คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : ฤทธิ์เดชพระองค์ใหญ่
16
ฤทธิ์เดชพระองค์ใหญ่
สาเหตุหนึ่งที่พสกนิกรชาวคาโนวาลไม่อาจจำพระพักตร์เจ้าชายคนสำคัญได้ ก็เนื่องมาจากคาเรนมักไม่ปรากฏองค์ให้ใครเห็นในลักษณะของเจ้าชายบ่อยนัก และไม่ว่าจะทรงประพาสเยี่ยมเยี่ยมความเป็นอยู่ราษฎร หรือร่วมต่อสู้ประลองความกล้าในงานชุมนุมอัศวินประจำปี ก็มักจะแปลงองค์มาเป็นแค่บุตรบุญธรรมท่านเสนานาม ‘เคเรส’ หรือให้หนักกว่านั้นก็เป็นเด็กเร่ร่อนอนาถาไม่มีชื่อไม่มีเสียงเสียเลย
เพราะการทำอย่างนั้นจะทำให้ทรงทราบถึงสภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นจริงได้ดีกว่า
วันนี้ก็เช่นกัน คาเรนทรงเสด็จเรื่อยๆในเขตชุนชนที่คึกคักที่สุดของคาโนวาล ซึ่งมีผู้คนมากมายเดินสวนกันขวักไขว่ตลอดเวลา ดูสับสนวุ่นวายได้ทั้งวัน
บางคนหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังมาชนโครมเข้าให้ แล้วรีบรุดจากไปไม่ได้เอ่ยขอโทษ พระองค์ก็มิได้ถือสา หนำซ้ำยังช่วยเก็บของที่หล่นส่งคืนให้อีก แล้วในหลายครั้งที่ทรงพบเห็นชีวิตชาวเมือง คาเรนก็อดไม่ได้ที่จะทรงเข้าไปช่วย
“ลุง หนักมั้ยล่ะนั่น”
ทรงปราดเข้าไปถามชายวัยกลางคนที่แบกอะไรสักอย่างบนหลังมาหอบเบ้อเร่อ น่าจะหนักไม่ใช่เล่น ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำหน้าเหยเกมาตลอดทางแล้วหอบถี่เอาขนาดนั้น
“ถอยไป ไอ้หนู”
อีกฝ่ายกัดฟันตอบ ก่อนเดินเลี่ยงไป
คงจะเห็นว่าร่างสูงๆ บางๆนี่มันไม่เหมาะกับงานหนัก และดวงหน้าที่ค่อนข้างดูดีของคนถามก็ดูยังอ่อนนัก จึงเรียก ‘ไอ้หนู’ ซะเลย แต่ถึงจะบอกให้มันถอยไป หรืออีกนัยๆหนึ่งก็คือไล่ มันก็ยังเดินตามต้อยๆมาให้ต้องหันกลับมาคุยกับมันจนได้
“ฉันช่วยมั้ย”
คราวนี้มีแววตายากประเมินมองมา เป็นการมองตั้งแต่หัวจรดเท้าทีเดียว สงสัยจะคิดว่าพระองค์เป็นพวกพเนจรไม่มีงานทำ จึงมาของานหวังเงินหวังเบี้ยประทังชีวิตแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดตอกกลับมาว่า
“ข้าไม่มีเงินจ่ายให้เอ็ง ในถุงนี้เป็นถ่าน ข้าขายหมดถุงยังไม่รู้เลยว่าจะพอมื้อเย็นนี้หรือเปล่า”
องค์คาเรนเพียงสรวลรับอย่างมิได้ทรงโกรธเคือง ทั้งยังก้มลงมององค์เองเช่นเดียวกัน แล้วสุดท้ายก็เผลอหัวเราะออกมา
เสื้อผ้าของคนใช้ที่บ้านท่านเมนิสนี่ใช้ได้เหมือนกันแฮะ......ไม่เสียทีที่อุตส่าห์ ‘ยืม’ มา
“ฉันช่วย....” ทรงย้ำอีกครั้ง “ฟรีๆ...เอาไม่อะไรเป็นค่าตอบแทนทั้งสิ้น”
ชายวัยกลางคนทำท่าไม่เชื่อถือ คงจะถือคติเดียวกับท่านแม่เฟรินสมัยยังเป็นเพียงหัวขโมยเร่ร่อนว่า ‘ของฟรี.....ไม่เคยมีในโลก’
“ไม่ต้องเว้ย อย่างเอ็งจะมาแบกของหนักๆ เดี๋ยวหลังหักตาย”
“ใครบอกว่าฉันจะแบกของแทนลุงกันเล่า” ทรงรับสั่งพลางหัวเราะร่วน “ฉันมีเกวียนเล็กๆอยู่คันหนึ่ง จอดแอ้งแม้งอยู่โน่น” แล้วชี้พระดรรชนีไปทางซอยเล็กๆแห่งหนึ่งที่อยู่ติดถนนเลยทีเดียว “ที่ว่าฉันช่วยก็คือให้ลุงยืมใช้ขนถ่านนี่ไปได้ เสร็จแล้วก็เข็นมันมาไว้ที่เดิมด้วยแล้วกัน”
“อ้าว เกวียนคันนั้นของเอ็งหรอกเรอะ”
เจ้าชายในคราบคนอนาถาพยักพระพักตร์
“แต่ข้าเห็นมันอยู่อย่างนั้นมาหลายเดือน นานๆทีถึงมีคนเอาไปใช้”
แน่ล่ะ เกวียนคันนั้น พระองค์สั่งให้ท่านเสนาฯเมนิสเตรียมไว้ให้ยามเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชน เพราะฉะนั้นตอนที่พระองค์กลับไปเรียนในโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก มันจึงถูกปล่อยไว้อย่างนั้น ไม่มีใครสนใจ
“อืม ฉันไม่ค่อยได้ใช้หรอก ลุงใช้ขนถ่านเสร็จ ถ้ายังอยากเอาไว้ใช้ก็เอาไปก่อนได้”
“เฮ่ย เอ็งไม่ได้รวยอะไรมากมาย ทำใจดียกสมบัติให้คนอื่นไปได้”
เจ้าชาย
“เอาเถอะน่า ลุงนี่ดื้อจริง เกวียนอยู่กับลุงมันยังได้ทำประโยชน์ อยู่กับฉันมันก็วางเฉยๆอย่างที่ลุงเห็นนั่นแหละ เอาเป็นว่า ถ้าฉันนึกออกว่าจะเอาไปทำอะไร ฉันค่อยไปทวงคืนจากลุงก็แล้วกัน
------------------------------------------------------------------
วรองค์สูงประทับบังหน้าต่าง แสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาจึงกลายเป็นพื้นหลัง ให้พระฉายาแห่งพระองค์ใหญ่ปรากฏชัดเจนเหมือนภาพวาดสีดำ ที่ทรงสง่างาม สุขุม และน่าเกรงกลัวไปในคราวเดียวกัน
ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เบื้องพระพักตร์ หลังจากได้พาร่างอันอ่อนแอไร้กำลังของตัวเองลงคำนับเจ้าชายแห่งคาโนวาลอย่างทุลักทุเล และได้รับพระราชทานอนุญาตให้ลุกขึ้นนั่งได้อย่างไม่ต้องมีพิธีรีตอง
“ท่านแข็งแรงขึ้นนี่”
ทรงรับสั่งหลังจากทอดพระเนตรอย่างพิจารณา จากวันที่ทรงเห็นคนผู้นี้ในหอคอยคุมขัง ร่างที่ ‘เคย’ แข็งแรงนั้นหมอบอยู่ในมุมมืดของห้องขังคับแคบราวเศษขยะ ดูไร้สุขภาพและสติโดยสิ้นเชิง กระทั่งตอนที่ท่านเสนาบดีกระทรวงการคลังตะโกนเรียกชื่อหลายครั้ง อีกฝ่ายก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาเสียเฉยๆ
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงวันเดียว หลังจากได้พักอยู่ในห้องคนรับใช้ในคฤหาสน์ท่านเสนาฯ ได้กินอาหารที่แม้ไม่ดีเลิศ แต่ก็ปรุงมาเพื่อปรับสภาพและบำรุงร่างกายโดยเฉพาะ ชายหนุ่มคนนี้ถึงกับฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วแบบนี้
อาจจะไม่ถึงกับแข็งแรงสมบูรณ์ดีนัก แต่อย่างน้อยก็ลุกขึ้นมาพูดคุยได้รู้เรื่องแล้ว
หอคอยคุมขัง....สถานที่ที่สูบความเป็นตัวตนของคนที่ต้องเข้าไปได้หมดจริงๆ
อย่างบุรุษที่อยู่เบื้องพักตร์นี่ก็เหมือนกัน ใครจะคิดว่าครั้งหนึ่ง เขาเคยเป็นนักรบฝีมือดีอนาคตไกลคนหนึ่ง ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากท่านเซต เสนาบดีกระทรวงกลาโหมเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังถูกเลี้ยงให้เติบโตมาพร้อมกับซาฟา อิมรีอา บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านเสนาเซต และพระองค์เองยังเคยเห็นเขาเข้าไปประชุมในหลายครั้งที่ท่านพ่อทรงเรียกบุคคลสำคัญฝ่ายการทหารอยู่เหมือนกัน
กระทั่งครั้งสุดท้ายที่ทรงพบ ก็เมื่อก่อนไปเข้าเรียนปีห้าที่เอดินเบิร์กเมื่อปิดเทอมคราวที่แล้วนี่เอง
“ด้วยพระกรุณาธิคุณ หม่อมฉันแข็งแรงขึ้นมากแล้ว”
เท่านั้น เจ้าชายคนสำคัญถึงกับสรวลกว้าง ก่อนพ่นพระปัสสาสะพรืด อย่างไม่รู้จะชมเชยคนยังจำธรรมเนียมการตอบรับความห่วงใยได้ หรือจะเยาะเย้ยความอวดดีอย่างน่าสมน้ำหน้า เพราะมันเองยังห่างไกลคำว่าแข็งแรงมากมายนักดี
“ช่างความกรุณาของเราเถอะ มันไม้ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือท่านหรืออะไรทั้งสิ้น....” ทรงเว้นไปนิด เพื่อรอสังเกตอาการของอดีตนักรบตรงหน้า “หากท่าน....ไม่ได้ทำความผิดจริง ท่านจัสติน”
แววตาสีดำสนิทของอดีตนักรบวาวขึ้นอย่างประหลาดใจครู่หนึ่ง ก่อนจะมอดแสงลงอย่างรวดเร็วเมื่อก้มต่ำ หลุบสายตาหนีอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ต่อสายพระเนตรที่ทรงเมตตาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในนัยน์เนตรสีสวยเหมือนพระราชินีแห่งคาโนวาลคู่นั้น
เคยได้ยินมาว่าเจ้าชายองค์นี้โหดร้ายนัก ทั้งยังไม่มีเหตุผลและเอาแต่พระทัยอย่างยิ่งด้วย
หรือจะได้ยินมาผิด....ผิดอย่างมหันต์
“ความผิดของหม่อมฉันหนักหนายิ่งนัก เหตุใดฝ่าบาทจึงยังคลางแคลงว่าผิดจริงหรือไม่” น้ำเสียงจัสตินสั่นเครือขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้แม้จะพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมมัน “หม่อมฉันทรยศต่อบัลลังก์กษัตริย์คาโล ทั้งยังลอบปลงพระชนม์พระองค์อีกด้วย”
“เราพอดูออก ท่านจัสติน” แม้ในยามนี้ สุรเสียงเจ้าชายคาเรนยังนุ่มนวลอย่างทรงเมตตา รอยสรวลบางปรากฏอยู่บนพักตร์งามสงบราวกับรูปสลักจากฝีมือประติมากรชั้นเอก “ว่าบุคคลที่ขี้ขลาดและเห็นแก่ตัวจนกระทำการเช่นนั้นได้ ควรมีลักษณะอย่างไร ซึ่งมันย่อมแตกต่างจากท่านโดยสิ้นเชิง ท่านจัสติน นักรบคนหนึ่งของคาโนวาล”
นักรบ...โอ...นักรบของคาโนวาล
หยาดน้ำใสๆเอ่อขึ้นมาในดวงตาแห้งแล้งคู่นั้น ช่างปวดร้าวเหลือประมาณที่จะต้องยอมรับว่าคำเรียกที่เคยภาคภูมิใจคำนั้น ได้กลายเป็นเพียงอดีตไปแล้ว กลายเป็นเพียงอดีตที่จะไม่มีวันคืนมาอีก
มือซีดเซียวและเหลือแต่กระดูกเกร็งขึ้น จนกลายเป็นกำแน่น เพื่อรองรับน้ำตาที่หยดหยาดลงด้วยความเจ็บแค้นอย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ความภูมิใจของเหล่านักรบผู้กล้า คือสามารถปกป้องและเคียงคู่บัลลังก์กษัตริย์ที่ตนเองถวายชีวิตรับใช้ด้วยความซื่อสัตย์.....และความอัปยศที่สุดของนักรบเหล่านั้นก็คือ การทรยศต่อนาย ต่อความเป็นนักรบที่ตนได้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่าตนจะยึดถือจนกว่าชีวิตจะหาไม่
มันเป็นความเจ็บปวดที่กัดกร่อนจิตใจยิ่งกว่าการใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้ค่าทุกเมื่อเชื่อวันในหอคอยคุมขัง
เป็นความเจ็บปวดที่สุดของชีวิต....เจ็บปวดยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
“ฝ่าบาท”
ร่างผอมเกร็งทรุดลงมากองแทบพระบาท คาเรนทรงถอยหลบด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนจะรับฟังคำทูลอ้อนวอนอดีตนักรบแห่งคาโนวาลด้วยความสะเทือนใจไม่ผิดกัน
“ทรงประหารหม่อมฉันเสียเถิดกระหม่อม หากฝ่าบาทคิดว่าหม่อมฉันได้แลกทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้หอคอยนั่นไปมากพอแล้ว ประหารเสียเถิด กระหม่อมจะได้ชดใช้ในสิ่งที่กระหม่อมทำทั้งหมด ทรงเอาดาบของพระองค์ฟันหม่อมฉันให้ตายในดาบเดียวสมกับที่หม่อมฉันบังอาจเอาดาบเลวๆไปทาบพระศอฝ่าบาทเถิด”
เจ้าชายคาเรนทรงรับฟังคำทูลขอด้วยพระอาการเวทนา ไม่ได้เดือดร้อนโกรธเคืองในสิ่งที่นักรบคนหนึ่งที่พระองค์เคยทรงชื่นชมทำกับองค์เองสักนิด เรียกว่าแทบจะทรงลืมเลือนไปหมดแล้วด้วยซ้ำ
แต่หากภาพที่ตนเองเกือบปลงพระชนม์เจ้าชายรัชทายาทแห่งคาโนวาลยังตรึงแน่นอยู่ในสำนึกของจัสตินมาจนถึงวินาทีนี้.....
ทว่าคาเรนเข้าพระทัยบางอย่างดี ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะปลงพระชนม์พระองค์เลย
ไม่เช่นนั้น นักรบคนนี้คงทำร้ายพระองค์ตอนเผลอ และไม่มัวแต่เอาดาบทาบพระศออย่างไม่ยอมลงมือสักที จนทหารมาจุบกุมตัวไป และต้องมาชดใช้ความผิดในคดีอุกฉกรรจ์ที่หอคอยคุมขังเป็นเวลาถึงหนึ่งปีเต็ม
“ท่านจัสติน”
คราวนี้พระสุรเสียงเข้มขึ้นอย่างสมกับเป็นเจ้าชายแห่งคาโนวาล คนซบลงแทบบาทจึงเงยขึ้นทำตาปริบๆอย่างงงงวย
“เรานับถือท่าน ที่เป็นนักรบของคาโนวาลอันเก่งกล่า และมีฝีมือขนาดที่สามารถฆ่าเราได้มาแล้ว เพราะฉะนั้น ถือว่าเราขอร้อง ท่านอย่าได้ร้องไห้ ท่านควรทราบ เราเกลียดความอ่อนแอของบุรุษยิ่งนัก”
แน่ล่ะ พระองค์พยายามแทบตายกว่าจะเข้มแข็งได้เท่าบุรุษ...แล้วจะให้บุรุษที่เคยเป็นผู้กล้ามาทำตัวอ่อนแอตรงหน้าได้อย่างไร
และนับว่าเป็นคำตรัสที่ได้ผล เพราะบัดนี้ท่านจัสตินได้เงยหน้าขึ้นมาสบพักตร์ด้วยอย่างกล้าหาญ เก็บกลืนอาการเสียใจอย่างสุดแสนไว้ได้ หากแต่ก็ยังยืนยันคำเดิม
“ประทานความตายให้หม่อมฉันด้วยพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายคาเรนทรงถอยออกไปก้าวหนึ่ง ก่อนขยับพระหัตถ์ขวาเข้าหาด้ามดาบที่หัตถ์ซ้ายถืออยู่อย่างช้าๆ นิ้วพระหัตถ์ทั้งห้ากรีดอย่างงดงาม ก่อนจับและกระชับแน่นที่ด้ามดาบประจำพระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งคือดาบปราบมารของท่านปู่ แล้ว.....
เสียงกรีดดังช้าๆราวดีดเส้นสายของพิณดังขึ้น แสงแดดที่ส่องมาจากเบื้องพระขนองกระทบคมดาบเกิดเป็นประกายจับตา และประกายนี้ทอดจับลงไปบนร่างอดีตนักรบแห่งคาโนวาล ฝักดาบซึ่งดูเรียบๆด้วยเครื่องเงินธรรมดาถูกเลื่อนออก
ชิ้ง....
ดาบทั้งเล่มเปลือยคมจนหมด หัตถ์ขวากำดาบแน่น ขณะที่จัสตินได้หลับตาลงอย่างสงบเพื่อรอรับความตายที่ประทานจากหัตถ์คนที่ตนเองเคยหมายลอบปลงพระชนม์
แต่แล้วดาบก็ถูกสอดคืนฝักอย่างรวดเร็ว
คนกำลังจะตายแหงนหน้ามองอย่างไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
“จัสติน เรโอวา เดอะวอริเออร์ ออฟคาโนวาล” สุรเสียงค่อนไปทางใสดังกังวานในห้องแคบ ก่อนดาบจะถูกยื่นมาตรงหน้า ให้คนเบื้องล่างต้องยื่นสองมือรับอย่างงุนงง “ฟังคำสั่งเรา”
นั่นคือ การออกคำสั่งตามวิสัยของกษัตริย์ที่มีต่อแม่ทัพในสนามรบ
“ท่านจงชดเชยสิ่งที่ท่านทำผิดไปต่อเราเดี๋ยวนี้ เราแล้วจะคืนตำแหน่งนักรบแห่งคาโนวาลให้ท่าน”
โอ.....เจ้าชายคาเรน
คาเรน วาเนบลี เดอะปรินซ์ ออฟคาโนวาล ทรงเลือกเขา ซึ่งเป็นเพียงคนมีโทษอุกฉกรรจ์ให้เป็นแม่ทัพประจำพระองค์หรือนี่
“รับด้วยเกล้า รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ ฝ่าบาท”
ท่านจัสตินรับคำอย่างลนลาน ดีใจอย่างที่ไม่เคยนึกฝันว่าจะมีวันนี้ ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจ.....เดินเข้าหอคอยคุมขังด้วยตนเอง
“หากสิ่งใดที่หม่อมฉันทำได้ หม่อมฉันจะทุกถวายเดี๋ยวนี้”
“ดี” พักตร์นวลดูเคร่งขรึมรับแสงทองจากเบื้องนอกดูน่ามองยิ่ง “งั้นบอกเรามา ท่านจัสติน ท่านทำทีเป็นต้องการฆ่าเราเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของนาย
คนฟังตัวแข็งทื่อไปในทันใด
“หน้าที่ความรับผิดชอบต้องมาก่อนบุญคุณความแค้นส่วนตัว กฎข้อนี้ของคนเป็นนักรบท่านย่อมรู้อยู่แก่ใจ บอกเรามาเสีย ท่านนักรบ คนที่ต้องการให้เราตายจริงๆคือคนผู้นั้น...ใช่หรือไม่”
เนตรวาววามทอดจับมา ทรงอำนาจอย่างยิ่ง
“โอ ฝ่าบาท พระองค์ทรงทราบ.......”
“เราย่อมรู้......ท่านจัสติน ว่าใครที่เป็นคนทรยศตัวจริง”
ความคิดเห็น