ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love story รักร้ายนายแวมไพร์ตัวป่วน

    ลำดับตอนที่ #23 : บทที่ 6.3 คำเรียกร้องของตาแวมไพร์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.06K
      11
      18 เม.ย. 66

          “กราสสสสสสสส” เสียงคำรามตามมาพร้อมกับข้าวของที่หล่นกระจาย กระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ แก้วเอย แจกันดอกไม้เอย แตกละเอียดไม่มีชิ้นดี สภาพห้องไม่เหลือเค้าโครงเดิมที่เคยเป็น ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะร่างสูงที่เปลือยท่อนบนจนเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ กำลังเหวี่ยงข้าวของในห้องอย่างอารมณ์เสียกับบางสิ่งบางอย่างที่เขาได้รับรู้มา

            “กราสสสสสสสส” ยังคงส่งเสียงร้องคำรามพร้อมกับปัดของที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งลงจนหมด ก่อนจะยกโต๊ะเครื่องแป้งตัวใหญ่ขึ้นมาด้วยมือเดียว

            ปัก 

            เพล้ง 

           ตุบๆ ๆ  

           โต๊ะเครื่องแป้งถูกเขวี้ยงออกไปแรงมาก จนเมื่อมันตกถึงพื้นโต๊ะเครื่องแป้งสวยงามที่ทำมาจากไม้ชั้นดีก็แตกออกเป็นชิ้นๆ กระจกที่มีลวดลายสวยงามแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จนแทบจำไม่ได้ว่ารวดลายสวยงามก่อนมันจะแตกนั่นเป็นอย่างไง

            เท้าเปล่าเปลือยของชายหนุ่มย้ำไปบนพื้นโดยไม่สนว่าจะถูกแก้วบาดเลยสักนิด เขาคำรามอีกครั้งก่อนจะพุ่งตัวออกไปจากห้อง ประตูไม้สีน้ำตาลที่ปิดอยู่ถูกกระแทกกระเด็นออกไปไกลหลายวา ร่างสูงหยุดกึกลงก่อนที่เท้าของเขาจะทันได้ก้าวเข้าไปในเขตของผืนป่า

           พึบๆ  

           ผ้าคลุมลายลูกไม้สีดำปลิวไสวบดบังทางเข้าป่าข้างหน้าของชายหนุ่ม ร่างบางเจ้าของผ้าคลุมเดินเข้ามาขวางทางเขาไว้ มือเล็กซีดที่มีเล็บยาวสีดำโผล่ออกมาเลิกหมวกคลุมหัวออกไป ผมยาวสีม่วงสลวยปลิวสยายไปตามแรงลมแข่งกับผ้าคลุมลูกไม้ที่ปลิวสะบัดไปมาพอๆ กันกับเส้นผมที่เงางามของเธอ

            ดวงตาคมสีดำนุ่มลึกจ้องไปยังชายหนุ่มด้านหน้าของตน ปากของเธอขยับอยู่ภายใต้ผ้าปิดหน้าลายลูกไม้บางสีดำ ประโยคที่พูดออกมายิ่งทำให้ร่างสูงตรงหน้าคนพูดนั้นดูท่าจะโกรธยิ่งกว่าเดิม เหมือนการพูดของเธอราวกับเอาน้ำมันไปสาดใส่กองไฟที่โหมกระหน่ำอยู่แล้วให้ยิ่งลุกโชนเข้าไปใหญ่  

            หมัดของเขากำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เลือดสีแดงสดเริ่มไหลซึมออกมาจากบาดแผล หยดลงไปบนพื้นหญ้าสีเขียวขจีหลายหยด

           ดูเหมือนเจ้าของร่างบางยังคงพูดไม่หยุดพร้อมยื่นบางสิ่งบางอย่างให้ ชายหนุ่มลังเลสักพักแต่ก็รับมาถือไว้ 

           ปากใต้ผ้าบางขยับไหวอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มรับของไปแล้ว เมื่อเธอพูดประโยคต่อมาสิ่งของที่อยู่ในมือของชายหนุ่มก็จางหายไป หลังจากที่เธอพูดต่ออีกประโยคนั้นชายหนุ่มก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะออกตัวทะยานเข้าไปในป่า
           ร่างสูงกลายเป็นหมาป่าสีน้ำตาลตัวใหญ่มหึมา กางเกงสีดำที่สวมใส่ฉีกขาดตามขนาดของตัวที่ขยายออก

    หญิงสาวหันมองตามร่างของหมาป่า ไหล่บางสั่นไหวน้อยๆ ราวกับกำลังหัวเราะชอบใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า 

     

            วันที่สาม

            “ไง ไอ้ซา” เสียงทุ้มพร้อมแขนแข็งแรงข้างหนึ่งล็อคเข้าที่คอของฉัน

            “ดี ไอ้บ้าคิง” ฉันเดินห่อไหล่เข้าประตูโรงเรียนปล่อยให้คิงล็อคคออยู่อย่างนั้น ไม่ได้โวยวายเหมือนทุกครั้ง

            “เป็นไรของแกว่ะ?” คิงเปลี่ยนจากล็อคคอเป็นพาดแขนไว้ที่ไหลฉันแทน “ไม่เห็นบ้าเลือดเหมือนทุกๆ วัน”

            “มีคนบ้าเลือดกว่าฉันแล้วว่ะ” ฉันยังคงเดินห่อไหล่เข้าโรงเรียนอย่างหดหู่ เมื่อคืนก็ฝันบ้าๆ อีกละ “ดีนะตื่นมาตอนเช้าไม่เจอ”

            “ใคร แฟน เอ้ย สามี แกน่ะเรอะ”

            ฉันหันไปมองคนพูดด้วยสายตาอาฆาต คิดว่าฉันใจง่ายเห็นคนหล่อแล้วจะยอมเป็นภรรยาหมอนั่นง่ายๆ ทั้งที่เพิ่งจะรู้กันน่ะเหรอ ไอ้เพื่อนบ้า “หมอนั่นละ แต่เขาไม่ใช่สะ..”

            “ไงจ๊ะที่รัก” คำพูดฉันสะดุดกึกทันทีที่ตาแวมไพร์มาเดินขนาบอยู่ข้างตัวฉันตอนไหนไม่รู้

           “อ้าวมาไง เมื่อกี้ยังไม่เห็นเลย” คิงยกมือข้างที่ว่างขึ้นทักทายอีกข้างยังคงวางพาดที่ไหล่ฉัน

          “เขาคงเหาะมาด้วยความเร็วแสงละม้าง” ฉันหันไปพูดเรื่องจริงกับคิงซึ่งหมอนั่นดันคิดว่าฉันพูดกวนประสาท

          “อย่าเวอร์ๆ แกนอนไม่พอใช่ไหมเนี่ย ดูท่าจะเลอะเลือนใหญ่ล่ะ”

    ฉันพูดจริงก็ว่าเลอะเลือน อะไรของมันว้า~~  นี่ถ้าฉันบอกว่าคนที่นายทักเมื่อกี้ไม่ใช่คนละก็ คงได้โดนหัวเราะตาย “เอาแขนออกได้ละหนัก” ฉันสะบัดไหล่ไปมาเบาๆ จนแขนใหญ่ของคิงหลุดออก

          “ฉันไม่อยู่เลยนอนไม่หลับเหรอจ๊ะที่รัก”

    ฉันหันไปมองตาแวมไพร์ด้วยดวงตาที่ออกจะคล้ำนิดๆ 

    อย่ามาจ๊ะจงจ๊ะจ๋ากับฉันได้ไหม มันเลี่ยน ฉันคิด หวังว่าเขาคงได้ยินนะ

          “อย่าคิดอะไรมากมายสิจ๊ะ” เขาพูดพร้อมกับโอบเอวฉันแล้วดึงตัวฉันเข้าไปหา ฉันไม่ได้ขัดอะไรอยากจะดึงก็ดึงไป อยากจะกระชากก็ตามใจ เหนื่อยที่จะขัดขืนเต็มทน “มันจะทำให้ผมรู้สึกปวดหัวนิดๆ”

           “ปวดหัวเรอะ?” ฉันเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง 

           “ฉันว่าฉันไปก่อนดีกว่าไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ ไว้เจอกัน” คิงว่าพลางโบกมือลา เออ เอาเข้าไป ว่าไปนั่น 

    ฉันหันไปพยักหน้าให้  ไปซะคิงเอ้ย อยู่นานกว่านี้เดี๋ยวได้โดนแวมไพร์ข้างตัวฉันดูดเลือดเข้า ฉันคิดอยู่ในใจเพื่อประชดคนข้างตัว 

           “ฉันว่าเธอมันแปลกๆ” เขาเอียงหัวหยักไหล่ ต่อหน้าคนอื่นเรียกตัวเอง ผม อะโด่ย อยู่กับฉันสองคนนี้ เรียกแทนตัวเองว่า ฉัน สร้างภาพจริงๆ เลยหมอนี่

           “ฉันนะเหรอแปลก -*- ” ชี้นิ้วมาที่ตัวเอง มองสบตากับดวงตาสีแดงสดที่เป็นประกาย “ฉันว่านายนั่นละที่แปลก” ฉันหันกลับไปมองทางเดินข้างหน้าในขณะที่แขนของตาแวมไพร์ยังคงเกาะเอวฉันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ฉันดึงสายกระเป๋ากับสายกระบอกใส่รูปให้กระชับขึ้นเพราะมันเริ่มจะไหล่ลงจากไหล่

           “แต่ฉันก็ยังว่าเธอแปลกอยู่ดีนั่นละ”

           “ยกตัวอย่างสิ” ฉันหยุดเดิน กอดอกแล้วเอียงหัวมองคนด้านข้างตัว 

           ร่มไม้จากต้นไม้ใหญ่บดบังร่างของเราสองคนจากแสงแดด ลมโชยมาเบาๆ เย็นสบาย ผมที่ไม่ได้มัดไว้ของฉันถูกลมพัดปลิวสยายไปตามแรงลม บรรยากาศดีกว่าที่ควรจะเป็นแต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

           “ก็อย่างเช่น” เขาปล่อยมือจากเอวของฉันเปลี่ยนมายืนตรงหน้าฉันแทน คิ้วสีเงินขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังหาคำอธิบาย 

    ฉันเพิ่งจะสังเกตการณ์แต่งตัวของเขา วันนี้เข้าแต่งตัวเหมือนชายหนุ่มทั่วไปไม่ได้ใส่ชุดบังคับของโรงเรียนฉัน 

            หมอนี่ใส่ชุดไหนก็ดูดีไปหมด -*- จะหล่อไปไหนพ่อคุณ

            “พอเวลาอ่านความคิดของเธอมันจะทำให้ฉันรู้สึกปวดหัว”

            “งั้นก็ไม่ต้องอ่านสิ ฉันก็ไม่ได้อยากให้นายอ่านอยู่แล้ว” ไม่มีใครหลอกน่ะที่อยากให้คนอื่นรู้ในสิ่งที่ตัวเองคิด ถ้าอยากให้รู้ก็คงพูดออกไปแล้วล่ะ ไม่ต้องมาคงมาคิดอะไรในหัวหลอก

           “ที่แย่คือปิดกั้นความคิดของเธอให้ไหลมาในหัวของฉันไม่ได้ มันต่างกันกับคนอื่นๆ ตรงที่ฉันสามารถเลือกที่จะฟังหรือไม่ฟังความคิดของใครก็ได้ ยกเว้นเธอ” ดวงตาสีแดงทอแสงประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงแดดของเช้าวันนี้กำลังมองมายังฉัน
           “ยิ่งเธอคิดมากเท่าไหร่ฉันก็จะยิ่งปวดหัวมากเท่านั้น ฉันว่าหมาบ้านั่นก็คงจะเป็นเหมือนกัน” เขาพิงต้นไม้ใหญ่ด้านหลังพร้อมล้วงกระเป๋า 

           มิน่าละ พอเวลาฉันคิดอะไรเขาก็จ้องเขม็งใส่ทุกที ฉันขมวดคิ้วเพราะนึกได้ว่าไม่ควรคิดที่จะด่าสองตัววายร้ายที่อ่านความคิดของฉันได้ ในที่นี่ก็รวมถึงอาจารย์ริสด้วย นี่ฉันจะคิดอะไรไม่ได้รึไงนะ?

           “นี่เธอจำชื่อฉันได้รึยัง” เจ้าตัวพูดพร้อมกับดึงมือของฉันให้ตัวฉันเข้าไปหาเขา จากนั้นก็เอาแขนอีกข้างเกี่ยวเอวฉันไว้

          ฉันผงะไปดานหลังนิดๆ “จะ..จะ...จำได้แล้ว แต่มันไม่ชินที่จะเรียกนี่น่า” ดีนะที่เมื่อครู่ตอนที่ฉันไม่ได้เรียกชื่อเขาไอ้คิงมันอยู่ด้วยเลยไม่ทำให้เขากระชากคอฉันไปดูดเลือด “นายไม่ต้องเรียกชื่อฉัน ฉันก็ไม่ต้องเรียกชื่อนาย ดีออกจะตายไป”
            ฉันเริ่มต่อลองขณะเอามือดันตัวออกห่างจากเขา ซึ่งตอนนี้ตัวฉันหลุดออกมาจากแขนเขาแล้ว มันง่ายมากกว่าครั้งก่อนๆ ที่พยายามดันอกเขาที่แม้จะออกแรงดันยังไงเขาก็ไม่ยอมปล่อย

            “ไม่อ่ะ ฉันจะเรียกชื่อเธอ” เขายืนเอามือล้วงกระเป๋าส่ายหน้าไปมาเบาๆ เพื่อจะไม่ทำตามที่ฉันเสนอออกไป “ซา~~” โน้มหน้าเข้ามาใกล้พร้อมยิ้มทะเล้น

            “เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น ” ฉันยกมือขึ้นทาบอกของเขาไว้ไม่ให้เขาเข้าใกล้ฉันได้มากกว่านี้ เพราะเดี๋ยวมันจะทำให้หัวใจของฉันเต้นไม้เป็นจังหวะมากกว่าที่เป็นอยู่ ฉันย่อเข่าลงเพื่อหลบใบหน้าเนียนพร้อมถอยห่างไปด้านหลังก้าวหนึ่ง ยืดตัวตรงเอามือซุกเข้าไปข้างหลังเพื่อหนีห่างจากความเย็นที่กระจายมาจากตัวเขา มือที่ทาบอกเขาเมื่อครู่ รู้สึกเย็นวาบทั้งที่ตอนนี้ฉันไม่ได้ยกมือทาบอกเขาอยู่ 

            มันเย็นสบายแต่กลับทำให้ฉันรู้สึกหายใจติดขัดจนต้องเอามือที่ซุกอยู่ยกขึ้นมาทุบอกตัวเองเบาๆ  นี่ฉันเป็นอะไรอีกละเนี่ย จะกลายเป็นนางสาววันละโรคล่ะฉัน (ไม่ใช่วัณโรคนะ) เมื่อวานก็เจ็บขาวันนี้ก็หายใจไม่ออกอีก

            “คือฉันไม่ค่อยชินเท่าไหร่น่ะ” ฉันรีบอธิบายเมื่อเห็นเขาจ้องมาอย่างรอคำตอบ “ว่าแต่นายจะคะยั้นคะยอฉันทำไมกัน” ฉันค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ พร้อมก้าวถอยหลังไปนิดๆ แม้จะรู้ว่าตาแวมไพร์ก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าฉันคิดจะถ่อยห่างจากเขา  แต่เพื่อความสบายใจของฉันขอก้าวถอยหลังหน่อยละกัน 

            “ก็เธอดูสนิทสนมกับเจ้าตัวมีขนนั่นมากกว่าฉันน่ะสิ” เขายืนนิ่งจ้องหน้าฉัน ถึงแม้บนใบหน้าจะประดับยิ้มสวยไว้แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจได้หรอกนะ ฉันว่าท่าทางแบบนี้น่ากลัวกว่าตอนไม่ยิ้มเสียอีก “เธอเรียกแทนตัวเองว่าซากับเจ้านั่น” เขาเน้นเสียงคำหลังอย่างจงใจ 

            “มันก็แน่ซิ ที่ฉันจะสนิทสนมกับอาจารย์มากกว่านาย ก็เพราะฉันรู้จักเขามานานกว่าคนที่เพิ่งเจอกันแค่สามวันอย่างนายนี่น่า แถมเขาก็เป็นอาจารย์ฉันด้วย ฉันก็เลยใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าซา” ฉันถอยหลังไปอีกก้าว ทว่ายังคงสบตากับดวงตาคู่สีแดงสวยนั่นอยู่ 

           “แต่ฉันเป็นพี่มัน” เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉันอย่างช้าๆ จนฉันนึกหวั่นๆ อยู่ในใจว่าหายนะกำลังจะมาเยือน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×