ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love story รักร้ายนายแวมไพร์ตัวป่วน

    ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 4.4 อาจารย์ริสนี่ใครว้า~

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.25K
      19
      23 เม.ย. 66

            ตกเย็นของวันนั้น ณ ห้องจัดงาน

           ฉันนั่งอารมณ์เสียอยู่ในห้องจัดงานไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร ตอนแรกก็ดีใจที่ตาอาจารย์ติ้งต๊องไม่มาแต่ก็ต้องอารมณ์เสียอีกครั้งที่รู้ว่าอาจารย์ติ้งต๊องนั่นโทรมาบอกเพื่อนฉันว่าให้ฉันมาทำงานต่อไม่ให้อู้

           “โอ้ย เซ็งๆ ๆ” ฉันเดินเอาไม้กวาดไว้ที่เดิมแล้วไปหยิบกรอบรูปที่กองอยู่ที่พื้นขึ้นมาเพื่อเดินไปส่งแผนกศิลป์ โดยมีตาแวมไพร์เดินตามอยู่ไม่ห่าง และไม่มีท่าทีว่าจะช่วยเลยสักนิด

     

            “ห่ะ ว่าไงนะค่ะ?” หลังจากที่ได้ยินคำตอบจากเด็กแผนกศิลป์ก็ต้องถามขึ้นอีกครั้งอย่างแปลกใจ อยากเอามือยกขึ้นมาเคาะหูแต่มือก็ไม่ว่างเลยเพราะกำลังถือกรอบรูปอันเทอะทะอยู่ในมือ 

            “ก็อย่างที่บอกไป อาจารย์ของพวกผมยังไม่มีเวลาตรวจงานที่ส่งเข้าประกวด มันเป็นงานบังคับที่จะต้องรอให้คะแนนก็เลยยังเอาไว้ที่ห้องจัดงานนะครับ ^^” ชายหนุ่มผมยาวมาดเซอร์สมกับเป็นเด็กศิลป์ตอบยิ้มๆ “วานไปเก็บที่เดิมด้วยนะครับ” ว่าจบก็เดินกลับเข้าห้องศิลปะไป

            “ตาอาจารย์ติ้งต๊องนั่นต้องรู้อยู่แล้วแน่เลยแต่ไม่ยอมบอกกัน!” ฉันหันหลังเดินกลับไปที่ห้องจัดงาน “ดีที่ยังไม่ย้ายพวกหุ่นปั้นมาก่อน ไม่งั้นได้ย้ายกลับไปที่เก่าอีก ตาบ้าเอ้ย” ฉันกัดฟันพูดอย่างเดือดๆ

            “เธอนี่ชอบมาสายเลยโดนทำโทษ แล้วยังไปว่าคนอื่นอีก”
            หมอนี้ดันรู้อีก 

            “เงียบไปเลย ไม่ช่วยก็หุบปากไป แล้วช่วยหุบเขี้ยวด้วยถึงคนอื่นไม่ทันสังเกตเห็นแต่ฉันเห็น! มันน่ากลัว” ฉันกระแทกเสียงลงประโยคหลัง ก่อนจะเดินกระแทกเท้าปึงปังอย่างอารมณ์เสียก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนมาเดินแบบปกติเมื่อรู้สึกเจ็บข้อเท้าขึ้นมานิดๆ  

            ถึงเขาจะซ่อนเขี้ยวที่ยาวๆ ไปแล้วแต่ก็ยังเห็นเป็นเขี้ยวเล็กๆ อยู่ ถ้าคนอื่นเห็นคนว่าสวยเพราะเขาว่าคนมีเขี้ยวดูมีเสน่ห์ แต่ถ้าโดนอย่างฉันคงไม่คิดอย่างนั้นกันแน่

            “กลัวเพราะอย่างนี้รึเปล่า” ใบหน้าที่แผ่ไอเย็นโน้มเข้ามาใกล้ซอกคอฉันจากทางด้านหลัง  ฉันสะดุ้งแล้วรีบสาวเท้าเดินให้เร็วกว่าเดิม       
            พยายามหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ พยามปรับหัวใจที่เต้นแรงให้ปกติ ไม่รู้ว่ากลัวหรืออะไรทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงผิดปกติขึ้นมา(อีกแล้ว) -///- ใบหน้าก็รู้สึกร้อนขึ้นมานิดๆ ด้วย

            “หึๆ” เสียงหัวเราะดังตามมาด้านหลังอย่างอารมณ์ดี 

    เอาเข้าไปแกล้งกันเข้าไป อย่าให้ฉันถือไพ่เหนือกว่าบ้างก็แล้วกัน! 

            “ซา เดี๋ยวก่อน” เสียงหวานดังขึ้นเรียกความสนใจจากฉันให้หันไปมอง ครูคนสวยที่ทักฉันเมื่อวาน วิ่งตึกตักมาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะยืนอึ้งมองตาแวมไพร์

            “อาจารย์คะ ยู้หู้~~” ฉันส่งเสียงเรียกอาจารย์ที่ยังคงยืนอึ้งอยู่ อยากจะเอามือไปโบกดูว่ายังมองเห็นฉันยืนอยู่ตรงนี้รึเปล่า แต่มือก็ไม่ว่างเพราะกำลังถือกรอบรูปที่หนักหลายกิโลไว้ ไอ้เรื่องหนักนะไม่เท่าไหร่แต่ดันใหญ่นี่สิถือลำบากแถมเมื่อยอีกต่างหาก

           “อ้อ! โทษที” อาจารย์สาวสวยสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหันกลับมามองฉันแต่ก็ยังเหล่ตามองตาแวมไพร์หลายครั้ง “คือตอนแรกครูกะว่าจะไปเยี่ยมอาจารย์ริสซักหน่อย  แต่ครูมีประชุมต่อ ครูวานเธอเอาไปให้อาจารย์ริสหน่อยก็แล้วกันนะ” อาจารย์ยื่นกระเช้าผลไม้กับกระดาษแผ่นสีขาวที่ถูกพับไว้มาให้ฉัน

           “เดี๋ยวค่ะ  อาจารย์อะไรนะค่ะ” ฉันเอียงคอ ในหัวนึกหาชื่อของอาจารย์ที่ชื่อริสอยู่ในหัว

           อาจารย์สาวสวยเหล่ตามองอมนุษย์ที่อยู่ข้างหลังฉันก่อนจะตอบว่า “เธอสนิทกับอาจารย์ริสไม่ใช่เหรอ?”

           “อาจารย์ริส” ฉันทวนชื่ออีกครั้ง ขมวดคิ้วเข้าหากันพรางนึกหาชื่อนี้ในหัวอีกครั้ งหลังจากที่รอบแรกหาไม่เจอ รอบสองก็ยังคงหาไม่เจอต่อ

           “อาจารย์ที่ให้เธอไปช่วยจัดห้องจัดงานไงละ” ขมวดคิ้วแน่นเหมือนงงที่ฉันไม่รู้จักชื่ออาจารย์

           “อ้อ” ตาอาจารย์ติ้งต๊องนั่นเอง จะว่าไปฉันก็ไม่เคยเรียกชื่อหรือรู้จักชื่ออาจารย์ด้วยซ้ำ แฮะๆ ก็เพราะดันมาสายในวันแรกที่หมอนั่นเข้าสอนเลยไม่รู้จักชื่อและไม่เคยสนใจว่าเพื่อนๆ ในห้องจะเรียกหมอนั่นว่าอะไรด้วย

           “วานทีนะ” ยิ้มสวยมาให้แต่ตามองอมนุษย์ข้างหลังฉันตาเป็นมัน 

    ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมพวกสาวๆ ถึงมองแวมไพร์อายุพันปีตัวขาวซีดตาเป็นมันกันทุกคน

          “นี่นายช่วยรับให้หน่อยสิ” ฉันหันไปบอกตาแวมไพร์เมื่ออาจารย์ยื่นกระเช้าผลไม้กับใบกระดาษที่น่าจะเป็นแผนที่มาให้แต่ฉันไม่มีมือรับมันไว้ 

          “แล้วทำไมฉันต้องช่วย” ยืนเอามือล้วงกระเป๋าทำเท่

          “ก็ฉันไม่มีมือถือแล้วเห็นไหม” ยกกรอบรูปในมือให้ดู

          “ฉันจะได้อะไร” เปลี่ยนจากยืนล้วงกระเป๋ามายืนกอดอกต่อรองกับฉันแทน

          “ห่ะ! กะอีแค่ถือของให้นิดเดียวเนี่ยนะ -*- ”

          “...” ร่างสูงหยักไหล่เบ้ปากนิดๆ  เดินมารับกระเช้ากับแผนที่จากอาจารย์สาวสวยไปก่อนจะมาหยิบกรอบรูปในมือของฉันไปถือไว้ด้วยมือข้างเดียวกันกับที่ถือกระเช้าและแผนที่ ดูท่าทางไม่หนักเลยสักนิดต่างกับฉันที่รู้สึกหนักจนแทบจะถือไม่ไหว มืออีกข้างที่ว่างของเขาคว้ามือของฉันไปกุมไว้ 
            ฉันยืนจ้องการกระทำของเขาอย่างงงๆ O.O

           “เธอติดหนี้บุญคุณฉันครั้งหนึ่ง” ยกมือที่กุมมือฉันไว้ขึ้นมา ชูนิ้วชี้ขาวราวหิมะขึ้นมาในขณะที่ปากสีซีดหยักสวยยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ เขาลดมือลงแล้วกระชับมือให้แน่นยิ่งกว่าเดิม ฉันรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาในมือข้างที่ถูกกุมไม่เหมือนครั้งแรกๆ ที่รู้สึก ครั้งแรกที่เขากุมมือฉันให้ความรู้สึกถึงความเย็นเหมือนน้ำแข็งจากขั้วโลก แต่ตอนนี้รู้สึกสบายเหมือนอยู่ในห้องแอร์ธรรมดาๆ 

            “จะบ้าเหรอแค่ถือของเนี่ยน่ะ? -*- ” เดินตามแรงดึงของตาแวมไพร์อย่างช่วยไม่ได้ “แล้วทำไมต้องกุมมือฉันด้วยละ” พยายามสะบัดมือออกแต่ไม่เป็นผล

            “ฝากด้วยนะ” ฉันหันไปมองตามเสียงหวานที่ดังมาจากอาจารย์สาวสวย เธอโบกมือให้ฉัน แต่ตามองอมนุษย์ข้างตัวฉันไม่วางตา ทว่าดูเหมือนอมนุษย์ข้างตัวฉันจะไม่สังเกตเห็นหรือไม่ก็กำลังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×