คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : บทที่7.2 ความวุ่นวายในห้องพยาบาล
หมับ
ตุบ
ทว่าก่อนที่ใบหน้าของอาจารย์จะเข้าใกล้ฉันมากกว่าเดิม ร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านข้างฉันเหมือนถูกบางสิ่งบางอย่างกระชากอย่างแรง ร่างของอาจารย์กระเด็นไปที่ผนังห้องฝั่งหนึ่งแล้วไหลลงมาสู้พื้นห้อง
“อาจารย์” ฉันโพล่งออกไปก่อนที่จะสังเกตเห็นอีกคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยซ้ำ “มาตอนไหนเนี่ย” หันมามองคนข้างเตียง
“ตอนที่ทันเห็นเธอยอมให้มันจูบน่ะซิ!” ดวงตาสีแดงวาวโรจด้วยความโกรธ ครั้งนี้ฉันคิดว่ามันดูเจิดจ้ายิ่งกว่าครั้งอื่นๆ ข้าวของในห้องพยาบาลค่อยๆ ลอยขึ้นมาอย่างกับปรากฏการโพลเตอร์ไกส์
“ฉันเปล่า”
ปฏิเสธทันควัน คิดจะยัดเยียดข้อหากันรึไงนะหมอนี่
“เฮ้ๆ ไฟไหม้ๆ” ฉันชี้ไปยังกล่องกระดาษที่ลอยอยู่ตรงมุมห้องซึ่งตอนนี้มีไฟลุกไหม้โดยที่ไม่มีใครไปยุ่งกับมันด้วยซ้ำ แถมของในห้องชิ้นอื่นๆ ก็เริ่มลอยขึ้นและลุกไหม้ไปตามๆ กัน
ตุ๊บๆ ๆ ๆ
ข้าวของที่ลอยอยู่ล่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทว่าดวงตาคู่สวยยังคงเป็นสีแดงสดเหมือนกำลังเก็บอารมณ์โกรธไว้ในใจ
“ไอ้แวมไพร์บ้าเลือด แกโยนฉันแรงไปไหม? ฉันอยู่ในร่างคนนะจะบอกให้” ร่างสูงที่นั่งพิงผนังห้องพยุงตัวยืนขึ้น “โมโหทำไม ทีนายทำไม่คิดว่าฉันจะโมโหบ้างรึไง” มือใหญ่ปาดเลือดที่มุมปากออก
“แกอยากจะเปิดศึกเรื่องนี้อีกใช่ไหม? ไหนตกลงกันแล้ว” ตาแวมไพร์วางกล่องข้าวลงที่โต๊ะตรงหัวเตียง เขาไม่ได้หันไปพูดกับน้องชายของตัวเองเพียงแค่มองผ่านหางตาเท่านั้นก่อนจะหันกลับมาจ้องฉันอย่างเอาเรื่อง
“ก็ได้ ฉันจะรักษาสัญญา ถือว่าหายกันกับเมื่อเช้าที่แกทำ แกก็รักษาสัญญาด้วยล่ะกัน” อาจารย์ว่าพลางกวาดมือเป็นวงกลมเหมือนร่ายมนต์ หลังจากนั้นห้องทั้งห้องก็กลับไปอยู่สภาพเดิมรวมทั้งข้าวของที่ไหม้ไปแล้วนั่นด้วย
“...” ฉันได้แต่มองหน้าทั้งสองคนสลับกันไปมาอย่างไม่เข้าใจ
“เฮ้ย ยัยซาเป็นไงบ้าง” เสียงห้าวๆ ของริ้งดังขึ้นก่อนตัวจะมาถึงด้วยซ้ำ
ยัยริ้งก็ไม่รู้จักเกรงใจคนอื่นบ้างเลย ตะโกนมาแต่ไกลเชียว
ปัก
เสียงดีดนิ้วดังมาจากตาแวมไพร์ หลังจากนั้นห้องทั้งห้องก็เปลี่ยนสภาพไปจากที่มีเตียงฉันเดี่ยวๆ ตอนนี้กลายเป็นว่ามีผ้าม่านสีขาวมากั้นกลางระหว่างเตียงฉันกับเตียงอื่นๆ ในห้องด้วย
นั่นสินะ ทำไมฉันถึงไม่ได้สังเกตว่าห้องมันโล่งๆ น่ะ ยิ่งแปลกที่มีเพียงเตียงฉันเตียงเดียวด้วย
ฉันนี่ลืมสังเกตจนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในห้องที่สร้างขึ้นจากเขตเวทมนตร์เลยด้วยซ้ำ เสียงดังขนาดที่ร่างของอาจารย์กระทบเข้ากับกำแพงยังไม่มีคนเข้ามาดูอีก ทำไมฉันไม่นึกเอะใจตั้งแต่ตอนนั้นน่ะ
“โห โลกต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แน่ที่ไอ้ซาเกิดอาการที่เรียกว่าเป็นลมได้เนี่ย เหลือเชื่อจริงๆ ว่ะ” ร่างสูงของคิงก้าวเข้ามา แต่แล้วก็หยุดกึกลงทันที คิงมองสองอมนุษย์ที่ยืนจ้องตากันอยู่สลับกันไปมา
ตุบ
“โอ้ย แกหยุดทำไมว่ะ” ยัยริ้งที่เดินตามหลังมาไม่รู้ว่าเพื่อนของตัวเองหยุดเดินแล้ว เลยชนเข้ากับแผ่นหลังของคิงเต็มๆ ยัยริ้งบ่นไปพร้อมกับเอามือกุมหน้าผากตัวเองไว้หลวมๆ สีหน้าเตรียมจะเรื่องได้ทันทีถ้าไม่ได้คำตอบที่ดีจากคนตัวโตข้างหน้า
“โอ๊ะ! อาจารย์ริสกับฟารัสก็อยู่” คิงชี้นิ้วไปทางอาจารย์ทีตาแวมไพร์ที
“เสียงพวกแกนี่มาก่อนตัวเลยน่ะ” ฉันพูดขึ้นเพราะไม่อยากให้คิงสงสัยอะไรมากไปกว่านี้ เรื่องที่ว่าทำไมสองหนุ่มอายุพันปีถึงมาอยู่กันที่นี่
“สวัสดีค่ะอาจารย์ ดีจ๊ะฟารัส” เฟรินที่เพิ่งเดินมาถึงทักทายอมนุษย์ที่อยู่ในห้องก่อนจะเดินมาที่เตียงฉัน อาจารย์และตาแวมไพร์พยักหน้านิดๆ ให้เฟรินเป็นการทักทาย ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไปข้างนอกผ่านเพื่อนสองคนของฉันที่ยังคงยืนคาทางอยู่ที่ประตูเพราะยังทะเลอะกันเรื่องที่หยุดเดินกะทันหันกันไม่ลงตัวสักที
ฉันยังไม่ทันได้ถามเลยว่าอาจารย์เป็นอะไรไหม เล่นกระแทกแรงซะขนาดนั้น ตาแวมไพร์ก็เหมือนกันกระแทกต้นไม้แรงขนาดนั้นไม่รู้จะเป็นอะไรไหม แต่ฉันว่าคงไม่เป็นไรมากหลอก พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดานี่เนอะ
“นอนไม่พอเหรอ เห็นคิงบอกว่าเจอซาตอนเช้าสีหน้าไม่ดีเลย” เฟรินนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง
ฉันที่มองตามสองอมนุษย์ออกไปจากห้องหันกลับมาสนใจเฟริน ฉันยิ้มให้เฟรินและกำลังจะตอบออกไปว่าไม่เป็นไรมากหลอก แต่ก็มีเสียงของใครบางคนแทรกขึ้นก่อน
“มันไม่ตายง่ายๆ หรอก ผู้หญิงทึกอย่างไอ้ซาเนี่ย”
“ไอ้คิง ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้หรอกนะถ้าไม่พูดอ่ะ” ฉันหยิบหมอนโยนไปใส่ร่างสูงที่กำลังเดินมาพร้อมกับยัยริ้งที่โดนคิงล็อคคออยู่
ตุบ
หมอนใบหนาที่ตั้งใจจะโยนไปโดนร่างสูงกลับโดนหัวของริ้งแทน
“โอ้ย ยัยซา แกน่ะแกโยนให้มันแม่นๆ หน่อยสิว่ะ ไอ้บ้าคิงนี่ก็เหมือนกันปล่อยฉันเดี๋ยวนี้น่ะ” มือเล็กของยัยริ้งพยายามแกะแขนของคิงออก
“ขอโทษทีๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ฉันยกมือขึ้นมาโบกไปมา ขอโทษขอโพยใหญ่
“เลิกเล่นกันได้แล้ว รบกวนคนอื่นเขานะ” เฟรินพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง ถึงจะพูดดุแต่ใบหน้าของเธอก็ยิ้มแย้มเมื่อเห็นเพื่อนหยอกกันอย่างนั้น
“ก็ได้~~” คิงปล่อยแขนที่ล็อคคอริ้งออก
แหมพูดเสียงหวานเชียว พอเป็นเฟรินบอกล่ะก็ยอมทำตามอย่างว่าง่ายเลยแฮะ ไอ้คิงเนี่ย
ฉันได้แต่คิดอยู่ในใจเพราะไม่กล้าพูดอะไรมาก ปล่อยให้ทั้งคู่เข้าใจกันแต่ไม่ยอมพูดอย่างนี้ต่อไปดีกว่า เพราะเรื่องอย่างนี้พวกเขาต้องจัดการกันเอง
“เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทันแล้วเนี่ย” ริ้งเอานิ้วสางผมให้เป็นทรงเหมือนเดิมอย่างอารมณ์เสียเมื่อหลุดออกมาจากพันธนาการได้สำเร็จ
“ช่างมันเถอะน่า เลือดจะไปเลี้ยงหรือไม่ไปเลี้ยงแกก็โง่เหมือนเดิมนั่นล่ะ” ฉันว่าอย่างกวนๆ
“ยัยซา แกก็ไม่มากไปกว่าฉันหรอกน่า แน่จริงแกส่งงานเข้าประกวดแข่งกับฉันไหม” ริ้งดึงแขนเสื้อขึ้นอย่างโมโหทำท่าเหมือนจะหาเรื่อง แต่สีหน้ากลับกำลังยิ้มแย้ม
“โห ไม่อยากจะคุย เสร็จแล้วโว้ยๆ จะดูไหมๆ” ฉันเลิกแขนเสื้อขึ้นตาม โกหกออกไปทั้งที่จริงๆ ยังไม่ได้ทำเลยด้วยซ้ำ
“ฮ่าๆ น้ำหน้าและหัวสมองอย่างแกเนี่ยน่ะ” ริ้งว่าอย่างร่าเริง
ยัยเพื่อนคนนี้...ดันรู้ทันอีก
“โห โครตดูถูกอ่ะ” ฉันเตรียมจะลุกออกจากเตียงทว่าริ้งกลับเดินมาบีบคอฉันไว้หลวมๆ แล้วโยกไปมาเสียก่อนที่ฉันจะได้ลุกด้วยซ้ำ “โอ้ยๆ แคกๆ เฟริน ชะ...ช่วย...ด้วย” แกล้งสำออยขอความช่วยเหลือจากเฟริน
“หึๆ นี่เลิกเล่นกันได้แล้ว” ถึงจะดุแต่ก็ยังคงยิ้มหวานอยู่
น่ารักจัง ^^
“โอ้ย แคกๆ” ฉันกำมือของยัยริ้งไว้แกล้งเหลือกตาขึ้นเหมือนกำลังขาดอากาศหายใจ
“ฮ่าๆ เนียนเลยน่ะแก” คิงขยี้หัวฉันจนผมที่ฟูอยู่แล้วยิ่งฟูขึ้นไปใหญ่
“รุมแกล้งฉันเหรอพวกแก?” ฉันโวยวายเตรียมหาเรื่องคิงกับริ้งเต็มที่
ความคิดเห็น