คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : chapter 15 : Mermaid
Mermaid
"ทำไมเปิดช้าจังวะ ข้างนอกหนาวเป็นบ้า"
คนตัวสูงกว่าที่มีหอบของพะรุงพะรังอยู่เต็มอ้อมกอดเบียดตัวเองผ่านช่องประตูที่ถูกเปิดออกไว้ครึ่งๆ สะบัดรองเท้ากีฬาสีมอซอที่เปียกชื้นออกจากเท้าก่อนจะรีบวิ่งหายเข้าไปในห้อง
"ไอ้นี่ นี่ บอกกี่ครั้งแล้ววะ ว่าถอดรองเท้าแล้วให้วางดีๆ" บ่นตามหลังแต่ไม่วายต้องก้มลงไปหยิบรองเท้าคู่นั้นขึ้นมาวางบนชั้นวางแล้วเบี่ยงตัวให้จงอินที่เดินเข้ามาทีหลังวางรองเท้า
"ผู้ชายที่แกคุยด้วยเมื่อวาน ยังติดต่อกันอยู่รึเปล่า" เพราะจู่ๆก็ถูกถามคำถามที่ไม่มีแม้บทสนทนาเกริ่นนำทำเอาคนถูกถามนิ่งอึ้งไป จงอินจึงเสริมประโยคระบุตัวบุคคลไปให้ "จุนมยอนอะไรนั่น"
"อืม ก็ไม่นี่ ฉันแค่..." เพราะอาการต่างใจฟังอย่างผิดปกติของเพื่อนตัวสูงทำให้ลู่หานนึกเฉลียวใจกับพฤติกรรมแปลกๆ "แล้วแกถามถึงเขาทำไมวะ"
ย้อนถามกลับไปแต่จงอินแต่ยักไหล่ก่อนจะเดินตามชานยอลหายเข้าไปในครัว
"วางไก่ลงเลยไอ้ดำ"
เสียงชานยอลที่ดังลอดออกมาจากในครัวช่วยเร่งฝีเท้าทีเดินเอื่อยๆให้ไปถึงครัวได้เร็วขึ้น แล้วภาพที่เห็นก็แทบทำให้เขาหัวเราะออกมา เมื่อเพื่อนหน้าตายของเขากำลังคาบน่องไก่ชิ้นโตไว้ในปาก โดยมีเพื่อนหูกางของเขายืนชี้ตะหลิวในมือไปที่ไก่ชิ้นโตนั้น
"โตแล้วยังทำตัวเป็นเด็กอีกนะแก"
หันไปบ่นคนหูกางก่อนจะหยิบไก่ทอดในจานขึ้นมากัดบ้าง
"ไก่ฉันนะนั่น" เสียงครวญดังขึ้นจากชานยอล ก่อนจะคว้าจานไก่ทอดไปวางไว้ข้างตัว "ตังค์ซื้อก็ตังค์ฉัน"
ลู่หานหันไปสบตากับจงอินก่อนที่ทั้งสองจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะที่ดังแว่วมาจากในครัวทำให้ภูติตัวน้อยได้แต่นั่งหน้ามุ่ยอยู่บนเตียงขณะที่มือเล็กลูบไปบนลำตัวนุ่มนิ่มของเจ้าหนอนที่เพิ่งจะออกจากไข่ฟองสุดท้ายที่เขาเก็บไว้
"เจ้าหนอนน้อย แกคงอยากมีชื่อเหมือนกันสินะ"
ดวงตาคู่กลมกระพริบปริบๆก่อนจะเม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด
"คะ-ยอง-ซู, จุน-มะ-ยอน, แบค-ฮะ-ยอน" นับนิ้วตามพยางค์ที่ออกเสียง ก่อนจะทำปากยู่
"ลู่-หาน, เปา-จื่อ อืม ฉันกับลู่หานแค่สองนิ้วเอง" ชูนิ้วที่ตัวเองนับได้ไปใกล้ดวงตากลมๆของเจ้าหนอน
"จงแด จงแดเป็นไง ชอบชื่อนี้ไหม ชอบใช่ไหมล่ะ" ภูติน้อยพูดเองเออเองก่อนจะยกเจ้าหนอนตัวกลมขึ้นมากอด
และดูจะพออกพอใจกับการตั้งชื่อให้กับเจ้าหนอน ชื่อที่มีสองนิ้วเหมือนกับเขาและลู่หาน
คนที่พลิกตัวไปหมายจะปิดไฟโคมไฟที่หัวเตียงสะดุ้งโหยงเมื่อใบหน้าขาวโผล่เข้ามาในมุมมอง "เปาจื่อ" เอ่ยชื่อตัวต้นเหตุที่ทำเอาใจเขาตกอกตกใจเสียงดังเพื่อปลอบใจตัวเอง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อเปาจื่อยังยืนอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว
"จะเอาอะไร" ถามด้วยน้ำเสียงที่ติดจะอ่อนโยนเมื่อเห็นใบหน้ากลมๆดูเศร้าสร้อย
"คืนนี้ ฉัน.. นอนกับนายได้ไหม"
"เรื่องอะไรล่ะ" ตอบกลับไปด้วยประโยคคำถาม แล้วก็ต้องถอนหายใจเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนว่าผิดหวัง ดวงตากลมคู่นั้นก้มมองปลายเท้าของตัวเองที่ขยับยุกยิกอยู่บนพื้น
"อย่าทำแบบนี้กับฉันนะ เปาจื่อ"
"ขอนอนด้วยไม่ได้เหรอ นะๆ แค่คืนเดียว"
แทนคำตอบร่างโปร่งของคนบนเตียงก็ขยับไปชิดขอบเตียง จนเหลือที่ว่างพอจะให้ร่างเล็กๆลงมานอนได้ส่งผลให้ภูติตัวกลมยิ้มร่าอย่างดีใจ ก่อนจะรีบปีนขึ้นไปนอนบนเตียงนุ่ม
ผมห่มที่อยู่บนตัวของเจ้าของเตียงถูกกระตุกไปคลุมร่างเล็กๆของภูติที่มาอาศัยนอน จนลู่หานต้องหันไปทำตาขวางใส่
"นอนไม่หลับเหรอ"
เสียงเบาๆราวกระซิบของลู่หานดังขึ้นท่ามกลางความมืดภายในห้องเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นของเตียงเมื่ออีกฝ่ายพลิกตัวไปมาบนเตียงของเขามากว่าชั่วโมงแล้ว
"อือ นอนไม่หลับ” ส่งเสียงงุ้งงิ้งตอบกลับไปก่อนจะพลิกตัวเพื่อหา ที่นอนที่สบายๆ
“ตอนเด็กๆเวลาที่ฉันนอนไม่หลับ แม่จะเล่านิทานให้ฉันฟัง แล้วฉันก็จะ หลับไปก่อนที่นิทานจะจบทุกครั้งเลย นายอยากจะฟังบ้างไหมล่ะเผื่อจะ ได้นอนหลับ”
“ฟังๆ ฟังนิทาน” ลู่หานพลิกตัวไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง เพื่อจะหยิบ หนังสือนิทานเล่มหนาออกมาจากลิ้นชัก ขยับตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง เพื่อให้อ่านหนังสือในมือถนัดขึ้น
"ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ยังมีดินแดนที่ลึกล้ำลงไป สถานที่ซึ่งไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถล่วงล้ำเข้าไป คือที่ประทับของพระราชาผู้ปกครองท้องทะเลกว้าง..."
"…"
"เจ้าหญิงเงือกองค์สุดท้ายเฝ้ารอเวลาที่เธอจะมีอายุครบ 15 เพื่อที่เธอจะสามารถขึ้นไปสู่ผิวน้ำได้ วันในที่สุดเมื่อวันที่เจ้าหญิงเงือกอายุครบ 15 เธอได้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ โลกกว้างใหญ่ที่ปรากฏแก่สายตา ทำให้เธอยิ่งหลงใหลสายลม ท้องฟ้ากว้าง และดวงจันทร์บนท้องนภา ทุกอย่างที่เจ้าหญิงเงือกเคยจินตนาการเทียบไม่ได้เลยกับความจริงที่ได้พบ..."
"ร่างของเจ้าชายรูปงามจมลงสู่เกลียวคลื่นในมหาสมุทร ในคราแรกเจ้าหญิงเงือกดีใจที่เจ้าชายจะได้ไปอยู่กับเธอ แต่เจ้าชายเป็นมนุษย์ เขาไม่สามารถจะลงไปถึงปราสาทของเธอได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายเจ้าหญิงเงือกน้อยตัดสินใจที่จะว่ายน้ำฝ่าเศษซากเรือที่แตกกระจายไปยังร่างของเจ้าชายที่กำลังจมลงสู่ก้นทะเลลึกเธอประคองศีรษะของเจ้าชาย เอ่อ หัวน่ะ" รีบเปลี่ยนคำเมื่อนึกได้ว่าเปาจื่อคงไม่รู้จักคำศัพท์พวกนี้ แล้วอ่านต่อ "เธอประคองหัวของเจ้าชายเอาไว้เหนือกระแสน้ำ...
เงือกน้อยตกหลุมรักเจ้าชายเข้าเสียแล้ว เธอเฝ้าคิดถึงเจ้าชายรูปงามที่ครั้งหนึ่งเธอได้ช่วยชีวิตไว้ เธออยากจะครองครู่กับเจ้าชายรูปงามผู้นั้น แต่เพราะเงือกไม่มีวิญาณอมตะเช่นมนุษย์ เมื่อเงือกตายจึงกลายเป็นเพียงฟองคลื่นลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ ดังนั้นเงือกน้อยจึงปรารถนาที่จะมีวิญญาณเป็นอมตะ ถ้าหากว่าจะสามารถแลกมันด้วยชีวิตที่ยืนยาวของเธอ...
ทุกอย่างก้าวที่เดินด้วยขาทั้งสองข้างราวกับถูกกรีดด้วยมีดแหลมคมนับพันๆเล่ม และแม้เงือกจะน้อยจะไม่สามารถพูดได้ แต่ดวงตาที่งดงามของเธอก็ราวกับจะทดแทนคำพูดได้...
เจ้าชายทรงโปรดเงือกน้อยมาก แต่เงือกน้อยก็ไม่ทำให้เจ้าชายหายคิดถึงหญิงสาวที่ช่วยพระองค์ไว้ เงือกน้อยรู้ดีว่าหากเจ้าชายแต่งงานกับหญิงอื่น เธอจะไม่มีวันได้วิญญาณอมตะและเธอก็จะกลายเป็นเพียงฟองคลื่นที่ถูกซัดไปมาในมหาสมุทร....
เงือกน้อยได้แต่เฝ้ามองเจ้าชายกับเจ้าหญิงคู่หมั้นด้วยแววตาที่ปวดร้าว เช้าวันที่เจ้าชายเสกสมรสจะนำความตายมาสู่เธอ
และแล้ววันที่เจ้าชายเสกสมรสก็มาถึง บนเรือมีการจัดงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ พลุมากมายถูกจุดขึ้นบนฟ้าเปลี่ยนท้องฟ้ายามราตรีให้สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ
ค่ำคืนสุดท้ายที่เธอจะยังมีชีวิตอยู่ เงือกน้อยมองเห็นพี่ๆของเธอว่ายน้ำเข้ามาใกล้เรือ เส้นผมที่งดงามของพวกพี่ๆถูกตัดจนสั้นเพื่อแลกกับการที่จะช่วยให้เงือกน้อยมีชีวิตอยู่ต่อ ทางเดียวที่เงือกน้อยจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ก็คือการที่ปักมีดลงไปที่หัวใจของเจ้าชายก่อนรุ่งอรุณ และใช้เลือดของเจ้าชายมาชโลมที่ขาทั้งสองข้าง มันก็จะติดกันแล้วกลายเป็นหาง เงือกน้อยจะสามารถกลับไปยังปราสาทพร้อมพี่ๆของเธออีกครั้ง เธอรับมีดที่คมกริบจากพี่ๆด้วยหัวใจที่ปวดร้าว
เงือกน้อยเข้าไปในห้องนอนของเจ้าชาย ภาพที่เห็นยิ่งทำให้ใจของเธอยิ่งปวดร้าว มือของเจ้าชายที่โอบประคองร่างของเจ้าหญิงเอาไว้ในอ้อมกอด ปากที่กระซิบชื่อของเจ้าหญิงแม้ในยามที่หลับ เธอไม่เคยอยู่ในใจเจ้าชายเลย คนที่เจ้าชายรักไม่ใช่เธอ
เงือกน้อยวิ่งออกมาจากห้องนอนของเจ้าชายเธอโยนมีดในมือลงไปในทะเล เธอยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกระโดดลงไปจากเรือ
เมื่อแสงแรกแห่งรุ่งอรุณมาถึงร่างของเงือกน้อยก็กลายเป็นฟองอากาศที่ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ"
ลู่หานปิดหนังสือแล้วหันมองภูติตัวเล็กที่เขาคิดว่าน่าจะหลับไปนานแล้วแต่กลับกลายเป็นว่าเปาจื่อยังมองตอบเขากลับมาตาแป๋ว
"ทำไมเจ้าชายถึงไม่แต่งงานกับนางเงือกล่ะ ในเมื่อนางเงือกต่างหากที่ช่วยชีวิตเจ้าชายไว้"
หันไปลูบหัวเปาจื่อที่ตอนนี้หน้าตางัวเงียเหมือนพร้อมจะหลับทุกเมื่อ
ใบหน้าเล็กๆที่ซุกอยู่กับหมอนใบโตนั้นลู่หานไม่อยากยอมรับเลยว่ามันช่างชวนมองเสียเหลือเกิน "ก็เพราะเจ้าชายไม่รู้ยังไงล่ะว่านางเงือกช่วยชีวิตเขาไว้"
"งั้นทำไมนางเงือกไม่ฆ่าเจ้าชายแล้วกลับไปอยู่กับครอบครัวจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป"
"แล้วถ้าเป็นนายนายจะทำแบบนั้นรึเปล่าล่ะ"
"ฉัน...."
ท่าทีอ้ำอึ้งของเปาจื่อทำให้ลู่หานคลี่ยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อตากลมๆทอดมองเขา จู่ๆก็รู้สึกอยากจะดึงร่างเล็กๆนั้นมากอดซะเหลือเกิน
แต่เขาจะกอดซาลาเปาได้ยังไง
ไม่มีทางซะล่ะ
"เพราะเงือกน้อยรักเจ้าชาย เธอเลือกความตายเพราะไม่อาจฆ่าชายที่เธอรักได้ยังไงล่ะ"
"แล้วพ่อกับพี่ๆแล้วก็ย่าล่ะ พี่ๆของนางเงือกยอมแลกผมเพื่อจะหาวิธีช่วยให้เธอมีชีวิตต่อไปนะ" เอื้อมมือไปกำชายเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นเมื่อลู่หานทำท่าจะล้มตัวลงนอน
หันมองนิ้วที่เกี่ยวชายเสื้อเขาเอาไว้มั่นแล้วสบเข้ากับดวงตากลมโตทอดมองมายังเขาเพื่อรอคำตอบ
"การเสียสละของพี่ๆเพื่อให้เงือกน้อยมีชีวิตอยู่ต่อ มันแลกมาด้วยอีกหนึ่งชีวิตของคนที่เธอรักสุดหัวใจ พ่อ และพี่ๆกับย่าเงือกยังคงมีชีวิตอยู่แม้เธอจะตายไป แต่ถ้าเธอฆ่าเจ้าชายแล้วมีชีวิตอยู่ก็เท่ากับ เธอฆ่าทั้งเจ้าชาย และตัวเธอเองรวมถึงเจ้าหญิงองค์นั้นด้วย เงือกน้อยรู้ดีว่าเจ้าชายไม่ได้รักเธอ ที่มีให้คือความเห็นใจและเอ็นดู แต่มันไม่ใช่ความรัก"
ลู่หานดึงมือที่กำชายเสื้อของเขาออกแล้วจับมันไปวางบนหน้าอกของภูติตัวเล็ก ตั้งจะนอนพักแต่เสียงเล็กๆที่ดังอยู่ข้างๆก็แทบจะทำให้เขาเป็นบ้า
ผิดที่เขาเองล่ะที่อ่านนิทานให้กับภูติที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วก็ช่างซักซะยิ่งกว่าอะไรดี
"แต่ว่า อะไรคือความรักเหรอ"
ลู่หานถอนหายใจยาว แล้วใช้มือปิดดวงตาทั้งสองที่มองมาทางเขาเอาไว้
"ดึกแล้วนอนได้แล้ว"
ขยับตัวลงนอนเมื่อโคมไฟที่หัวเตียงถูกดับลง แต่มือข้างซ้ายของเขายังวางอยู่บนใบหน้าเล็กๆนั้น จนรู้สึกได้ถึงดวงตาที่กระพริบอยู่ใต้ฝ่ามือ
"ความรักคืออะไร ทำไม..."
"นอน"
เพราะเสียงสั่งที่เฉียบขาดทำให้ภูติน้อยยอมหยุดถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย และไม่รู้เป็นเพราะไออุ่นจากมือที่ยื่นมาปิดตาของเขาด้วยหรือเปล่าที่ทำให้หัวสมองของเขาว่างเปล่าแบบนี้
**** to be with you ****
"คุณมาทำอะไรที่นี่"
เสียงถามที่แข็งกร้าวแสดงออกถึงความไม่พอใจดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏกายของคนตัวสูง จุนมยอนดันประตูปิดเบาๆก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับร่างสูงที่ยืนมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
"ผมถามว่าคุณมาทำอะไร"
เสียงถามดูจะดังขึ้นเมื่อไม่ได้รับคำตอบ จุนมยอนเพียงส่งยิ้มบางๆให้อีกคนที่ทำหน้าตาดุใส่เขา
"คุณคิดว่าไงล่ะ"
ไม่ได้ตั้งใจที่จะกวนประสาทแต่เพราะใบหน้าของคนตรงหน้าที่ฉายแววไม่เป็นมิตรกับแววตาที่แสดงออกถึงความไม่ไว้ใจนั้นต่างหากที่ทำให้เขาอยากจะรู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่
จงอินกำหมัดแน่นเมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มยั่วของอีกฝ่าย
"ไม่ว่าคุณจะมาที่นี่เพราะอะไร ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก และผมขอเตือนคุณไว้อย่ายุ่งกับเพื่อนของผม เพราะถ้าลู่หานเป็นอะไรไปผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่"
จงอินเดินผ่านร่างของอีกคนเข้าไปในห้องอย่างเร่งรีบ แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนที่ซูบผอมนั่งบีบนวดขาของคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
"จงอินเองหรือลูก" โค้งทักทายเมื่ออีกฝ่ายหันมาทัก
"คุณป้าครับ ผู้ชายคนที่มาเมื่อกี้เขามาทำอะไรเหรอครับ" อดที่จะถามออกไปด้วยความอยากรู้ไม่ได้ ใบหน้าของคนสูงวัยแย้มยิ้มเพียงนิดๆก่อนจะเอ่ยตอบ
"เขาเอาดอกไม้มาเยี่ยมเซฮุนจ๊ะ" จงอินกวาดสายตามองไปรอบๆห้องที่มีดอกไฮเดรนเยียหลากสีวางประดับแจกันไว้อย่างสวยงาม
"ถ้าเซฮุนรู้ว่าเพื่อนๆเป็นห่วงเขาแบบนี้เขาจะต้องรีบตื่นขึ้นมาแน่ๆ" ดวงตาของคนสูงวัยเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาคลอ
"คุณป้า"
"ดูเซฮุนของเราสิ เขาก็เหมือนคนที่นอนหลับไปเท่านั้น อีกเดี๋ยวเขาก็จะตื่นแล้วล่ะ" เพราะไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใดๆออกมาในสถานการณ์เช่นนี้ จงอินจึงทำเพียงเงียบและฟังความปวดร้าวที่ออกมาจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าแม่ที่ตลอดเวลาเกือบสองปีทำได้เพียงนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงลูกชายที่นอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่แบบนี้
นายตื่นได้แล้วนะเซฮุน กลับมาได้แล้ว
ฉันรู้ว่านายจะต้องตื่นขึ้นมา
"ฉันจะออกไปมหา'ลัย คงกลับเย็นๆ ข้างนอกหิมะยังตกอยู่ถ้าจะออกไปไหนก็ระวังๆด้วยล่ะ"
เอ่ยบอกภูติที่ลุกขึ้นมานั่งงัวเงียอยู่บนเตียง เส้นผมสีอ่อนปัดไปมาไม่เป็นทรงตกลงมาปรกใบหน้า ลู่หานไล่มองแก้มนิ่มที่เขาเผลอกดมจูกลงไปเมื่อตอนที่ตื่นขึ้นมาเจอเปาจื่อซุกอยู่ที่อกเขา
กลิ่นหอมจากตัวของเปาจื่อยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก พอนึกถึงแล้วก็รีบหันหน้ากลับมาจดจ่อกับเชือกผูกรองเท้าตรงหน้า
"ฉันไม่ได้ล็อคประตูหรอกนะนายจะออกไปนายก็กดไอ้ปุ่มตรงกลางมันเข้าไปแล้วดึงประตูปิดให้ฉันด้วยนะ" เอ่ยกำชับขณะที่นั่งก้มหน้าก้มตาผูกเชือกรองเท้าอยู่ที่หน้าประตู
"ไปด้วย"
น้ำหนักตัวที่เอนมาบนหลังทำให้ลู่หานต้องเหลียวกลับไปมองจนเห็นเส้นผมสีฟางอยู่แถวๆไหล่
ภูติตัวเล็กนั่งยองๆซบหลังอุ่นๆของลู่หานก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เขาก็แค่เดินตามเสียงของลู่หานมา
เสียงหวานๆที่ขึ้นสูงๆต่ำๆ มันจะเพราะเหมือนเสียงร้องเพลงของนางเงือกไหมเขาก็ไม่รู้แต่พอได้ยินแล้วก็อยากจะนอนจริงๆ
"เปาจื่อ จะนอนก็ไปนอนบนเตียงมานอนอะไรตรงนี้"
"ไม่นอนๆ จะไปด้วย" รีบผุดขึ้นมานั่งหน้าตื่นเมื่อถูกไล่ให้ไปนอน
"ไปไหน"
"ลู่หานไปไหนก็ไปด้วย ไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่มีเพื่อนคุย"
"ต้องมีเพื่อนคุยด้วยเหรอ" หันกลับไปถามภูติที่นั่งหน้าเศร้าอย่างขบขัน
"ต้องมีสิ ไปด้วยนะ" คว้าชายเสื้อของคนที่ลุกขึ้นยืนเอาไว้แน่น จนเมื่อลู่หานยอมพยักหน้านั่นล่ะภูติตัวเล็กถึงได้ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น
"เสิ้อผ้านายอยู่บนเก้าอี้ ไปเปลี่ยนซะก่อนแล้วค่อยไป"
"ลู่หาน"
"…"
"ลู่หาน"
"…"
"ลู่หาน"
"…"
คนที่เดินนำหน้าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงงุ้งงิ้งที่เรียกชื่อเขาวนซ้ำไปมาเหมือนแผ่นตกร่อง
"ฮึ" เสียงพ่นลมหายใจที่ดังอยู่ไม่ห่างทำให้อดไม่ได้ที่จะหันไปดูตัวที่ต้นเสียงแล้วก็พบกับใบหน้างองุ้มของเปาจื่อที่อมลมไว้เต็มสองข้างแก้มจนแก้มบวมๆพองออกทั้งสองข้างจนเห็นเส้นเลือดเล็กๆ กับริมฝีปากยื่นออกมาข้างหน้าแบบนั้น ลู่หานว่าเวลาภูติแบบเปาจื่องอนก็น่ารักไปอีกแบบดีนะ
ยักคิ้วใส่ภูติหน้างอตรงหน้าแล้วหันกลับมาสนใจทางเดินตรงหน้าต่อ
จนรู้สึกว่าภูติที่เดินตามเขามาตลอดไม่ได้เดินมาด้วยนั่นล่ะ ลู่หานถึงได้หยุดเดินแล้วหันกลับไปมองหา
"ไม่ใช่ว่าตัวหดเล็กลงอีกแล้วหรอกนะ"พึมพำกับตัวเองแล้วรีบเดินวกกลับไปยังทางที่เขาเดินมา
'เปาจื่อ ได้ยินฉันไหม'
....
ไม่มีเสียงตอบเข้ามาในกระแสจิต ลู่หานได้แต่สอดส่ายสายตามองหาภูติตัวกลมของเขาก่อนจะไปสะดุดเข้ากับชายผ้าที่ประดับไปด้วยดอกไฮเดรนเยียสีม่วงคุ้นตา ชุดที่เขาให้เปาจื่อเปลี่ยนก่อนจะออกมา
ขาสองข้างพาร่างของตัวเองเบียดผ่านผู้คนที่ดูจะหนาตาเป็นพิเศษก่อนจะเอื้อมมือออกไปดึงรั้งข้อมือของเปาจื่อเข้ามาหาตัวแล้วลากเข้าไปในมุมที่ห่างไกลผู้คน
"มายืนทำบ้าอะไรตรงนี้ ฉันคิดว่านายหลงไปไหนหรือตัวหดเล็กแล้วโดนคนเหยียบไปแล้วซะอีกรู้บ้างไหม ทำไมชอบทำให้ต้องห่วงเรื่อยเลย"
ยืนท้าวเอวดุภูติตัวเล็กที่ยืนก้มหน้านิ่งปากสีแดงเบะออกเหมือนเด็กๆที่โดนผู้ใหญ่ดุ
"อะไร" ลู่หานมองนิ้วที่ชี้ข้ามไหล่ของเขาไปอย่างหงุดหงิดจนเผลอกระชากเสียงถามออกไป
"น่ากิน"ขมวดคิ้วกับคำพูดที่ไม่ประติดประต่อกันก่อนจะหมุนตัวกลับไปดูฝูงชนที่ยืนออกันอยู่หน้าร้านเบเกอร์รี่เปิดใหม่ที่ส่งกลิ่นหอมลอยออกมานอกร้าน
"เอาไว้ตอนเย็นๆเดี๋ยวซื้อให้กิน" ว่าพลางลากแขนเล็กๆนั้นให้เดินตามแรงฉุดของตัวเองมา
ทั้งที่ตั้งใจจะออกมาก่อนเวลาแล้วแท้ๆแต่เพราะมีเปาจื่อตามมาด้วยแบบนี้ทันเลยยิ่งทำให้เขาช้ากว่าที่ควรจะเป็น
"นี่ๆลู่หาน ลู่หาน"
"อะไรของนายอีก ฉันรีบนะ" หันไปดุใส่ภูติตัวกลมที่ยืนทำหน้าตูมใส่เขาแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมา "ว่าไงเปาจื่อ"
"คนมองนายอยู่น่ะ"
ลู่หานขมวดคิ้วกับคำพูดแปลกๆนั้นก่อนจะกันมองรอบตัวเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่มองมาทางเขาเหมือนอย่างที่เปาจื่อพูด ไล่สายตากลับมามองมือตัวเองที่คว้าแขนของเปาจื่อเอาไว้ก่อนจะรีบสะบัดมือออกมาทันที
นี่เขาพูดอะไรกับเปาจื่อไปบ้างเนี่ย
แล้วที่จับมือเมื่อกี้อีก
คนอื่นไม่คิดว่าเขากลายเป็นคนบ้าไปแล้วเหรอเนี่ย
นี่มันวันซวยอะไรเนี่ย
'เพราะนายแท้ๆเลยเปาจื่อ'
ได้แต่ทำหน้างอกับเสียงบ่นที่ดังขึ้นในหัวของเขาขณะที่ก้าวตามคนตัวสูงกว่าไปตามทางที่เต็มไปด้วยหิมะ
คนอื่นต้องหาว่าฉันบ้าแน่ๆเลย
เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือตอบอะไรออกไปดีที่จะไม่ผิดหูของคนขี้บ่นตรงหน้าเขาเลยเลือกจะเงียบเอาไว้
ทั้งๆที่ใจเขาคิดเถียงไปตั้งมากมาย
ก็ลู่หานเองต่างหากที่เอาแต่บ่น บ่น บ่น พอหันมาก็คว้าแขนแล้วลากเขาไป แล้วก็มาโทษว่าความผิดเขาลู่หานน่ะ เอาแต่ใจชะมัด
'รถมาแล้ว เปาจื่อเร็ว'
ภูติตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาจากพื้นเพื่อจะพบว่าลู่หานกำลังวิ่งตรงไปยังรถคันใหญ่ที่จอดอยู่ สุดท้ายเลยต้องรีบวิ่งตามไปติดๆ พอลู่หานก้าวขึ้นรถภูติน้อยที่กำลังจะก้าวตามไปก็ถูกเบียดอย่างแรงจนร่างของเขาเซไปด้านข้าง
ความรู้สึกที่โดนมนุษย์ทะลุผ่านร่างมันกลับมาอีกครั้ง
แล้วคราวนี้ไม่ใช่คนเดียวเหมือนกับครั้งแรก แต่คนนับสิบที่กรูกันขึ้นไปบนรถ
"ลู่หาน"
ร่างของเปาจื่อล้มลงบนพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เอื้อมมือออกไปแตะขั้นบันไดรถเอาไว้หมายจะทรงตัวยืนขึ้นแต่ประตูก็ปิดเข้าหากันจนเขาต้องรีบชักมือออกมา
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มพร้อมกับที่รถเมล์คันใหญ่เคลื่อนออกจากป้าย
"เห้อ เกือบไม่ทัน"
พึมพำกับตัวเองเมื่อขึ้นมาจับจองพื้นที่บนรถได้สำเร็จ เพราะตอนนี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วนจึงไม่แปลกที่บนรถจะอัดแน่นไปด้วยผู้คน
ลู่หานกวาดสายตาไปรอบๆตัวเพื่อมองหาภูติตัวเล็กที่ติดตามเขามา
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆเมื่อมองหาไม่เห็นภูติที่ควรจะอยู่กับเขา
'เปาจื่อ นายอยู่ไหนน่ะ เปาจื่อ ได้ยินฉันไหม'
TBC.
ไม่มีอะไรจะแก้ตัวค่ะ หายไปนาน ยังมีคนรออ่านอยู่ไหมเอ่ย???
ค่อยๆอ่านกันนะคะ หลังสงกรานต์เจอกันอีกแน่นอนค่ะ
Jyploy
ความคิดเห็น