ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวขโมยแห่งบารามอสตอนทายาท 3 แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #34 : บทสนทนาระหว่างเจ้าหญิง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.21K
      1
      6 ต.ค. 49

    30

    บทสนทนาระหว่างเจ้าหญิง

     

                    รถม้าของอาคันตุกะแห่งคาโนวาลรั้งอยู่ท้ายสุดของขบวนเดินทาง ด้านหน้าเป็นทหารรักษาพระองค์ของพระราชินีแห่งคาโนวาล ที่ถูกส่งมาอารักขาท่านหญิงเรนอน พระสหายคนสนิทที่เดินทางมาจากซาเรสแทบทุกปี และจะอารักขาอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ไปตลอดทางจนกว่าจะถึงบ้านตระกูลฟีลมัส จึงอนุญาตให้เดินทางกลับได้

                คาร์ซาร์เป็นสารถีอยู่ด้านนอกของรถม้าคันนั้น จึงไม่มีทางได้ยินบทสนทนาระหว่างสองเจ้าหญิง

     

                เป็นอะไร เห็นเงียบไป

     

                อดีตเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลถามอย่างห่วงใย เพราะตั้งแต่เดินทางมาเกือบครึ่งวัน หญิงสาวพูดน้อยจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่พูดเลย

                ทำไมเรนอนจะไม่ทราบเรื่อง ว่าวันก่อนคู่รักคู่นี้ทะเลาะกันจนเกือบฆ่ากันเอง

     

                ยังไม่ปรับความเข้าใจกันรึไง

     

                นัยน์ตาสีเข้มเหลียวมองอย่างเคารพนับถือ ก่อนจะยิ้มบางอย่างยอมรับในความเอ็นดูของพระสหายของท่านแม่ เปล่าค่ะ เราไม่ได้ทะเลาะกันแล้ว

     

                พูดได้แค่นั้นก็ถึงกับเงียบไป เพราะคำที่ว่าไม่ได้ทะเลาะกันแล้วนั้น ไม่ได้หมายความว่าเข้าใจกันแล้ว และจะไม่ทะเลาะกันอีก

                เธอยังจำ คำของคาร์ซาร์ที่ตอบท่านหญิงเรนอนได้แม่นนัก

                .....ท่านแม่ บางครั้งเกียรติและศักดิ์ศรีย่อมมาเหนือสิ่งอื่นใด กระทั่งความรัก....

                แล้วไหนจะคำของคาเรนที่คุยกันก่อนจะขึ้นรถม้ามานี่อีก

                .....ไปลองเรียนรู้ชีวิตของคาร์ซาร์ที่ซาเรสดูหน่อย แล้วเธอจะเข้าใจเหตุผลของเขา....

                ทำไมกันนักหนา นักฆ่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวมากนักหรือไง นักฆ่าสังหารชีวิตคนเป็นว่าเล่น แต่ก็ยังเป็นคนไม่ใช่หรือไง แล้วเป็นคนมันก็ต้องมีความรัก มีหัวใจ มีความรู้สึกเหมือนปุถุชนธรรมดา ถ้าไม่มีความรักจริง ท่านหญิงเรนอนจะลาบรรดาศักดิ์เจ้าหญิงไปแต่งงานกับนักฆ่าแห่งตระกูลฟีลมัสได้ยังไง

                คำถามมากมายวิ่งวนอยู่ในสมอง และสายตาของอดีตเจ้าหญิงที่ยังมองมานั้น ยิ่งทำให้อยากถามข้อสงสัยนี้มากขึ้น จนในที่สุดก็อดหลุดปากมาไม่ได้

     

                ท่านอาคะ

     

                เรนอนยิ้มอ่อนโยนให้

     

                ท่านอาแต่งงานกับอาคิลได้ยังไงคะ

     

                ดวงหน้างามของท่านหญิงขึ้นสีเรื่อ แม้จะไม่ใช่ใบหน้าของดรุณีน้อยเช่นอดีต แต่ให้มองอย่างไรก็ยังงดงามอยู่ดี และนี่เป็นข้อพิสูจน์ที่แท้จริงว่า วันเวลาไม่ได้พรากความงดงามจากหญิงสาวคนนี้ไปเลย โดยเฉพาะความงดงามที่มาจากจิตใจอันอ่อนโยน ที่ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็สัมผัสได้

     

                ก็...อืม...ยังไงดีล่ะ ดวงตาคนรอฟังทอประกายอยากรู้จนคนเล่าชักขัดเขิน

     

    ไม่รู้สินะ อากับคุณคิลรู้จักกันในป้อมอัศวินเหมือนเซลด้ากับคาร์ซาร์นั่นแหละ แต่ก็นะ อาไม่รู้จักเลยว่านักฆ่าเป็นยังไง แรกๆอารักษาระยะห่างไว้มากทีเดียว แต่นานๆไปก็เห็นว่าคุณคิลเค้าไม่ใช่คนเลวร้าย ก็เค้าน่ะป็นเพื่อนสนิทของเจ้าชายคาโล และเจ้าหญิงเฟลิโอน่านี่

     

                ไม่เล่าท่าจะดีกว่า ว่าตอนเจ้าหญิงเฟลิโอน่ายังเป็นหัวขโมยอยู่นั้น หัวหน้าชั้นปีสามคนนี้ก่อเรื่องไว้มากแค่ไหน

     

                อาเคยคิดนะ ว่าคนจะเป็นนักฆ่าได้น่ะต้องโหดเหี้ยมและเห็นการตายเป็นเรื่องธรรมดามากพอจะลงมือโดยไม่ยั้ง แต่ความจริงแล้ว คุณคิลเป็นคนยิ้มง่าย หัวเราะง่าย และรักสนุก แต่กับอาเขาเป็นคนไม่ค่อยพูดไปซะนี่ จนกระทั่งปีสุดท้ายก่อนอาเรียนจบนั่นล่ะ เจ้าหญิงเฟลิโอน่าถึงวางแผนต่างๆมากมายให้เราสองคนได้คุยกันมากขึ้น แต่....

     

                ถึงตอนนี้ ท่านหญิงหัวเราะขึ้นมาอย่างนึกขันเรื่องในอดีตเสียเหลือเกิน

     

                เหตุการณ์มันไม่ค่อยจะเหมือนกับที่เจ้าหญิงเฟลิโอน่าคิดไว้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรนั่นแหละ มันต้องมีสาเหตุให้ทุกอย่างตาลปัตรอยู่เสมอ แทนที่อาจะได้คุยกับคุณคิลเชิงสร้างความสัมพันธ์ อากลับได้ทะเลาะกับเขาทุกวัน เพราะเขาน่ะพูดจาไม่เข้าหูเลย ไม่นึกจริงๆว่าคารมของนักฆ่านั้นแย่มากถึงมากที่สุด

     

                เซลด้าอดหัวเราะด้วยอย่างนึกภาพออก และเห็นด้วยกับประโยคสุดท้ายเสียยิ่งนัก

                ก็คารมของคาร์ซาร์น่ะ.....ไม่เป็นสับปะรดเอาซะเลย

                เหมือนกับเปี๊ยบ

     

                แล้วท่านอามารักอาคิลเมื่อไหร่คะ

     

                อา....ไม่รู้หรอก ท่านหญิงเรนอนยิ้มอ่อนหวาน ทำให้คนอายุคราวลูกอยากเห็นเจ้าหญิงองค์นี้สมัยยังอยู่ในป้อมอัศวินเสียจริง ความจริง อาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะรักคุณคิลได้เลย กระทั่งเจ้าหญิงเฟลิโอน่าแอบมาบอกอาว่าคุณคิลชอบอาอยู่บ่อยๆ อาก็ไม่เชื่อนัก และช่วงที่เรียนร่วมกันมาเจ็ดปี อาไม่เคยพูดดีๆกับเขาได้ตลอดรอดฝั่งเกินกว่าสิบนาทีเลย

     

                หน่วยตางดงามของเจ้าหญิงเซลด้าเบิกกว้างมากขึ้นอย่างตื่นเต้น

     

                อาเพิ่งมารู้เอาตอนกลับมาอยู่คาโนวาลแล้วนั่นแหละ เพราะช่วงนั้นอาซึมเศร้าอย่างไม่มีเหตุผล ตอนแรกอาคิดว่าเป็นเพราะตัวเองคงเสียใจอยู่หน่อยๆที่เจ้าชายคาโลจะอุปภิเษกกับเจ้าหญิงเฟลิโอน่า แต่ความจริงแล้วอาคิดกับเจ้าชายคาโลแค่พระเชษฐาเท่านั้นเอง คุณคิลต่างหากที่พอมาถวายพระพรล่วงหน้าที่คาโนวาล อาอยากให้เขาเข้ามาคุยกับอาสักสิบนาที หรือกลับมาทะเลาะกันเหมือนสมัยยังเรียนอยู่สักชั่วโมงก็ได้

     

                ท่านอารักอาคิลตอนนั้นหรือคะ

     

                ไม่น่าจะใช่นะ อาจจะเป็นหลังจากนั้น เอ๊ะ หรือก่อนหน้านั้นก็ไม่แน่ แต่ตอนนั้นอาสรุปความอยากคุยกับเขาว่าคงเป็นเพราะอาเหงาและเบื่อกับบทบาทเจ้าหญิงแล้วก็ได้ แล้วเขาก็เข้ามาคุยกับอาจริงๆนะ

     

                แล้ว....

     

                แล้วก็ เป็นแบบเดิมน่ะสิ คุยกันดีๆแบบถามไถ่ทุกข์สุขได้สักห้านาที แล้วเขาก็ชวนอาทะเลาะ เราโวยวายกันลั่นอุทยานหลวง ด้วยเรื่องอะไรสักอย่างอาก็จำไม่ได้ แต่ไม่ค่อยจะเป็นเรื่องสักเท่าไหร่ แล้วแปลกกว่าทุกทีตรงที่ว่าพอทะเลาะกันจนเหนื่อย เราก็หาเหตุผลมายอมรับเหตุผลของอีกฝ่ายอย่างไม่เสียฟอร์ม แล้วพอตัดไปเรื่องอื่น เราก็ทะเลาะกันอีก แล้วก็เลิก เป็นอย่างนั้นอยู่หลายชั่วโมงเชียวนะ จนมาถึงหัวข้อสุดท้าย เราเถียงกันนานมากเลย

     

                หัวข้ออะไร อายังจำได้หรือคะ

     

                อืม จำได้สิ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ดีนั่นแหละ ตอนแรกเขาถามอาว่าเคยไปซาเรสมั้ย อาสมัยนั้นเป็นเจ้าหญิงเล็กๆแห่งคาโนวาล จะเคยไปถึงดินแดนเหนือสุดได้ยังไง อาเลยบอกว่าอาคงไม่จำเป็นต้องไป เพราะยังไงคาโนวาลก็เป็นดินแดนที่สวยงามที่สุด เขาเถียงอาคอเป็นเอ็นเลยล่ะว่าซาเรสสวยกว่า แล้วอานั่นแหละที่ต้องยอมแพ้ เพราะอาเคยเห็นเพียงคาโนวาลที่เดียว จะไปรู้ได้ยังว่าซาเรสสวยหรือไม่สวย

     

                ท่านหญิงก้มหน้าอย่างอายๆเมื่อเอ่ยถึงตอนนี้

     

                แล้ว....เขาก็บอกว่า

     

                ว่า....

     

                เขาอยากให้อาเห็นซาเรส เห็นบ้านของเขา อาจะไปกับเขาได้มั้ย คุณคิลน่ะเอาแต่ใจมากนะ ตอนแรกเรานั่งคุยในศาลาไม้ แต่พออาบอกจะไป เขาก็ฉุดมืออาขึ้น แล้วบอกจะกลับซาเรส ทันทีทันควันตรงนั้นเลย แล้วเขาก็ลากอาไปหาเจ้าชายคาโล บอกว่าเราจะไปซาเรสกัน แล้ว.....

     

    แล้ว....

     

    เขาก็ลาออกจากบรรดาศักดิ์เจ้าหญิงให้อา

     

                หา?

     

                แม้แต่เจ้าหญิงเซลด้ายังอดอุทานเสียงดังไม่ได้ แต่อดีตเจ้าหญิงกลับหัวเราะรื่นเมื่อนึกไปถึงวันเหล่านั้น ราวกับว่ามันเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เท่านั้นเอง แล้วก็คงเป็นอย่างที่ว่า เมื่อเรามีความสุข ทุกอย่างก็ดูจะผ่านไปรวดเร็ว ดังนั้น ตลอดเวลาที่ได้อยู่ในฐานะแม่บ้านแห่งตระกูลซาเรส เธอมีความสุขมากจริงๆ

                คาร์ซาร์จะเป็นอย่างนั้นได้บ้างมั้ยนะ....เซลด้าแอบนึกในใจ

                ไม่หรอก....เป็นไปไม่ได้

               

     

                คาร์ซาร์นั้นเหมือนเป็นคนสองคนในร่างเดียวกันก็ว่าได้ เพราะบางครั้งเขาเป็นนักฆ่าที่เอาแต่ใจ เอาแต่สนุก และหาเรื่องอู้งานได้เสมอเมื่อเห็นว่าทำอะไรแล้วไม่คุ้มแรง แต่บางครั้งเขาก็เป็นเสนาธิการแห่งป้อมอัศวินโดยแท้ เพราะอย่างน้อยก็ยังเห็นแก่ส่วนรวม หรือยังมีส่วนในการบริหารงานในป้อมบ้าง แต่ก็นั่นแหละ เขามีความคิดเช่นไร มักไม่มีใครคาดเดาได้ (อาจยกเว้นคาเรน วาเนบลี และออเรียล เซวาเรสเอาไว้สักสองคน)

                เธอเองก็เดาไม่ได้ บางเรื่องคาดผิดไปถนัดก็เคย

                แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่ว่าเธอหรือใครก็คาดเดาได้

                คาร์ซาร์อาจไม่เคารพกฎเกณฑ์ หรือแม้แต่ไม่สนใจเลย แต่เขารักเกียรติและศักดิ์ศรีเหนือสิ่งอื่นใด รักทั้งๆที่สองสิ่งนี้ไม่จำเป็นต่อการเป็นนักฆ่า

                นั่นเพราะเขามีความเป็นนักรบอยู่ด้วย

                ทั้งยังเป็นนักรบคู่บัลลังก์....แห่งอนาคตคิงแห่งคาโนวาล

                เรื่องเกี่ยวกับบัลลังก์และการปกครองจึงเป็นเรื่องใหญ่เสมอ กระทั่งบัลลังก์ของอเมซอน และการราชาภิเษกเจ้าหญิงรัชทายาทขึ้นเป็นกษัตริย์

                เขารู้ว่าบัลลังก์ยิ่งใหญ่เพียงไร

                จึงไม่เคยพยายามดึงเธอไว้กับตัว

                ทั้งที่....ถ้าเขาทำอย่างนั้นสักหน่อย เธออาจจะสบายใจขึ้น

                ให้เขาลองพยายามไขว่คว้าเธอไว้ดูหน่อย....เธอจะได้ตัดใจอย่างสมบูรณ์

                ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ว่าเธอต้องเลือกคนที่เหมาะสมเพื่ออุปภิเษกหลังจากขึ้นเป็นคิง แต่ก็แค่อยากให้รู้ว่าหมดหวังจริงๆเท่านั้นเอง


               
    การรู้ว่าต้องตัดใจเพราะหมดความหวัง น่าจะเจ็บปวดน้อยกว่าต้องตัดใจทั้งที่ยังอยากหวัง

                ใช่มั้ย?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×