jasminemaria
ดู Blog ทั้งหมด

เรื่องเล่าของตา : สงครามมหาเอเชียบูรพา

เขียนโดย jasminemaria
เรื่องเล่าของตา : สงครามมหาเอเชียบูรพา

...
ไม่ต้องสนใจอ่านอันนี้ก็ได้ แค่อยากจะบันทึกเรื่องเล่าของตาที่เสียไปแล้ว...ก่อนที่ตัวเราจะลืมไป เพราะเรื่องนี้คนทั้งบ้านไม่มีใครรู้อีกเลยนอกจากเราคนเดียว เริ่มจะเลือนลืมหรือตกหล่นไปบ้างแล้ว อาจมีบางอย่างคลาดเคลื่อนไปบ้าง แม้ตาไม่ใช่บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ แต่เหตุการณ์ที่ตาเคยเจอในครั้งนั้นกลับเป็นเรื่องสนุกสนานสำหรับเรา
...
สมัยนั้นตาเป็นเด็กเมืองกาญจน์ ที่ไปๆมาๆระหว่างกรุงเทพและกาญจนบุรี แกเรียนประถมอยู่ที่กรุงเทพ มีอยู่วันหนึ่งนอนอยู่ดีๆก็ได้ยินเสียงระเบิดบึ้ม มีเสียงหวอดังระงม (น่าจะเสียงไซเรนหลบภัย?) หมาหอนยาวตามเสียงด้วย ท่ามกลางความมืดที่มีประกายไฟวูบมาจากไหนสักที่ให้สะดุ้งระแวง ทุกคนวิ่งไปหลบกันในหลุมอลหม่าน ตาก็วิ่งไปกับพี่ๆและน้องเช่นกัน ตอนนั้นเสียงมันดังตรึม...ตรึม...รู้สึกว่าจะมีเสียงรัวกระสุนเข้ามาด้วย เด็กๆทุกคนไปโรงเรียนต้องใส่หมวกกะโล่ ตาก็ต้องใส่ พอกรุงเทพเริ่มอันตรายทุกคนก็ต้องกลับเมืองกาญจน์อันเป็นบ้านเกิด

แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับตอนอยู่กรุงเทพ แม้ว่าเมืองกาญจน์จะไม่มีเครื่องบินวางระเบิดรุนแรงแบบที่กรุง แต่บ้านแกดันอยู่ตรงชุมทางรถไฟเมืองกาญจน์ คงรู้ใช่ไหมว่าเจอใคร? ทหารญี่ปุ่น ตอนนั้นทหารญี่ปุ่นเต็มไปหมดเลย แต่ที่ตลกคือคนไทยกลับยืนมองดูเป็นไทยมุงยังกับของแปลก ไม่มีใครกลัวกันเลย เห็นใครๆเคยพูดว่าทหารญี่ปุ่นมันโหดร้ายทำกับคนไทยยังงั้นยังงี้ แต่เท่าที่ตาเจอทหารญี่ปุ่นไม่ได้ทำอะไรคนไทยเลยนะ ทุกคนเป็นการเป็นงานกันหมด คนไทยคนญี่ปุ่นก็ต่างคนต่างอยู่ และก็มาซื้อของพูดคุยอะไรกันบ้าง แต่ไม่ใช่ไม่มีเรื่องไม่น่ารักเลย แกบ่นว่าเงินที่ใช้อยู่ตอนนั้นทั้งกรอบและเปราะมาก มันเป็นกระดาษบางๆ (ตรงนี้ตาเคยบอกชื่อเล่นเงินนั่นด้วย ซึ่งเราลืมไปแล้ว) เขาผลิตมาให้ใช้กันได้ทั้งไทยและญี่ปุ่น แน่นอนว่าฝ่ายใช้ลำบากคือไทยนะ แล้วที่กระดาษมันบางก็เพราะลดต้นทุนกระดาษและใช้ให้ได้เยอะๆ ฝ่ายที่คุ้มสุดก็ญี่ปุ่นนี่แหละ แกบ่นตลอดเหมือนใช้เงินกงเต็กทั้งที่ยังไม่ตาย 55555+ [ตอนนี้แกต้องใช้แล้วแหละเนอะ ไปซื้อไอโฟนสตีฟจ็อบที่โลกวิญญาณ(?)]
...
เคยถามถึงเชลยศึกที่เป็นทหารฝรั่ง น่าเสียดายที่ตาไม่ถึงขนาดไปเห็นตัวเป็นๆ แต่แกก็รุ้แหละแบบผู้ใหญ่เล่าให้ฟังอีกที เขาคงไม่ปล่อยให้คนไทยเห็นตัวและคงไม่ปล่อยให้คนไทยไปเจอตัวกันง่ายๆเช่นกัน มีเรื่องที่น่ารักของคนไทยกับเชลยศึกฝรั่งอย่างหนึ่ง ตาบอกคนไทยจะมัดข้าวต้มแล้วไปแอบอยู่พุ่มไม้ ไม่ให้คนญี่ปุ่นรู้ สบอาศัยจังหวะก็จะโยนๆหรือซ่อนๆไว้ ให้เชลยศึกเดินผ่านมาหยิบกิน คงจะสงสารแหละเพราะพวกเขาผอมกันเหลือเกิน ตรงนี้ตาไม่ได้เล่าว่ามีคนญี่ปุ่นจับได้ไหมหรือถึงถามแกก็อาจจะไม่รู้ก็ได้ เคยอ่านจากที่อื่นคนไทยที่โดนจับได้จะถูกนำตัวไปทรมาน ซึ่งก็ไม่ค่อยชัวร์รายละเอียดเช่นกัน

จริงๆก็ไม่แน่ใจว่าข้าวต้มมัดหรือเป็นแค่ห่อข้าวในใบตองเฉยๆกันแน่ เริ่มเลอะเลือนแล้ว แต่ที่น่ารักสำหรับวัยของตาในสมัยนั้นคือ ของที่หายากและล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำที่สุดในสมัยนั้นคือ ขนมปังจุ่มนมข้น หรือขนมปังห่อหมูต้มก็ไม่ชัวร์ รู้มามีทั้งนมทั้งหมู ใครได้กินนี่ยิ่งกว่าถูกหวยกันเลยทีเดียว เด็กๆไปรับของพวกนี้จะดีใจกันมาก ตาไม่สามารถจำได้ถึงขั้นระบุปีแต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ไทยกำลังจมพิษสงครามอ่วมทีเดียว เพราะเคยใช้ไฟแช็คแบบดีๆก็มาใช้ไฟแช็คกระบอกไม้ไผ่ (ไม่ใช่ก็ประมาณนี้ จำได้แต่ไม้ไผ่กับจุดไฟ) ติดบ้างไม่ติดบ้าง คนไทยเคยแต่งตัวสวยๆมีหมวกเนื้อตัวหอมสะอาดสะอ้าน ก็เริ่มโทรมอย่างเห็นชัด ไม่ได้เล่าต่อว่าโทรมยังไงแต่คงไม่ต่างกับที่พวกเราจินตนาการมากเท่าไร
...
เพราะตายังเด็กเลยไม่สามารถเล่าได้จนจบสงครามและละเอียดมากนัก ความรู้สึกของแกคงเป็นแบบเคยเจอทหารญี่ปุ่นเต็มไปหมดเลย อยู่ทั่วบ้านเลย (ทั้งกรุงทั้งกาญจน์) แล้วอยู่ดีๆพวกเขาก็ทยอยหายไปดื้อๆ กลับไปเรียนหนังสือต่อที่กรุงเทพ โรงเรียนของตาก็เหลือแต่ซากอาคารแตกสลายในกองเถ้าถ่านแล้ว (เราก็ลืมว่าโรงเรียนอะไร) จากนั้นตาก็ใช้ชีวิตเข้าสู่ภาวะปกติจนเรียนจบป.4ก็ต้องหยุดเรียน เพื่อทำงานหาเงินเลี้ยงชีพกับพวกพี่ๆ และส่งเสียตาคนเล็กเรียนหนังสือให้จบแทน

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น