คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #38 : ตอนที่35 อาวุธร้าย
ทันทีที่ได้รับฟังคำรายงานจากปากขันทีผู้น้อยแห่งตำหนักเหยียนซีกง ว่าฮ่องเต้กำลังพิโรธหนักถึงขั้นมิให้พบพระพักตร์
หมิงเฉิงก็มิได้สรรหาเหตุผลหรือสาเหตุแห่งความพิโรธนั้นของพระบิดา เพราะแต่ไหนแต่ไรมา จักรพรรดิองค์นี้ก็มักจะมอบบททดสอบอันแสนหฤโหดให้เหล่าโอรสอยู่แล้ว
ดูทีเถิดว่าครานี้ เสด็จพ่อผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้า จักสอนลับคมเขี้ยวเล็บหรือลองเชิงอันใดอีก!
รัชทายาทหนุ่มหาได้สนใจผู้อื่นแม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นบิดา เป็นถึงเจ้าแห่งแผ่นดิน เพราะยามนี้เขามีคนที่น่าสนใจยิ่งกว่า
นางคือภรรยาผู้น่าสงสัย
นางคือเจ้าของดวงตาที่ไม่เหมือนใคร
และนางกำลังเดินหลบซ้ายเลี่ยงขวา เพื่อให้ห่างจากเขา
ปากบอกปฏิเสธรถม้าด้วยเหตุผลว่าอยากเดินชมทิวทัศน์อันงดงามยิ่งใหญ่ในพระราชวัง
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้า กล้านั่งตักเขา
แนบชิดกันถึงเพียงนั้น!
ใบหน้าหล่อเหลาที่เดิมทีเย็นชาพลันแข็งกระด้างขึ้นมา หมิงเฉิงหรี่ตามองพระชายากับสาวใช้คนสนิทที่กำลังเดินนำหน้าห่างออกไปเรื่อยๆ คล้ายจงใจที่จะหลบเลี่ยงการเผชิญหน้า
นางตั้งใจเดินหนีเขาที่เป็นสามี แทนที่จะเดินเคียงข้างกันไปจนสุดทาง ไม่ว่าเขาจักพานางไปทางใด
เมื่อไหร่ไม่อาจทราบ ที่หมิงเฉิงคิดเช่นนี้โดยไม่รู้ตัว...
ท่ามกลางทางเดินระหว่างตำหนักเหยียนซีกงอันเป็นที่ประทับของฮ่องเต้กับตำหนักฉีหยางกงอันเป็นที่ประทับของฮองเฮา ซึ่งคือเป้าหมายต่อไปในการถวายคารวะน้ำชาในวันนี้
รัชทายาทหนุ่มยังคงจมอยู่ในภวังค์แห่งตน และครุ่นคิดอย่างหนัก
เขาแน่ใจว่ามิได้ตาฝาด และสติล้วนครบถ้วนเป็นอย่างดี
ดวงตาสีเขียวมรกตยามมองสบ เรือนร่างอรชรสีทองเรืองรองใต้ม่านน้ำคืนจันทร์งาม
และชั่ววูบหลังผ้าเช็ดหน้ามากกว่าหนึ่งครา…
หมิงเฉิงมองโม๋เอ๋อร์อย่างพินิจพิจารณาเข้มข้น ในหัวใจพลันบังเกิดลางสังหรณ์บางประการ ว่าบางทีคนที่ตามหามาโดยตลอดอาจจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมอย่างคาดไม่ถึง
และบางทีอาจจะเป็นนาง
ทั้งๆ ที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ หากแต่เขาก็ยังคิดเช่นนั้น เพราะสิ่งที่สืบรู้มาก่อนแต่งงานกัน คือคุณหนูรองสกุลโหวเป็นสตรีดีพร้อม แม้อ่อนแอไปบ้างแต่ก็เรียบร้อยอ่อนหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า นางผู้เก็บตัวเงียบเชียบ ผู้ไม่เคยออกไปไหนห่างไกลจวน นางไม่ออกนอกห้อง และยิ่งไม่เคยออกนอกเรือน
นางผู้ซ่อนเร้นตัวตนไม่เคยมีชายใดได้ยล
ไม่มีทางที่จักมีใครได้เจอนางในป่าใหญ่ และยิ่งไม่มีทางที่นางจะกลายเป็นคุณหนูตระกูลโหว
หรือมีอะไรที่เขาควรรู้แต่ไม่รู้…
หมิงเฉิงยิ่งหรี่ตามองพระชายาของตนนิ่งนาน ดวงตาเรียวคมลึกล้ำคล้ายจับจ้องกันให้ทะลุปรุโปร่งถึงเนื้อในที่ซุกซ่อน
แน่นอนว่าเขาดูออกเพียงแรกเห็น ว่านางหาใช่สตรีดีงาม
บนความเรียบร้อยอ่อนหวาน นางมีกิริยาสูงส่งสะกดผู้คน ในความไร้เดียงสาแต่กลับมิใช่สตรีที่ปราศจากมารยาหรือไร้ซึ่งพิษสง ตรงกันข้าม นางช่างร้ายกาจอย่างไม่น่าให้อภัย
แต่เหนือสิ่งอื่นใด นางมีนัยน์ตาสีเขียว…
สิ่งหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้แม้แต่โม๋เอ๋อร์
คือนับแต่หมิงเฉิงได้รับพลังปราณกระแสเย็นเหนือธรรมชาติจากโม๋เอ๋อร์ถึงสองครั้งสองครา รอดตายอย่างหวุดหวิดชนิดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ หมิงเฉิงก็มีประสาทสัมผัสที่ฉับไวยิ่งกว่าคนทั่วไปมากโข
ถึงแม้ความฉลาดเฉียบคมอาจไม่เทียบเท่าหมิงจินผู้เป็นน้องชาย ทว่าด้านความเฉียบคมทางสายตาและความว่องไวของร่างกาย สิ่งใดเล็กจิ๋ว สิ่งใดรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด เขาล้วนมองได้ทันทีไม่มีพลาด กระทั่งฝึกฝนปราณพลังผสานยุทธ์ยังเก่งกาจกว่าอาจารย์เสียอีก ในสมรภูมิรบต่อหน้าศัตรูนับหมื่นพัน ยังทรงพลังอย่างยิ่ง
เมื่อโม๋เอ๋อร์เผลอไผลเผยดวงตาสีเขียวออกมาแม้เพียงเสี้ยวเวลาเดียว หมิงเฉิงจึงสัมผัสได้ทันใด
สิ่งนี้แม้แต่หยูเสวี่ยก็เคยผ่านมาแล้ว นั่นจึงทำให้นางตัดสินใจถามโม๋เอ๋อร์จนล่วงรู้ตัวตน เพียงแต่หญิงสาวมิใช่บุรุษ ทั้งยังมิได้ฝึกปราณผสานยุทธ์อันใด จึงมิได้เก่งกล้าเช่นหมิงเฉิง
ตลอดช่วงชีวิตของโม๋เอ๋อร์นับแต่เกิดจนอายุสิบห้าปีนี้ นางมิเคยได้ช่วยใครอื่น นอกจากหมิงเฉิงและหยูเสวี่ย
และนัยน์ตาสีเขียวของนางล้วนไม่เคยมีผู้ใดมองได้ทัน มีเพียงสองคนนี้เท่านั้น…
ระหว่างการเดินทางไปเยือนตำหนักฮองเฮายามนี้
รอบด้านนับได้ว่างดงามมากนัก ประหนึ่งเดินผ่านสรวงสรรค์ชั้นฟ้ากระนั้น เพราะมีทั้งน้ำตกจำลอง ทะเลสาบสีฟ้าคราม สวนดอกไม้นานาพันธุ์ สระดอกบัวหลากสีสัน ศาลาริมบึง และพระตำหนักแสนวิจิตรต่างๆ
ร่างระหงสมส่วนในอาภรณ์แตกต่างกำลังเดินเคียงข้างจับประคองไปตามทาง เพื่อชื่นชมทุกความละลานตาสุดจะหยั่ง
หนึ่งคือสาวงามผู้สวมชุดหรูหราเครื่องประดับประดาเต็มศีรษะ ใบหน้าแต้มชาดสะดุดตา อีกหนึ่งคือสาวงามสวมเพียงชุดสาวใช้ธรรมดาผ้าสีเขียวใบไผ่
ทั้งสองคือโม๋เอ๋อร์และหยูเสวี่ย
พวกนางพากันเดินแช่มช้อยแต่นำหน้าบุรุษสูงศักดิ์ผู้เป็นรัชทายาทแห่งต้าหมิงไปไกลโขอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงเดินไปเรื่อยๆ ทั้งอย่างนั้น รถม้าและขบวนข้ารับใช้คนอื่นได้แต่เดินตามอยู่ห่างๆ อย่างงุนงง
หมิงจินที่เดินเยื้องไปทางแผ่นหลังของหมิงเฉิงเล็กน้อย ลอบมองพระชายาเอกของพี่ชายกับสาวใช้คนสนิทด้วยสายตาคมกริบเฉียบคม
เขาสังเกตได้ว่า สาวใช้ผู้นี้คล้ายกับมิได้เป็นฝ่ายจับประคองพระชายา หากแต่เป็นอีกฝ่ายต่างหากที่คล้ายกับจับประคองสาวใช้
เรียวคิ้วคมพลันขมวดมุ่นเมื่อสังเกตเห็นสตรีทั้งสองคนผู้เดินทอดน่องท่ามกลางแสงแดดจ้าที่มีริมทางเป็นทิวทัศน์งามเด่น พวกนางต่างเปล่งประกายเจิดจรัสเฉพาะตัวออกมา
คนหนึ่งสวยงามราวกับนางมารจำแลงมาจากอีกภพ รัศมีโดดเด่นเหนือหมู่มวล ส่วนอีกคนกลับงดงามราวภาพฝันอันแสนหวาน ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ผู้อ่อนโยน
สตรีทั้งสองพูดคุยหยอกล้อประหนึ่งเป็นสหาย
หาใช่นายบ่าว!
แววตาคมเฉี่ยวราวกับเหยี่ยวตัวใหญ่ของกุนซือหนุ่มในชุดราชองครักษ์จ้องมองสตรีบ้านโหวไม่วางตา
เขารู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่เขาไม่อาจปล่อยผ่าน...
ยามนี้โม๋เอ๋อร์กับหยูเสวี่ยคล้ายกับลืมตัวไปแล้วจริงๆ ว่าตนเองกำลังเล่นงิ้วโรงใด
เนื่องจากโม๋เอ๋อร์ต้องการเวลาสักเล็กน้อยให้ตัวเองได้ปรับตัว หลังจากที่ทำพลาดเรื่องอาการตื่นเต้นอันยากจะเข้าใจ
ทั้งยังนึกห่วงใยหยูเสวี่ยที่บอบบางแต่ต้องมาเดินตรากตรำเสียไกล นางจึงจงใจปฏิเสธนั่งรถม้าด้วยเหตุผลว่าต้องการชื่นชมธรรมชาติรอบด้านอย่างแช่มชื่นรื่นรมย์
ภายในวังแห่งนี้ก็กระไร กว้างใหญ่เหลือเกิน ให้รู้สึกเหมือนพากันเดินข้ามภูเขาเป็นลูกๆ กระนั้น
แล้วอย่างนี้ หยูเสวี่ยจะไม่เหน็ดเหนื่อยได้อย่างไร
“คุณหนูไหวหรือไม่? นั่งพักก่อนดีหรือเปล่า?”
โม๋เอ๋อร์กระซิบถามหยูเสวี่ยเสียงเบาให้ได้ยินแค่สองคน
“ไม่เป็นไร พิษในร่างกายสลายไปหมดแล้ว อย่าได้ห่วง”
หยูเสวี่ยตอบกลับพร้อมพยายามจับประคองพระชายา แต่ทว่ากลับไม่มีเรี่ยวแรงมากนัก แค่เดินอย่างเดียวก็หน้าซีดแล้ว จึงกลายเป็นว่าถูกอีกฝ่ายช่วยยื้อเอาไว้มิให้ล้มลงไปเสียมากกว่า
พิษชนิดนั้นร้ายแรงกว่าที่คิด แม้จะได้โม๋เอ๋อร์ช่วยสลายให้จนสิ้น แต่ร่างกายก็ยังไม่แข็งแรงสักเท่าไหร่ อีกทั้งวันนี้ต้องเดินเท้ามาไกล นางไม่เคยได้ออกแรงเท่านี้มาก่อน คุณหนูในห้องหอเยี่ยงนางจึงอ่อนปวกเปียกสิ้นดี
ขณะที่กำลังเดินชมอุทยานหลวงมาเรื่อยๆ หยูเสวี่ยมองทางหางตาแล้วประเมินเห็นว่าห่างออกมาจากรัชทายาทและขบวนเดินทางพอควร จึงกระซิบถามโม๋เอ๋อร์ตามตรงอย่างห่วงใย
“ก่อนหน้านี้เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดรัชทายาทจึงทำท่าทางคล้ายกับต้องการรังแกเจ้าเยี่ยงนั้น”
ผู้ถูกถามถอนหายใจออกมาแล้วหลุบตาลงอย่างรู้สึกผิด
เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะยอมรับเสียงเบาว่า “ในรถม้า ข้าช่วยนวดให้เขาอย่างเอาอกเอาใจ แล้วก็ขึ้นนั่งตักเขาอย่างย่ามใจ ทันใดนั้นพลันรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งร้อนๆ แข็งๆ ทิ่มแทงตรงบั้นท้าย ข้าตกใจมาก คิดว่ามันต้องเป็นอาวุธร้ายแน่ๆ จึงหนีเขา แต่เขาก็ตามติดอย่างที่เห็น”
โม๋เอ๋อร์เล่าจบก็ได้เห็นหยูเสวี่ยทำสีหน้าแปลกประหลาด เมื่อกวาดสายตาไปทางขวาอีกนิด ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาดำคล้ำของสามี และน้ำเสียงเย็นยะเยือกคำรามว่า
“เรื่องนี้ ใช่สมควรเล่าให้ผู้อื่นฟังหรือไร?”
“...”
จบเสียงเข้มที่ดังขึ้นด้านหลังนางในระยะประชิดตัว โม๋เอ๋อร์ก็รับรู้ได้ถึงแรงกอดรัดที่ลำคอด้วยวงแขนล่ำสัน แล้วลากกันไปยังทิศทางหนึ่ง
โม๋เอ๋อร์ใช้เวลาตอบคำถามของหยูเสวี่ยเนิ่นนานจนเกินไป ทั้งยังไม่ทันตั้งตัว กระทั่งสามีมาที่ด้านหลังเมื่อใดยังไม่อาจทราบ แม้แต่เสียงร้องยังไม่ทันหลุดออกจากริมฝีปากบางอิ่ม นางก็ถูกลากออกห่างจากหยูเสวี่ยเสียแล้ว
หมิงเฉิงห้ามใจตนเองมิให้อุ้มพระชายาพาดบ่าแล้วตีก้น จึงทำได้เพียงรัดคอโอบไหล่ให้นางออกจากการสนทนา
ในหัวข้อเรื่องของแข็งร้อนทิ่มแทงบั้นท้าย
ซึ่งเขารู้ดีว่ามันคือสิ่งใด หากแต่นางกลับไม่รู้ ทั้งยังเอามาพูดเล่าสู่กันฟังประหนึ่งมันคือเรื่องทั่วไป
มันสมควรหรือไม่?
เรื่องนี้ควรรู้เพียงสองคนมิใช่หรือไร?
ชายหนุ่มจึงจับหญิงสาวผู้เป็นภรรยาในท่วงท่าหมิ่นเหม่ คล้ายกอดรัดกันอย่างเร่าร้อน ประหนึ่งอุทยานแห่งนี้คือห้องนอน
สตรีผู้ถูกกอดรัดจนใบหน้าฝังอยู่ในแผงอกหนาแน่นทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้ออกมา “สามีปล่อยภรรยานะ”
อีกครั้งที่โม๋เอ๋อร์ต้องทำทีเป็นสะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร เพื่อบอกกล่าวเจ้าของวงแขนร้อนผ่าวอย่างไม่เข้าใจอันใด เพราะว่านางกำลังรู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว เมื่อตกอยู่ในอ้อมกอดเขา
“ไม่มีทาง!”
และอีกคราที่เสียงทุ้มต่ำตอบกลับอย่างเผด็จการ
หมิงเฉิงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสตรีนางนี้เป็นใครกันแน่!
ไยน่าตียิ่งนัก!
*** อีบุ๊ค เล่ม1 ถึงตอนที่ 33 *** ดูให้ดีว่าอ่านไปแล้วหรือยังก่อนโหลดนะจ๊ะ
|
|
ความคิดเห็น