jowpoyluang
ดู Blog ทั้งหมด

จอห์น ลอค แนวคิดแบบประชาธิปไตย และความเป็นไปได้ในประเทศไทย

เขียนโดย jowpoyluang



          จอห์น ล็อค  John Locke
    หลาย คนอาจจะเคยได้ยินชื่อของนักปรัชญาคนนี้มาบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ทราบถึงประวัติต่างๆของเขา ก่อนที่จะเริ่มเล่าถึงปรัชญาการเมืองของลอค ก็ขอเล่าประวัติสักเล็กน้อย พอหอมปากหอมคอ....

               ล็อคเนี่ยเป็นลูกชายของนักกฏหมายที่มีอันจะกิน หรือเรียกได้ว่า รวยยยยย. นั่นเอง ครอบครัวของเขาเนี่ยนับถือศาสนาคริสต์นิกายพิวริตัน  สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ทำงานเป็นครูสอนภาษากรีกอยู่ระยะหนึ่งก่อนเข้าศึกษาต่อด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน และได้เป็นแพทย์ประจำตัวของขุนนางฝ่ายค้าน ต่อมาต้องลี้ภัยไปใช้ชีวิตที่ฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ แต่หลังเหตุการณ์การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ในปี 1688 ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยของอังกฤษ เขาจึงเดินทางกลับอังกฤษ....


                   แนวคิดของล็อคที่สำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยเนี่ยมีอยู่ด้วยกันหลายเรื่องมาก เลยว่าจะขอหยิบเอามาบางส่วนแล้วกันนะ ขืนเอามาหมดหละก็มีหวังได้มีหลับกันไปข้างนึงแน่ๆเลย แนวความคิดแรกก็คือ เรื่องของ
อิสรภาพ เสรีภาพ อันเป็นสิทธิขั้นมูลฐานของมนุษย์ ลอกเนี่ยได้บอกว่ามนุษย์ทุกคนนั้นมีความเสมอภาคกันอยู่ ความคิดนี้หนะ ล็อคน่าจะได้มาจากพื้นฐานความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ที่บอกว่า มนุษย์ทุกคนนั้นเนี่ยเป็นบุตรของพระเจ้า ดังนั้นมนุษย์ก็ต้องถือว่าเป็นพี่เป็นน้องกัน..
                    แนวคิดที่สองของล็อคเนี่ยก็คือ
รัฐบาลต้องจัดตั้งโดยความยินยอมของประชาชนและต้องรับผิดชอบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน (แหมอยากจะให้รัฐบาลไทยเนี่ยเป็นแบบนี้บ้างจัง) เสียงของประชาชนเนี่ยต้องมาเป็นส่วนใหญ่ครับ และเมื่อเลือกตั้งไปแล้วไม่ใช่หายเงียบไปเลย ต้องกลับมาดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านด้วย รัฐบาลต้องไม่ลืมว่า เมื่อประชาชนเลือกท่านได้ ประชาชนก็สามารไล่ท่านได้เหมือนกัน..
                    แนวคิดที่สามก็คือ
ประชาชนมีสิทธิล้มรัฐบาลได้ ถ้ารัฐบาลขาดความชอบธรรมและความยุติธรรม ก็เหมือนอย่างที่ได้บอกไปในตอนที่สองนั่นแหละครับว่า เมื่อประชาชนเลือกท่านได้ ประชาชนก็ไล่ท่านได้เหมือนกัน ภ้ารัฐบาลเอาแต่ผลประโยชน์ของตนเองแล้วเนี่ยประเทศคงจะอยู่ต่อไปไม่ได้เลย (โกงบ้าง กินบ้าง ไม่เป็นไร แต่ยังไงก็ต้องทำประโยชน์ให้สังคมด้วยนะพี่น้องเอ้ย)
                    แนวคิดที่สี่คือ
ประชาชนมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและมีอำนาจอย่างจำกัด
                    และสุดท้ายแนวความคิดที่ห้า
อำนาจจะต้องถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ อำนาจในการตรากฎหมายเป็นของฝ่ายนิติบัญญัติและอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายเป็นของฝ่ายบริหารและตุลาการ  

                       ากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดแล้วเนี่ยจะเห็นได้ว่าล็อกมีแนวคิดเป็นแบบเสรีนิยม ประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพโดยมีขอบเขตุจำกัดอยุ่ในรูปแบบของกฏหมายเพื่อบังคับไม่ ให้คนในสังคมละเมิดเพื่อประโยชน์ในด้านการปกครอง
หลังจากที่เราได้รู้ถึงแนวคิดแบบประชาธิปไตยของล็อกไปแล้ว ต่อไปนี้ก็จะขอหยิบยกมาเปลี่ยบเที่ยบกับประชาธิปไตยในบ้านเราบ้างนะครับ
    (((( ข้อความต่อไปนี้ไม่เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปที่มีใจเป็น สีแดงและสีเหลือง ))))
                            ทำไมประชาธิปไตยของบ้านเราถึงไม่เหมือนของอเมริกา?
                                 === ก็เพราะพื้นฐานความเชื่อดั่งเดิมของเราหนะซิ  ทำไมหนะหรอ ลองเข้าไปดูในนี้นะครับ
( http://my.dek-d.com/jowpoyluang/blog/ )
                              ที่เขาว่าคนไทยมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน รุ้ไหมว่าเขาหมายถึงอะไร...ก็หมายถึงมีสิทธิที่จะไปเลือกตั่ง และมีเสรีภาพที่จะลงคะแนนได้ 1 คะแนนเสียงไง. ส่วนเรื่องอื่นคนไทยไม่มีใครเท่ากันเลย ลองสังเกตดูนะครับเมื่อเราไปใช้บริการอะไรของหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน คุณแต่งชุดธรรมกา กางเกงยีน เสื้อยืด รองเท้าผ้าใบ(ก็ชุดสุภาพนะ) กันอีกคนใส่สูท ผูกไทด์ ใส่รองเท้าหนัง ลองดูว่าเขาจะบริการใครดีกว่ากัน.....คุณคิดเหมือนผมไหม....ไม่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูณฉบับไหนอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้คนไทยมีความเท่าเทียมกันได้ เพราะความคิดมันได้ฝั่งรากลึกมาแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย  อีกประการด้วยเพราะความเชื่อเรื่องกรรม และบุญ ที่มาสนับสนุนให้คนแบงชนชั้นกันอย่างชัดเจน อีกทั้งความกตัญญูที่เราได้ถูกฝังมาในสมองของเรา ว่าใครมีบุญคุณก็ต้องทดแทน แต่การทดแทนของเรานั้นกลับไม่ยอมดูที่ความถูกต้อง ทำให้สังคมไทยมีระบบการเมืองที่เล่นพรรคเล่นพวกกันอยู่มากมาย....
                     

                        

                    

           

 

ความคิดเห็น

bosslnw
bosslnw 3 พ.ย. 56 / 12:47
มรดกทางความคิดของ โธมัส ฮ็อบส์, จอห์น ล็อค, ชาลส์ มองเตสกิเออร์ และ จัง-จากส์ รุสโซ ที่ส่งผลต่อรูปแบบของรัฐบาลในปัจจุบัน
มรดกทางความคิดของ โธมัส ฮ็อบส์, จอห์น ล็อค, ชาลส์ มองเตสกิเออร์ และ จัง-จากส์ รุสโซ ที่ส่งผลต่อรูปแบบของรัฐบาลในปัจจุบัน [1]

ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นักปรัชญาชาวยุโรปเริ่มถกเถียงและตั้งคำถามว่า “ใครกันที่ควรได้ปกครองแผ่นดิน” และผลจากความอ่อนแอของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช นักปราชญ์ของยุคเรืองปัญญาต่างเสนอแนะระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยแตกต่างกัน

ในปี 1649 สงครามกลางเมืองในประเทศอังกฤษปะทุขึ้นจากสาเหตุว่าใครควรได้อำนาจปกครองประเทศ รัฐสภาหรือพระเจ้าชาลร์สที่ 1 ซึ่งสงครามครั้งนี้ยุติลงด้วยความตายของพระเจ้าชาลร์สที่ 1 หลังจากพระองค์ถูกประหารชีวิตไม่นาน นักปรัชญาชาวอังกฤษ โธมัส ฮ็อบส์ (1588-1679) ก็เขียนหนังสือเรื่อง “ลีไวอะธัน (สัตว์ร้ายในตำนาน)” เพื่อปกป้องอำนาจอันสมบูรณ์ของกษัตริย์ ชื่อของหนังสือเล่มนี้อ้างถึง”ลีไวอะธัน” สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายปลาวาฬในตำนานที่สามารถกินเรือได้ทั้งลำ ฮ็อบส์เปรียบตัว”ลีไวอะธัน”ว่าเป็นเสมือนรัฐบาลที่ใช้อำนาจรัฐในการบังคับบัญชา

ฮ็อบส์เริ่มต้นงานเขียน “ลีไวอะธัน” โดยอธิบายถึงสภาพของรัฐในสังคมธรรมชาติที่ซึ่งปัจเจกชนแต่ละคนเท่าเทียมกันโดยธรรมชาติ ทุกคนมีอิสระที่จะทำในสิ่งที่ตนต้องการเพื่อเอาชีวิตรอดอันเป็นผลให้ทุกคนตกอยู่ในภาวะ “ความกลัวอย่างต่อเนื่องในอันตรายจากการตายโหง” ชีวิตของคนในช่วงเวลานั้นโดดเดี่ยว ยากจน เสี่ยงอันตราย มีชีวิตแสนสั้นเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน รัฐในสังคมธรรมชาติไม่มีกฎหมายหรือผู้จะบังคับใช้กฎหมาย ทางออกเดียวของสถานการณ์นี้ ฮ็อบส์กล่าวว่าปัจเจกชนเหล่านั้น ต้องสร้างอำนาจสูงสุดขึ้นเพื่อที่จะนำมาซึ่งความสงบสุข

แนวคิดนี้ฮ็อบส์ได้มาจากทฤษฎีการแสดงเจตนาโดยปริยายในกฎหมายลักษณะสัญญาของประเทศอังกฤษ ฮ็อบส์ยืนยันว่าประชาชนตกลงกันในหมู่ของพวกเขาเองที่จะละวางสิทธิตามธรรมชาติที่เท่าเทียมและอิสระ และมอบสิทธิอันเด็ดขาดให้แก่รัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งอาจเป็นบุคคลคนเดียวหรือคณะบุคคลก็ได้ รัฏฐาธิปัตย์จะได้บัญญัติและบังคับกฎหมายเพื่อรักษาความสงบในสังคม,ให้ซึ่งชีวิต,เสรีภาพ,และความสามารถในการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งฮ็อบส์เรียกข้อตกลงอันนี้ว่า “สัญญาประชาคม”

นอกจากนี้ฮ็อบส์ยังมีความเชื่อว่ารูปแบบของรัฐบาลที่นำโดยกษัตริย์เป็นรูปแบบที่ดีที่สุดของรัฏฐาธิปัตย์ ด้วยการมอบอำนาจทั้งหลายทั้งปวงไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์ย่อมนำมาซึ่งการบริหารอำนาจรัฐได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ฮ็อบส์ยังคงเชื่ออีกว่าสัญญาประชาคมเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นระหว่างปัจเจกชนด้วยกันเองเท่านั้น หาใช่ระหว่างพวกเขากับรัฏฐาธิปัตย์ไม่ ในทันใดที่ประชาชนมอบอำนาจอันสัมบูรณ์แก่กษัตริย์แล้ว พวกเขาก็หามีสิทธิที่จะต่อต้านพระองค์ได้อีก
bosslnw
bosslnw 3 พ.ย. 56 / 12:48

ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นักปรัชญาชาวยุโรปเริ่มถกเถียงและตั้งคำถามว่า “ใครกันที่ควรได้ปกครองแผ่นดิน” และผลจากความอ่อนแอของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช นักปราชญ์ของยุคเรืองปัญญาต่างเสนอแนะระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยแตกต่างกัน

ฮ็อบส์เริ่มต้นงานเขียน “ลีไวอะธัน” โดยอธิบายถึงสภาพของรัฐในสังคมธรรมชาติที่ซึ่งปัจเจกชนแต่ละคนเท่าเทียมกันโดยธรรมชาติ ทุกคนมีอิสระที่จะทำในสิ่งที่ตนต้องการเพื่อเอาชีวิตรอดอันเป็นผลให้ทุกคนตกอยู่ในภาวะ “ความกลัวอย่างต่อเนื่องในอันตรายจากการตายโหง” ชีวิตของคนในช่วงเวลานั้นโดดเดี่ยว ยากจน เสี่ยงอันตราย มีชีวิตแสนสั้นเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน รัฐในสังคมธรรมชาติไม่มีกฎหมายหรือผู้จะบังคับใช้กฎหมาย ทางออกเดียวของสถานการณ์นี้ ฮ็อบส์กล่าวว่าปัจเจกชนเหล่านั้น ต้องสร้างอำนาจสูงสุดขึ้นเพื่อที่จะนำมาซึ่งความสงบสุข

นอกจากนี้ฮ็อบส์ยังมีความเชื่อว่ารูปแบบของรัฐบาลที่นำโดยกษัตริย์เป็นรูปแบบที่ดีที่สุดของรัฏฐาธิปัตย์ ด้วยการมอบอำนาจทั้งหลายทั้งปวงไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์ย่อมนำมาซึ่งการบริหารอำนาจรัฐได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ฮ็อบส์ยังคงเชื่ออีกว่าสัญญาประชาคมเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นระหว่างปัจเจกชนด้วยกันเองเท่านั้น หาใช่ระหว่างพวกเขากับรัฏฐาธิปัตย์ไม่ ในทันใดที่ประชาชนมอบอำนาจอันสัมบูรณ์แก่กษัตริย์แล้ว พวกเขาก็หามีสิทธิที่จะต่อต้านพระองค์ได้อีก
bosslnw
bosslnw 3 พ.ย. 56 / 12:48

ทฤษฎีกฏแห่งธรรมชาติของจอห์น ล็อค(คริสตศักราช 1632-1704)
<span style="\&quot;margin:" 0px;="" padding:="" border:="" font-size:="" 16px;="" font-family:="" arial,="" helvetica,="" sans-serif,="" geneva,="" tahoma;="" vertical-align:="" baseline;="" color:="" rgb(204,="" 204,="" 204);="" line-height:="" 25px;="" background-color:="" rgb(25,="" 51,="" 102);\"="">โดยสรุปทฤษฎีของ ล็อคกำหนดหน้าที่ของรัฐและรัฐบาลว่า คือ การักษาสิทธิธรรมชาติของมนุษย์ ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน รัฐในทรรศนะของล็อคเป็นรัฐเสรีมีอำนาจจำกัดไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการที่ เกี่ยวข้องกับปัจเจกชนนอกจากจำเป็นจริง ๆ เพื่อรักษาเสรีภาพและทรัพย์สินของสมาชิก นอกเหนือจากนั้นปล่อยให้สมาชิกจัดการกันเอง โดยมีสมมติฐานว่ามนุษย์ทุกคนเป็นผู้มีเหตุผลและความรับผิดชอบ จึงควรมีเสรีภาพที่จะกระทำการต่าง ๆ ได้ รวมทั้งมีกรรมสิทธิ์ส่วนตัวและทำการผลิตส่วนตัว ซึ่งมนุษย์ก็มีสิทธินี้อยู่แล้วตามธรรมชาติ กล่าวได้ว่า ล็อคเป็นนักทฤษฎีเสรีประชาธิปไตยคนสำคัญ ทฤษฎีของ เขาถูกใช้เป็นพื้นฐานความชอบธรรมในการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบเสรีประชาธิปไตยใน โลกตะวันตก โดยเฉพาะในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
bosslnw
bosslnw 3 พ.ย. 56 / 12:48
สังคมควรควรที่จะให้ผมตอบแทนที่คุ้มต่อการครองชีพเพื่อให้เป็นแรงสูบฉีด อัดฉีด ผลักดันคนที่ทำงานสายต่างๆ เค้ามีแรงจูงใจ กำลังที่จะพัฒนาบ้านเมืองในด้านต่างๆ   ตอนนี้ผมชอบแนวคิดของจอห์นลอ็อกมากครับ กับของโทมัสฮ็อบและของโทมันสอร์ ยูโทเปีย ผสมนิดๆหน่อยนะครับแต่ที่ผมชอบหลักๆคือของจอหืน ล็อก   หลักๆเน้นเอาแนวคิดหลักของจอห์น ล็อก รุสโซ+กับ มองเตสกิเอรื วอลแตร์ โทมัสฮ็อบ+หน่อย+บวกแนวคิดแบบยูโทเปียเสี้ยวนึง
bosslnw
bosslnw 3 พ.ย. 56 / 12:49
  ตอนนี้ผมชอบแนวคิดของจอห์นลอ็อกมากครับ กับของโทมัสฮ็อบและของโทมันสอร์ ยูโทเปีย ผสมนิดๆหน่อยนะครับแต่ที่ผมชอบหลักๆคือของจอหืน ล็อก <span style="\&quot;margin:" 0px;="" padding:="" border:="" font-family:="" arial,="" helvetica,="" sans-serif,="" geneva,="" tahoma;="" vertical-align:="" baseline;="" color:="" rgb(204,="" 204,="" 204);="" line-height:="" 25px;="" background-color:="" rgb(25,="" 51,="" 102);\"="">หลักๆเน้นเอาแนวคิดหลักของจอห์น ล็อก รุสโซ+กับ มองเตสกิเอรื วอลแตร์ โทมัสฮ็อบ+หน่อย+บวกแนวคิดแบบยูโทเปียเสี้ยวนึง
bosslnw
bosslnw 3 พ.ย. 56 / 12:49
อ๋อคุณนึกคานทางสังคมดูสิ สังคมมันสามารถขาดอาชีพต่างๆที่มันใช้วิชาการใช้วุฒิทางการศึกษาได้ซักสาขาหรือเปล่า มันคายที่ถ่วงดุลความเจริญ ถ่วงดุลหน้าที่ของแต่ละอาชีพ เช่น หมอครู เป็นต้น แต่บ้านเรามัน กระจุกตัวที่หมอเยอะไงครับ มันเป็นค่านิยม คนที่เป็นหมอได้สวัสดิการดีเยี่ยม

สังคมมันต้องต่างพึ่งพางกลไกต่างๆของทุกอาชีพ คุณลองสังเกต อเมริกา ส่งออกนักบิน ภาพยนตร์ ภาพยนตร์อเมริกาไปภาพยนตร์โลก หรือนักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ ครูอเมริกา หรือนักอนุรักษ์ นักออกแบบ นักวาดภาพ  ก็โคตรจะเด่นเลย พูดง่ายเค้าเด่นรอบด้าน วิชาโน้นวิชานี้ก็เจ๋ง ส่งออกเป็นผลิตภัณฑ์โลกได้เลย อย่างทหารก็ได้รับค่าตอบแทนที่คุ้ม ซึ่งอันไม่เท่าอีกอาชีพที่ได้สูง แต่พอกินไปทั้งชาติ
ลองมาดูที่ญี่ปุ่น ทั้งนวัตกรรมก็ส่งออกเด่น อนิเมชั่น การ์ตูน วงการเพลง เทคโนโลยี หรืออะไรหลายๆอย่างญี่ปุ่นเค้าก็สร้างความโดนเด่นให้แก่โลกมากมายเพราะสองประเทศเหล่านี้เค้ามีคานในการวางบทบาทหน้าที่ทางสังคมของอาชีพขั้นสูงซึ่งมีความถนัดออกไปอย่างสมดุล และผลตอบแทนแต่ละอาชีพก็ต่างคุ้มค่าแก่การทำงาน ทั้งสิ้น ต่างกันที่เลขเงินเดือนซึ่งอาจผกผันตามความจำเป็น แต่ไม่มีใครน้อยหน้าใคร ไม่ขัดสนทั้งหมด ได้รับผลตอบแทนคุ้มตามอาชีพที่ทำไป แต่บ้านเราหนังก็พอเยาะๆแหยะๆ เทคโนโลยีก็ไม่เท่าไหร่ การ์ตูนก็ไม่โอ รู้มั้ยเพราะอะไรเพราะพี่เราจะโฟกัสที่หมอ พี่ไทยเราจะส่งหมอไทยไปหมอโลก จะให้หมอครองโลกไง ผมบอกนะ หมอเค้ามีเกลื่อนโลกแล้วบ้านเราเป็นได้แค่ส่วนเกินเท่านั้นแหละ บอกตรงๆเรื่องหมออ่ะ ถ้าเลิกค่านิยมแห่ไปเรียนหมอ กับสายวิทย์ สายศิลป์ คุณลองสังเกต ทำไมที่อื่นเค้ายังทำได้ทำไมเราทำไม่ได้ เพราะพี่ไทยจะส่งหมอไทยไปหมอโลกไง ขอแค่ส่งไปเป็นหมอโลกก็ตายตาหลับแล้วไม่สนไรอีกซึ่งประเทศอื่นเค้า เน้นรอบด้าน เค้าไม่หยุมหยิมกับหมออย่างเดียวหรอก ให้ผลตอบแทนของแต่ละอาชีพที่สร้างความสำเร็จสร้างประโยชน์แก่สังคมทางวิชาไม่ต่างกัน จริงอยู่ที่รายได้คงต่างกันแต่มันไม่เกินขอบเขตถึงขั้นมีช้องว่างแบบนี้ งั้นทหาร สู้รบอเมริกามีสวัสดิการให้ทหารอย่างดีเลย แต่บ้านเราครอบครัวทหารแทบจะไม่พอกิน เวลาทหารสละชีพแค่เอาธงคลุมร่างก็จบ แต่ทีนี้พอหมอนี่โอ้ยกินสบายไปทั้งชาติ แต่ที่อื่นเค้าไม่ได้โฟกัสความเจ๋งที่หมอไง เค้ากระจายรายได้ต่างๆออกไป ทุกอาชีพมีผลตอบแทนที่ดีของมันไป แต่ยอมรับรายได้ไม่เท่ากัน ก็ไม่เห็นเป็นไร ขอแค่มีผลตอบแทนในการดำรงชีพเหมือนๆกันก็พอแล้ว

สิ่งที่ผมจะสื่อใช้ว่าจะมีความเท่ากันของรายได้ แต่ขอให้ทุกอาชีพ ตั้งได้รับผลตอบแทน อะไรต่างๆ เหมือนๆกัน เงินเดือนควรต่างกันเพื่อถ่วงดุลน่ะถูกต้องแล้ว แต่ควรให้อาชีพอื่นๆทางวงการขั้นสูง เช่นทหาร มีผมตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสียสละของเค้ามั่ง  และทุกอาชีพพออยู่พอใช้หมด ไม่ใช้ใช้ตามนโยบายหมอไทยไปหมอโลกอย่างงี้ อะไรก็กระจุกตัวที่หมอ ง่ายๆเลยควรกระจายรายได้แบบญี่ปุ่น และอเมริกา ย้ำ ย้ำ ย้ำ ย้ำ ว่า ฐานเงินเดือนต้องแน่น แบบอเมริกา ญี่ปุ่น ใส่ดอกจันเลย พวกคุณลองไปดูฐานเงินเดือนของสองประเทศที่พัฒนานี่ดูสิ คุณจะเห็นถึงผลตอบแทนในแต่ละอาชีพที่ต่างกันออกไปแต่ก็มีความคุ้มทั้งสิ้น ซึ่งมันถ่วงดุลกันได้อย่างดีทำให้แต่ละฝ่าย ทั้งวิทย์ ทั้งประวัติศาสตร์ ทั้งแพทย์ โบราณคดี ต่างถ่วงดุลประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม ไม่งั้นจะมี unesco nato nasa หรืออีกหลายๆองค์การที่มีความเด่นในด้านสร้างประโยชน์แก่สังคมบริการสังคมต่างกันออกไปเหรอ บ้านเราควรที่จะเน้นทางสายศิลปะ หรืออะไรหลายอย่างบ้างอันนี้เสริมเพราะจิตรกรที่แบบมืออาชีพของบ้านเราแต่ไร้คนสนับสนุบไปสู่สากลอีกเยอะ ส่งผลงานสู่นานาชาติ  
bosslnw
bosslnw 3 พ.ย. 56 / 12:50
แล้วคุณรุ้มั้ยครับขับแท็กซี่ หรือชั่วซ่อมเงินเดือนที่ยี่ปุ่นกำลังอเมริกา อาจจะไปสูงเท่าหมอก็จริงแต่เค้าก็ถือว่าระดับเวลดีกว่าเราคือทำให้เค้าพออยู่ได้อย่างไม่ขัดสน สวนอีกหลายอาชีพเค้าก็ไม่ต่างจนติดดินจริงที่มีความต่างตามแบบทุนนิยม แต่เค้าก็คำณวนเผปื่ออาชีพที่ใช้แรงงานจะครองชีพได้ แล้วก็อาชีพอื่นก็รู้กันอยู่ เช่น ครู หมอ วิศวะ นักประวัติศาสตร์ หรืออีกหลายๆอย่างต่างเป็นกลไกขับเคลื่อนและทำประโยชน์เช่นกันเพียงแต่ต่างความฐานะอะไรงี้ ที่ใช้วิชาการในการทำงานเงินเดือนก็ต่างกันนะแต่ไม่ถึงขั้นเรียกว่าเหลื่อมล้ำ หรือเหวี่ยงกันแบบติดดีแบบบ้านเรา พูดง่ายๆฐานเงินเดือนเค้าแน่นอ่ะ แต่บ้านเราใช้แรงงาน ระดับต่ำหน่อยไม่พอกินแต่ค่าครองชีพ-สูง แต่ระดับรายได้ดันไม่แน่นพอแบบประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ทำงานรับจ็อบได้น้อยลงมาหน่อยแต่เค้าก็พอกินแต่ตำรวจ ทหารไม่อยากพูดถึงเมืองไทย แต่ทหารที่โน่นคนละเรื่อง ต่างกันราวฟ้ากับดิน เห็นมั้ย เอฟบีไอ ทหารสู่้ศึกออกรบ เค้าก็สว-ิการดี ถึงจะไม่สูงเท่าแพทย์แต่ก็ไม่มีช่องว่างมาก แต่ไม่ชิดกันจนกัน พูดง่ายๆไม่ว่างจนคนในบ้านเรา ไปเน้นหมอ ไปยึดติดกับค่านิยมหมอ ถ้าพูดสรุปเน้นคือช่องว่างรายได้มันเยอะจนเกินไป ทำไมญี่ปุ่นระบบเค้าก็แบบนี้ อเมริกา อังกฤษ ก็คาดไม่ต่างกัน สวีเดนก็ประมาณนี้ แต่คุณภาพครองชีพ ชีวิตเค้าดี
bosslnw
bosslnw 3 พ.ย. 56 / 12:51
ผมวิธีไทยที่คิดว่าอาจจะทำให้ไทยเป็นประเทศพัฒนาได้ แต่ไม่มั่นใจ ว่าจะได้ 100เปอร์เซ็นต์หรือเปล่า แล้วผมก็ไม่ใช่ใครระดับโลกแต่ผมเป็นแค่นักเรียนคนนึงที่ชอบศึกษาระบบต่างๆการเมืองของไทยและต่างประเททศรวมถึงสถานการณ์ต่างประเทศ ผมคิดการที่จะทำให้ประเทศไทยเราเป็นประเทศพัฒนาได้ อันนี้คร่าวๆสั้นนะครับ   1.ยกเลิกการคอรัปชั่น ถูกส่วนของสังคม แต่หลักๆคือต้องแก้จากศุนย์กลางตรงกลางสุดๆในการปกครองเลยทุกคนน่าจะรู้นะครับหมายถึงอะไร มีมาตรการลงโทษผู้โกงกินชาติบ้านเมืองที่เปรียบเสมือนมะเร็งร้าย 2.ยกเลิกความเหลื่อมล้ำทางสังคมระหว่างรวยกับจน โดยหลักๆควรที่จะยกเลิกความเหลื่อมล้ำทางรายได้ เช่น ทุกอาชีพมีค่าและความสำคัญเท่ากัน จึงควรให้รายได้ไม่เหลื่อมล้ำหรือต่างกันมาก เช่นญี่ปุ่น เล้กกว่าเรา พินาศจากสังคมแต่สังคมมีความเหลื่อมล้ำน้อยมาก เช่นไม่ใช่ว่าหมอมีเงินเดือนส่วนใหญ่เยอะสุุด มากที่สุด เลยกลายเป็นค่ายิมเรียนเพราะ อาชีพอื่นไม่พอแดรก เช่น ทหาร 3.ควรปรับเปลี่ยนระบบการศึกษา ทั้งระบบควรมีสาขาการเรียนที่กว้างขางหลากหลายเหมือนเมืองนอก และควรเน้นการเรียนตอนมัธยมให้เรียนแบบเลือกวิชาเรียนเฉพาะทาง จะได้ไม่มีปัญหาเด็กสายวิทย์-สายศิลป์ และสอนให้คิดนอกกรอบ ให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และเลิกค่านิยมทางด้านแพทย์ วิศวะ ควรให้ทุกอาชีพทำรายได้ไม่ต่างกันเหมือนข้อข้างต้น ถึงต่างกันก็ไม่ถึงกับมาก  4.ควรเก็บภาษีมรดก หรือภาษีจากคนที่ร่ำรวย แต่คนที่เพิ่งตั้งตัวรัฐควรออกสวัสดิการ เก็บภาษีตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นทุกสายงาน แต่เน้นภาษีไม่ควรได้มาเพื่อการโกงกิน ขอเน้นตามข้อที่1

จากข้อ3ข้างบนควรให้การเรียนหรือสาขาที่เรียนเป็นเหมือนสีที่มีึความหลากหลาย แล้สสังคมมันจะพัฒนาไปพร้อมกันเหมือนกลไก ต้องมีฟันเฟืองหลายอย่างทำงานพร้อมกันถึงจะขับเคลื่อนไปได้เพราะส่วนไหนส่วนนึงไม่ได้ อาหารชั้นเลิศตองมีเครื่องปรุง เครื่องที่หลากหลาย ถึงจะนำมาวึ่งความกลมกล่อมของอาหาร ประ้เทศชาติก่อนเช่นกัน ถ้าพูดตรงทำให้หลายคนรับไม่ได้ก็ขอโทษ แต่การำพัฒนาทุกอย่างถ้าปราศจากการวิจารณ์ หรือติไม่ได้ หรือภาษาสมัยใหม่เรียกโลกสวย ชาติคงจะย่ำอยูกับที่ อย่างเช่น คำพูดที่ตอบกลับมาว่า ไม่รักชาติให้ไปอยู่ที่อื่น อย่ากลับมาผมมันเป็นความคิดที่โง่ ปัญญาอ่อนมากยอมรับว่ารักชาติแต่ความรักชาติควรมาจากความคิดไตร่ตรองรอบด้านไม่ใช่หลับหัวหลับตา ที่คนหลายคนพูดทำนองนั้นเพราะลึกๆในใจเค้าอยากประเทศมีความแต่กต่างทางสังคมน้อยที่สุดพูดง่ายคือเค้าหวังดีแหละครับ แต่คนเราสื่อสารไม่เหมือนกัน ความคิดผมอาจจะใช้ได้ไม่หมดแต่ก็นั่นก็คืดความคิดตามมุมมองและการศึกษาจากหลายๆสื่อ ทุกๆแห่งมาวิเคราะห์และความอยากเห็นคนไทยด้วยการมีความสุข คุณภาพชีวิตที่ดี 


ปล.ผมว่าอีกอย่างที่ควรปรับคือให้สถานศึกษาหรือโรงเรียนทั่วประเทศมีมาตรฐานก่อนเหมือนประเทศที่พัฒนาก่อนสิ
< 1 2