jukkaput
ดู Blog ทั้งหมด

คติชาวใต้

เขียนโดย jukkaput

ประเภทของภาษิตชาวบ้าน 

ภาษิตชาวบ้านอาจจัดแบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้ 

๑.ภาษิตที่มีคติมุ่งสั่งสอนอบรม 

ภาษิตประเภทนี้ใช้คำสั้น ฟังเข้าใจได้ทันทีไม่เข้า

ใจผิดเป็นอย่างอื่น แม้บางภาษิตต้องคิดบ้างก็

ไม่ยากนัก เพราะสิ่งที่พูดเทียบ ยกมาจากของจริงที่

แลเห็นได้สะดวก เช่น



๑.๑ อย่าหนุกตามเพื่อน = อย่าสนุกตามเพื่อน
๑.๒ เข้าบ้านท่านต้องหางหดเข้าวาน = เมื่ออยู่ในบ้านเขาต้องยอมเขาไว้ก่อน
๑.๓ คนขี้คร้านทำการอกแตก = คนขี้เกียจมักทำงานหักโหมจนเกินกำลัง
๑.๔ ตามหลังนายหมาไม่ขบ = การทำอะไรตามผู้ใหญ่ มักไม่เสียหาย
๑.๕ ปากอี้ฆ่าคอ = ปลาหมอตายเพราะปาก
๑.๖ อย่านอนบ้านคนมี ตามหลังโหมหนี
นอนหลับโรงปอ = อย่าไปนอนค้าง คืนบ้านคนมั่งมี อย่าตามหลังพวกโจร
อย่านอนในบ่อนการพนันเพราะมีแต่พลอยเสียหายด้วย



๑.๗ นอนสูงให้คว่ำ นอนต่ำให้หงาย = เมื่อเป็นผู้ใหญ่มีตำแหน่งสูงทำอะไรให้คิดถึงผู้น้อย
ผู้น้อยก็ต้องคิดถึงผู้ใหญ่
๑.๘ เข้าเมืองตาเหล้ต้องเหล้ตาตาม = อยู่ที่ใดต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
๑.๙ ช้างแล่นอย่ายุงหาง = น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ
๑.๑๐ หวานเป็นลม ขมเป็นยา = คำหวานมักไร้ประโยชน์ คำติเป็นยาแก้
๑.๑๑ แพ้ชนะอย่าแพ้โห่ = ถ้าจะล้มเลิกก็ขอให้เป็นเพราะทำแล้วไม่
อาจสำเร็จได้ อย่าล้มเลิกเพราะคำวิจารณ์ของ
ผู้อื่น



๑.๑๒ ตื่นแต่ดึก สึกแต่หนุ่ม = จะทำอะไรให้รีบทำเสีย ยังมีโอกาสมาก
๑.๑๓ อย่าขนดินถมปลวก = อย่าเอาเนื้อหนูไปเจือเนื้อช้าง
๑.๑๔ ทำไหรให้ถามพระเสียหมั่ง = จะทำอะไรควรปรึกษาผู้รู้เสียบ้าง จะได้ไม่เสียหาย



๒.พวกสำนวนเปรียบเทียบ
ภาษิตประเภทนี้มีความเปรียบอยู่ในตัว แต่ไม่ตรงทีเดียว บางทีเป็นแบบคำพังเพย เช่น
๒.๑ ใหญ่พร้าวเฒ่าลอกอ = อายุมากเสียเปล่าไม่ได้มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่
๒.๓ หางเตาค่ากับหางแลน = ขิงก็รา ข่าก็แรง
๒.๓ กินค่าเข้ารั้ว ทำค่าไม้โท้ = กินมากแต่ทำน้อย
๒.๔ พร้าวก้าออกโลกเป็นพร้าว = เริ่มเหตุไว้อย่างไร ผลที่ตามมาก็เป็นตามเหตุ
๒.๕ ทำงานสงหมาพอพ้นซั้ง = ทำงานแบบขอไปที
๒.๖ หมาเห่าเรือบิน = พูดจาเกินฐานะ หรือทำอะไรไม่เจียมตัว
๒.๗ พูดค่าดอกออกไปค่าวา = นำเรื่องไปเสริมต่อเกินไปจากที่ได้ยินมา
๒.๘ วัวไคเข้าคอกคนนั้น = ใครทำกรรมดีชั่วย่อมได้รับกรรมตามที่
ตนกระทำ



๒.๙ ตัวไหนตากตัวนั้นไข = กินปูนร้อนท้อง หรือ วัวสันหลังหวะ
๒.๑๐ ไม่เต็มแล่ง = บ้าๆบอๆ
๒.๑๑ สามน้ำไม่เปื่อย = ทำเป็นเฉื่อยชาเกียจคร้าน แบบทองไม่รู้ร้อน
๒.๑๒ หมาหัวเน่า = กะโถนท้องพระโรง
๒.๑๓ ยิงช้างอย่าหมายช้าง = การทำงานใหญ่ ๆ อย่าหวังว่าจะได้รับผลตามที่คิด
๒.๑๔ เสาเรินอยู่บนหอพาย = คนจรจัด
๒.๑๕ ฝัดด้งเปล่า = ความหวังเหลวเป็นน้ำต้องเสียแรงเปล่า
๒.๑๖ นั่งในด้งยกตัวเอง = คนที่ยกยอตนเองย่อมยกไม่ขึ้นกลับแสดง
ความโง่ให้เขาหัวเราะเยาะ



๒.๑๗ เย็บจากมุงท็อง = เกี่ยวแฝกมุงป่า
๒.๑๘ อย่าฝากกล้วยไว้เด็ก
อย่าฝากเหล็กไว้ช่าง = อย่าฝากอะไรที่ผู้รับจะได้ประโยชน์โดยตรง
เขามักเบียดบังเอาผลประโยชน์
๒.๑๙ ทำไม่สอกไม่เคลื่อน = ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
๒.๒๐ ทุกหนักจะจม = โลภนักมักลาภหาย ทำเกินกำลังมักเสียหาย
๒.๒๑ ควายโม่ชนนาน = คนที่ไม่ใช้ความคิดมักทำอะไรสำเร็จช้า
๒.๒๒ ตีเมียอย่าดูหน้า ฟั่นพร้าอย่าดูคม = เมื่อต้องใช้ความเด็ดขาด อย่าได้อาลัย-
อาวรณ์ กับสิ่งเล็กๆน้อยๆ เดี๋ยวใจอ่อนเสียก่อน



๒.๒๓ เจ็กไม่ตาย ผ้าลายโข = ตราบใดที่ยังมีผู้ผลิตอย่าวิตกว่าจะไม่มีของใช้
๒.๒๔ หมาเห่าใบตองแห้ง = อวดโม้แต่ปากอย่าได้กลัว หรือ พูดปาวๆ
ไม่มีมูล
๒.๒๕ ไม่มีสักสิงห์ลิงไม่พัง = เมื่อมีเรื่องเสียหาย ย่อมมีผู้ก่อเหตุเสมอ
๒.๒๖ ลอยช้อนตามเปียก = ชอบเออออ ห่อหมก กับเขาเสมอไป



3.ภาษิตที่เป็นแบบอุปมาอุปไมย
ภาษิตที่เป็นแบบอุปมาอุปไมย
เป็นภาษิตที่นำสิ่งต่าง ๆ มาอ้างเปรียบ เช่น
๓.๑ ทำงานเหมือนหมาเลียน้ำร้อน = ทำงานไม่เรียบร้อย ไว้ใจไม่ได้
๓.๒ ยุ้งเหมือนยุงตีกัน = ยุ่งเหยิงสับสนสิ้นดี
๓.๓ หกเหมือนขี้ไอ้สี = โกหกเสมอ, พูดจาไม่เคยเชื่อได้
๓.๔ ไม่เหมือนจีนเรือแตก = เสียงดังลั่นไม่ได้ศัพท์
๓.๕ ร่านเหมือนจับปูใสด้ง = ซุกซนมาก ไม่เป็นอันอยู่นิ่งได้
๓.๖ ยุ้งเหมือนหมวดข้าวยำ = ยุ่งเหยิงสิ้นดี



๓.๗ จืดเหมือนหืดยักษ์ = รสจืดซีด, ไม่มีรสชาติเสียเลย
๓.๘ จนเหมือนยนไม่ดัน = ยากจนเต็มทน เหมือนตะบันหมากไม่มีก้น
๓.๙ คดเหมือนดอโจร = คดมากวกไปวนมา (ใช้กับสิ่งที่มีรูปปรากฏ)
๓.๑๐ เกลี้ยงแผวเหมือนแมวเลีย = หมดสิ้นไม่เหลือแม้แต่น้อย
๓.๑๑ ดีเหมือนเหล้าเครียะ = เล่ห์เหลี่ยมหรือชั้นเชิงสูง (เหมือนเหล้า
ซาวตะเครียะ)
๓.๑๒ ดุ้งดิ้งเหมือนลิงได้ตุ้ง =สะดีดสะดิ้ง เหมือนกิ้งก่าได้ทอง



๓.๑๓ เปียกเหมือนเ***ยกแมว = เปียกจนเหลวแฉะ
๓.๑๔ ดุกดิกเหมือนพริกไม่ค้าง = ลุกลี้ลุกลน หรือนั่งไม่นิ่ง (เหมือนต้นพริก
ไม่มีร้าน)
๓.๑๕ ปัดปัดเหมือนแม่ไก่รังทัง = เที่ยววุ่นวายให้คนอื่นรำคาญ (เหมือนแม่ไก่ตัว
ที่ไข่ไม่เป็นที่)
๓.๑๖ ช่วยกันเหมือนช่วยจันทร์ = ช่วยเหลือกันทั้งบ้านทั้งเมือง
๓.๑๗ เอือดเหมือนสอบเกลือ = ทำตนเป็นคนเอือดสิ้นดี หรือ เอือดแฉะมาก
๓.๑๘ ขี้คร้านเหมือนเรือด = ขี้เกียจมาก คอยแต่จะนอนกิน



๓.๑๙ หกเพรื่อเหมือนเรืออวน = ทำให้ไหลบ่าไปทั่ว ทำแบบคนมักง่าย
๓.๒๐ เปรี้ยวเหมือนเยี่ยวอีแปร็ด = เปรี้ยวมากจนทานไม่ไหว
๓.๒๑ ทำหน้าเหมือนโนราโรงแพ้ = ตีสีหน้าเป็นคนผิดหวังอย่างยิ่ง
๓.๒๒ หน้าแดงเหมือนวานลิงเสน = หน้าแดงมาก
๓.๒๓ เ***ยบเหมือนโนราโรงแพ้ = เงียบเหมือนเป่าสาก
๓.๒๔ พาโลเหมือนวัวจาจก = ดื้อรั้นมาก
๓.๒๕ รึงรังเหมือนหนังโคกทราย = รุงรึงมาก (เหมือนหนังตลุงมาจากบ้านโคกทราย)
๓.๒๖ เขรอะเหมือนขี้ไอ้สี = ชอบยุ่มย่าม ชอบไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องคนอื่นเขา
๓.๒๗ ร้อนเหมือนไปเดือนห้า = ร้อน อบอ้าวแห้งแล้วจัดหรือร้อนใจมาก
๓.๒๘ ร้ายเหมือนฟ้าเดือยหก = ดุร้ายน่ากลัวมาก



๔.ภาษิตประเภทคำอ้างอิง
ภาษาประเภทนี้นำเอาความจริงมาเปรียบเทียบ เช่นชองภาคกลางว่า น้ำมากปลาไม่ตาย ของภาคใต้เช่น
๔.๑ ยิ่งหยุดยิ่งไกล ยิ่งไปยิ่งแค่ = ยิ่งทำยิ่งใกล้ผลสำเร็จ ยิ่งทิ้งไว้ก็ยิ่งเสร็จช้า
๔.๒ คนผิดเสียหน้า คนบ้าเสียจริต = คนที่มีอะไรบกพร่องย่อมมีรอยพิรุธ
๔.๓ อย่าเอาถ้วยรากับพลก อยาเอาปากรากับหนามเตย =อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ และอย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน



รูปของภาษิตชาวบ้าน,คุณค่าของภาษิตชาวบ้านปักษ์ใต้

รูปของภาษิตชาวบ้าน
ภาษิตชาวบ้าน ถ้าจะแบ่งตามรูป หรือโครงสร้างของภาษิตตามหลักวิชาคติชาวบ้านแบ่งไว้เป็น 5 ประเภท
1.พวกมีสัมผัสคล้องจ้อง (Rhyme) ได้แก่พวกที่มีสัมผัสสระ เช่น
...1.1 อยากมีอยาคร้าน อยากทำงานอยาเตินสาย
...1.2 รักเมียเสียนาย รักควายเสียสวน
...1.3 ใหญ่พร้าวเฒ่ากอลอ
...1.4 พูดค่าศอกออกค่าวา



2.พวกมีสัมผัสพยัญชนะ (alliteration) เช่น
...2.1 ขิงก็ราข่าก็แรง (ภาษิตภาคกลาง)
...2.2 ยุให้รำตำให้รั่ว (ภาษิตภาคกลาง)
...3.พวกบุคคลาธิษฐาน(personification) คือผูกเป็นรูปขึ้นมา
...3.1 ไอ้ยอดทองบ้านาย = คนที่ชอบให้เขาหลอกใช้(ยอดทองคือตัวตลกของหนังตลุง)
...3.2แพะรับบาป (ภาษิตภาคกลาง และเป็นภาษิตใหม่)
...3.3 ชักแม่นำทั้งห้า (จากวรรณคดีไทยเรื่องมหาเวสสันดรชาดก)
...3.4 วัดรอยตีน(จากวรรณคดีไทยเรื่องรามเกียรติ์)



4.พวกสัมผัสเล่นคำ(metre) เช่น
...4.1 ยามสบายก็ใช้ ยามไข้ก็รักษา
...4.2 ทำงานเผือไข้ ตัดไม้เผือสีน = ทำอะไร คิดอะไรต้องเผื่อขาดเผื่อเหลือ
...4.3 ถ่อดี ถ่อปัก ถ่อหัก ถ่อลอย = การทำงานสิ่งใดถ้าส่วนช่วยดีก็ดี
...4.4 ขวัญข้าวเท่าหัวเรือ ขวัญเกลือเท่าหัวช้าง = ควรรู้คุณสิ่งที่มีคุณ
...4.5สุกก่อนห่าม งามก่อนแต่ง = การทำอะไรข้ามขั้นนั้นไม่ดี



คุณค่าของภาษิตชาวบ้านปักษ์ใต้
.....ภาษิตชาวบ้านปักษ์ใต้ นอกจากจะมีคุณค่าในการสั่งสอนอบรม หรือเตือนสติดังกล่าวมาแล้ว บางบทยังมีคุณค่าพิเศษออกไปในบางแง่ เช่น
1.ภาษิตที่ช่วยบอกภาวะภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ เช่น
...1.1 นครพุงปลา สงขลาผักบุ้ง พัทลุงลอกอ
.....ภาษิตบทนี้สะท้อนให้เห็นว่าจังหวัดทั้งสามนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอะไร และยังสะท้อนต่อไปว่าภูมิประเทศของจังหวัดนั้นๆต่างกันอย่างไร คือว่านครศรีธรรมราชนั้น มีไตปลามาก จนมีภาษิตติดปากว่า"นครพุงปลา" เพราะชาวปากพนังส่วนใหญ่ทำการประมง ส่งปลาและไตปลาไปขายยังจังหวัดใกล้คียง ส่วนสงขลานั้น มีการปลูกผักบุ้งกันมาก ต่างกับพัทลุงซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยผลไม้จึงว่าพัทลุงลอกอ คือมีมะละกอมาก เป็นต้น



...1.2 สะตอวัดประดู่ พลูคลองยัน ทุเรียนหวานมันคลองพระแสง ย่านดินแดงของป่า เคียนของป่า เคียนซาถ่านหิน พุนพินมีท่าข้าม นำแม่นำตาปี ไม้แต้วดีเขาประสงค์ กระแดะดงลางสาด สิ่งปลาดกึ่งพะนม เงาะอุดมบ้านส้อง จากและคลองในบาง ท่าฉางต้นตาล บ้านนาสารแร่ ท่าอุแทวัดเก่า อ่าวบ้านดอนปลา ไชยามีข้าว มะพร้าวเกาะสมุย
.....ภาษิตชุดนี้เป็นภาษิตแสดงถึงสินอันมีค่าในท้องที่ต่างๆของจังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานที่ต่างๆที่กล่าวถึงคือที่กล่าวคือ คลองยัน อยู่อำเภอท่าขนอน คลองพระแสง อยู่อำเภอพระแสง ย่านดินแดง เป็นตำบลอยู่อำเภอพระแสง เคียนซาเป็นตำบลอยู่อำเภอนาสาร พุนพินเป็นชื่ออำเภอเรียกกันว่าท่าข้ามเขาประสงค์ อยู่อำเภอท่าชนะ มีไม้แต้วซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งที่เขานิยมใช้เผาถ่านมาก กะแดะ เป็นตลาดในอำเภอกาญจนดิษฐ พนม เป็นกิ่งอำเภอ บ้านส้องเป็นตำบล อยู่ในอำเภอเวียงสระ ในบางเป็นหมู่บ้านในอำเภอเมือง ท่าอุแทเป็นตำบล ในอำเภอกาญจนดิษฐ



...1.3 พัทลุงมีดอน นครมีท่า ตรังมีนา สงขลามีบ่อ
.....ภาษิตนี้พูดเป็นคำติดปากกัน แสดงว่า ในจังหวัดพัทลุงนั้นมีบ้านที่ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าดอนมาก เพราะพื้นที่เป็นดอนเป็นเนิน และที่เรียกนำว่าควนก็มาก ส่วนจังหวัดนครมีบ้านที่ชื่อนำด้วยท่ามากเช่น ท่าศาลา ท่าขนอม ฯลฯ ต่างกับจังหวัดสงขลามีบ้านนำด้วยคำว่าบ่อ เช่น บ่อยาง บ่อตรุ ฯลฯ เพราะพื้นที่สงขลามักเป็นที่ราบตำ ชื่อบ้านจึงมักเกี่ยวกับคำว่า นำ เช่น มาบเตย มาบหวาย ปากวะ ปากพูน ปากพน ล้วนแต่แปลว่า นำ ทั้งสิน ส่วนจังหวัดตรังชื่อมักเกี่ยวกับนา เช่น นาโยง เป็นต้น
2.ภาษิตชาวบ้านย่อมเป็นสิ่งให้ความรู้ด้านสำนวนภาษา เช่น
...2.1 สงขลาหอน นครหมา
.....ภาษิตนี้แสดงให้เห็นว่าชาวสงขลานิยมพูด คำว่า หอน ในความหมายว่า เคย เช่น ไม่หอนไป = ไม่เคยไป หอนเห็น = เคยเห็น ส่วนนั้นนิยมพูดคำว่า หมา แทนคำว่า ไม่ เช่นหมากิน = ไม่กิน หมานอน = ไม่นอน หมารัก = ไม่รัก



...2.2 ลอยช้อนตามเปียก
.....จากภาษิตบทนี้ ได้รู้ว่าชาวใต้เรียกต้มว่า เปียก
...2.3 ปัดปัดเหมือนแม่ไกรังทัง
.....จากภาษิตบทนี้ได้ทราบสำนวนปักษ์ใต้ว่า รังทัง หมายถึง ลักษณะที่แม่ไก่ไข่ไม่เป็นที่และชวนให้รำคาญใจ
3.ภาษิตบางบทสะท้อนให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในแง่ต่างๆ ซึ่งอาจจะนำไปเป็นข้อมูลในการศึกษาศาสตร์แขนงอื่นๆได้ เช่น
...3.1 ทำหน้าเหมือนโนราโรงแพ้
.....บอกให้รู้ว่าการเล่นมโนรานั้นมีการประชันโรงกันด้วย และโรงใดแพ้ถือว่า เสียชื่ออย่างยิ่ง จึงวางหน้ายากเพราะอายเขา
...3.2 ร้อนเหมือนไฟเดือนห้าร้ายเหมือนฟ้าเดือนหก
.....ภาษิตบทนี้บอกให้ทราบถึงฤดูกาลของภาคใต้ว่าเดือนห้าเป็นหน้าแล้งส่วนเดือนหกเป็นหน้าฝน



เพลงกล่อมเด็กภาคใต้
เพลงกล่อมเด็กภาคใต้
.....๑. เพลงโผกเปล
..........โผลเปลเหอ.......โผกไว้ช่องฟ้าปาขี้ลม
เทโวเทวาหกเจ็ดองค์......มาหมรักน้องก้าไม่หวย
ลมพัดมาไม่โถกต้อง.......มาหมรักน้องอยู่รวยรวย
ลมพัดไม่หวย................ต้องด้วยความรัก...(เอ้อเหอ)...น้อง
ศัพท์
โผลเปล = ผูกเปล.........ปาขี้ลม = ท่ามกลางหมู่เมฆ
ไม่หวย = ไม่ไหวสั่น.......โถก = ถูก
.....เพลงกล่อมเด็กบทนี้ต่างไปจากบทอื่นๆ ที่คำในวรรคที่ ๗ ไม่เหมือนกับวรรคที่ ๔ ทั้งวรรค
.....ไขความ...เพลงบทนี้อาจถอดความได้ดังนี้
ความรักที่มั่นคงของน้อง เปรียบเสมือน (ต้องด้วยความรักน้อง) ผูกเปลไว้กับหมู่เมฆในห้วงอากาศอันสูงส่ง แม้จะมีเทวดาทั้งหกชั้นฟ้า เจ็ดชั้นฟ้ามารุมรบเร้ากลั่นแกล้งด้วยจงใจ รักน้องก็หาหวั่นไหวไม่ จะรักนวลสงวนงามไว้เพื่อพี่เพียงคนเดียว ลมปากทั้งปวงอย่าหมายเลยว่าจะก่อให้ใจน้องต้องมลทินแม้แต่เพียงระคายผิว



.....๒. เพลงพี่ไป
.....พี่ไปเหอ..................ฝากแก้วแววไวไว้ไคเหลย
สาดนอนหมอนเกย..........ฝากไว้ไคเหลยนางนงนุช
ฝากไว้ใต้น้ำสากลัวปลา.....ฝากไว้ใกล้นาคาสากลัวครุฑ
ฝากไว้ไคเหลยนางนุช.......กลัวครุฑอี้พา...เอ้อเหอ...ไป
ศัพท์
ไค = ใคร..............สากลัว = นึกหวั่น คิดระแวง
ไคเหลย = ใครอีก.....อี้พาไป = จะลักพาไป
.....ไขความ
พี่จากไปครั้งนี้ พี่จะฝากนางแก้วของพี่ไว้กับใครเล่า จะฝากสาดเสื่อที่นอนกลัวหมอนจะเกยก่ายแนบหน้าน้องให้หมองนวล จะนำไปฝากไว้ใต้น่านน้ำก็อดระแวงปลาทั้งปวงไม่ได้ จะไปฝากนาคในบาดาลที่ลืกลงไปก็เกรงพญาครุฑที่มีอำนาจมากกว่าจะมายื้อแย่งไป ที่กลัวแสนกลัวคือผู้มีอำนาจเหนือคนที่น่านับถือจะมายื้อแย่ง



.....๓. เพลงรักกันคนท่าน้ำ
.....รักกันเหอ..................รักกันคนท่าน้ำ
ไม่เรื่ออี้ข้าม.....................นางงามนั่งโก้อยูสุดเสียง
โก้แล้วโก้เล่า....................โก้ตั้งแต่เช้าจนหวันเที่ยง
นางงามนั่งโก้อยูสุดเสียง...เสียงแห้งเหมือนนางนก...เหอ...เหวก
ศัพท์
อี้ข้าม = จะข้าม.............โก้ = กู่, ร้องเรียก
หวันเที่ยง = เที่ยงวัน
.....๔.เหลงต้นหญ้าปล้อง
.....ต้นหญ้าเหอ...................ต้นหญ้าปล้อง
หนทางเท่เข้าไปวังน้อง..........เศร้าหมองเสียแล้วแก้วคู่เข็ญ
คนเอินเขาพลัดกันเมอตาย.....โฉมฉายมาพลัดพี่เม่อเป็น
เศร้าหมองเสียแล้วแก้วคู่เข็ญ..ไม่เห็นความแค้น...เหอ...น้อง
ศัพท์
เท่ = ที่.......วัง = คอยเฝ้าเยี่ยมเยียน, คอยระวังดูแล
คนเอิน = คนอื่นๆ........เม่อ = เมื่อ



.....๕. เพลงเดือนขึ้น
.....เดือนขึ้นเหอ...............ขึ้นมาเทียมปลายไม้ไผ่
รักกันแต่ในใจ..................ไม่เท่ให้ไคไปขอให้
ตัวพี่เป็นแมงโภ่................สวนนางโรปโอเป็นดอกไม้
ไม่เท่ให้ใครไปขอให้...........รักกันแต่ใน...เอ้อเหอ...ใจ
ศัพท์
ไค = ใคร...................แมงโภ่ = แมลงภู่
โรปโอ = มีรูปงาม



.....๖.เพลงลมพัด
.....ลมพัดเหอ..................พัดมาวอกแวก
อกน้องเหมือนจะแตก.........ใครเลยจะเข้ามาล่วงโร้
ถ้าเป็นน้ำเต้าหรือขี้พร้า........จะผาให้คนแลกันโฉโฉ
ใครเลยจะเข้ามาล่วงโร้........ในอกในทรวงน้อง...เอ้อ...เหอ
ศัพท์
โร้ = รู้.............ขี้พร้า = ฝักเขียว
โฉโฉ = ฉาวโฉ่
.....ไขความ
คำคนหนอคำคนช่างยังผลให้ อารมณ์คนวอกแวกหวั่นไหวได้เหมือนสายลม อกน้องเหมือนจะแตกตาย (เกิดเป็นหญิงนี้ยากที่จะบอกความในใจกับใครได้) ใครเลยจะเข้ามาล่วงรู้ หากใจนี้สามารถผ่าให้คนดูได้เหมือฟักเขียวหรือน้ำเต้าก็จะผ่าให้ดู แต่นี่ความรักมันอยู่ส่วยลึกของหัวใจ จนใจแท้



.....๗. เพลงปลูกมัน
.....ไปไหนเหอ................พาน้องไปกัน
ถามไร่โปลกมัน................มันไม่ลงหัว
แผ่นดินหมันดี.................แต่มันหมันชั่ว
มันไม่ลงหัว.....................สาวย่านให้วัว...เอ้อ...เหอ...กิน
.....๘. เพลงนกเขียว
.....นกเขียวเหอ..............เกาะเรียวไม้พุก
พ่อแม่อยูหนุก.................โลกไปใช้นาย
ฝนตกฟ้าร้อง.................พ่อแม่เขาอยูหนุกบาย
โลกไปใช้นาย..................นั่งกินแต่น้ำตา
ศัพท์
ไม้พุก = ไม้ผุ.............หนุก = สนุก..........โลก = ลูก
ใช้นาย = เป็นทาสเขา..........บาย = สบาย
.....ไขความ
เพลงกล่อมเด็กบทนี้ สะท้อนให้เห็นภาพสังคมในสมัยมีทาส พ่อแม่ที่ยากจนไม่อาจจะเลี้ยงลูกให้ได้รับความสุขได้ คำกล่าวที่ว่าพ่อแม่คือร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกก็กลายเป็นเหมือนเรียวไม้ผุไป ต้องขายลูกไปเป็นทาสเขา ลูกต้องไปทนรับกรรม ส่วนพ่อแม่กลับอยู่อย่างสนุกสนาน



.....๙.เพลงขึ้นเหนือ
.....ขึ้นเหนือเหอ................แลเรือเกยหาด
โปลกหลาตัดบาตร.............น้ำแห้งเห็นทราย
กุ้งกั้งแมงดา....................บินมาพลอยตาย
น้ำแห้งเห็นทราย................พลอยตายด้วยเรือใหญ่
ศัพท์
โปลกหลา = สร้างศาลา
.....ไขความ
เพลงกล่อมเด็กบทนี้ เป็นบทที่มีความเชิงล้อเลียนสังคม กล่าวตำหนิผู้ใหญ่ ผู้นำหรือ "เรือ" หรือ "เรือใหญ่" (ตรงกับภาษากลางที่เรียกว่า "หัวเรือใหญ่") ตำหนิผู้นำที่มักทำอะไรนอกรีต นอกรอยผิดทำนองคลองธรรม แต่มักทำอะไร เอาหน้าให้คนอื่นหลงผิด คนพวกนี้เมื่อหมดอำนาจความชั่วก็จะปรากฏ (น้ำแห้งเห็นทราย) พวกผู้น้อยก็มักพลอยเสียหาย



.....๑๐. เพลงลูกสาว
.....โลกสาวเหอ..............โลกชาวเรินออก
หวนมผึ้งงอก................บอกพ่อว่าเป็นฝี
พ่อแม่ไปหาหมอรักษา......หมอว่าอ้ายยะเต็มที
บอกพ่อว่าเป็นฝี.............โลกสาวชาวเรินออก
ศัพท์
โลกสาว = ลูกสาว..........เรินออก = บ้านถัดไปทางทิศตะวันออก
.....ไขความ
เด็กสาวที่ไม่เข้าใจการพัฒนาของร่างกาย จึงหวาดกลัวเมื่อเห็นความผิดปกติของร่างกาย



.....๑๑. เพลงดอยเมละ(มะลิ)
.....ดอกเมละเหอ................น้องคือนางดอกเมละ
บานเหมือนอี้เปละ................ลอบอยู่ในเลขี้ผึ้ง
ขนตกกะไม่ต้อง..................ฟ้าร้องกะไม่ถึง
ลอบอยู่ในแลขี้ผึ้ง................สาวน้อยคำนึงใจ
ศัพท์
ดอกเมละ = ดอกมะลิ..........อี้เปละ = ยานเต็มที่จวนจะร่วงหล่นแล้ว
เล = ทะเล คำนี้ตัวมาจาก ชเล.......ขนตก = ฝนตก
.....ไขความ
กล่าวถึงจิตวิทยาของวัยรุ่นดีกบทหนึ่ง พูดถึงอารมณ์ว้าเหว่ของเด็กสาวคราวมีประจำเดือน ไข่ในมดลูกกำลังสุกจวนหล่นเต็มอยู่ในมดลูก (ในเลขี้ผึ้ง) เมื่อเด็กมีความรู้สึกทางเพศเต็มที่เพราะต่อมทางเพศกระตุ้นเตือน แต่ยังไม่ถึงคราว เพราะเรามีประเพณีวัฒนธรรมเป็นเครื่องครองใจไม่ให้ทำอะไรตามความต้องการณ์ของอารมเบื้องต่ำ สาวน้อยผู้นี้จึงได้แต่ถวิลอยู่ในใจตามธรรมชาติของสัตว์โลกที่เจริญแล้ว



.....๑๒.เพลงเรือใหญ่
.....เรือใหญ่เหอ..................ชักในแล่นล่องคลองวันหัสฯ
เห็นหัวเขาแดงอยูเจ้งชัด.......พระพายฉายพัดมาไรไร
หัวเรือจะเพาะเข้าเกาะหนู.......เห็นปลายลำพูและเขาใหญ่
พระพายฉายพัดมาไรไร........ใจน้องเหมือนเวเปล
ศัพท์
วันหัส = วันพฤหัสบดี........หัวเขาแดง = เป็นเขาตั้งแยู่ฝั่งตะวันตกของปากน้ำสงขลามาก่อย
ฉายพัด = ชายพัด
.....ไขความ
บอกความรู้สึกของหญิงสาวที่ต้องคับแคบใจด้วยม่านประเพณีบังคับให้ต้องมีคู่ครองตามความพอใจของผู้ปกครอง ในเพลงนี้กล่าวเป็นเชิงตำหนิผู้ปกครอง (เรือใหญ่) ที่เป็นคนหูเบา ใครว่าอะไรก็เอออออห่อหมกไปทั้งนั้น (ชักใบแล่นตามลม) ถ้าวันดีคืนดีได้จังหวะดี (วันพฤหัสบดี ถือว่าเป็นว่าดี) เรือก็แล่นไปดี แล่นไปสู่ที่ควรไป บางทีแม้จะไปทางถูกอยู่แล้ว แต่หากมีใครมาเป่าหูก็จะเปลี่ยนใจทันที เหมือนในการแล่นเรือที่จวจะถึงจุดหมายที่ดีแล้ว(จวนจะถึงหัวเขาแดง) พอลมพัดมานิดหนึ่งเรือก็กลับล่องไปที่เกาะหนูที่อยู่กลางทะเลและไม่มีเหตุผลที่ควรไปแม้แต่น้อย เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ ผู้ที่พลอยผิดหวังก็คือผู้โดยสาร (ลูก หลาน เหลน) ใจของหญิงสาวที่มีผู้ใหญ่แบบนี้เป็นผู้เลือกคู่ครองให้ได้แต่คิดอาลัย และจำยอมเหมือนสายเปลแกว่างไกวไปทิศทางใดย่อมแล้วแต่แรงเหวี่ยง



.....๑๓. เพลงแค้นใจ
.....แค้นใจเหอ......................แค้นใจไถนาดินแห้ง
ยิ่งไถไปยิ่งแล้ว.....................แตกแหงเหมือนรอบตีนนก
ก้มแลหัวหมูก็ขัดใจ................ก้มแลคันไถก็ขัดอก
แตกแหงเหมือนรอยตีนนก......ขัดอกน้องทุกสิ่ง
ศัพท์
แตกแหง = แตกระแหง



.....๑๔. เพลงหมากอ่อน
.....หมากอ่อนเหอ..............ผาน้ำแล่นล่องในคลองใน
โร้ขาวว่าพี่มีเมียใหม่............หน้าใยไม่ควรจะหึงสา
ช้างแช่นอย่ายุงหาง............ไม่ใช่ที่ทางนางกานดา
หน้าใยไม่ควารจะหึงสา........พลายทองหายบ้าหลบมาเข้าโรงเอง
ศัพท์
ผา = ผ่า.................โร่ข้าว = รู้ข่าว
หลบมา = กลับมา.......หึงสา = อิจฉา
ช้างแล่นอย่ายุงหาง เป็นสำนวนพูดของปักษ์ใต้ตรงกับของภาคกลางว่า น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ
.....ไขความ
สาวน้อยผู้ยังอ่อนต่อโลกเอย เมื่อรู้ว่าพี่ไปมีเมียใหม่อย่าได้แสดงอาการหึงหวงอิจฉาริษยาเลย ถ้าทำอะไรอย่างนั้นย่อมไม่ผิดอะไรกับการเอาเรือไปขวางน้ำที่กำลังเชี่ยว ไม่ใช่ทางที่ถูกของหญิงดี จงปล่อยให้เขาไปเถิด เพราะเขากำลังบ้าคลี่งเหมือนช้างตกมัน รอให้เขาได้สติกก่อน เขาจะกลับมาหาเราเอง



.....๑๕. เพลงหมากอ่อน
.....หมากอ่อนเหอ..............หย่อนลายกะแหย้
ทิ้งเสียพ่อแม่....................แล่นตามชายมา
บุกน้ำมาเทียมนม...............บุกตมมาเทียมกลางขา
หนีตามชายมา...................หมากอ่อนหย่อนลายแหย้
ศัพท์
ลาย = ทลาย....................กะแหย้ = เรียกเด็ก หรือสัตว์ตัวเปี้ยก
แล่น = หนีตาม
.....ไขความ
หญิงสาวที่มีอารมณ์อ่อนไหว และจิตใจใฝ่ต่ำ จึงถึงกับทิ้งพ่อแม่หนีตามชายไป แม้เสี่ยงต่ออันตราย การที่หญิงหนีตามชายชู้ไปนั้นทางปักษ์ใต้ถือเป็นเรื่องน่าอดสูที่สุด โดยอาจจะถูกญาติพี่น้องทำร้าย หรือตัดขาดกัน ทำให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูล มีคำครหาฉาวโฉ่



.....๑๖.เพลงหมากอ่อน
.....หมากอ่อนเหอ..................หย่อนลายหยวบหยวบ
ผัวตายไม่ทันถึงขวบ..............ควบโช้เข้านอน
ควบทั้งหมากสุก....................ควบทั้งหมากอ่อน
ควบโช้มานอน.......................หมากอ่อนหย่อนลายหยวบ
ศัพท์
โช้ = ชู้.............หยวบ = ยวบ



.....๑๗.เพลงหมากอ่อน
.....หมากอ่อนเหอ...................ผาน้ำแล่นล่องทั้งสองสี
พอเยื่อพอเปลือกเจ้างามดี........ราศีของเจ้าไม่เศร้าหมอง
รูปร่างของเจ้าดีดัก.................เหตุไหรยอดรักมาดอกทอง
ราตีของเจ้าไม่เศร้าหมอง..........ให้คนมันลองเล่น
ศัพท์
ผาน้ำแล่นล่องทั้งสองสี = มีน้ำมีนวลอิ่มเอิบ
พอเยื่อพอเปลือก = รูปร่างสมสัดสมส่วน
เหตุไหร = ไย, ทำไม
....ไขความ
ตำหนิสตรีที่ใจอ่อนไหว งานแต่รูปจูบไม่หอม และซ้ำเป็นหญิงดอกทองวางตัวเหมือนนางบำเรอของชายเลือกหน้า



ข้อควรสังเกต จะเห็นว่าเพลงหมากอ่อนทุกบท แม้ความจะต่างกันออกไป แต่ทุกบทต่างกล่าวเปรียบเทียบกับใจสตรีที่อ่อนไหวง่ายทั้งสิ้น แสดงว่าผู้แต่งได้ศึกษาและยึดหลักตรงกัน
.....๑๘. เพลงพี่ไป
.....พี่ไปเหย..........................ขวั้นเทียนเลียนไลเท่าเส้นผม
พบเข้เท่เหนือลม.....................อย่าให้เรือจมในเลสองห้อง
ยกมือขึ้นกาดเมขลา.................เทโวเทวามาช่วยน้อง
อย่าให้เรือจมในเลสองห้อง.......โถกเคลิ้นโถกลมใหญ่
ศัพท์
เลียนไล = ใหญ่..........เข้ = จระเข้.......เท่ = ที่
กาด = อาราธนา.........โถกเคลิ้นโถกลม = ถูกพายุใหญ่กลางทะเล



.....๑๙.เพลงโลกชนเรินตีน
.....โลกสาวเหอ........................โลกชาวเรินตีนสุด
ตัวขาวสำอางอยางดอกพุด........นางแม่หวงไว้ให้โนรา
น้ำข้นไม่ให้โลกอาบ....................แห้งหยาบไม่ให้โลกทา
นางแม่หวงไว้ให้โนรา.................ตอใดอี้มาขอ
ศัพท์
โลกสาว = ลูกสาว..............เรินตีน = ย้านที่อยู่ทางทิศเหนือ
ตัวขาว = ผิวขาว...............อี้มาขอ = จะมาสู่ขอ



.....๒๐.เพลงต้นผักปลัง
.....ต้นผักปลังเหอ................ต้นผักปลัง
โลกสาวใครยัง......................สังสอนเสียมั่งเถิดมารดา
โลกสาวใครโฉ้.......................ไปแล่นโช้กับโนรา
สังสอนเสียมั่งเถิดมารดา.........โนราอี้พาไป
ศัพท์
สังสอน = สั่งสอน............เสียมั่ง = เสียบ้าง..........เล่นโช้ = เช่นชู้
ใครโฉ้ = ใครก็ไม่รู้



.....๒๑. เพลงนางนกเหวก
.....นางนกเหวกเหอ...........นางนกเหวก
บินสูงเทียมเมฆ................กินขี้ลมเป็นอาหาร
ได้โลกคนหนึ่ง..................ตั้งชื่อเจ้สศรีหุนหมาน
เที่ยวกินขี้ลมเป็นอาหาร.......สงสารเจ้านกเหวก
ศัพท์
นกเหวก = นกการเวก........ขี้ลม = เมฆ



......๒๒. เพลงชุดเรื่องนางโนรา(ยังไม่โพส)
.............เพลงกล่อมเด็กปักต์ใต้หลายบทกล่อม ถึงเรื่อง นางมโนห์ราแสดงว่าเรื่องนี้แพร่หลายมาก ในภาคใต้และชาวบ้านทุกคนรู้เรื่องดีทุกตอน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
......"คือน้องเหอ..........น้องคือนางโนรา
อาบน้ำในสระ................เจ็ดคนพี่น้อง
นายพรานแลเห็น............ซาบซาบมองมอง
เจ็ดคนพี่น้อง................คล้องเอาสุดท้องเพื่อน"
ซาบซาบ = แอบมอง
......"คือน้องเหอ..................น้องคือนางโนรา
เจ็ดองค์ลงมา......................ลงเล่นน้ำในกลางสระสรง
นายพรานจับได้เหอ...............เอาไปถวายพะองค์
ลงเล่นน้ำในกลางสระสรง.......หลงด้วยนายพรานป่า"
......"ลม พัดเหอ..................พัดมาคึกคุก
พระศรีสุธนไปรบศึก..............รำลึกถึงนางโนรา
สนมเมียต้นยอดสร้อย...........ไม่รักเท่าก้อนเจ้าเกษา
รักนางโนรา..........................เป็นบ้าวังเวงใจ"



......"ฟ้าสั่นเหอ...................ลั่นมาคึกคึก
พระศรีสุธนไปรบศึก.............รบเมืองพระยาจันทร์
พระยาจันทร์ยกโลกสาวให้......ตั้งชื่อเจ้าศรีดอกไยทั้งผู้ทรงธรรม์
บิดามารดาอยู่ข้างหลัง..........ขวนนางโนราไปชาไฟ
อดข้าวอดน้ำ.......................นางงามผอมไผ
เอานางโนราไปชาไฟ..............สุกใจเมืองภายหลัง"
ซาไฟ = บูชาไฟ......สุกใจ = สำนึกผิด
......"ยามเย็นหอ..................แลเห็นนางโนรามันร่อนไป
จับปลายไทรใหญ่.................สั่งความไว้พี่ศรีสุธน
เชิญอยู่พ่อผ่านเกล้า..............เมียรักจักลาท้าวขึ้นเมืองบน
สั่งความไว้พี่ศรีสุธน..............ทิ้งเมียไว้คนเดียว"



......"นางโนราเหอ............ฉายา บินหนีแม่ผัวไป
ไปพักต้นไทร...................สั่งความพระศรีสุธน
น้องอยู่ไม่ได้....................ขอลาพี่ชายไปเมืองบน
สั่งความพระศรีสุธน...........ทิ้งเมียไว้คนเดียว"
......"นางโนราเหอ..............นางโนรา
พระศรีสุธนตามมา..............ถึงเมืองไกรลาศ
ท่านใช้ให้ขุดบอ..................ท่านใช้ให้หลอปราสาท
เสดสาทายาด.....................หวางจะได้ครองนวลน้อง"
บอ = บ่อ......หลอ = หล่อ......เสดสาทายาด = ลำบากมาก
หวาง = กว่าจะได้



เพลงเรื่องนางโนราชุดนี้แต่ละบทได้มาจากที่ต่างกัน เมื่อนำมาต่อลำดับกันแล้ว เกือบได้โครงเรื่องที่สมบูรณ์ นับว่าเพลงกล่อมเด็กเหล่านี้มีค่าในทางประวัติวรรณคดีไทยไม่น้อย และน่าจะมีบทอื่น ๆ อีก
......๒๓. เพลงชุดเรื่องนางเมรี
.............เรื่องนางเมรี หรือพระรถ - เมรี หรือบางถิ่นเรียกว่าเรื่องนางสิบสอง เป็นนิทานพื้นเมืองที่ชาวใต้รู้จักดีอีกเรื่องหนึ่ง ได้มีผู้นำตอนสำคัญแต่งเป็นเพลงกล่อมเด็กไว้หลายตอน เช่น
......นางเมรีเหอ........................เสียทีที่เข้าไปชมสวน
พระรถถามถี่และถามถ้วน........ถามนางหน้านวลทุกสิงอัน
ลูกม่วงรู้หาวนาวรูโห่.................บอกให้พี่โร้ทุกสิงสรรพ์
ถามนางหน้านวลทุกสิ่งอีน........เมรีเอววัลย์สิงไหรไม่พรางผัว”
สิงไหร = สิ่งใด



......“นางเมรีเหอ........................กินเหล้าวันนี้เมาหนักหนา
เมาโยกเมายา...........................มัวเมาหนักหนาพระทอง
ไอ้ไหรหรุ่งหรุ่งบนหลังคา............บอกว่าหนวยตานางสิบสอง
เมรีร่วมห้อง..............................สักลิงไปพราวผัว”
เมาโยกเมายา = เมาหยูกเมายา............ไอ้ไหร = อะไร............หนวตา = ลูกตา
......“ไก่ขันเหอ...............................ขันเทือนทั้งท้องพระบุรี (บุรี)
พระรถจากห้องนางเมรี..................ยามปะฉะหนี้ไม่รู้โร้สึกตัว
หยิบเอาหมอนทองมาแอบข้าง.......เอวบางนางช้างคิดว่าผัว
สมเพชเวดนาตัว...........................ผัวหนีไม่โร้สึก”
ปานฉะหนี้ = ยามนี้............นางช้าง = นางกษัตริย์
เวดนา = เวทนา............ไม่โร้ = ไม่รู้



......“นางเมรีเหอ......................เสียทีตามพระรถมา
หยุดอยู่ฝั่งน้ำพระคงคา............ฉายาร้องเรียกผัวขวัญ
โอ้กำมะสด..............................พระรถกรรมสิทธิ์ของเมียนั่น
กลับมาพาเมียไปกัน................เมียจะอาสัญผัวขวัญไม่ทันเห็น”
กำมะสด = กำสรด............ไปกัน = ไปด้วยกัน



......๒๔. เพลงถางไร่
......“ถางไร่ชายคลองเหอ........จะโปลกคงคลองสองสามฝัก
ถางไร่โปลกผัก.......................โปลกแตแมงลักกับผักให
ถางไร่ชายใส..........................เป็นช่อดอกไม้คนนักเลง
นิจจาถานไฟเกา.....................ถึงไม่เปาก็ติดขึ้นเอง
เป็นช่อดอกไม้คนนักเลง..........ไปไหนเป็นเพลงนั่น”
ศัพท์
คง = ข้าวโพด............โปลก = ปลูก............ชายใส = ริมที่ ที่เคยทำไร่ปีก่อน ๆ
ถานไฟเกา = ถ่านไฟเก่า



ไขความ
เพลงบทนี้กล่าวถึงจิตวิทยาว่าด้วยพันธุกรรม มีแนวความเชื่อว่าพันธุกรรมสำคัญกว่าสิ่งแวดล้อม ยิ่งสิ่งแวดล้อมอำนวยอีกสันดานเดิมก็จะแสดงให้เห็นทันที เหมือนถ่านไฟเก่าถึงไม่ต้องช่วยเป่าก็อาจจะลุกขึ้นเอง ไปที่ใดก็ไม่ทั้งนิสัยเดิม
......“ไปไหนเหอ............พาหน้องไปกัน
ถ่างไร่โปลกมัน.............มันไม่ลงหัว
แผ่นดินหมันดี...............แตพันธุ์ มันหมันชั่ว
มันไม่ลงหัว...................สาวย่อมให้วัวกิน”

......๒๕. เพลงขอถาม
......“ขอเหอขอถาม.....................คิ้วโขบโรปงามแม่บัวผุด
ทะเลกว้างใหญ่ใครมันขุด............ภูเขาสูงสุดใครไปพูน
ไหนว่าเราหูจู่จับจันทร์.................กลางวันทำไมจึงหายสูญ
ภูเขาสูงสุดใครไปพูน...................ทองพูนของน้องใครแต่งตั้ง
ศัพท์
คิ้วโขบ = คิ้วโค้ง.............โรปงาม = รูปงาม............แม่บัวผุด = สาวน้อย



ไขความ
สาวน้อยเสาวลักษณ์ผู้มีคิ้วอันก่งงาม พี่ขอถามหน่อยเถิดว่า ทะเลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่นั่นใครเล่าได้ชุดแต่ง ภูเขาอันสูงแสนเล่าใครพูนถม เมื่อเกิดจันทรคราสเกิดขึ้นฉันใด กลางวันไฉนจึงต้องสิ้นสุดลงด้วยกลางคืน ปัญหาสุดท้ายที่ใคร่ถามคือโฉมงามของน้องนั้นใคร่ช่วยแต่งช่วยสร้างจึงงามเลิศเลอค่านัก
......๒๖.เพลงรักนุช
......“รักนุชเหอ..............................สิ้นสุดพี่รักเจ้าหนักหนา
เหมือนเจ้าอุณรุทธ์รักอุษา.............นางสีดารักพระรามไม่คลายใจ
พระศรีสุธนทรงศักดิ์รักโมรา...........เหมือนตัวของข้ารักเจาหน้าใย
ทำปรือนางเนื้อเย็นจะเห็นใจ..........หากใสว่าพี่รักคนเอิม”
ศัพท์
ทำปรือ = ทำอย่างไร............หกใส่ = ใส่ความ
ทนเอิน = คนอื่น



......๒๗. เพลงสุดจิต
......“สุดจิตเหอ..............................สุดคิดพี่แล้วแก้วกลอยใจ
ไม่มีธุระพี่ไม่ไป..............................จะอยูโลกกลอยใจให้หายรัก
ในอกของพี่เหมือนหินถ่วง...............ในทรวงของพี่คือศรปัก
จะอยู่โลภกลอยใจให้หายรัก...........มีกรรมจำซักไป”
ไขความ
สุดจิตของพี่ สุดคิดพี่แล้วน้องผู้ร่วมใจของพี่เอย มีธุระดอกพี่จิ่งจำจากไป แม้นไม่มีธุระพี่ก็จะขออยู่ตระกองกอดเล้าโลมน้องให้สมรัก อกของพี่เหมือนหินถ่วง ทรวงของพี่เหมือนถูกศรเสียบด้วยที่หวังจะอยู่โลมน้องให้สมรักนั้นต้องถูกตัวลงด้วยคมเวร



......๒๘. เพลงขุดบ่อ
......“ขุดบอเหอ........................ขุดไว้ชายท่า
น้ำใสเห็นตัวปลา.....................พี่อยากน้ำมาอยาเพ่อกิน
ยิ่งตักยิ่งใส..............................หัวใจของพี่อย่ามลทิน
พี่อยากน้ำมาอยาเพ่อกิน.........ให้พิดหนาตาน้ำก่อน”
ศัพท์
อยาเพ่อ = อย่าด่วน............ พิดหนา = พิจารณา
ไขความ
บ่อที่ขุดไว้ชายเท่านั้น แม้น้ำจะใส่สักปานใด พี่จะกระหายมาสักเพียงไหนก็อย่างด่วนดื่มกิน น้ำที่ยิ่งตักยิ่งใสนั้นเห็นแปลก (น่าจะเป็นน้ำจากบ่อมายามากกว่า) ขอหัวใจของพี่อย่าต้องหมองมัวด้วยน้ำบ่อขุดเลย ให้พิจารณาตาน้ำให้ถ้วนถี่เสียก่อน



......๒๙. เพลงโปลกรัก
......“โปลกรักเหอ............โปลกไว้ที่ลุ่ม
ฝนพลักมือดกลุ้ม............โอนรักไปไว้ที่ชายควน
พ่อแม่เขาไม่สมัคร............เด็กเหอหมันรักกันแตความ
โปลกรักเรรวน.................ไปหน้าอย่าควรโปลก”
ศัพท์
โบลกรัก = ปลูกรัก............ ควน = เนินสูง..หรือ..บนเขา
แตสวน = แต่เฉพาะ............ไปหน้า = ต่อไปภายหน้า

ไขความ
ความรักที่เถิดจากอารมณ์เบื้องต่ำหรือความรักที่เบาด้วยเหตุผลมักไม่มั่นคงเพียงเห็นเค้าเงาของความไม่ราบรื่น ก็มักจะเปลี่ยนใจเสียแล้ว (โอนรักไปไว้ที่ชายควน) คิดหนีหาที่ดีกว่า ความรักที่พ่อแม่ไม่สมัครใจด้วย โดยเด็กรักกันเองนั้นมักลงเอยอย่างนี้ เพราะใจยังไม่หนักแน่นพอ ให้รำลึกไว้ว่าอย่าควรปลูกรักทำนองนี้



......๓๐. เพลงนางแม่
......“นางแม่เหอ ..................ที่เลี้ยงโลกมารักษายาก
พอโลกตกฟาก....................บนควายเขาทอง
เดือนเสเดือนห้า...................โนรามาแก้เมลยน้อง
บนควายเขาทอง..................ให้ช่วยชีวิตโลก”
ศัพท์
โลก = ลูก............เตือนเส = เตือนสี............แก้เมลย = แก้บน

[img][/img]

......๓๑.เพลงเวเปล
......“เวเปลเหอ..................เวโพธิ์หน้าแว่น
บาวน้อยหัวแหวน..............เล่นนกชนไก่
ยามเขาร้องถาม................ว่าพ่อโฉมงามเขาเล่นไหร
เล่นนกชกไก.....................บาปหนักพ่อทูนหัว”

[img][/img]

เพลงชุดเสียดสีสังคม
..............เป็นธรรมดาของสังคมที่ทุกยุคทุกสมัย ทุกแห่งหนต้องมีผู้ที่ควรตำหนิ บางคนใจกว้างพอที่จะรับคำคติและยอมแก้ไขปรับปรุง บางคนเป็นเสียตรงกันข้าม พวกหลังถ้ามีมากก็เหมือนเปิดโรงเรียนคนชั่วขึ้นในสังคม หากในสมัยปัจจุบันนี้พวกสื่อมวลชน เช่น หนังสือพิมพ์นักเขียน นักวิจารณ์ จะช่วยให้สติผู้นั้น แต่ในสมัยที่เล่นเพลงกล่อมเด็กนี้ยังไม่มีหนังสือพิมพ์ หรือถิ่งมีผู้ที่เขียนถูกเตือนก็ไม่รู้จักอ่าน นักแต่งเพลงกล่อมเด็กจึงแต่งเพลงเตือนสติแทน



......๓๒.เพลงบ้านนี้
.......“บ้านนี้เหอ..................................มีหว้ากิ่งตำ
โนรามารำ...........................................ทำกรรมไว้กับนางสาวน้อย
เวลาโนรายกเครื่องไป....................หัวใจของสาวก็ละห้อย
ทำกรรมไว้กับนางสาวน้อย..........ละห้อยไว้แต่คนเดียว”
ศัพท์
กิงตำ = กิ่งต่ำ (ในที่นี้หมายถึงใจต่ำ)



......๓๓.เพลงต้นพร้าวทางบิด
........“ต้นพร้าวเหอ....................ต้นพร้าวทางบิด
เก้าคิดสิบคิด...............................มาคิดกับสีกา
สีกาพาวรของต้นไป.................ต้นพาผ้าใบสีกามา
ต้นเหอมาคิดกับสีกา................ทำให้วัดวาผง”
ศัพท์
พร้าวทางบิด = (ในที่นี้หมายถึงผู้ประพฤผิดแบบนิยม)



......๓๔.เพลงไก่ขาว
........“ไกขาวเหอ...............................เกาะราวแชง
ขันหมากพี่เณรแดง........................ไหนหัวไหนคอ
ไหนขันหมากไหว้..........................ไหนขันหมากขอ
ไหนหัวไหนคอ..............................ขันหมากพี่เณรแดง”
ศัพท์
แซง = กะแซง



......๓๕.เพลงงูสายพาน
........“’งูสายพานเพอ.....................ยานขึ้นรั้วดอก
อ้ายเฒ่าหัวหงอก...........................อวดตัวอี้เลี้ยงเมียสาว
แลเหอแลดู.....................................ไอ้เฒ่าหัวงูทำบาว
อวดตัวอี้เลี้ยงเมียสาว.....................ทำบาวไม่คิดหงอก”
ศัพท์
ทำบาว = ทำเป็นหนุ่ม , อี้เลี้ยง = จะเลี้ยง



......๓๖.เพลงรอกไต่ราว
........“ไปบ้านออกเหอ..............................ไปแลโลกรอกหมันไตราว
แม่ม่ายทำสาว.........................................อีงามอี้แง่สักแค่ไหน
ตัวของเรานี้............................................รู้ดีอยู่ในใจ
อี้งามอี้แง่สักแค่ไหน..............................แม่ม่ายหมันทำสาว”
ศัพท์
โลกรอก = รอก , หมัน = มัน , ไต = ไต่ , อี้งามอีแง่ = จะงามแง่



......๓๗.เพลงอ้อยตง
........“อ้อยตงเหอ...........................โฉมยงมาเห็นเข้าก็ติดใจ
อี้กินสักลำไม่สาไหร....................เพราะหระอยู่ในพ่อทูนหัว
อี้กินสักลำที่ดีดี.............................ไม่ต้องราคีพอยังชั่ว
สาวน้อยทูนหัว.............................กินอ้อยไม่แลหระ”
ศัพท์
อ้อยตง = อ้ยลำใหญ่ , อี้กิน = จะกิน , ไม่สาไหร = ไม่ออกรส , หระ = รา(หนอนบ่อน)



......๓๘.เพลงโลกสาว
........โลกสาวเหอ.............................โลกชาวบ้านหัวนอน
สร้างเล็บไว้งอนงอน.........................ไว้นอนกิดชู้
กิดโหกกิดฝ้าย.....................................สาวไม่หอนรู้
ไว้นอนกิดชู้........................................ใครโฉ้ช่างคิดให้
ศัพท์
โหก = หูก , ไม่หอน = ไม่เคย , ใครโฉ้ = ใครก็ไม่รู้



......๓๙.เพลงโลกสาว
........โลกสาวเหอ.........................โลกสาวชาวบ้านหัวนอน
ใช้ให้แกงบอน............................โก้เช้าโก้เที่ยง
ให้แกงปลาดุก.............................ดอกทองมันจุกลงทั้งเงี้ยง
ดอกทองหน้าเกลี้ยง...................หน้ามันอี้เลี้ยงผัว
ศัพท์
บ้านหัวนอน = บ้านอยู่ทางทิศใต้ บอน = คูน โก้ = เรียก เงี้ยง = เงี่ยง

ไขความ
โธ่เอ๋ยลูกสาวของบ้านใต้ งานบ้านงานเรือนสักนิดไม่เคยรู้ ใช้ให้แกงคูนเดี๋ยวเรียกเดี๋ยวถามตั้งแต่เช้าจะเที่ยงก็ไม่ได้กิน ให้แกงปลากดุกแม่ตัวดีก็ใส่ปลาลงทั้งเงี่ยง น้ำหน้าอย่างนี้หรือต่อไปจะคิดมีผัวกับเขา งามหน้าละ



......๔๐.เพลงโลกสาว
........โลกสาวเหอ.....................โลกชาวเรินตีน
เดินไม่แลตีน...........................เหยียบโลกไก่ตาย
หนวยตาสองหนวย...............หวงไว้แลชาย
เหยียบลูกไกตาย.....................โลกสาวชาวเรินตีน
ศัพท์
โลกสาว = ลูกสาว เรินตีน = บ้านที่อยู่ทิศเหนือ หนวยตา = ลูกตา หวง = มัวแต่

ไขความ
แหมลูกเจ้าของบ้านทิศเหนือเรา มีตามัวแต่มองผู้ชาย เดินไม่ดูทางเหยียบลูฏไก่ตาย เหลือเกินนะแม่นะ



......๔๑.เพลงนกคุ้ม
........นกคุ้มเหอ..............................หางหลุ้มตีนเทียน
เทียมได้ผัวเหมียน..........................นั่งเขียนแต่เล็บ
ผักบุ้งชายเลไม่กะต้อง..................ผักบุ้งชายคลองไม่กะเก็บ
นั่งเขียนแต่เล็บ..............................กินของกำนัลผัว
ศัพท์
กางหลุ้ม = หางสั้น เหมียน = เสมียน กะไม่ = ก็ไม่



สรุปผลประโยชน์ที่ได้จากเพลงกล่อมเด็ก
1.เพลงกล่อมเด็ก เป็นเหมือน กระจกเงาสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอยู่ในแง่ต่างๆ เช่น ความเชื่อ ความคิดเห็น เป็นต้น
2.เพลงกล่อมเด็กสะท้อนให้เห็นประเพณีวัฒนธรรม อันเป็นเครื่องปรุงแต่งสังคม และเห็นถึงความเจริญทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจ ซึ่งมักปนอยู่ในถ้อยคำ ที่นำมาเปรียบเทียบ เพราะการแต่งเพลงกล่อมเด็กมักเป็นแบบบุคคลอธิษฐาน คือการนำสิ่งที่มีตัวตนมาเทียบกับสิ่งที่เป็นนามธรรม และสิ่งที่มีตัวตนนั้นย่อมเลือกมาจากชีวิตในสังคม
3.เพลงกล่อมเด็กให้ความรู้เรื่องภาษา ได้รู้ถึงศัพท์สำนวนตลอดจนวิธีแสดงความคิดออกมาอย่างมีศิลปะ เช่น การสร้างบรรยากาศ การใช้หารให้เห็นง่าย ให้ได้รสทางภาษา
4.ให้เกร็ดความรู้ในด้านต่างๆ เช่น เกร็ดความรู้ทางด้านวรรณคดี ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์แบบแผนการปกครองของสังคมและครอบครัว



5.ศึกษาบทกล่อมเด็กในแง่ของวรรณศิลป์ ทำให้ซาบซึ้งได้ง่ายกว่า เพราะใช้คำง่าย โดยเฉพาะนักเรียนที่อยู่ในถิ่นนั้นจะเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นเพราะไม่มีปัญหาเรื่องศัพท์ สำนวนซึ่งบางสำนวนเป็นที่คุ้นหู การศึกษาเพลงกล่อมเด็กจึงเป็น การปูพื้นฐานด้านวรรณคดี เพื่อศึกษาในขั้นต่อไปได้สะดวก เพราะวิธีการแสดงออกคล้ายคลึงกัน
บทกลอนสำหรับเด็ก
บทกลอนสำหรับเด็ก เป็นกลอนสั้นๆเด็กร้องเล่นเพื่อความสนุกสนาน บางทีใช้ร้องล้อเลียนกัน และเป็นการส่งเสริมให้เด็กจดจำข้อความยาวๆได้ เด็กคนใดจำได้มากและจำได้เร็วเพื่อนๆก็จะชื่นชม เป็นการกระตุ้นให้เด็กเป็นคนชอบจดจำ ตัวอย่างเช่น
"ยิกกูให้ทัน ให้มันสิบขวด ให้หนวดสิบเส้น"
บทกลอนบทนี้ เด็กใช้แหย่กัน เป็นการยั่วยุให้เพื่อนมาเล่นกับตน
"อ้ายดำม่อท่อ ขี้ใสหม้อ เยี่ยวใสพรก" (พรก-กะลามะพร้าว)
บทกลอนบทนี้ เด็กใช้ล้อเลียนเพื่อนที่มีผิวดำ



"อี้ลั้วคั่วถั่ว หม้อรั่วไฟดับ ยกขึ้นตีทับ ฉับๆเทงตึ้ง"
บทกลอนบทนี้ ใช้ล้อเด็กผู้ชาย
"ต็อดชีดต็อดช่วง นายด้วงผักฉีด ยื่นมือมาดีด ชีดช่วงขล่องเน่า น้ำเต้าหมินฮือ"
เพลงสำหรับเด็กบทนี้ เด็กจะใช้ร้อง ในคราวเมื่อคนที่ตดแล้วไม่ยอมรับ โดยทุกคนยื่นมือออก แล้วร้องเพลงนี้พร้อมกับดีดมือเวียนไปร้องพยางค์หนึ่งก็ดีดมือคนหนึ่ง เพลงจบพร้อมดีดมือใคร คนนั้นเป็นคนตด เพื่อนๆจะล้อกันต่อไป
"อี้หล็อดต็อดต้อย มดหนอยขึ้นรั่ว ไคยิ้มไคหัว คนนั่นและตด"
บทนี้ร้องเพื่อจับคนตดเช่นเดียวกัน แต่วิธีหาคือยั่วให้ยิ้ม
"อี้โป๋ง กินข้าวกับไหร กินข้าวกับไขเป็ก (ไข่ไก่) เปลือกทุ่มไน่ เปลือกทุ่มโคนกล้วย อี้โป๋งหน้าถ้วย ยิกกูไม่ทัน"
บทนี้ใช้เล่นอีโป๋ง ใช้นับเวียนหาคนที่ต้องไล่เพื่อน



"ตากับยายทำนาบนโคก ขี้ใสโหลก ควัดหัวคนฟัง"
บทนี้เด็กจะใช้ร้องหลอกเพื่อน โดยเมื่อเพื่อนบอกให้เล่านิทาน เขาจะเริ่มร้องบทกลอนนี้ พอตรงกับคำว่า ควัดหัวคนฟัง เขาก็จะเขกหัวเพื่อน
"ช้าง ช้าง ช้าง กินไม้ซางกินไม้ไผ หมูกินบอนพ้างพอนกินไกลงไวไว เหวยเหวยนางช้าง"
บทกลอนนี้ เด็กใช้ร้องเมื่อเล่นเจ้าเข้าทรง โดยให้คนทรงนั่งลงแล้วเพื่อนอีกสองคนใช้ผ้าคลุมศีรษะ รวมสองข้างเข้าแน่นช่วยกันดึงผ้า โยกไปมาจนคนทรงมึนหัว บางคนทำเป็นเจ้าเข้าทรงแล้วไล่ตีเพื่อนๆ แต่เมื่อเพื่อนเรียกก็ต้องหยุดทันที
"ผมจุกมาคลุกน้ำปลา เห็นขี้หมา มานั่งไหว้กระจ้องหง๋อง"
บทนี้ใช้ล้อเด็กที่ไว้ผมจุก
"หัวล้านโกนใหมใหม ควักขี้ไกใสหัวล้าน หัวโล้นโกนมานาน เดินพลัดพานหัวจุ้มขี้"
บทนี้ร้องล้อเด็กที่โกนผมใหม่ จนหัวโล้น
"แด็กขี้ร้อง จับใสข้องมาร้องมาร้องกลางนา คนเดินมาจับเด็กขี้ร้อง"
บทนี้ใช้ร้องหลอกเด็กที่ร้องไห้ ให้หยุดร้อง
"พระเขนเห็นหว่อง ยายพุงป้อง นั้งหยิกขี้เด พลีดลงเลขี้เดหกหม็อด ต็อบไม่ทันป้าจันทร์ขาเฉ"
เด็กใช้ร้องเมื่อนั่งดูพระจันทร์ (พระเขน=พระจันทร์) บางทีก็ร้องล้อคนที่ชื่อจันทร์ หรือคนที่มีญาติผู้ใหญ่ชื่อจันทร์



คุณค่าของภาษิตชาวบ้านปักษ์ใต้
.....ภาษิตชาวบ้านปักษ์ใต้ นอกจากจะมีคุณค่าในการสั่งสอนอบรม หรือเตือนสติดังกล่าวมาแล้ว บางบทยังมีคุณค่าพิเศษออกไปในบางแง่ เช่น
1.ภาษิตที่ช่วยบอกภาวะภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ เช่น
...1.1 นครพุงปลา สงขลาผักบุ้ง พัทลุงลอกอ
.....ภาษิตบทนี้สะท้อนให้เห็นว่าจังหวัดทั้งสามนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอะไร และยังสะท้อนต่อไปว่าภูมิประเทศของจังหวัดนั้นๆต่างกันอย่างไร คือว่านครศรีธรรมราชนั้น มีไตปลามาก จนมีภาษิตติดปากว่า"นครพุงปลา" เพราะชาวปากพนังส่วนใหญ่ทำการประมง ส่งปลาและไตปลาไปขายยังจังหวัดใกล้คียง ส่วนสงขลานั้น มีการปลูกผักบุ้งกันมาก ต่างกับพัทลุงซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยผลไม้จึงว่าพัทลุงลอกอ คือมีมะละกอมาก เป็นต้น



...1.2 สะตอวัดประดู่ พลูคลองยัน ทุเรียนหวานมันคลองพระแสง ย่านดินแดงของป่า เคียนของป่า เคียนซาถ่านหิน พุนพินมีท่าข้าม นำแม่นำตาปี ไม้แต้วดีเขาประสงค์ กระแดะดงลางสาด สิ่งปลาดกึ่งพะนม เงาะอุดมบ้านส้อง จากและคลองในบาง ท่าฉางต้นตาล บ้านนาสารแร่ ท่าอุแทวัดเก่า อ่าวบ้านดอนปลา ไชยามีข้าว มะพร้าวเกาะสมุย
.....ภาษิตชุดนี้เป็นภาษิตแสดงถึงสินอันมีค่าในท้องที่ต่างๆของจังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานที่ต่างๆที่กล่าวถึงคือที่กล่าวคือ คลองยัน อยู่อำเภอท่าขนอน คลองพระแสง อยู่อำเภอพระแสง ย่านดินแดง เป็นตำบลอยู่อำเภอพระแสง เคียนซาเป็นตำบลอยู่อำเภอนาสาร พุนพินเป็นชื่ออำเภอเรียกกันว่าท่าข้ามเขาประสงค์ อยู่อำเภอท่าชนะ มีไม้แต้วซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งที่เขานิยมใช้เผาถ่านมาก กะแดะ เป็นตลาดในอำเภอกาญจนดิษฐ พนม เป็นกิ่งอำเภอ บ้านส้องเป็นตำบล อยู่ในอำเภอเวียงสระ ในบางเป็นหมู่บ้านในอำเภอเมือง ท่าอุแทเป็นตำบล ในอำเภอกาญจนดิษฐ



...1.3 พัทลุงมีดอน นครมีท่า ตรังมีนา สงขลามีบ่อ
.....ภาษิตนี้พูดเป็นคำติดปากกัน แสดงว่า ในจังหวัดพัทลุงนั้นมีบ้านที่ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าดอนมาก เพราะพื้นที่เป็นดอนเป็นเนิน และที่เรียกนำว่าควนก็มาก ส่วนจังหวัดนครมีบ้านที่ชื่อนำด้วยท่ามากเช่น ท่าศาลา ท่าขนอม ฯลฯ ต่างกับจังหวัดสงขลามีบ้านนำด้วยคำว่าบ่อ เช่น บ่อยาง บ่อตรุ ฯลฯ เพราะพื้นที่สงขลามักเป็นที่ราบตำ ชื่อบ้านจึงมักเกี่ยวกับคำว่า นำ เช่น มาบเตย มาบหวาย ปากวะ ปากพูน ปากพน ล้วนแต่แปลว่า นำ ทั้งสิน ส่วนจังหวัดตรังชื่อมักเกี่ยวกับนา เช่น นาโยง เป็นต้น
2.ภาษิตชาวบ้านย่อมเป็นสิ่งให้ความรู้ด้านสำนวนภาษา เช่น
...2.1 สงขลาหอน นครหมา
.....ภาษิตนี้แสดงให้เห็นว่าชาวสงขลานิยมพูด คำว่า หอน ในความหมายว่า เคย เช่น ไม่หอนไป = ไม่เคยไป หอนเห็น = เคยเห็น ส่วนนั้นนิยมพูดคำว่า หมา แทนคำว่า ไม่ เช่นหมากิน = ไม่กิน หมานอน = ไม่นอน หมารัก = ไม่รัก



...2.2 ลอยช้อนตามเปียก
.....จากภาษิตบทนี้ ได้รู้ว่าชาวใต้เรียกต้มว่า เปียก
...2.3 ปัดปัดเหมือนแม่ไกรังทัง
.....จากภาษิตบทนี้ได้ทราบสำนวนปักษ์ใต้ว่า รังทัง หมายถึง ลักษณะที่แม่ไก่ไข่ไม่เป็นที่และชวนให้รำคาญใจ
3.ภาษิตบางบทสะท้อนให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในแง่ต่างๆ ซึ่งอาจจะนำไปเป็นข้อมูลในการศึกษาศาสตร์แขนงอื่นๆได้ เช่น
...3.1 ทำหน้าเหมือนโนราโรงแพ้

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น