คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : chapter 6 : Fly to the moon
Fly to the moon
เขานั่งอยู่ตรงนี้มานานแล้ว
นานพอที่จะเห็นว่าร่างเล็กที่นั่งเกาะกระจกอยู่ไม่ได้ขยับไปไหนเลยใบหน้าเล็กๆที่แนบไปกับกระจก ขณะที่ดวงตาคอยจ้องมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ริมฝีปากสีแดงสดนั้นขยับขึ้นลงคล้ายพึมพำอะไรอยู่คนเดียวแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
เขารู้ดีว่าซูโฮคงบอกอะไรกับภูติเกิดใหม่ตนนี้
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ร่างเล็กตรงหน้าไม่ห่างไปจากกระจกเลยตั้งแต่เขาเข้ามาในร้าน
"ไหนว่าจะพาเขาไปเที่ยวไง แล้วทำไมมานั่งซึมตรงนี้" คยองซูแตะไหล่บางของผู้ที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่บนขอบแก้วน้ำชาของเขา
"เขาคงไม่อยากไปแล้วมั้ง ในเมื่อตอนนี้ดูจะตื่นเต้นกับการจะมีเจ้าของเหลือเกินนี่" คยองซูได้แต่ส่ายหัวให้กับเสียงพูดที่ขึ้นจมูกของร่างตรงหน้าเขา และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้เลยว่าน้ำเสียงที่ใช้พูดออกมานั้นมันเจือไปด้วยความน้อยใจแค่ไหน
"นายน่าจะเข้าใจเขาบ้างนะ" คยองซูบีบไหล่พี่ชายก่อนจะลอบถอนหายใจออกมา
"รีบพาเขาไปเที่ยวเถอะแบคฮยอน ความมืดกำลังใกล้เข้ามาแล้วล่ะ" แบคฮยอนสบตาสีนิลของน้องชาย จ้องลึกเข้าไปยัง นัยน์ตาที่กักเก็บความกังวลไว้ไม่มิด พยักหน้ารับก่อนเบนสายตากลับไปยังร่างที่เขาได้แต่นั่งมองเงียบๆมาสักพัก
"ภูติน้อย"
เสียงเรียกจากแบคฮยอนเรียกความสนใจของผู้ที่นั่งมองผู้คนที่เดินไปมาตามท้องถนนให้หันกลับมามองที่ภูติทั้งสองที่จับจองพื้นที่นั่งบนขอบแก้วน้ำชกระเบื้องของคยองซู
"แบคฮยอน นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย"
"ทันเห็นนายเกาะกระจกเป็นตุ๊กแกอยู่นั่นแหละ"
"ตุ๊กแกคืออะไรเหรอ?" เสียงถามกลับมาอย่างสงสัยทำให้คยองซูได้แต่อมยิ้มกับคำถามนั้น
"ช่างมันเถอะ วันนี้ฉันจะพานายไปเที่ยวบนพระจันทร์"
"จริงเหรอแบคฮยอน นายจะพาไปฉันไปจริงๆนะ" เจ้าของแก้มกลมร้องถามอย่างดีใจ ก่อนจะปรี่เข้าไปกอดแขนแบคฮยอนที่ยืนยิ้มตาหยี
"ดีใจเหรอ?" คำถามที่ได้รับกลับมาทำให้ภูติน้อยฉีกยิ้มกว้าง พลางพยักหน้ารัวๆ
"งั้นก็ไปกันเถอะ" แบคฮยอนดึงมือที่เกาะแขนเขาอยู่มาจับไว้แน่น
"แล้วคยองซูไม่ไปด้วยกันเหรอ" ปากแดงๆขยับพูดสิ่งที่ตัวเองสงสัยเมื่อเห็นคยองซูยังนั่งอยู่กับที่
"ฉันไปจนเบื่อแล้ว พวกนายไปกันเถอะ อีกอย่างเดี๋ยวซูโฮกลับมาไม่เจอใคร จะเป็นห่วงซะเปล่าๆ"
"งั้นเหรอ เสียดายจังฉันคิดว่าเราจะไปด้วยกันซะอีก แต่ไม่เป็นไรนะคยองซูเดี๋ยวฉันจะหาของมาฝาก" คยองซูได้แต่ยิ้มให้กับภูติน้อยไร้เดียงสาตรงหน้า
"ไปกันได้แล้วล่ะ" แรงกระตุกที่มือทำให้ภูติน้อยหันกลับมาสนใจภูติแห่งแสงอีกครั้ง ก่อนที่ดวงตาคู่กลมนั้นจะเพ่งมองร่างตรงหน้าอย่างจริงจัง
"เราจะไปกันยังไงเหรอ"
เขาไม่รู้ว่าการขึ้นไปบนพระจันทร์จะไปทางไหน บางทีแบคฮยอนอาจพาเขาขึ้นบันไดเดินไปบนพระจันทร์รึเปล่า
ถ้าเป็นแบบนั้น พรุ่งนี้จะถึงรึเปล่านะ
"เราก็หายตัวไปไง" แบคฮยอนยักไหล่ ก่อนจะจับมืออีกร่างไว้แน่น
"หายตัว แต่ฉันทำแบบนั้นไม่เป็นนะ" รีบร้องบอกอย่างร้อนรน เพราะกลัวจะโดนทิ้งเอาไว้ที่นี่กับคยองซู
"จับมือฉันให้แน่นๆละกัน เดี๋ยวฉันพาไป" เพราะประโยคคำสั่งนั้นทำให้ นิ้วเล็กๆรีบเปลี่ยนมากำรอบนิ้วของอีกฝ่ายไว้แน่น
"หลับตาด้วยสิ" เสียงของแบคฮยอนทำให้ภูติน้อยรีบปิดเปือกตาทันที มือที่จับกับมือเล็กของแบคฮยอนกำแน่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อสูญเสียการรับรู้ไปหนึ่งทางแล้ว
"จับฉันไว้แน่นๆนะ ถ้าฉันบอกว่าลืมตาได้ค่อยลืมตานะ เพราะฉันก็ยังไม่เคยพาใครหายตัว ถ้านายลืมตานายจะหลงนะ"
แบคฮยอนกระซิบกับภูติน้อยที่หลับตาแน่น แถมยังขยับมายืนชิดกับเขาอีก ก่อนจะหันไปหัวเราะกับคยองซู การได้แกล้งภูติเกิดใหม่แบบนี้ก็สนุกใช่เล่นนะ ภูติแห่งแสงแบบเขา การไปไหนมาไหนเพียงพริบตาเป็นเรื่องง่ายซะยิ่งกว่าอะไร กับการที่พ่วงภูติพลังชีวิตน้อยแบบนี้ไปด้วยก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไรเลยสักนิด
"พร้อมนะ"
"อย่าๆ อย่าเพิ่ง" เสียงร้องโวยวายของอีกคนทำให้แบคฮยอนต้องก้มลงมาใบหน้าขาวนั้น ที่ตอนนี้ดูจะซีดลงกว่าเดิม แต่ดวงตาก็ยังปิดแน่นตามที่เขาบอกไว้
"ฉันจะไม่หลงกับนายตอนหายตัวใช่ไหมแบคฮยอน" เสียงสั่นๆทำให้แบคฮยอนหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
"นับสามนะ" แกล้งทำไปไม่สนใจคำถามของภูติตัวน้อยที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆเขา
"ฮือ แบคฮยอน"
"หนึ่ง"
เสียงแบคฮยอนดูดังกว่าปกติจนน่ากลัว
ถ้าเกิดแบคฮยอนทำเขาหายไประหว่างการหายตัวล่ะ
"สอง"
หัวใจที่เต้นรัวราวกับจะออกมานอกอกแบบนี้
สิ่งนี้รึเปล่านะที่มนุษย์เรียกมันว่าความกลัว
"สาม"
เหมือนพื้นที่เขายืนจะหายไป ทันทีที่แบคฮยอนนับสาม ร่างกายที่เคยสัมผัสได้รู้สึกเบาเหมือนกับมันกลายเป็นเพียงอากาศ รู้สึกถึงสายลมเย็นๆพัดมา แล้วผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแสงสว่างที่สว่างเจิดจ้าจนภูติน้อยที่หลับตาอยู่รู้สึกได้
ถึงอยากจะลืมตาดูแต่ มันคงไม่คุ้มกับการหลงกับแบคฮยอนเป็นแน่
"ถึงแล้ว"
ทันทีที่รู้สึกถึงพื้นที่ใต้เท้าอีกครั้งภูติน้อยก็ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ตามมาด้วยภูติอีกตนที่คุกเข่าลงตรงหน้าเขา
"นายเป็นไรไหม" เจ้าของดวงตาตี่เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ยื่นมือไปแตะแขนอีกฝ่ายที่เย็นเฉียบ
"กลัว" เสียงสั่นๆที่พอจับใจความได้ของภูติน้อยทำให้แบคฮยอนได้แต่รู้สึกผิด
"ไม่เป็นไรนะ มิ... เมื่อกี้ฉันแกล้งอำนายเล่น ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว" พูดพลางดึงตัวร่างเล็กเข้ามากอดปลอบ
"แบคฮยอนใจร้าย"
เสียงอู้อี้ดังขึ้น พร้อมกับที่ฟันขาวๆกัดลงบนไหล่บางของภูติขี้แกล้งเต็มแรง
"ง่ำๆ"
"อ๊าาาาาาาาาาาา"
มือคู่เล็กผลักหัวกลมๆนั้นออกจากไหล่แทบไม่ทัน ก่อนจะขยับตัวถอยห่างออกจากอย่างระแวง มือข้างที่ว่างยกขึ้นกุมหัวไหล่ไว้แน่น "นายกัดฉันทำไมอ่าาาาาา"
"ก็นายแกล้งฉันก่อนทำไม" ภูติน้อยเบะปาก จนปากแทบติดกับปลายจมูก ดวงตาคู่โตมีน้ำตาคลออยู่ทั้งสองข้าง
"ก็นายน่ารัก ฉันเลยแกล้งหยอกเล่น" เจ้าของตาตี่พูด พลางเบะปากตามร่างเล็กตรงหน้า ก็ใครจะคิดว่า ตัวเล็กๆแบบนั้นจะกัดเจ็บแบบนี้ล่ะ
"นายน่ารัก ฉันเลยกัดบ้างไง"
"นี่ย้อนเหรอ" แบคฮยอนจ้องภูติน้อยตรงหน้า ที่ดูเหมือนจะไร้เดียงสาแต่หลังจากนี้ เขาจะคิดดูใหม่อีกที
"อะไรคือย้อน? อ๊ะ!"
ดวงตากลมที่ปกติก็โตอยู่แล้วดูจะเบิกกว้างเข้าไปอีก เมื่อเจ้าอง ของมันกำลังอ้าปากกว้าง ชี้นิ้วเล็กๆข้ามไหล่แบคฮยอนไป “เจ้าหูยาว” คำพูดถัดมาทำให้แบคฮยอนต้องหันมองตามทิศทางของนิ้วน้อยๆนั้น ก่อนจะรู้ถึงคำตอบที่เขาสงสัย
กระต่ายน้อยสีขาวที่กระโดดไปมาอยู่บนหญ้าสีเขียวอ่อน ดวงตาสีน้ำตาลแดงของมันกำลังทอประกายแห่งความสุข เมื่อร่างที่ปกคลุมไปด้วยขนสีขาวที่ดูอ่อนนุ่มกำลังกระโดดเข้ามาใกล้ แบคฮยอนตบพื้นข้างตัวเป็นเชิงเรียก แต่ยังไม่ทันที่เจ้ากระต่ายน้อยจะเข้ามาใกล้ในรัศมีที่เขาเอื้อมถึง เงาดำๆก็พุ่งผ่านหน้าเขาไป ไวพอๆกับที่เจ้ากระต่ายน้อยเบรคตัวโก่ง ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ของมันอย่างรวดเร็ว
“มินซอก ไม่นะอย่าทำอะไรมันนะ” แบคฮยอนร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นภูติน้อยกำลังวิ่งไล่จับกระต่ายของเขาที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
“เจ้าหูยาวววว มาให้เค้าจับหน่อย” เสียงเล็กๆที่ดูน่าฟังดังจากปากเล็กๆที่เผยรอยยิ้มกว้าง ขาสั้นๆคู่นั้นยังคงก้าวอย่างรวดเร็วไปยังเป้าหมายตัวจ้อย ส่วนมือคู่เล็กก็ยื่นนำหน้าไป พยายามอย่างหนักที่จะเอื้อมไปคว้าตัวกลมๆสีขาวนั้นเอาไว้
“ขอจับหน่อยนะ เจ้าหูยาว มานี่มา” ดวงตาคู่โตเป็นประกายวาววับ เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัสขนสีขาวนุ่มนิ่มนั้นได้
“ไม่ได้นะ” แสงสีขาวผ่านหน้าภูติน้อยไปอย่างรวดเร็ว มือที่กำลังจะกำขนนุ่ม คว้าได้เพียงอากาศ ภูติน้อยมองตามแสงสีขาวที่ไปหยุดรวมกันห่างจากเขาไปเกือบสิบก้าว และก็เป็นแบคฮยอนที่กำลังอุ้มเจ้าหูยาวตัวนั้นเอาไว้แนบอกด้วยสองมือ ด้วยท่าทางที่ดูหวงแหน
“ขอจับหน่อยไม่ได้เหรอ” พองลมในปากจนแก้มใสป่องออกมา นิ้วเล็กๆชี้ตรงไปยังกระต่ายน้อยที่ซุกตัวอยู่กับหน้าอกของแบคฮยอน
“จับได้ แต่นายห้ามกัดมันนะ”
“ไม่ได้จะกัดซะหน่อย แค่อยากจับเจ้าหูยาวเอง” พูดพลางก้าวเท้าเข้าไปใกล้ แต่แบคฮยอนก็ขยับถอยหลังหนีเขาไปอีกหลายก้าว “แบคฮยอนอ่าาาาา” เสียงร้องงอแงดังจากภูติตัวเล็ก
“ก็ได้ๆ” แบคฮยอนยอมส่งกระต่ายสีขาวให้กับภูติน้อย ทันทีที่มันรู้ชะตาชีวิตว่าจะถูกเปลี่ยนมือเจ้ากระต่ายน้อยน่ารักก็ดิ้นหนีมือคู่น้อยที่เอื้อมมา
"ไม่เป็นนะ อี้ชิง ไม่เป็นไร นี่เพื่อนของฉันเอง" แบคฮยอนลูบหัวปลอบเจ้ากระต่าย ก่อนจะวางมันลงบนมือเล็กๆ ทันทีที่ขนนุ่มสีขาวสัมผัสฝ่ามือคู่เล็ก รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าขาว
"น่ารักจังเลย" จมูกรั้นๆของภูติน้อยแนบลงจนชิดกับจมูกของเจ้ากระต่าย ก่อนที่เขาจะส่ายหัวไปมา จนเจ้ากระต่ายต้องหดคอหนี
"นั่งสิ" แบคฮยอนตบพื้นหญ้านุ่มๆข้างตัวเป็นเชิงเรียก ขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องไปยังเจ้ากระต่ายที่ภูติน้อยกอดไว้
"ฉันมองเห็นนายตอนอยู่ที่บ้านด้วยล่ะ เจ้าหูยาว" นิ้วเล็กๆเปลี่ยนมาจับหูยาวๆนั้นไว้แล้วลูบเล่น
"อืม ว่าจะถามนานแล้ว ทำไมนายเรียกกระต่ายว่าเจ้าหูยาวล่ะ" แบคฮยอนเท้าคางถาม ดวงตาคู่เล็กของเขาถูกสะกดไว้ด้วยรอยยิ้มสดใสของภูติเกิดใหม่ตรงหน้า
"ก็ ก็ฉันไม่รู้นี่นาว่ามันเรียกว่าตัวอะไร เห็นตัวกลมๆแล้วหูยาวๆ เลยเรียกเจ้าหูยาว อืมแล้วมันเรียกว่าอะไรนะ กาตาย?"
"กระต่ายๆ ไม่ใช่กาตาย" แบคฮยอนรีบแก้ให้ ก่อนที่กระต่ายของเขาจะกลายพันธ์เป็นสัตว์ปีก
"กระต่าย" เสียงที่พึมพำพูดตามเขาทำให้แบคฮยอนยิ้มออกมา ดวงตาคู่เล็กเพ่งพินิจใบหน้ากลมๆตรงหน้า "งั้นนายน่าจะชื่อขนมไหว้พระจันทร์นะเพราะหน้านายกลมเหมือนพระจันทร์เลย"
"ทำไม โกรธฉันเหรอ"
รีบเอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายนิ่งไป ดวงตาคู่กลมทอดมองลงต่ำ ขณะที่มือเล็กๆยังคงลูบขนนิ่มของเจ้ากระต่ายสีขาวบนตักไม่หยุด จนเจ้ากระต่ายหลับคามือ
"ไม่ใช่หรอก ฉันเห็นนายเรียกกระต่ายว่าอี้ชิงด้วย ขนาดกระต่ายแท้ๆยังมีชื่อเลย ทำไมฉันถึงไม่มีชื่อบ้างล่ะ แบคฮยอน ชื่อขนมไหว้พระจันทร์แบบที่นายว่าก็ได้ ฉันอยากมีชื่อบ้าง"
แบคฮยอนหลบสายตาซื่อๆที่มองมา ภูติน้อยตรงหน้าทำหน้าเศร้าเหมือนเด็กที่เตรียมจะร้องไห้
แต่เขารู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้
เพราะภูติ...ไม่มีน้ำตา
"ซูโฮบอกนายไปแล้วนี่นา เจ้าของเท่านั้นที่จะเป็นคนตั้งชื่อให้นาย"
"แล้วทำไม นายกับคยองซูไม่ต้องมีเจ้าของบ้างล่ะ ทำไมฉันต้องรอเจ้าของมาตั้งชื่อให้ แล้วฉันจะไปหาเจ้าของได้ยังไงกัน"
"ฉันเองก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอกนะเกี่ยวกับการถือกำเนิดของนาย" แบคฮยอนแอบไขว้นิ้วไว้ที่ด้านหลัง เพราะคำโกหกคำโตที่เขาเพิ่งพูดออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะซูโฮขอร้องไว้ เขาเองก็คงไม่ต้องโกหกแบบนี้หรอก "ฉันรู้แค่นายต้องใช้ใจของนายหาคนที่จะมาเป็นเจ้าของนาย"
นานแค่ไหนแล้วนะตั้งแต่ที่แบคฮยอนพาภูติน้อยเกิดใหม่ออกไป เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก พอไม่มีภูติแก้มป่องอยู่ใกล้ๆมันก็เริ่มทำให้เขารู้สึกเหงา หลายวันที่ผ่านมาเขาก็ตัวติดอยู่กับภูติแก้มป่องตนนั้นอยู่ตลอด ถึงจะอยากให้รีบกลับมา
แต่เวลาอย่างนี้ เขาได้แต่ภาวนาอย่าให้แบคฮยอนรีบพาภูติน้อยกลับมาเลยจนกว่าจะเช้าเลยจะดีกว่า
เสียงลมพัดหวีดหวิวภายนอกทำให้ดวงตาคู่โตของคยองซูเบิกกว้างขึ้น แสงไฟที่ประดับตามร้านรวงค่อยดับลงทีละดวง จนทั่วทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ราวกับเวลาถูกหยุดนิ่ง แม้แต่เกล็ดหิมะที่กำลังร่วงหล่นก็หยุดนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ ภูติตัวเล็กขยับตัวลงจากปากแก้วกระเบื้องที่ใช้เป็นที่นั่ง เมื่อขาของร่างเล็กจิ๋วสัมผัสพื้น ร่างกายที่เคยเล็กจิ๋วก็ขยายใหญ่ขึ้นจนเท่าขนาดของคนปกติ แต่ก็ยังดูเล็กกว่าคนทั่วๆไป มือบางเอื้อมไปผลักประตูบานประตูสีเขียว โมบายสีทองส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งอย่างแผ่วเบาเมื่อประตูถูกเปิดออก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงไม่น่าฟังนักเมื่อสายลมเอื่อยๆยามค่ำคืนแปรเปลี่ยนเป็นลมพัดกรรโชกแรงพร้อมความหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจที่สัมผัสต้องผิวกาย คยองซูสบัดหน้ามองตามทิศทางของลมปริศนาก่อนจะดันประตูปิดกลับเข้าที่
"จุนมยอนอยู่ที่ไหน" เสียงทุ้มต่ำดังแว่วมาพร้อมกับลมวูบใหญ่ที่พัดผ่านหน้าภูติแห่งความฝันไป
ทั่วทั้งเมืองเหมือนถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด และความหดหู่เมื่อสายลมที่เย็นยะเยือกนั้นพัดผ่าน
คยองซูถอนหายใจ พยายามเพ่งมองผ่าความมืดมิดไปยังเจ้าของเสียงนั้น
มีเพียงเงาสีดำวูบไหวจากชายผ้าคลุมที่สบัดอยู่ในอากาศเท่านั้นที่เขาพอจะบอกตำแหน่งของอีกฝ่ายได้
"จุนมยอน มีงานที่ต้องไปสะสาง... ท่านกลับไปเสียเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของท่าน"
"เป็นแค่ภูติชั้นต่ำอย่าบังอาจมาสั่งสอนเทพอย่างข้า" น้ำเสียงเกรี้ยวกราดจากอีกฝ่ายมาพร้อมกับลมเย็นเฉียบที่พุ่งปะทะร่างบอบบางของคยองซูจนล้มลงกับพื้น
"ไปบอกจุนมยอนของเจ้า อย่าคิดหนีหน้าข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะทำลายเมืองๆนี้ให้สิ้น" สิ้นเสียงน่าเกรงขามนั้น อากาศหนาวเหน็บที่อยู่รอบตัวดูเหมือนจะจางไป เหลือไว้เพียงเกล็ดหิมะสีขาวที่ค่อยๆโปรยปรายลงมาจากฟ้ากฟ้า แสงไฟภายในเมืองกลับสว่างไสวอีกครั้ง
คยองซูทิ้งน้ำหนักตัวพิงกับกรอบประตูสีเขียว ดวงตาคู่โตทอแววเหนื่อยล้าก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆปิดลง พร้อมกับร่างของภูติแห่งฝันค่อยๆหดเล็กลงตามเดิม
************
"ทำไมถึงมีกระต่ายบนพระจันทร์ด้วยล่ะ แบคฮยอน" แบคฮยอนที่ผล็อยหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อ ภูติน้อยมานั่งยองๆตรงหน้า สองมือยื่นเจ้ากระต่ายขนฟูมาจนชิดหน้าเขา จ้องมองตาสีน้ำตาลเล็กตรงหน้าอย่างมึนงงก่อนจะไล่สายตากลับไปยังใบหน้าขาวๆที่เอียงคอมองดูเขาอย่างสงสัย
เมื่อกี้ ถามว่าอะไรนะ
"เอ่อ...."
"กระต่ายน่ะ ทำไมถึงมาอยู่บนพระจันทร์" พูดพลางตีปีกพั๊บๆจนเจ้ากระต่ายตัวคอนไปคอนมา
แบคฮยอนนิ่งคิดไปชั่วพักนึง ก่อนที่เขาจะชั่งใจว่าควรบอกภูติน้อยตรงหน้าดีไหม
แต่ดวงตาแป๋วๆคู่นั้นก็พาให้ความคิดของเขาพังทลาย
"ความจริงกระต่ายตัวนี้ มันคอยเฝ้าไข่มุกมนตราอยู่บนพระจันทร์น่ะสิ"
"อะไรคือไข่มุกมนตรา อยากเห็นจัง" เอียงคอถามอย่างสงสัย ปากเล็กๆจีบปากจีบคอพูดจนแบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่าภูติตนนี้ชักจะเหมือนผู้หญิงเข้าไปทุกวันแล้ว
"อยากดูไหมล่ะ ฉันจะพาไปดู"
แทบไม่ต้องรอคำตอบของอีกฝ่ายเมื่อมือเล็กๆคู่นั้นฉุดแขนให้เขาลุกขึ้นก่อนจะส่งยิ้มยิงฟันมาให้เขาอีกรอบ
"ตามมาละกัน"
ตลอดทางภูติน้อยดูจะตื่นตาตื่นใจกับต้นไม้ไร้ใบที่มีกิ่งเป็นเพชร ไปตลอดทาง พื้นที่เดินก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสิขาว แต่แทนที่มันจะเย็นเหมือนที่ควรจะเป็น มันกลับอบอุ่นและน่าสัมผัสมาก
เจ้ากระต่ายอี้ชิงที่เขาอุ้มอยู่ดูจะตื่นตัวเป็นพิเศษ หูยาวๆของมันตั้งขึ้นราวกับคอยจับเสียงเคลื่อนไหวรอบๆตัว และทันทีที่แบคฮยอนพาเขามาหยุดอยู่หน้าสระน้ำขนาดใหญ่ เจ้าขนปุยในอ้อมแขนก็รีบกระโดดพรวดลงจากแขนเขา แล้ววิ่งตัดไปบนผิวน้ำเข้าไปสู่ใจกลางสระที่มีแท่นวางที่ทำจากเพชรส่องประกายวาววับ เหนือแท่นวางปรากฏเปลือกหอยสีชมพูอ่อน ที่ภายในบรรจุไข่มุกสีฟ้าที่ทอแสงอ่อนๆชวนมอง เจ้ากระต่ายซุกตัวลงนอนข้างแท่นวางก่อนจะหลับไป
"มันก็เป็นแบบนี้แหละ อี้ชิงถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เฝ้าไข่มุกนี้ไว้ เวลามีคนแปลกหน้าเข้าใกล้ไข่มุกมันจะค่อนข้างหวงของน่ะนะ" แบคฮยอนเอ่ยบอกเมื่อมองใบหน้างงๆของภูติน้อย
"แล้วไข่มุกนี่เอาไว้ทำอะไรเหรอ"
"ถ้าอธิษฐานขอพรกับไข่มุก คำขอนั้นจะเป็นจริง"
"จริงเหรอ" แบคฮยอนได้แต่ยักคิ้วตอบไป
"งั้นแบบนี้นายอยากได้อะไรก็ได้หมดเลยน่ะสิ"
"ไม่ใช่หรอก ไข่มุกนี้สามารถขอพรได้แค่สามครั้ง และทุกครั้งสิ่งแลกเปลี่ยนของมันคือความตาย แม้เทพกับภูติจะมีชีวิตอมตะและพวกเราไม่มีวันตาย แต่วิญญาณของเราจะแตกสลายไปหากเราขอพรจากไข่มุก ในครั้งแรกเมื่อตอนที่มนุษย์เพิ่งถือกำเนิด เทพแห่งโชคชะตาใช้มันเพื่อขอให้บนโลกมีแสงสว่างและความหวัง ฉันกับคยองซู จึงถือกำเนิดขึ้น โลกนี้จึงมีพระจันทร์ที่ให้แสงสว่าง แสงสว่างทำให้มนุษย์รู้สึกปลอดภัย ความฝันคือตัวแทนของความหวัง ที่ซ่อนไว้ในจิตสำนึกของมนุษย์ ครั้งที่สองเทพแห่งกาลเวลาใช้มันเพื่อรักษาชีวิตของคนรัก ด้วยการยอมแลกกับชีวิตอมตะของตัวเอง" ดวงตาคู่เล็กของแบคฮยอนทอแววเศร้าอย่างเห็นได้ชัดจนภูติน้อยต้องดึงตัวของอีกฝ่ายมากอดไว้
"ไม่เป็นไรใช่ไหมแบคฮยอน"
ใบหน้าเล็กทำได้เพียงส่ายหน้าไปมา "ฉันคิดถึงเขา คิดถึงเทพแห่งกาลเวลา"
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเทพแห่งกาลเวลาเป็นใคร
ไม่รู้ว่าทำไมความรู้สึกเสียใจถึงได้จู่โจ่มเขาแบบนี้
เพียงแค่ฟังเรื่องที่แบคฮยอนเล่ามันก็ทำให้เขารู้สึกหดหู่ตามไปด้วย
การทำเพื่อช่วยคนรัก แล้วต้องวิญญาณแตกสลายไปแบบนั้น
มันน่าเศร้าและโหดร้ายเกินไป
to be continued
คยองซูคุยกับใครกันนะ จับตาดูเขาไว้ดีๆ
ความจริงตอนนี้โปรยปริศนาไว้เรี่ยราดมาก เรื่องมันดูเหมือน จะ ไม่มีอะไร แต่มันมีแน่ๆค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
ความคิดเห็น