาฉันกลับเถอะนะคะ  ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ก็เป็นแค่แผลนิดเดียวเอง ได้โปรดเถอะนะคะ  ฉันสัญญาค่ะว่า  ฉันจะกลับไปพักผ่อน  แต่ให้ฉันนอนอยู่ที่นี่อย่างนี้  ฉันทรมานใจเหลือเกิน ฉันรู้ว่าฉันมีเรื่องอะไร  ที่จะต้องสะสางมากมายนัก  "
         " คนเจ็บก็ต้องรักษาตัวก่อน  เรื่องอะไรก็ต้องรอได้ทั้งนั้น  และถ้าเกิดแผลอักเสบขึ้นมา  ก็ต้องกลับมารักษาใหม่ต้องนอนนานกว่านี้อีก อดทนนอนพักอยู่ที่นี่  อีกสักวันสองวันเถอะนะครับ  ให้หมอแน่ใจ  และอนุญาตก่อนดีกว่านะครับ  " เขากล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  สายตาของเขา  แสดงถึงความห่วงใยอย่างลึกซึ้ง  ทำให้องค์หญิง  ทรงรู้สึกเก้อเขินจนต้องหลบสายตาของเขา
         " ผู้พันคะ........พาฉันกลับเถอะค่ะ ฉันจะไปนอนพักที่ตำหนักก็ได้  แต่อย่าให้ฉันอยู่ที่นี่เลยนะคะ "  รับสั่งอ้อนวอน    
         " อืม....ก็ได้ครับ ผมจะเรียกหมอให้นะเจ้าหญิงจอมดื้อ  แต่ก็ต้องให้หมออนุญาตก่อนนะครับ   แล้วก็อย่าดื้ออย่าขัดคำสั่งของหมอ  "  เขากล่าวพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ 
          ในตอนสายของวันนั้น  หม่อมอองสาพระชายา  ซึ่งเสด็จมาเยี่ยม  และถูกองค์หญิงรายา  ทรงใช้วาทศิลป์  อ้อนวอนจนอ่อนพระทัย  และหมอเลนินเอง  ก็สุดที่จะทัดทานพระองค์ไว้ได้  จำต้องอนุญาต  แต่ก็กำชับให้นำพยาบาลไปคอยถวายความดูแล  ให้พระองค์เสวยพระโอสถ  และชำระแผลตามที่หมอสั่ง  เขาตามมาส่งเสด็จ  ที่ตำหนักหน้า ที่เป็นพระตำหนักที่ประทับ เขาสั่งกำชับพยาบาล  และพระพี่เลี้ยงให้ดูแลองค์หญิง พระชายาทรงส่งเสด็จ  พระองค์หญิงและเสด็จกลับพระบรมมหาราชวังในตอนบ่าย  
          เย็นวันนั้น มีวิทยุเข้ามา  ที่กองบัญชาการ  ว่าหน่วยลาดตะเวนที่เก้า  ต้องการกำลังเสริม  เพราะมีการปะทะกันอย่างหนัก พันเอก ศรัณย์ รีบนำกำลังออกไปสมทบทันที  เมื่อไปถึงจุดปะทะ กองกำลังของสวาติติ  กำลังถูกทหารป่าโจมตี เขารีบนำกำลังเข้าช่วยสมทบ  กับหน่วยลาดตะเวน  เขานำกำลังเข้าโอบล้อมทหารป่าไว้ได้  และทำการถล่มจนทหารป่าแตกกระเจิง  และนำกองกำลังเข้าไล่ล่า  ตามไปจนถึงเขตชายแดน เกิดการยิงต่อสู้กันอีกครั้ง  เมื่อกองกำลังทหารป่าเข้าล้อ  มและส่งกำลังหนุนเนื่องเข้ามาอีก  กองกำลังของพันเอก ศรัณย์ตกอยู่ในวงล้อม  และวิทยุมาที่บ.ก.ขอกำลังเสริม กองกำลังของสวาติติ   รีบนำกำลังไปเสริมเมื่อใกล้ค่ำ 
               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×