คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #50 : ภาคปลายตอน4 ปลอมตัวเพื่อสามี
หน้าค่ายทหารหน้าด่านติดกับชายแดนทางตอนเหนือของแคว้นเฉินที่มีชื่อว่าชางเจียกำลังปรากฏเงาร่างของหนึ่งบุรุษสองสตรีในอาภรณ์ทหารประจำการแคว้นเฉินยืนอยู่ตรงนั้นอย่างลับๆ ล่อๆ
“อาซ้อ ปานกับไฝของท่านเคลื่อนตำแหน่ง” เสียงหวานใสของสตรีในอาภรณ์ทหารหญิงมีรอยแผลเป็นอยู่ข้างแก้มด้านซ้ายเอ่ยออกมาพลางเอื้อมมือขึ้นจัดตำแหน่งปานสีแดงข้างแก้มขวากับไฝเม็ดใหญ่สีดำใต้ดวงตาข้างซ้ายให้สตรีที่นางเรียกว่าอาซ้อในทันที
“เราต้องปลอมตัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ” หนึ่งบุรุษในกลุ่มเอ่ยถามพลางลูบคลำเส้นหนวดแข็งกระด้างของตนที่ต้องไว้ให้ยาวตั้งแต่เริ่มเดินทางออกมาจากบ้านที่จวนตระกูลฟง หากมองดีๆ เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นอย่างมากแต่กลับมีรอยบากของแผลเป็นขนาดใหญ่พาดเฉียงจากหว่างคิ้วลากมาถึงสันกรามข้างขวาทำให้ความหล่อเหลาของเขาเลือนหายไปจนสิ้น
สตรีที่มีไฝเม็ดดำกับปานแดงพยักหน้าน้อยๆ คลี่ยิ้มงดงามตามวิสัยแล้วเอ่ยเสียงหวาน “ท่านแม่กำชับมาว่าสงครามในยามนี้นับว่านิ่งเงียบแต่มันแค่คล้ายกับถูกเหยียบเอาไว้เท่านั้น อีกทั้งเรายังไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรูที่แท้จริง ชินหยางเป็นถึงแม่ทัพก็จริงอีกทั้งมีหลายคนกลัวเกรงในความเป็นอาวุธสังหารของเขาเพราะว่าเขาไม่มีจุดอ่อนให้ศัตรูได้เห็น เช่นนั้นแล้วเรายังต้องช่วยรักษาจุดแข็งข้อนี้ของเขาเอาไว้ ไม่ควรแสดงตัวตนจริงๆ ออกไป โดยเฉพาะตัวของพี่ที่เป็นจุดอ่อนหาใครเปรียบ”
“ข้าชมชอบแบบนี้ไม่น้อยเลยอาซ้อ ข้าตื่นเต้นยิ่งนัก การปลอมตัวเพื่อสืบข่าวของพี่ใหญ่แบบนี้ ข้าชอบมาก...” สตรีที่มีรอยแผลเป็นที่พวงแก้มด้านซ้ายเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้นน้ำเสียงลากยาวปลายประโยคแบบที่นางชอบทำ "ห้ามให้พี่ใหญ่จับได้เด็ดขาด...ไม่อย่างนั้นหมดสนุกแน่ เข้าใจหรือไม่พี่รอง" นางหันหน้ามาย้ำเตือนหนึ่งบุรุษในกลุ่มทันที
"เอาอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น เพื่ออาซ้อเลย" บุรุษหนุ่มลูบปลายคางด้วยมาดทรงภูมิเฉกเช่นนักปราชญ์ยามเอ่ย "เรารีบเข้าไปกันเถิด" เขาเริ่มนึกสนุกเช่นกัน
ทั้งสามคนหลิงเวย ฟงลี่หลิน และฟงจินหมิงที่อยู่ในอาภรณ์ของทหารประจำชายแดนของแคว้นเฉินต่างล้วงเอาเอกสารเข้าประจำการที่เตรียมเอาไว้จากค่ายหน้าด่านของเมืองชางอี้ที่ท่านแม่ทัพทางนั้นเป็นคนออกให้ก่อนนำมันขึ้นมากางออกตรวจดูอีกคราแล้วเดินเข้ามายังหน้าประตูค่ายทหารแห่งนี้ในทันที
ทหารหน้าประตูและผู้ตรวจสอบเอกสารดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ตามกฎระเบียบอันเคร่งครัดของทหารย้ายสังกัดย้ายประจำการอยู่ครู่ใหญ่จนกระทั่งการตรวจเอกสารของทั้งสามคนผ่านไปด้วยดี ก่อนจะให้ทหารนายหนึ่งเดินนำทางทั้งสามไปแนะนำตัวกับหัวหน้ากองในโรงเรือนด้านในตามลำดับขั้นตอน
เมื่อทั้งสามได้ที่พักเรียบร้อยแล้วจึงมีโอกาสเดินสำรวจค่ายทหารแห่งนี้ยามเมื่อพวกเขาจักต้องเดินตามแผ่นหลังของพลทหารนายหนึ่งมาตามทางเพื่อเป้าหมายเข้าไปรวมกลุ่มรับการฝึกตั้งแต่ขั้นพื้นฐานเริ่มต้น
ในค่ายทหารแห่งนี้แบ่งพื้นที่ออกเพียงสามส่วนคือเรือนพัก กระโจม และลานฝึก แต่กินพื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตามากนักจนไม่อาจนับประเมินได้ว่ากว้างขวางปานใด แต่ที่แน่ๆ มีจำนวนทหารหลายหมื่นชีวิตอย่างแน่นอน สังเกตได้จากเหล่าผู้คนพลทหารที่เดินคลาคล่ำกันไปมาอยู่กันอย่างเนืองแน่น บ้างฝึกเป็นกลุ่มใหญ่ตรงกลางลานหลายกลุ่ม บ้างฝึกบนทางลาดทางชันกระจัดกระจายตามกฎเหล็กของหัวหน้าหมู่แต่ละกอง
ทั้งสามมองเห็นที่พักที่ตั้งเรียงรายสุดลูกหูลูกตาและลานฝึกที่มองอย่างไรก็ไม่เห็นขอบกำแพง ทั้งนี้ยังมีค่ายทหารแยกออกไปอีกทางด้านหนึ่งเพื่อเป็นแนวปราการป้องกันชายแดนหลายชั้นจากคนต่างแคว้นที่อาจจะตั้งป้อมหมายรุกล้ำอยู่โดยรอบของชายตะเข็บเขตแดนเนื่องจากแคว้นเฉินทางตอนเหนือนี้เป็นลักษณะพื้นที่แนวระนาบทอดยาวเชื่อมต่อกับแคว้นหลายแคว้นและหลายชนเผ่า เช่นนั้นแล้วปัญหาระหว่างดินแดนจึงบังเกิดบ่อยเสียยิ่งกว่าดินแดนทิศทางอื่นๆ
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังนึกถึงเรื่องยากเย็นเป็นอย่างมากหากจะต้องการเจอกับท่านแม่ทัพฟงผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งเดียวที่เป็นผู้คุมค่ายทหารแห่งนี้ทั้งหมด เนื่องจากพวกเขามิได้มาแบบเปิดเผยตามฐานะเกี่ยวดอง แต่พวกเขาเลือกที่จะปลอมตัวมาหมายมิให้งานการของแม่ทัพฟงเสียหาย
ทันใดนั้นพวกเขาพลันได้เดินผ่านเรือนพักหลังใหญ่ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นที่พักของนายทหารยศสูงท่านหนึ่ง
“เป็นไปได้ว่านี่คือเรือนพักส่วนตัวของตำแหน่งแม่ทัพ” ฟงจินหมิงเอ่ยปากวิเคราะห์
ฟงลี่หลินเอ่ยต่อ “น่าจะใช่นะ”
แต่ก่อนที่จะมีการเอ่ยคำใดต่อจากนั้นเสียงโวยวายของทหารนายหนึ่งพลันดังออกมาจากทางหน้าเรือนพักใหญ่แห่งนั้น
“ท่านแม่ทัพโปรดอภัยให้น้องสาวข้าน้อยด้วยเถิดขอรับ นางยังไม่รู้ความ โปรดไว้ชีวิตนางด้วย ข้าขอร้อง”
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องแหลมสูงของอิสตรี
“ข้ารักท่าน ข้าผิดอันใด กรี๊ด!”
ทันใดนั้นพวกเขาจึงได้เห็นสตรีนางหนึ่งในสภาพที่อาภรณ์สีเหลืองจัดจ้านหลุดลุ่ยเผยผิวเนื้อขาวนวลเนียนถูกจับโยนออกมาจากเรือนนั้นตามด้วยนายทหารคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าเสียงดังตรงหน้าของบุรุษตัวใหญ่ผู้หนึ่งผู้ซึ่งมีใบหน้ามืดครึ้มสายตามืดดำแผ่กลิ่นอายมรณะอันเป็นเอกลักษณ์
บุรุษผู้นั้นเดินแบบย่างสามขุมออกมาจากหน้าประตูเรือนด้วยมาดดั่งพญามัจจุราชไม่เคยสร่างซา เขายืนตระหง่านอยู่เหนือผู้คนเหล่าพลทหารกล้าที่เริ่มเดินมาจับกลุ่มกันเพื่อเข้ามาดูเหตุการณ์ตรงหน้าประตูเรือนพัก
บุรุษผู้เป็นเป้าสายตาของเหล่าพลทหารทั้งหลายนั้น เขาเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่อยู่ในอาภรณ์สีดำด้านเส้นผมรวบตึงมัดด้วยผ้าสีดำนิลในแบบที่เขาชมชอบ สายตาคมดำร้ายกาจกราดมองทุกคนอย่างถ้วนทั่วก่อนจะตวัดสายตากลับมามองสตรีที่ถูกโยนออกมาเมื่อครู่และมองบุรุษที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของเขาด้วยสายตาเย็นชาแผ่กลิ่นอายสังหารพร้อมลงดาบให้แดดิ้น
"ชินหยาง..." หลิงเวยครางเรียกบุรุษร่างใหญ่น่ากลัวผู้นั้นในทันทีอย่างลืมตัวเมื่อมองเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของเขาจากระยะหลายสิบจั้ง นางรีบพุ่งตัวออกไปทางนั้นอย่างรวดเร็วไร้การยั้งคิดอันใด แต่ทว่าสตรีตัวเล็กๆ หรือจะสามารถฝ่าแผ่นหลังสูงใหญ่ของเหล่าบุรุษทหารทั้งหลายที่ยืนมองเหตุการณ์นั้นอยู่รอบบริเวณตรงเบื้องหน้าของนาง
"...!"
หลิงเวยได้แต่ชะงักงัน เมื่อพุ่งตัวมาแล้วเจอแต่แผ่นหลังของเหล่าพลทหารตรงหน้าคล้ายกับกำแพงมนุษย์กระนั้น
"อาซ้อใจเย็น"
ฟงจินหมิงและฟงลี่หลินรีบสะกิดหลิงเวยอย่างสามัคคี
"เมื่อครู่ยังบอกพวกเราอยู่เลยว่ามิให้เผยตัว แต่นี่ท่านพุ่งตัวออกไปอย่างนั้นต่อหน้าพลทหารมากมายอย่างนี้และจักปลอมตัวเพื่ออันใด ไยไม่เดินเข้ามาพร้อมตราฮูหยินน้อยเสียเลย"
น้องสามีทั้งสองบ่นยาวเหยียดไปทางหลิงเวยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย พวกเขายังมิทันได้ใช้ประโยชน์จากการปลอมตัวเลย ขอเล่นสนุกก่อนเป็นไร
แต่หลิงเวยหาได้มีสิ่งใดเข้าหูไม่ นางมองเห็นเพียงฟงชินหยางกำลังยืนอยู่ตรงนั้น นั่นคือสามีของนางที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วัน
นางจึงพยายามเดินฝ่าแผ่นหลังของเหล่าทหารทั้งหลายเพื่อเข้าไปใกล้ฟงชินหยางอีกหน่อยอย่างดื้อดึง
ทันใดนั้นเสียงคำรามแข็งกร้าวจากฟงชินหยางพลันดัง
"เอาสองพี่น้องนี้ไปขังคุกมืดสามเดือน งดน้ำงดข้าว"
“อา...สมกับเป็นท่านแม่ทัพฟง” เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ครางฮือฮาออกมา
“นี่มิใช่ว่าฆ่ากันให้ตายทั้งเป็นหรือไร ปาดคอตรงนี้เลยดีกว่าหรือไม่ ปาดคอเลย ปาดคอเลย”
ประโยคหลากหลายเอ่ยออกมาจากพลทหาร เห็นได้ชัดว่ามักจะเกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้อยู่บ่อยครั้ง
“เกิดอันใดขึ้นหรือพี่ชาย” ฟงจินหมิงผู้สงสัยในทุกสรรพสิ่งแห่งโลกหล้าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามพลทหารที่ยืนอยู่ไม่ไกลกัน
พลทหารนายนั้นตอบคำโดยไม่หันมามองหน้าคนถาม
“สตรีนางนั้นคงอยากปีนเตียงท่านแม่ทัพฟงประไร ทหารหญิงหลายนางชมชอบท่านแม่ทัพฟงกันทั้งนั้น อืม...ข้าเองยังชมชอบเขา อา...” กล่าวจบก็ทำหน้าแดงหูแดงเห็นได้ชัดว่าพลทหารนายนี้เป็นบุรุษชนิดใด
ฟงจินหมิงกะพริบตาปริบๆ เมื่อสังเกตได้ว่าบุรุษเหนือบุรุษผู้นี้กำลังคิดสิ่งใดกับพี่ใหญ่ของตน
อา...หากพี่ใหญ่จะมีเสน่ห์มากมายปานนี้เห็นทีอาซ้อคงลำบากแล้ว...
เมื่อน้องรองบ้านฟงคิดการได้แล้วจึงรีบเอียงตัวไปสะกิดอาซ้อยิกๆ แล้วรีบเอ่ยกระซิบกระซาบ “อาซ้อๆ ท่านห้ามให้ใครล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของท่านเด็ดขาด!” เขาเอ่ยเสียงหนักและเน้น
หลิงเวยที่พยายามเหลือเกินที่จะเดินไปหาสามีพลันสะดุดหูแล้วหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่
ฟงจินหมิงยังคงเอ่ย “นอกจากท่านจะเป็นอันตรายแล้ว พี่ใหญ่อาจจะต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะว่าศัตรูมิได้มีเพียงศัตรู แต่ยังมีมิตรที่อาจจะเป็นศัตรูและศัตรูที่มาในรูปแบบมิตรแท้และมิตรที่มาในรูปแบบมิตรเทียมแต่เป็นศัตรูแท้ที่ถาวรและ...”
“พอเถิดพี่รอง ข้าเริ่มงงแล้ว” ฟงลี่หลินรีบยกมือห้ามฟงจินหมิงในทันทีก่อนที่นางจะมึนมากไปกว่านี้ มิตรๆ ศัตรูๆ อันใด?
แต่ทว่าหลิงเวยกลับเข้าใจได้เป็นอย่างดี แม่สามีบอกแก่นางแล้ว แน่นอนว่านางพร้อมปกป้องสามีทุกวิถีทาง นางจักขอมองดูเขาอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ
เมื่อตระหนักได้แล้วจึงไม่คิดที่จะเดินฝ่าแผ่นหลังของทหารด้านหน้าอีกต่อไป นางเพียงถอยหลังออกมาสองก้าวแล้วยกแขนขึ้นก่อนจะโบกมือไปมาทั้งสองข้างให้ฟงชินหยางเสียเลย
ขอส่งกำลังใจให้สามีหน่อยเถิด…
การยืดตัวโบกมือไปมาของหลิงเวยคล้ายกับว่ากำลังยืนให้กำลังใจด้วยการตะโกนโห่ร้องแบบติดขอบเวทีการประลองของชาวยุทธ์เยี่ยงนั้น ทำเอาฟงจินหมิงและฟงลี่หลินต้องรีบเข้าตะครุบตัวของหลิงเวยแล้วถอยกรูดออกมาในทันที
อาซ้อนะอาซ้อ…
ร้ายพ่ายกลายรัก ฉบับจบบริบูรณ์ คลิก>>>ร้ายพ่ายกลายรัก
ร้ายพ่ายกลายรัก ฉบับ E-Book คลิก>>>ร้ายพ่ายกลายรัก
|
|
|
|
|
รักโรแมนติกคอมมิดี้เลิฟซีนร้อนแรง
|
ความคิดเห็น