ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวขโมยแห่งบารามอสตอนทายาท 3 แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #13 : เจ้าชายผู้ทรงฤทธิ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.99K
      4
      9 ส.ค. 49

    10

    เจ้าชายผู้ทรงฤทธิ์

     

                นานราวครึ่งชั่วโมง กว่ารถม้าจะชะลอความเร็วลง แต่ล้อรถยังไม่ทันหยุดสนิทดีนัก วรองค์บอบบางปราดเปรียวก็กระโดดออกมาเสียก่อน

                เบื้องพระพักตร์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในขณะนี้ คือคอหอยสูงชะลูด ที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้กับหมู่ไม้รอบด้าน มองดูอึมครึมไม่สบายตาราวกับไม่ได้สร้างเพื่อให้น่าชื่นชม แต่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะที่นี่มีไว้สำหรับนักโทษของคาโนวาล ที่ถูกคุมขังแบบลืมเดือนลืมปีด้วยความผิดอุกฉกรรจ์

            ในรัชกาลกษัตริย์คาโล แทบไม่มีใครทำความผิดถึงขนาดต้องเข้าคุก เพราะความผิดเล็กๆน้อยๆถูกให้อภัยไม่ถือสาหาความ หนักขึ้นมาหน่อยก็คุมขังให้สำนึกสักเดือนสองเดือน แล้วก็ถือว่าน้ำพระทัยของคิงองค์ปัจจุบันแห่งคาโนวาลทรงพระราชทานอภัยโทษให้

                คุกเล็กๆน้อยๆยังไม่มีนักโทษ

                แล้วหอคอยนี่มีคนเพิ่งเข้าไปได้อย่างไร

     

                ท่านต้องการให้เรามาพบใครที่นี่

     

                ทรงหันไปรับสั่งถามท่านเสนาฯที่เดินมาหยุดยืนเบื้องพระขนอง แต่อีกฝ่ายไม่ได้ทูลอะไร เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ ก่อนเดินเข้าไปหาผู้คุมตรงประตูทางเข้า โดยแสดงตนเป็นเสนาบดีผู้มีตำแหน่งสำคัญ ซึ่งต้องการเข้าไปหานักโทษที่ต้องพระอาญาเพื่อสอบสวนอะไรบางอย่าง และอีกคนที่ลงมาจากรถม้าเดียวกันนั่นก็คือบุตรบุญธรรมของท่านเอง

                เคเรส ฟาเรล.....หนุ่มน้อยในมาดเจ้าชายคนนั้น

               

    ------------------------------------------------------------------

                เงียบ....เงียบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่นี่

                ทางเดินที่ทำจากหินทั้งซ้ายขวาบนล่างทอดยาวออกไปเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ด้านหน้ามืดสนิทราวกับเมื่อเดินจนสุดทางจะพบกับขุมนรกอันมีแต่คนทุกข์ทรมานอยู่อาศัย ความกดดันบางอย่างหนักหน่วงอยู่ในพระทัย และพลอยรั้งไม่ให้เดินต่อไปได้โดยง่ายดาย แม้แต่ท่านเสนาเมนิสที่คงเดินทางมาที่นี่บ่อยเพื่อทำงานตามกระแสรับสั่งยังตัวสั่นด้วยความกลัว เสียงฟันกระทบกันดังอยู่ตลอดเวลา และเบียดเข้าหาวรองค์บางที่แม้จะทรงนิ่งงันไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับแสดงอาการกลัวออกมา

                เจ้าหญิงพระองค์นี้พระทัยแกร่งกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไปจริงๆ

                ความจริงท่านเสนาก็อยากเอ่ยแนะนำสถานที่เสียหน่อยด้วยความรู้มาก ทว่าพอเอ่ยคำใดออกมา คำนั้นก็จะสะท้อนไปทั่วทั้งทางเดินด้วยอำนาจของสถานที่ และทำให้ขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัวเพราะยิ่งนานเสียงนั้นยิ่งแปร่งเพี้ยนไป จนคนพูดเองเชื่อไม่ลงว่าเป็นเสียงของตน แต่คล้ายเสียงผีสางคร่ำครวญโหยหวนเสียมากกว่า เอาแค่เสียงฝีเท้าของคนสองคนก็แทบจะสะท้อนออกมาเป็นเสียงฝีเท้าของคนนับพันแล้ว

                เจ้าชายคาเรนทรงสูดพระอัสสาสะลึก ยาวนาน อากาศในนี้ไม่บริสุทธิ์เท่าที่ต้องการก็จริง แต่ก็นับว่าพอจะทำให้เรียกสติคืนมาได้บ้าง

                แล้วก็ทรงจูงมือท่านเสนาอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นบิดาบุญธรรมจริงๆ ก่อนจะก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงดุจเสด็จยามปกติ ทำให้ใจที่แกว่งไปแกว่งๆมาของคนแก่ชักสงบลงได้

                เจ้าชายทรงย่างพระบาทเร็ว เสียงสะท้อนประหลาดจึงดูช้าลงไปถนัดใจ ต่อให้ยังเหมือนมีคนหมื่นพันเดินอยู่รอบด้านเหมือนเดิม ก็เป็นการเดินตามมาข้างหลัง เปรียบได้ว่าต่อให้เป็นเสียงของภูติปีศาจตนใด ก็ทำได้เพียงตามเสด็จ พระองค์ใหญ่ผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งลวงใจใดๆเท่านั้น

                คาเรน วาเนบลี....เจ้าชายที่แม้แต่ความกลัวยังศิโรราบ

               

    ------------------------------------------------------------------

                พอพ้นจากทางเดินอันเงียบเชียบแสนน่ากลัว ทั้งสองก็ต้องเจอกับฝันร้ายมากกว่าอีกหลายพันเท่า

                ปกติหากท่านเมนิสมาที่นี่เพื่อต้องการพบนักโทษคดีอุกฉกรรจ์สักคน ทางผู้คุมจะจัดหาห้องที่มีแสงสว่างมากพอให้เห็นหน้ากันได้แบบไม่หลอกหลอนขนาดนี้ โดยอาจมีเหล็กกั้นเพื่อความปลอดภัยหากนักโทษเกิดอาการคลุ้มคลั่งอยากจะทำร้ายขึ้นมา แต่พระองค์ใหญ่คนดีนั่นเองที่มีพระประสงค์อยากจะเสด็จลงทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของคนที่มีชีวิตอยู่ก็เหมือนไม่มี

                ไม่ใช่เพราะคะนองอยากเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น

                แต่เพราะดำริได้ว่าต่อให้เป็นนักโทษที่แม้แต่จะตายก็ยังไม่ได้รับการอนุญาต....ยังไงก็ยังเป็นประชาชนชาวคาโนวาลของพระองค์อยู่ดี

                ห้องขังที่เรียงกันไปตลอดสองข้างทาง ทำด้วยเหล็กกล้ายากแก่การทำลาย เสียงหวีดร้องโหยหวนดังมาจากทุกทิศทุกทาง บ้างแผ่วบ้างดัง บ้างแหลมบ้างทุ้มต่ำ บางทีก็เป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างทุกข์แสนสาหัส และเมื่อทอดพระเนตรมองลอดซี่เหล็กเข้าไป นักโทษคดีอุกฉกรรจ์มากมายหลายลักษณะก็ปรากฏให้เห็นเบื้องพระพักตร์

                บางคนท่าทางจะเสียสติไปแล้ว เพราะมัวแต่โขกหัวลงกับพื้นดังสนั่นพลางนับให้ถึงร้อยครั้ง บางคนยังยิ้มแย้มกับตัวเองได้อยู่ แต่มีแววตาว่างเปล่าราวกับมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น บางคนหันหน้าไปทางผนังเย็นชืดเบื้องหลังและคุยกับหินพวกนั้นด้วยภาษาอะไรสักอย่างที่ไม่เคยมีการบัญญัติไว้ บางคนก็ถลาเข้ามาอย่างดุร้าย และยื่นมือลอดซี่กรงออกมาไขว่คว้า ทำเอาท่านเสนาบดีโวยวายด้วยความตกใจจนแทบอยากเผ่นออกไปข้างนอก แต่เจ้าชายคาเรนทรงมองนิ่ง ด้วยพระเนตรสงบยากแก่การเดาพระทัย แล้วท้ายสุดก็ทรงเสด็จผ่านไป

                บางคนที่สติดีหน่อยก็นั่งนิ่งไม่ทำอะไร แต่สอดส่ายสายตาลอดผมยาวสกปรกรุงรังมองมาอย่างระแวง บางคนก็มีรอยยิ้มเย้ยหยันส่งมาให้ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นราวกับเห็นว่าการมีคนเดินเข้ามาในฐานะอื่นที่ไม่ใช่นักโทษเป็นเรื่องน่าขำที่สุดในโลก 

                จนภายหลัง เมื่อออกไปข้างนอกแล้ว ท่านเสนาฯก็เชื่อทันทีว่าไม่ว่านักโทษเหล่านี้ทำความผิดอะไรมา แต่หากได้มาอยู่ที่นี่สักปี ย่อมถือว่าชดเชยความผิดด้วยทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไปจนหมดแล้ว

                พระองค์ใหญ่ก็ทรงดำริเช่นเดียวกัน หากแต่รับสั่งแถมท้ายว่า

     

                ทว่ามีความผิดอยู่อย่างหนึ่ง ท่านเสนา ที่ไม่อาจให้อภัยได้อย่างเด็ดขาด

     

                อะไรหรือกระหม่อม

     

                ตอนนั้น ท่านเมนิสเพียงแต่หลุดปากทูลถามด้วยความอยากรู้ แต่หากเมื่อพิจารณารอยยิ้มน้อยๆของเจ้าชายตรงหน้าแล้ว คำตอบก็แทบวางอยู่ตรงหน้าโดยไม่ต้องค้นหาจากที่ไหนอีก

                เจ้าชายคาเรนเองก็เคยมีกระแสรับสั่งให้เอานักโทษมาคุมขังไว้ที่นี่เหมือนกัน

                ด้วยข้อหาเดียว แต่สาหัสนัก

     

                คิดทรยศ

     

                กับอีกข้อหา ที่ไม่ได้ทรงสั่งให้ส่งตัวมาที่นี่ แต่ทรงจัดการเอง ตรงนั้น เดี๋ยวนั้น

                ลอบปลงพระชนม์........

     

    ------------------------------------------------------------------

            ผู้คุมเองซึ่งก็คงเป็นบุคคลที่มีใจแกร่งกร้าวราวกับมิใช่มนุษย์มองมาจากโต๊ะทำงานที่วางเต็มไปด้วยเครื่องทรมาน แน่นอน เขาย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่กำลังก้าวเร็วๆมาทางนี้นั้นเป็นเจ้าชายคาเรนที่ใครๆต่างก็กลัวนักกลัวหนา แต่คนที่เดินตามหลังนั้นเป็นเสนาบดีกระทรวงการคลังผู้ร่ำรวยแน่นอน

     

                อ้าว ท่านเสนาฯ มาอีกแล้วเรอะ

     

                ประโยคที่ทักนั้นไร้ซึ่งสัมมาคารวะโดยสิ้นเชิง

     

                ให้คนผู้นั้นไปพบฉันที่ห้องสอบสวนหน่อย

     

                ท่านเมนิส ฟาเรล ได้พยายามแล้วที่จะรักษาความภูมิฐานของท่านไว้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังดูออกว่าคงเกรงกลัวผู้คุมที่มีสภาพไม่ต่างจากนักโทษเท่าไหร่ โดยเฉพาะยามแสยะยิ้มส่งมานั้น ราวกับต้องการกระโดดขย้ำท่านเสนาฯมากกว่าทำตามคำสั่งงั้นแหละ

     

                คนๆนั้น ใครน้า

     

                คนยียวนทำเป็นจำไม่ได้เพราะหวังผลมองท่านเสนาฯอย่างมีความหมาย และไม่ทันมองว่าดวงตาของไอ้หนุ่มข้างๆเริ่มหยีลงช้าอย่างไม่พอใจ ขณะดวงหน้าสวยราวกับผู้หญิงเริ่มเรียบตึงขึ้นทุกขณะ

     

                ต้องการเท่าไหร่อีกล่ะ

     

                ท่านเมนิสเตรียมตัวควักจ่ายอย่างรู้แกวดี เพราะนี่เป็นครั้งที่สามแล้วสำหรับค่าธรรมเนียมที่ไม่ให้ก็ไม่ได้ ในเมื่อคนๆนี้เปรียบไปก็เหมือนพระเจ้าสำหรับสถานที่ที่คล้ายนรกอย่างนี้

                แต่หัตถ์เรียวแตะมือที่กำถุงเงินของท่านเอาไว้ ท่านจึงชะงักก่อนหันไปมองเจ้าชายคนดีของท่านอย่างงงงวย เช่นเดียวกับผู้คุมที่หยุดสายตาหิวกระหายจากถุงเงินอย่างหงุดหงิดนัก

            แล้วท่านเสนาฯก็สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นพักตร์ในความมืดสลัว เป็นพระพักตร์ของคาเรนที่ไม่ค่อยมีใครเห็นบ่อยนัก แต่สำหรับท่านที่เป็นคนรับรายงานความเสียหายที่เจ้าชายทรงก่อขึ้นในฐานะเสนาบดีกระทรวงการคลัง ย่อมเห็นบ่อยกว่าคนอื่น และไม่ปรารถนาจะเห็นนักไม่ว่าที่ใดก็ตาม อย่าว่าแต่ในหอคอยคุมขังแบบนี้

     

                ทำแบบนี้ ผิดจรรยาบรรณข้าราชการนี่พี่

     

                ทรงเรียกพี่ด้วยพระอาการปกติ หรือออกจะสุภาพไปสักหน่อยด้วยซ้ำ แต่พระเนตรวาววามในความมืดนั่นไง ที่บอกว่าอะไรกำลังจะตามมา

     

                อย่ายุ่ง ไอ้หนู ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง

     

                เจ้าชายคาเรนทรงไม่โปรดการฉ้อฉลอย่างยิ่ง

     

                ท่านเสนาฯรีบเอ่ยขึ้นมา เชิงเตือนให้รู้ว่าพระนามที่เพิ่งออกจากปากน่ะ คนเป็นเจ้าของเขายืนอยู่ตรงนั้นนี้แล้ว

            แต่......

                หมอนั่นกลับถ่มน้ำลายรดพื้นอย่างหยาบคาย ก่อนหันมามองท่านเสนาบดีอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

     

            โถ่เอ๊ย นึกว่าใครคุ้มหัวอยู่ ที่แท้ก็เจ้าชายปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมองค์นั้นน่ะเอง จะบอกให้นะ.......

     

                เพี๊ยะ...

     

                เสียงบางอย่างดังก้องขึ้นในคุกมืดทึบ ผู้คุมุถึงกับหน้าหันไปอีกด้านโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ขณะที่เจ้าชายคาเรนทรงดึงท่านพ่อบุญธรรมไปอยู่เบื้องพระขนอง และทรงจับจ้องอีกฝ่ายนิ่งด้วยเนตรระยิบระยับ

     

                พูดต่อสิพี่ชาย จะบอกอะไรล่ะ

     

                ทรงตรัสอย่างนุ่มนวลยิ่งนัก หากก็แสดงว่าทรงไม่พอพระทัยเป็นที่ยิ่งเช่นกัน

                เพราะปกติเจ้าชายจะไม่ทรงออกแรงตบใครด้วยหัตถ์องค์เอง แต่ทุกครั้งที่ทรงเผลอไป ก็ไม่ใช่แรงตบเช่นสตรีอันบอบบางที่พึงป้องกันตัวตามธรรมดาทั่วไป แต่เป็นแรงหนักหน่วงจากพระหัตถ์อันฝึกฝนและใช้ดาบอยู่เสมอเยี่ยงนักรบทั่วไป

                จึงไม่แปลกที่คนโดนตบถึงกับเลือดกลบปากหรือทรุดลงกับพื้นไปเลย แต่นี่แค่หน้าหันแล้วปรากฏรอยแดงเป็นที่ระลึก แสดงว่าหมอนี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

     

                ไอ้หนู เอ็ง....

     

                เพี๊ยะ

     

                คราวนี้ไม่เพียงหน้าหัน แต่ถึงกับหันทั้งตัว และกว่าจะหันกลับมาได้ ก็ถึงกับต้องสะบัดหัวไล่ความมึนเสียพักหนึ่ง แสดงว่าแรงตบเพิ่มขึ้นตามลำดับ และเจ้าชายคนดีก็กำลังถึงจุดเดือดเสียแล้ว

     

                พูดให้จบสิ เจ้าชายองค์นี้น่ะเป็นยังไงเหรอ

     

                ไอ้.....

     

                หากคราวนี้ผู้คุมคุกคว้าท่อนเหล็กขึ้นมาจากโต๊ะทำงานด้วย แต่ก็นั่นแหละ แค่เพียงเอื้อมไปคว้า หัตถ์เรียวทรงอำนาจก็กดหัวคนปากบังอาจลงกับโต๊ะ แล้วดาบสั้นที่ทรงพกติดตัวไว้ก็ถูกชักขึ้นมาเมื่อไหร่ไม่อาจเดาได้ แต่ตอนนี้มันกดทาบอยู่ตรงต้นคอพอดิบพอดีอย่างรวดเร็ว

     

                โอ ฝ่าบาท ทรงพระทัยเย็นไว้กระหม่อม เรายังต้องพบคนผู้นั้น

     

                ท่านเสนาฯบดีรีบทูลละล่ำละลักอย่างกลัวว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โต ซึ่งพอคาเรนทรงนิ่งไปสักครู่เพื่อทรงไตร่ตรอง ก็สอดดาบสั้นลงคืนฝัก แต่ยังไม่ปล่อยหัตถ์ที่กดหัวผู้คุม

     

                โอ ท่านเสนาฯ ไอ้หนู เอ๊ย พระองค์นี้คือเจ้าชายคาเรนหรอกเหรอ

     

                เสียงของคนถูกไม่พอพระทัยชักอ่อนหวาน นอบน้อมขึ้นทันตา จนเมื่อพระองค์ใหญ่ปล่อยหัตถ์ ร่างกำยำก็ทรุดลงแทบบาท ทูลขออภัยโทษไม่เป็นภาษา

     

                จำไว้ เจ้าชายคาเรนทรงเกลียดการประพฤติมิชอบในหน้าที่อย่างยิ่ง รีบไป หน้าที่ของเจ้าคือนำพระองค์ไปพบคนผู้นั้น

     

                ท่านเสนาบดีรีบสั่งอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเรื่องราวคลี่คลายลงแล้ว ผู้คุมจึงลนลานลุกขึ้น รีบนำทางไปอย่างกลัวพระอาญา

                วรองค์สูงย่างบาทตามไป หากช้าลงกว่าที่เคยมากมาย

                เสียงฝีพระบาทมั่นคง หนักแน่น กระทบกับกำแพงรอบด้าน สะท้อนไปมาหลายตลบ.....ทรงมีท่าทีเปลี่ยนไปโดยไม่รู้องค์

                ท่านเมนิสถอนหายใจพรืด

                ไอ้ผู้คุมเวรนั่น ปลุกปีศาจขึ้นมาจนได้

                                   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×