ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love story รักร้ายนายแวมไพร์ตัวป่วน

    ลำดับตอนที่ #33 : บทที่ 9.1ผมก็แค่อยากจะแกล้งเธอ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.64K
      11
      28 เม.ย. 66

            “เธอเขียนมันส่งเหรอซา ผม...” เสียงของตาแวมไพร์ดังขึ้น 

            “ฉันเปล่า ฉัน  ฉันแค่...” ฉันหันกลับไปเพื่อที่จะอธิบายให้เขาฟังว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะเอาแบบปราสาทของเขามาส่ง

            “ผมผิดหวังในตัวซามาก” ดวงตาสีแดงจ้องมองฉัน ใบหน้าหล่อไร้รอยยิ้มอย่างที่เคยมี

            “ฟังฉันก่อน” ฉันวิ่งไปหาเขาทว่าเขากลับหายไปก่อนที่ฉันจะไปถึง

            “เฮ้ย” คิงที่เห็นเหตุการณ์อยู่ถึงกลับร้องออกมา ส่วนเสียงของเฟรินไม่มี ดูท่าเฟรินคงจะตกใจจนร้องไม่ออก

            “ฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเอาแบบปราสาทที่เป็นความทรงจำดีๆ ของนายมาส่งน่ะ!” ฉันพูดเผื่อว่าเขาจะได้ยินเสียงฉันบ้าง น้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลลงมาอาบแก้มของฉัน 

            ฉันยกมือขึ้นจับดูก็พบว่าเป็นน้ำตาของตัวเอง “ได้ยินไหม ตาบ้า” ตะโกนดังลั่นแล้วหันไปมองเพื่อนสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง หน้าคิงกับเฟรินตอนนี้เหวอไปเรียบร้อย

           “มะ..เมื่อกี้เห็นไหม หะ...หายไปได้ไง” เฟรินชี้มาที่ๆ ฉันยืนอยู่

           “แกร้องไห้ทำไมว่ะ ไอ้ซา” คิงเลิกทำหน้าเหวอเมื่อเห็นน้ำตาของฉัน

           “ไม่รู้อ่ะ น้ำตามันไหลเอง แต่หมอนั่นต้องโกรธฉันแน่ๆ เลย ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ พิมพ์เขียวอันนั้นฉันแค่อยากเขียนเท่านั้นเอง” น้ำตาของฉันยังคงไหลไม่หยุด เท่าที่ฉันจำได้ฉันไม่เคยจะร้องไห้เลย 

           “เฮ้~~~~ เพื่อนๆ อาจารย์ริสมาแล้วววววววว  แล้วฉันก็มีข่าวดะ...” ทายได้เลยว่าเสียงมาก่อนตัวอย่างนี้คือใคร “แกมาอยู่นี่ตอนไหนเมื่อกี้แกยังอยู่...” เมื่อมาถึงก็เริ่มยิงคำถามใส่ฉัน

           “มาเมื่อกี้ แกเดินช้าเองนี่” ฉันหันไปตอบเพื่อแก้ตัว แค่ที่ตาแวมไพร์บ้านั่นหายตัวไปกะทันหันอย่างนั้น ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายให้เพื่อนทั้งสองที่เห็นเหตุการณ์ฟังยังไงแล้ว อย่าให้ยัยริ้งมาสงสัยอะไรเพิ่มอีกเลย 

            “เฮ้ย ร้องไห้ทำไมว่ะ” ยัยริ้งเดินมาหยุดยืนตรงหน้าฉัน มือเรียวยกขึ้นมาแตะน้ำตาของฉัน แล้วก็ก้มมองมือตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

           “ไม่มีอะไร” ฉันปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะหันไปเห็นคนที่เดินเข้ามาตามหลังยัยริ้ง “อาจารย์ค่ะ  อาจารย์เอากระจกนั้นลงมาลบให้หน่อย นั่นไม่ใช่อันที่ซาจะเขียนส่ง”

           “ก็มันอยู่ในกระบอกใส่รูปเธอนี่”

           “ก็ใช่ แต่ว่าไม่ใช่อันที่ซาจะเขียนส่ง เอาลงมาลบให้หน่อย เรื่องงานที่ซายังไม่ส่งค่อยว่ากันที่หลังนะค่ะ” ฉันพูดจบก็รีบวิ่งออกไป

           “ได้ๆ โทษทีครูไม่รู้ แล้วนั่นเธอจะไปไหน?” อาจารย์ริสตะโกนตามหลังฉันมา

     

            >>>ฟารัส<<<

            “ตาแวมไพร์บ้า~~~ ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ” เสียงใส         ตะโกนก้องดังทั่วป่า ถึงผมจะไม่ได้ยืนดูเธอจากบนต้นไม้นี่หรืออยู่แถวนี้ก็สามารถที่จะได้ยินเสียงเธอจากที่ไกลๆ ได้เลยทีเดียว

            “งี่เง่าที่สุด” เธอหันมองรอบตัวเพื่อมองหาคนที่กำลังตามหาอยู่     “ฉันไม่ได้ตั้งใจทำสักหน่อย นายก็อ่านความคิดฉันได้นี่ ทำไมถึงต้องโกรธกันด้วย ฉันรู้ว่าฉันผิด ออกมาให้ฉันขอโทษก่อนสิ! หนีหน้ากันทำไมเล้า~~~”

            ฟังที่เธอว่าผมสิ ตกลงใครผิดกันแน่  ใช่~ ผมรู้ว่าที่ผมโกรธเธอด้วยเรื่องแค่นี้มันงี่เง่า อันที่จริงก็ไม่ได้โกรธอะไรมากถึงเธอจะเอาแบบปราสาทของผมไปโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำก็เถอะ 

            ที่ผมทำไปเพราะผมอยากจะแกล้งเธอเล่นๆ เท่านั้นเอง เป็นเธอเองที่ ดันบอกเป็นนัยๆ ว่าไม่ได้คิดถึงผมสักนิด นั่นเลยทำให้ผมฉุนขึ้นมา และไอ้ที่แย่ที่สุดคือ ตั้งแต่กลับมาผมไม่สามารถอ่านความคิดหรือได้ยินเสียงในใจเธอได้นี่สิ  ผมถึงไม่รู้ว่าเธอตั้งใจคัดลอกแบบปราสาทผมไปหรือเปล่า แต่เรื่องที่เธอจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเอาแบบปราสาทผมไปผมไม่ว่าหรอก 

             ทว่าผมในตอนนี้ไม่สามารถรู้ได้ว่าเธอรู้สึกยังไงกับผม ที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานหลายวัน ถึงแม้เธอจะสลบไปก็ตาม ก็น่าจะคิดถึงกันบ้างสิ ผมในตอนนี้ไม่สามารถได้ยินเสียงในใจของเธอได้อีกแล้ว มันรู้สึกเหมือนบางอย่างในตัวผมขาดหายไป บางอย่างนั่นก็คือเสียงของเธอที่ผมเคยได้ยิน เสียงของเธอที่ผมไม่อาจปิดกั้นที่จะรับฟัง ทุกๆ ครั้งที่เธอคิด ผมจะรับรู้ได้ทุกครั้ง แต่คราวนี้ไม่แล้วมันไม่เหมือนเดิม นั่นทำให้ผมรู้สึกแย่มากๆ ในตอนนี้

            ผมก็เลยอยากแกล้งเธอ จะได้ดูจากท่าทางว่าเธอรู้สึกยังไงกับผม ผมไม่เลวเกินไปใช่ไหมที่แกล้งเธออย่างนี้ แล้วก็ต้องขอบใจไอ้น้องบ้าที่ดันจำปราสาทของผมไม่ได้ว่าเป็นปราสาทแบบเดียวกันกับที่ซาเขียน มันคงไม่รู้ถึงได้เอาไปประกวดให้ซา นั้นคงเพราะมันไม่ได้ไปที่นั้นนานจนลืมไปแล้วว่าปราสาทที่มันร่ายมนตร์บังไว้เป็นอย่างไง น่าจะนานพอๆ กับที่ผมโดนขังไว้ ซึ่งก็พันปีมาแล้ว เป็นใครก็คงจะลืมเหมือนกัน

            “นี่! ได้ยินที่ฉันพูดไหมตาบ้าเอ้ย” ยังคงตะโกนด่าผมต่อไป “ไปอยู่ไหนนะ” ดูเหมือนประโยคนี้จะกระซิบกับตัวเอง เธอนั่งลงที่โขดหินข้างลำธารน้ำไหล 

            ซึ่งปกติป่าแห่งนี้เมื่อพันปีที่แล้วมันไม่มีลำธาร ไม่สามารถมองเห็นท้องฟ้าได้เหมือนตรงลำธารแห่งนี้ จะมีก็แค่ที่ปลายทางของป่ากับที่ปราสาทของผมเท่านั้นที่จะเห็นได้ ทว่าตั้งแต่ผมได้รู้จักเธอ ป่าแห่งนี้ก็เริ่มมีลำธาร มีน้ำไหล มีเสียงของสรรพสัตว์ มีดอกไม้สีสันสวยงาม ทุกอย่างเป็นเพราะเธอ เพราะเด็กสาวตัวเล็กๆ คนนั้น 

           คนที่ทำให้ผมได้ยินเสียงหัวใจของผมเต้นดังอย่างที่ไม่เคยเป็น

    มือเล็กของเธอหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมาปาใส่น้ำเพื่อระบายความโกรธ

           โอ๊ะ ดูเธอทำสิ คนที่น่าจะโกรธน่าจะเป็นผมมากกว่าถึงแม้ผมจะแกล้งให้เธอเดินตามหามาเกือบสองชั่วโมงแล้วก็ตามเถอะ 

    ผมยืนอมยิ้มแอบมองดูเธอที่กำลังจะหยิบหินก้อนต่อไปขึ้นมาปา

           “บ้าที่สุดเลย นี่ฉันต้องเสียเวลาเพื่ออะไร ทำไมต้องแคร์ด้วยว่านายจะรู้สึกยังไง” เริ่มพูดเหมือนผมผิดอีกละ ถึงแม้จะผิดนิดหน่อยที่แกล้งเธอก็ตามที “ใช่ซี้~~~ นายมันไม่ใช่คนไม่มีหัวใจ ไม่รับรู้และไม่ยอมรับฟังอะไรเลย”

            โอ้ย จี้ด~

            “ใครว่า” ผมพูดขัดขึ้น ใบหน้าเรียวเงยขึ้นมามองผมที่อยู่บนต้นไม้

            พึบ 

            ผมหายตัวไปปรากฏข้างหน้าเธอ

            “ผมเหรอไม่มีหัวใจ” ดึงมือเล็กมากุมไว้ ร่างบางสะดุ้งนิดๆ คงเพราะยังไม่เคยชินกับการปรากฏตัวแบบกะทันหันของผม ตอนนี้ผมเริ่มใช้คำพูดแบบจริงจังกับเธอจากที่เคยเรียกแทนตัวเองว่า ฉัน ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็น ผม แทน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×