คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : เดอะเมจิคเชี่ยนออฟทริสทอร์
21
เดอะเมจิคเชี่ยน ออฟทริสทอร์
“ปล่อย”
คาเรนทรงร้องบอกเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจนับ แต่กว่าจะสะบัดหลุดจากมือใหญ่ของอีกฝ่ายสำเร็จ ก็เมื่อต่างคนต่างมาหยุดหอบแฮ่กกันนอกเมืองกันแล้วนั่นเอง
ไอ้หมอนี่.....แรงเยอะจริง
“ใครอยากจับเรานักเล่า โวยวายมาตลอดทาง”
อีกฝ่ายก็อุตส่าห์เถียงทั้งที่ยังมีเสียงหอบปนเสียงตะคอก ก่อนจะทิ้งตัวลงกับพื้น และเอนหลังพิงต้นไม้อย่างเหนื่อยอ่อน ปล่อยให้วรองค์สูง แต่สูงน้อยกว่าอีกฝ่ายถนัดใจจำต้องยืนเก้ๆกังๆอย่างไม่รู้ควรทำอย่างไร ไอ้เหนื่อยก็เหนื่อย แต่จะให้ประทับนั่งข้างคนบังอาจถือวิสาสะลากพระองค์มาตั้งไกลนั้น ไม่มีทางเสียล่ะ
“เอ้า อยากยืนก็ยืน”
ดวงตาสีเขียวเหลือบมองขึ้นมาอย่างรู้สึกรำคาญนัก ก่อนหลับตาลงอย่างอยากจะพักผ่อนเต็มทน
แล้วคาเรนผู้มีพระทัยร้อนแต่มักทรงฟังเหตุผลเสมอ ก็ถึงกับกำหัตถ์กัดทนต์กรอดด้วยความรู้สึกทรงอยากตะบันหน้าคนเบื้องพักตร์นี้ให้โดนจังๆสักหมัด โทษฐานที่บังอาจหลายสถานอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
ตอนแรกว่าไงนะ.....
‘ยืนบื้อมันตรงนั้น เดี๋ยวก็ได้ถูกฟันหัวแบะหรอก’
แล้วตอนหลัง....
‘ใครอยากจับเรานักเล่า โวยวายมาตลอดทาง’
หน็อย ใครเขาขอให้ลากมากันล่ะ คนอย่างคาเรน วาเนบลี ไม่เคยขอร้องใคร และไม่เคยหนีใครหน้าไหนทั้งนั้น อย่าว่าแต่เป็นคนที่บังอาจทำอำนาจบาดใหญ่ สร้างความวุ่นวายภายใต้การปกครองของท่านพ่อในคาโนวาลเลย
แถมยังมาหาว่าบื้อยืนเป็นเป้าล่อดาบอีก...มันเองนั่นแหละที่ก่อเรื่องเอาไว้แล้ววิ่งหนีหน้าตั้งมาทั้งอย่างนี้
ไอ้บ้าเอ๊ย....อย่าให้อยู่ในฐานะเจ้าชายนะ
พ่อจะสั่งประหารฐานลบหลู่เบื้องสูงเสียเลย
“เอ้า นั่ง นั่ง นั่ง นั่งข้างๆกันนี่แหละ....ฉันอนุญาต”
เนตรสีน้ำตาลสวยถึงกับฉายรอยกริ้ววิบวับ แต่คนมองกลับเอียงคอแล้วบอกมาเพียงว่า
“ว้าว ไอ้หนู ตาสวยนี่”
บังอาจ.....
โอหัง.....
เจ้าเล่ห์.....
ขี้ตู่....
ครบในตัวหมอนี่หมดเลย.....เรย์ ไรซา เดอะเมจิคเชี่ยน ออฟทริสทอร์คนนี้
เมจิคเชี่ยน ที่ไม่ได้แปลว่านักเวทย์
แต่แปลว่ามายากร
โธ่เอ๊ย แล้วยังทำเป็นแนะนำตัวเสียโก้หรูพลางคุยว่าเดินทางเปิดการแสดงมาแล้วทุกแว่นแคว้น
“ว่าแต่เราเถอะ เป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหนล่ะ”
คาเรนไม่ทรงอยากจะตรัสตอบสักคำ จึงผินพระพักตร์ไปทางอื่นอย่างไม่ใส่พระทัย ปล่อยให้คนรอฟังกระฟัดกระเฟียดไปตามประสา
“เอ้อ ดูแน่ะ ชวนให้นั่งก็ไม่นั่ง พอถามก็ไม่ตอบ”
เจ้าชายคนสำคัญของคาโนวาลทำกรรณทวนลมได้อย่างดี ก่อนดำริขึ้นมาได้ว่าท่านเสนาฯและสาวใช้คนสวยป่านนี้คงกำลังหาองค์เองให้วุ่น เพราะตอนเกิดเหตุอลหม่านนั้น ต่างหลงกันไปคนละทางภายในเวลาอันสั้น แล้วธุระอะไรที่พระองค์ต้องมาคุยไร้สาระกับคนต้นเหตุความวุ่นวายอยู่แบบนี้
“กลับล่ะ”
ว่าแล้วก็หมุนวรองค์จากไป เพียงแต่....เพิ่งเสด็จได้เพียงสองสามก้าว เสียงของคนเบื้องพระขนองก็ลอยมา
“เฮ้ย ไอ้หนู เล่นตัวจริง ทำอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ไปได้”
เนตรงามแต่ดุจัดอย่างที่เคยใช้กับทุกคนได้ผล ยกเว้นไอ้หมอนี่หันมาสบอีกครั้ง ก่อนย่างบาทสามขุมเข้าไปอย่างทรงเหลืออดเข้าจริงๆ
แล้ว........
ทรุดลงประทับนั่งด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
ถ้า....ตอนนี้พระองค์สามารถประกาศออกมาได้ว่าเป็นเจ้าชายคาเรนแห่งคาโนวาล
การเสด็จกลับมาครั้งนี้คงไม่ได้ทรงทำเพื่อจะมานั่งคุยด้วย แต่คงทำให้รู้ฤทธิ์ว่าการลบหลู่เบื้องสูงหลายต่อหลายหนนั้นเป็นยังไง
แต่เอาเถอะ เพื่อรักษาความลับ และเพื่อให้เห็นว่าพระองค์เป็นเพียงเด็กหนุ่มอนาถาคนหนึ่งจริงๆ
คุยด้วยหน่อยก็ได้
ไหนๆก็ไหนๆ จะได้ถามเสียเลยว่าคทาสีทองนั่นเป็นของดีจริงใช่หรือเปล่า และไอ้ที่สะกดผู้คนเสียเคลิบเคลิ้มน่ะเป็นเวทมนตร์ ไม่ใช่มายากลอย่างที่พระองค์ทรงสงสัยใช่หรือไม่
ถ้าใช่ แล้วสนุกตรงไหนที่ต้องคอยทำเป็นวณิพกผู้ยากจนแบบนี้
หรือจะสนุกจริง?
“เอ้า จะบอกได้รึยังว่าเราเป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหน”
“เคเรส ฟาเรล เดอะวากาบอนด์ ออฟคาโนวาล”
ทรงดำรัสสั้นอย่างโกหกแบบขอไปที แต่อีกฝ่ายกลับอุทานอย่างแปลกใจ
“ฮ้า นามสกุลดังของท่านเสนาบดีเมนิส แล้วทำไมถึงมาเป็นนักพเนจรร่อนเร่อย่างนี้”
“พี่ชายรู้จัก?” ทรงเผลอถามอย่างไม่คิดว่าคนอย่างหมอนี่จะรู้จักบุคคลสำคัญในคาโนวาล แต่คงไม่เคยเห็นหน้าค่าตาจริงๆ เพราะไม่อย่างนั้นตอนท่านเสนาฯกับซินเดียมาตาม เขาคงเห็นและจับได้แล้วว่าพระองค์ตรัสความเท็จตั้งแต่แรก ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะอีกฝ่ายพยักหน้ากลับมา “โธ่เอ๊ย พี่ชาย ฉันน่ะก็แค่ลูกชายของน้องของพี่สาวของแม่นมของบุตรบุญธรรมของท่านเสนาฯเท่านั้นเอง พอดีที่บ้านฉันยากจน เลยฝากต่อๆไปเลี้ยงในบ้านท่านเสนาฯ ท่านก็ใจดีให้ใช้นามสกุลแค่นั้น แต่ฉันมันขี้เกียจ ไม่อยากทำงานเป็นทาส เลยออกมาเร่ร่อน สบายใจกว่า”
คราวนี้คนฟังกลับทำตาปริบๆด้วยความงุนงงที่อีกฝ่ายจู่ๆนึกจะพูดดีด้วยก็พูดเองซะเฉยๆ ทั้งที่ตอนแรกล่ะทำถามคำจึงตอบคำ
“เออ พูดยาวๆก็เป็นด้วยเหรอเราน่ะ”
เจ้าชายคนสำคัญจึงพ่นพระปัสสาสะอย่างไม่สบายพระทัย แต่ก็นั่นล่ะ พระองค์ก็ไม่คิดว่าองค์เองจะตรัสโกหกเลื่อนไหลขนาดนี้ แต่เห็นมายากรผู้นั้นเชื่อเพราะนึกไม่อยากฟังการลำดับญาติก็ค่อยโล่งอุระได้หน่อย
นี่ทำสนิทด้วย เพราะไม่ต้องการให้ความลับรั่วไหลหรอกน่า
ก็เลยได้คุยดีๆกับนายเรย์ด้วยประการฉะนี้เอง
“ว่าแต่พี่ชายเหอะ ไปทำอะไรเข้าล่ะ ถึงได้ถูกพวกนั้นตามทำร้ายเอา”
เรย์หัวเราะ ราวกับคำถามนั้นถูกใจในอะไรบางอย่าง ก่อนจะทำท่ายึกยักมีเลศนัยให้นึกอยากรู้ แต่พอเข้าขั้นมากไป มันก็ทำให้คนความอดทนน้อยเต่เดิม ชักอยากประทานพระบาทาถีบเข้าให้หน่อย
“เฮ้ย อย่าเพิ่งทำตาเขียว ตาสวยๆน่ะเขาไม่ให้ทำดุบ่อยๆรู้ไหม”
“พี่ชายก็บอกมาเร็วๆสิ”
“รู้แล้วเราอย่าไปบอกใครเข้าล่ะ ไอ้หนู หัวหลุดเชียว”
“บ๊ะ ถึงขนาดหัวหลุด” คราวนี้คนรอคำตอบขยับมาใกล้จนหัวเข่าแทบจะชนกัน “บอกมาเร็วน่า ทำไมเรื่องถึงใหญ่โตขนาดถ้าแพร่งพรายออกไปแล้วหัวหลุด”
“ก็เรื่องนี้น่ะ มันเกี่ยวข้องไปถึงเจ้าชายคาเรนแห่งคาโนวาลนี่น่ะสิ”
เนตรสีสวยวาวขึ้นอย่างตื่นเต้น ก่อนหลุดโอษฐ์ถามอย่างยั้งไม่อยู่
“พี่ชายเคยเห็นเจ้าชายองค์นี้ด้วย?”
“จะเคยได้ไง ฉันเพิ่งเข้ามาถึงคาโนวาล เพิ่งได้เปิดการแสดงที่เมืองชายแดนนี่เป็นครั้งแรก” ว่าแล้วคนพูดก็ทำหน้ายุ่งเสียเอง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะฮาเมื่อได้ฟังคำย้อนของไอ้หนูตรงหน้า
“ขนาดเพิ่งเข้ามานะ พี่เล่นหาเรื่องใส่ตัวตั้งแต่ล่วงเข้าเมืองชายแดนเลย ไม่รู้หรือไง ว่าคนเมืองนี้มีนิสัยของนักรบกันทั้งนั้น ไม่ยอมเสียเหลี่ยมเสียคมกันง่ายๆหรอก”
“ก็นั่นน่ะสิ มิน่ามันถึงได้เหลี่ยมมากคมมากกันเสียจริง ขนาดเจ้าชายรัชทายาท มันยังวางแผนปลงพระชนม์ซะได้”
คนฟังทรงนิ่งไป ทว่านัยน์เนตรมีความเปลี่ยนแปลงที่ยากจะอธิบายออกมาว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่ อาจจะนับเป็นความเคยชินก็ว่าได้ ที่จะต้องทรงทราบอยู่เสมอว่าใครคิดร้ายกับพระองค์บ้าง ซึ่งบางครั้งมันก็มากกว่าความไม่พอใจจนอาจกลายเป็นอยากวางแผนลอบสังหารให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
ตอนยังเยาว์ด้วยชันษาและความคิด พระองค์เคยไม่เข้าพระทัยและไม่อยากจะยอมรับว่าคนที่เกลียดชังพระองค์จนถึงขนาดอยากจะฆ่านั้นมีอยู่จริง ก็เพราะตอนนั้นพระองค์ไม่ได้ทำอะไรใครให้เดือดร้อนเลย อาจมีบ้างที่ทรงซนไปตามประสา แต่พระองค์ก็รับผิดชอบความผิดของพระองค์ด้วยองค์เองเสมอมาในฐานะเจ้าชายรัชทายาทแห่งราชวงศ์ที่ดี
ตอนนั้นท่านปู่เคยประทานคำสั่งสอนว่า
‘เพราะเจ้าเป็นเจ้าชายรัชทายาทที่ดี คาเรน เจ้าจึงถูกปองร้าย และเพราะเจ้าต้องเป็นเจ้าชายที่ดีของราชวงศ์ต่อไป เจ้าจึงต้องทนให้ได้’
ตำแหน่งเจ้าชายรัชทายาทจะเป็นความฝันสูงสุดของใครก็ตาม....ย่อมไม่ใช่คาเรน
เจ้าชายรัชทายาทผู้ไม่อาจได้รับการยอมรับจากทุกคนในคาโนวาล
ด้วยเหตุผลง่ายๆ แต่อ้างได้ทุกสถานการณ์ กระทั่งใช้อ้างสิทธิ์ในการชิงบัลลังก์
‘พระองค์เป็นเจ้าหญิงรัชทายาท มิใช่เจ้าชาย มิใช่ตลอดกาล’
ทว่าพอเจริญชันษาขึ้นมาด้วยภาระหน้าที่ของเจ้าชายรัชทายาท พระองค์ก็ทรงทราบเพียงว่า ใครภักดีย่อมมีรางวัล ใครเป็นกบฏนั้นต้องได้รับโทษอย่างสาสมพอกัน
คาเรนทรงเกลียดคนทรยศยิ่งกว่าสิ่งใด....ทรยศองค์เองยังไม่เท่าไหร่ อย่าให้ทรยศคาโนวาลแล้วกัน
และเพราะเหตุนั้น ใครร้ายมาเท่าไหร่ พระองค์ใหญ่จึงคืนสนองให้หลายเท่าเพื่อให้หลาบจำและจดจารเอาไว้ในหัวใจเสมอว่า อย่าได้คิดอุกอาจก่อการใหญ่เป็นอันขาด
สิ่งที่พระองค์ใช้พระชนม์ชีพปกป้อง...ย่อมมีค่าเกินกว่าใครจะแย่งชิงไปได้
“เป็นอะไร เห็นนิ่งไป”
เรย์เองก็คงจับความรู้สึกคนอื่นได้เก่งเช่นกัน จึงได้ถามขึ้นในขณะที่เนตรคู่เดิมซึ่งคนมองหมั่นชมว่าสวยสบด้วยตรงๆอย่างเปิดเผย
“พี่ชายว่า เจ้าชายองค์นี้น่ะสมควรตายรึเปล่า”
คราวนี้ดวงตาสีเขียวขยายกว้างอย่างคงจะตกใจจริงๆ ก่อนจะถลาเข้ามาปิดปากคนพูดเรื่องเสี่ยงได้หน้าตาเฉย แถมยังมองซ้ายมองขวาราวกับกลัวใครนอกจากนี้จะได้ยินอีก
คาเรนทรงปัดมือนั้นออกด้วยสัญชาตญาณที่ไม่ให้ใครแตะต้ององค์มาก่อน แล้วจึงขยับถอยออกไปเพื่อรักษาระยะห่างระยะพระองค์กับอีกฝ่าย แล้วทรงตรัสย้ำอีกครั้งอย่างจริงจัง
“ฉันถามจริงๆ พี่ชาย ตามความคิดเห็นของพี่น่ะ”
“ถามอะไรให้หวาดเสียวจริงนะ”
“พี่ว่าเจ้าชายคาเรนน่ะสมควรตายจริงรึเปล่า”
เมื่อถูกถามซ้ำ เรย์จึงกลับไปเอนหลังพิงต้นไม้ต่อไป และคราวนี้ตอบให้ด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทราวกับจะสั่งสอนอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่มีใครสมควรตายหรอก น้องชาย ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดา หรือเป็นเจ้าชายบนหอคอยงาช้าง เพราะชีวิตของแต่ละคนนั้นมีเส้นทางของตัวเองที่จะต้องเดินไป ไม่ว่าจะนำไปสู่ความรุ่งโรจน์หรือตกต่ำ ก็ไม่มีใครมีอำนาจพอจะไปตัดสินว่าควรจะหยุดเดินเมื่อไหร่”
“แต่เจ้าชายองค์นี้ทรงประหารคนมานักต่อนักแล้ว”
“ความเป็นเจ้าชายน่ะ มีเรื่องเศร้าอยู่เหมือนกันนะ” รอยยิ้มอบอุ่นของคนไม่ได้เป็นเจ้าชายส่งมาให้ แล้วส่ายหัวเหมือนเอือมระอาหรือปฏิเสธอะไรบางอย่างกับตัวเอง “บางครั้งก็ไม่สามารถนึกถึงอะไรได้เลยนอกจากหน้าที่ที่ต้องกระทำ การประหารหลายชีวิตก็ถือเป็นหน้าที่ของเจ้าชายเพื่อรักษาราชบัลลังก์เหมือนกัน เพราะอำนาจน่ะถือเป็นของร้อน ใครก็อยากได้ แต่มีกี่คนที่ถือมันได้ เจ้าชายคาเรนเองก็คงยอมถือของร้อนนี้ด้วยความรักพระบิดา รักราชวงศ์ และรักคาโนวาลนั่นเอง”
เมื่อเห็นคนฟังเงียบไป แต่ยังมีท่าทางสนใจอยู่ คนอายุมากกว่าก็เสริมให้อีกนิดหนึ่งด้วยความเอ็นดู
“ฉันน่ะเคยได้ยินหลายคนเขาพูดกัน มันก็ปนเปกันไประหว่างภักดีและหวาดกลัวล่ะน่ะ แต่ไม่ว่าใครจะรู้สึกแตกต่างกันออกไปยังไง สุดท้ายก็จะมีความเห็นอย่างหนึ่งที่ตรงกันเสมอ”
สายลมพัดแผ่วเบา ดุจจะหอบเอาคำพูดสุดท้ายลอยไปแสนไกล....คนตั้งใจจึงได้ยินชัดเจน
“คาโนวาลโชคดีมากมายจริงๆที่มีพระองค์ใหญ่เป็นเจ้าชายรัชทายาท”
ความคิดเห็น