คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่4.1 ทำไมไปบอกเพื่อนฉันอย่างง้านนนนน ????
"นี่นายปล่อยมือหน่อยได้ไหมเห็นไหม คนอื่นเขามองกันหมดแล้ว” ฉันส่งสายตาไปทางสาวๆ ที่มองมาทางตาแวมไพร์ด้วยสายตาเร่าร้อนยังกับมีไฟลุกโชติช่วงอยู่ในดวงตากลุ่มนั้น แต่เมื่อสาวๆ พวกนั้นเห็นมือของตาแวมไพร์ที่กำข้อมือของฉันอยู่ก็หันมาทำหน้ายักษ์ใส่ฉันซะงั้น
พวกหล่อนเดินตามมาติดๆ แต่ก็ต้องหยุดกึกค้างอยู่กับที่ นั่นคงจะเป็นเพราะเวทมนตร์ของตาแวมไพร์ ใช่ไหม?
“ความคิดสกปรก” เขาพูดโดยไม่หันไปมองกลุ่มสาวๆ พวกนั้น
“นี่นายว่าฉันเหรอ? แค่บอกให้ปล่อยมือเนี่ยนะ-*-” ฉันหยุดอยู่หน้าห้องของตัวเองแล้วชูข้อมือที่ถูกกำจนเริ่มชาขึ้นมา ที่ชาไม่ใช่เพราะเขากำแรงหรอกน่ะ แต่เพราะมือเขามันเย็นมากต่างหาก
“เปล่า” เขาส่ายหัวไปมานิดๆ
“งั้นปล่อยได้แล้วฉันจะได้เข้าห้อง” เมื่อฉันพูดจบเขาก็ยอมปล่อยมือของฉันออก ฉันหันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับบานประตูห้องเรียนสีขาวของตน สูดหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เพื่อทำใจยอมรับบทลงโทษของตาอาจารย์นั่น
ฉันยื่นมือไปผลักประตูให้เลื่อนไปด้านข้างนิดหนึ่ง ก่อนจะเอาหัวโผล่เข้าไปทว่าตัวฉันยังอยู่ข้างนอก มองซ้ายมองขวาสอดส่ายสายตาไปทั่วห้อง
“แกหาอะไร” ริ้งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน
“ตาอาจารย์ติ้งต๊องนั่นนะสิ”
“อาจารย์ไม่อยู่ ลาหยุดน่ะ” คิงเดินมาหยุดด้านหลังยัยริ้ง
“ฉันคิดว่าซาจะไม่มาแล้วซะอีก” ร่างบอบบางของเฟรินเดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลังของคิง
แหมะ~ยืนเรียงกันอย่างกับถ่ายแบบ
“จริงอ่ะ ^O^ ” ตาวาวโรจขึ้นแถมมีประกายเปล่งออกมาด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด แต่แล้วก็หุบยิ้มลงทันทีเมื่อนึกได้ว่าข่าวที่ได้ยินเมื่อครู่ดังมาจากปากคิง “แกไม่ได้โกหกนะ ไอ้-หมา-คิง -^- ”
“ก็เออดิ๊ แกเรียกฉันว่าหมาคิงได้ไง ต้องเรียกว่าเทพเจ้าคิงสุดหล่อเซ้” มือใหญ่สองข้างดึงหัวของฉันเข้าไป พอดึงไม่ได้เพราะฉันขัดขืนก็เบี่ยงตัวมาล็อคคอฉันไว้แทน มันจะบ้ารึเปล่า ถึงฉันจะไม่ขัดขืนแต่ต่อให้ดึงยังไงตัวฉันที่อยู่ข้างนอกก็โดนประตูกั้นอยู่เหมือนเดิมนั้นล่ะ
“ถ้าแกไม่ปล่อยหัวฉัน แกตายแน่” ฉันพยายามดึงหัวตัวเองออกมาจากแขนของคิงที่ล็อคคอฉันไว้ แต่ออกแรงยังไงก็ทำไม่ได้ มีแต่จะรั้งให้ฉันเจ็บคอเท่านั้น ฉันเลยเปลี่ยนไปยืนมือสองข้างที่อยู่นอกห้องมาแงะแขนของคิงออก ไม่นานก็หลุดออกมาจากพันธนาการได้อย่างง่ายดาย
ไม่คิดเลยว่าหมอนี่จะปล่อยฉันออกมาง่ายขนาดนี้ ฉันยืนจ้องหน้าคิงแต่หมอนั่นกลับมองไปด้านหลังฉัน ฉันมองไปที่เพื่อนอีกสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าและพบว่าทั้งสองคนก็มองไปทางด้านหลังฉันเหมือนกัน
“เฮ้~” เอามือโบกไปมาตรงหน้าเพื่อนสามคน ก่อนจะหันไปตามสายตาของเพื่อนทั้งสามและพบตัวการที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งไม่รู้ว่าชายหนุ่มอายุพันปีดันประตูห้องไปด้านข้างจนสุดตั้งแต่ตอนไหน
“ใครว่ะ” ริ้งถาม
“แกถามฉันเหรอ?” ยังงงๆ อยู่ว่ามันถามใครเพราะตามันยังคงจ้องชายหนุ่มอายุพันปีตรงหน้าประตูอยู่ ไม่ได้มองมาทางฉันซักนิด
“ก็เออสิ” ริ้งยังคงพูดโดยไม่หันมามองฉันซักนิด
รู้สึกน้องใจจัง -^-
แล้วตกลงมันถามฉันรึเปล่าเนี่ย?
“...” ฉันไม่ตอบเพราะไม่รู้จะบอกกับเพื่อนยังไง ถ้าบอกว่าไปเจอหมอนี่ในปราสาทและตัวเองก็โดนดูดเลือดเข้าพวกนี้คงหัวเราะตาย แถมมีหวังได้โดนตาแวมไพร์ลากตัวไปดูดเลือดหมดตัวแน่ ถึงเขาจะบอกว่าฉันมียันต์ในตัวก็เถอะจะแน่ใจได้ไงว่าฉันจะไม่โดนดูดเลือดจนตัวแห้งตาย
“คาเทล ฟารัส” เสียงทุ้มนุ่มตอบมาจากร่างสูง
“พวกแกเป็นไรเนี่ย -*-” ตะลึงอะไรนักหนา ถึงหมอนี่จะหน้าตาดีก็ไม่น่าจะจ้องขนาดนั้น ฉันเกาหัวอย่างงงๆ แล้วแทรกตัวผ่านเพื่อนทั้งสามคนที่ยังยืนอยู่ออกมาจากตรงนั้น ฉันไปนั่งที่ของตัวเองด้วยขาที่ยังเจ็บอยู่
“นี่ๆ ดูนั่นสิ” สาวๆ ในห้องพากันวิ่งกรูไปยังหน้าประตู ส่วนพวกผู้ชายก็ได้แต่มองตาขวางใส่ตาแวมไพร์
“ซา” เสียงทุ้มเรียกชื่อฉันแผ่วเบาจนขนฉันลุกซู่ไปทั้งตัว ไม่เคยมีใครเรียกชื่อฉันแล้วฉันขนลุกอย่างนี้มาก่อน น้ำเสียงที่ตาแวมไพร์ใช้เรียกเหมือนกำลังของความช่วยเหลืออย่างไรอย่างนั้น
“อะไร?” ฉันหยุดเดินหันไปตามเสียงเรียกแล้วพูดออกมาแบบไม่มีเสียง ยกคิ้วขึ้นและหยักไหล่เมื่อเห็นดวงตาสีแดงจ้องมาทางฉันอย่างขอความช่วยเหลือ ฉันไม่สนยังคงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง
“ชื่ออะไรคะ เรียนอยู่ที่นี่เหรอ~~~ ^O^”
“มาจากไหนเพิ่งย้ายมาเหรอ ^O^ ” คำถามมากมายรัวออกมาจากปากสาวๆ ไม่ขาดสาย ร่างสูงก้าวเดินออกมาจากฝูงชนด้วยดวงตาคมเพราะความโกรธ คิ้วสีเงินขมวดแน่น นักเรียนที่วิ่งไปมุงพากันแหวกทางออกให้เขาเดินออกมา
ฉันเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่หยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนแบบของฉัน
“นี่ซา เธอรู้จักเขาด้วยเหรอ” นักเรียนหญิงในห้องของฉันซึ่งไม่เคยแม้แต่จะคุยกับฉันเดินเข้ามาถามขณะที่ดวงตาจ้องชายหนุ่มพันปีข้างหน้าโต๊ะฉันตาเป็นมัน
“ก็...” จะบอกยังไงดีละ ที่ฉันรู้ก็เพียงแค่เขาเป็นแวมไพร์ที่อายุเป็นพันปีและฉันก็ไม่อยากจะรู้มากกว่านี้อีกด้วย “คงใช่ม้างงง” ฉันตอบๆ ไปเพราะรู้สึกรำคาญและฉันก็เพิ่งจะรู้จักชื่อเขาเมื่อสักครู่นี้เองและตอนนี้ก็ลืมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆ^^
“มีแฟนรึยังคะเป็นแฟนกันไหม ^[]^” นักเรียนหญิงคนหนึ่งอาจหาญมากขนาดเดินเข้าไปเกาะแขนของเขา ทำท่าทางออดอ้อนออเซาะ
แหวะ เห็นแล้วหมั่นใส้
เขามองมาทางฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เอาแล้วไงหาเรื่องให้ฉันแล้วไงพวกสาวๆ พากันมองฉันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ที่เขามองมามันทำให้พวกสาวๆ คิดว่าเขากับฉันเป็นแฟนกันนะสิ
แต่แล้วเขาก็หยักคิ้วขึ้นเหมือนจะถามว่าแฟนคืออะไร
หมายถึงการคบหาดูใจกันก่อนจะเป็นคู่หมั้น เจ้าสาว แล้วค่อยแต่งงานนะ ฉันนึกขึ้นในหัวเพราะรู้ว่าเขาคงจะอ่านความคิดได้ เมื่อนึกเสร็จคิ้วสีเงินที่ชนกันนิดๆ ก็คลายออกเมื่อรู้คำตอบ
“...” เขาไม่ตอบ ได้แต่ส่งสายตาดุๆ อันน่ากลัวไปยังร่างบางที่เกาะแขนเขาอยู่ หญิงสาวคนนั้นปล่อยมือออกจากเขาแล้วเดินไปนั่งที่ของตัวเองอย่างกับคนโดนสะกดจิต
หมอนี่สะกดจิตได้ด้วย อันตรายจริงๆ เลย
ตุบ
ร่างสูงเดินอ้อมโต๊ะเขียนแบบมานั่งลงข้างฉัน
เก้าอี้บ้านี่ไม่น่าทำมาให้ตัวใหญ่เลยจริงๆ เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าดีมากที่ทำเก้าอี้ใหญ่มาให้เพราะนั่งสบายแต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ ตอนนี้ฉันคิดว่าเขาไม่น่าทำมันขึ้นมาให้ใหญ่ขนาดสามารถนั่งได้สองคนเลย
“ทำอะไรของนาย” ส่งเสียงถามให้เบาที่สุด พยายามหลบสายตาของเพื่อนๆ ในห้องโดยการก้มตัวลงนิดๆ อย่างที่กำลังทำอยู่
“นั่ง” ตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“กระจ่าง” ฉันกลับมานั่งตัวตรงทำเป็นไม่สนใจสายตาของเพื่อนๆ “ขอโทษที่ฉันโง่เอง” ไม่น่าถามเลยฉัน แต่ไอ้ที่ฉันอยากจะถามเขาก็คือ ทำไมถึงต้องมานั่งใกล้ฉันอย่างนี้ด้วย
“เธอเพิ่งจะรู้ตัวรึไง” ถามได้ใบหน้าเรียบเฉยมาก
“ฮื่ม เจ็บ -..-” ฉันพ่นลมออกจากจมูกปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรงเพื่อสงบสติอารมณ์ ก้มหน้าลงต่ำไม่ยอมสบตากับดวงตาสีแดงสดที่มองมา
“ไม่มีอะไรจะทำกันรึไง” ดวงตาสีแดงจ้องไปยังกลุ่มคนที่มามุงโต๊ะฉันอยู่ ไม่ถึงสามสิบวินาทีทั้งหมดก็เดินกลับไปนั่งที่ อาการเหมือนกับนักเรียนหญิงที่เข้ามาเกาะแขนเขาเมื่อครู่ ส่วนพวกผู้ชายที่มีท่าทางอิจฉาตาแวมไพร์ที่สาวๆ พากันมาสนใจแต่เขาก็หันกลับไปทำท่าทางเหมือนมองไม่เห็นตาแวมไพร์เลยสักนิด ทุกคนทำตัวปกติเหมือนตาแวมไพร์ได้หายไปจากห้องแล้ว ทุกอย่างจึงกลับมาเป็นปกติเหมือนเช่นทุกวันที่เคยเป็น
ยกเว้นเพื่อนฉันทั้งสามคนที่ยังคงไม่ไปไหน พวกเขายืนกอดอกจ้องฉันด้วยสายตาคาดคั้น ฝั่งหนึ่งก็แวมไพร์อันตรายอีกฝั่งก็คือเพื่อนสนิทที่อันตรายพอๆ กัน
“อะไรอีกละเนี่ย?” มองทั้งสามคนอย่างงงๆ
ทำไมพวกนี้ไม่โดนมนตร์สะกดด้วยละ? ฉันหันไปมองตาแวมไพร์อายุพันปีข้างตัว
“พวกนี้ไม่ได้คิดไม่ดี” ชายหนุ่มอายุพันปีที่ทอดสายตามองไปยังกระดานไวท์บอร์ดด้านหน้าสุดของห้องเรียนส่งเสียงตอบแผ่วเบา
“แล้วคนอื่นคิดไม่ดีเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาราวกับกระซิบแบบเขา
“ใช่ เพื่อนเธอก็แค่ตกใจที่เธอพาฉันมา แถมเขายังงงว่าเธอไปลากคนหล่ออย่างฉันมาได้อย่างไรกัน ^^ ” เขาหันมากระซิบลงข้างหูฉัน ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดทำให้ฉันอยากจะอ้วกออกมา แต่เจ้าตัวกลับกระตุกยิ้มขึ้น ระยะห่างของเราตอนนี้ทำให้ฉันรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่เป่ารดใบหูของฉันได้เลย
แวมไพร์มีลมหายใจด้วยเหรอ? -*- ยิ้มเป็นด้วย? -*- ฉันคิด
แต่แล้วก็ต้องหันไปสนใจประโยคถัดมาที่ดังมาจากเพื่อนของฉันก่อนที่จะได้คิดหาคำตอบ
“นี่แกไปมีแฟนตอนไหนไม่เห็นบอก” ยัยริ้งยิงคำถามใส่
“ไม่ใช่” ฉันหันไปตะโกนดังลั่นลืมเรื่องที่คิดเมื่อครู่ไปเสียสนิท โบกไม้โบกมือเป็นพัลวันเพื่อยืนยัน แต่แปลกแฮะเสียงตะโกนดังขนาดนี้แต่เพื่อนในห้องดูเหมือนจะไม่ได้ยิน นี่ก็เป็นเพราะคนข้างตัวฉันด้วยใช่ไหมเนี่ย มีเวทมนตร์นี่ดีจังแฮะ
“ใช่ เราไม่ได้เป็นแฟนกัน”
ฉันหันมองตาแวมไพร์ที่เพิ่งจะพูดเข้าหูเป็นครั้งแรกด้วยสายตาปลาบปลื้มยินดี ^^ แต่ประโยคต่อมาทำให้ฉันแทบลมจับ
“แต่อยู่บ้านเดียวกัน ^^ ”
“ห่ะ O[]O!!!!” ฉัน ริ้ง คิงและเฟรินส่งเสียงออกมาพร้อมกัน พากันมองใบหน้าหล่อเป็นตาเดียว
“อย่างนั้นเรียกว่าอะไรล่ะ” พูดได้หน้าตายด้านมาก
“นายไปพูดอย่างนั้นได้ยังไง” ฉันตีแขนเขาอย่างแรงถึงแม้เจ้าตัวจะไม่รู้สึกอะไรก็เถอะ
“นั่นสินะ”
ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อยที่เขาพูดแบบนี้ออกมา แต่ประโยคถัดมาก็ทำให้ฉันแทบอยากจะมุดแผ่นดินหนียิ่งกว่าประโยคเมื่อครู่ซะอีก
“ต้องบอกว่าเรานอนเตียงเดียวกันแล้วถึงจะถูก”
“ห่ะ O[]O!!!” ดังมาจากสามคนด้านหน้าโต๊ะเขียนแบบของฉัน ทว่าฉันในตอนนี้กับหาเสียงของตัวเองไม่เจอแล้ว
แง่~~~ T^T ทำไมถึงพูดอย่างง้านนนนนนนนน แม้มันจะจริงก็เถอะ ถึงฉันก็ไม่ได้คิดอะไรที่เขาขึ้นมานอนด้วยบนเตียงแต่คนอื่นนี่สิ ถ้าเขาได้ยินอย่างนี้เขาจะคิดกันยางงายยยยย T^T
“อะ...” เริ่มจะหาเสียงเจอหลังจากที่อึ้งไปนาน “ไรนะ”
“ก็เรานอนด้วยกันจริงๆ นี่นา” ยังคงพูดได้หน้าตายและน่าโดนตบมาก
“มันก็ใช่” พูดเสียงอ่อยเลยฉัน ไม่รู้จะเอายังไงกับตานี่จริงๆ
“ตกลงยังไงกันแน่” ริ้งมองหน้าฉันสลับกับหน้าของตาแวมไพร์
“ก็...คือ...” เอามือเกาหัวแล้วหลบสายตาของสามคนนั้น
“ก็อย่างที่บอกไปนั่นละ ^^” ตาแวมไพร์พูดพร้อมยิ้มทรงเสน่ห์ไปให้เพื่อนฉัน ^^
ทั้งสามคนเลยเชื่ออย่างสนิทใจ
นี่เป็นการสะกดจิตด้วยรึเปล่าเนี่ยยยย
“ฉันจะไม่ว่าแกเรื่องที่ไม่ยอมบอกพวกเราว่าแกมี..เอ่อ คนรู้ใจแล้วหรอกนะเพราะเห็นแก่ฟารัส” ริ้งว่าก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง
งะ O.o เห็นแก่ตาแวมไพร์ แล้วทำไมไม่เห็นใจฉันบ้าง ฉันอยากจะร้องไห้จริงๆ เลย T^T เพื่อนฉันนี่น่า~ ฉันอยู่กันมาเกือบสามปีพอมีตาแวมไพร์โผล่มาฉันกลายเป็นหมาหัวเน่าซะงั้น????
“ร้ายนะ ยัยตัวก่อเรื่องเคลื่อนที่ได้” คิงชี้หน้าฉันแล้วเดินกลับไปนั่งที่ แล้วดูมันยิ้มสิ ไอ้เพื่อนฉันคนนี่
นี่ไอ้บ้าคิงมันไปเอาคำพูดนี่มาจากยัยริ้งชัวร์เลย ทำไมถึงชอบเห็นฉันเป็นตัวก่อเรื่องเคลื่อนได้กันนะ
“ดีใจด้วยนะซา ^///^ ” ใบเฟรินผู้แสนดีเดินมาจับมือฉันแล้วเดินกลับไปนั่งที่
อืม ^^ เอาเข้าไปเพื่อนฉัน ดันไปหลงเชื่อตัวอันตรายอย่างหมอนี่ได้ไง ฉันนั่งก้มหน้าลงมองกางเกงวอมตัวเองอย่างสุขใจกับคำอวยพรของเฟริน (ประชด)
อยากจะร้องไห้จริงๆ T^T นี่เพื่อนฉันไม่สังเกตเห็นสายตาที่บ่งบอกว่า ไม่จริง ของฉันเลยเหรอเนี่ย แล้วไม่สังเกตการเปลี่ยนไปแบบกะทันหันของเพื่อนในห้องเลยรึงายยยย
“สองคนนั้นรักกันแล้วทำไมไม่บอกกันละ? -*-” เสียงกระซิบข้างหูทำให้ฉันหันมามองก่อนจะผงะไปด้านหลังเพราะตกใจที่หน้าของเราอยู่ใกล้กันเกินไป เอาอีกแล้วฉันหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว
ตุบๆ
“นายรู้ด้วยเหรอ” ฉันยืดตัวนั่งหลังตรงปรับลมหายใจให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าถามคำถามโง่ๆ ออกไป “ฉันลืมไปว่านายอ่านความคิดคนได้” ฉันยิ้มแห้งๆ แก้เขิน
“...” เขาไม่ตอบสงสัยกำลังด่าฉันอยู่ในใจ
“คือว่าอย่างงี้นะ” ฉันโน้มหน้าไปกระซิบเสียงเบาเพราะเดี๋ยวมีคนได้ยิน “เฟรินกับคิงชอบกันอยู่แต่ไม่มีใครยอมบอกใครก่อนก็เลยได้แต่เก็บไว้ในใจ”
ฉันหันกลับไปมองริ้งกับคิงที่นั่งอยู่ด้านหลังสองคนนั้นกำลังจ้องจับผิดฉันอยู่
“ฉันเข้าใจละ เฟรินมีคนที่ชอบอยู่แล้วก็เลยไม่ได้คิดอะไรกับนายแค่แปลกใจที่เห็น ส่วนคิงก็ไม่ใช่ไม้ป่าเดียวกันและก็ไม่ได้หึงหรืออิจฉานายด้วยเพราะหมอนั่นคงรู้ว่าเฟรินไม่ได้ชอบนาย ยิ่งยัยริ้งจอมห้าวยิ่งไม่ค่อยชอบผู้ชาย ที่เห็นอึ้งคงเพราะเห็นว่าฉันพานายมาด้วย พวกเขาถึงไม่โดนสะกดจิตใช่ไหม” พูดจบก็หันกลับมามองตาแวมไพร์ “ไม่เหมือนสาวๆ พวกนั้นใช่ไหม”
“เพิ่งจะเข้าใจ?” หยักคิ้วขึ้นอย่างกวนประสาท หมอนี่เรียนรู้การพูดแบบคนปัจจุบันได้เร็วมากแถมกวนประสาทยิ่งกว่าเก่าอีก
“ฮื่ม~~” ก้มหน้าลงพ่นลมหายใจออกมาอย่างเดือดดาน “ฮื่ม~~” นิ้วกำกางเกงวอมแน่นเพื่อลดอารมณ์โกรธลง
“หึ” เสียงดังออกมาจากชายหนุ่มอายุพันปีที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเมื่อเห็นฉันอารมณ์เดือด
ฝากไว้ก่อนเถอะ! T^T
เที่ยงวัน
การพักเที่ยงที่เคยสนุกแต่ตอนนี้ไม่แล้ว เพื่อนของฉันสามคนขอแยกตัวไปเพราะอยากให้ฉันอยู่กับแฟน!
เฮอะ แฟนเรอะ ตัวอันตรายมากกว่า
อย่าทิ้งฉานนนนปายยยย ได้แต่เรียกร้องอยู่ในใจเมื่อเห็นเพื่อนสามคนของฉันเดินหันหลังจากไป
ความคิดเห็น