คุณสมบัติหลายอย่างของเยรูซาเลมชวนให้คิดอย่างนั้น
เพราะเยรูซาเลมไม่ ได้เป็นแค่เมืองหลวงของอิสราเอล และไม่ใช่แค่เพราะเป็นเมืองที่มีอายุเก่าแก่กว่า 3,000 ปี แต่เยรูซาเลมพิเศษและมหัศจรรย์ตรงที่เป็นต้นกำเนิดของ 3 ศาสนา คือ คริสต์ อิสลาม และยูดาย
รถโดยสารประจำทางหอบฉันข้ามเมืองไปหย่อนตรงใจกลางเมืองเยรูซาเลม กว่าจะแบกเป้แทรกตัวขึ้นรถเมล์ที่แน่นขนัดด้วยผู้คนไปหาย่านเมืองเก่าอัน เป็นสะดือเมือง กว่าจะคลำทางจากประตูจาฟฟาไปหาเรือนพักรังหนูในย่านเมืองเก่าได้ ก็แทบอยากเนรเทศเป้ใบเขื่องให้พ้นจากชีวิต
ไม่ง่ายสำหรับการหาเรือน พักประเภทราคาถูกใจสบายกระเป๋า ในช่วงวันหยุดที่ชาวยิวจากทั่วมุมโลกแห่แหนกันเดินทางมาหาเยรูซาเลม เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันครบรอบที่อิสราเอลได้รับอิสรภาพ
เตียงนอนใน เรือนพักรังหนูเตียงละ 70-80 เชคเกล (550-650 บาท) ที่เคยโผล่อยู่หน้าเว็บไซต์ ถูกขยับขึ้นมาเป็น 120-150 เชคเกล อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ขืนทำท่ามาก ยึกยัก อาจไม่ใช่แค่ได้นอนเตียงราคาแพง แต่อาจถึงขั้นไม่มีที่ซุกหัวนอน
80 ก็ 80 ฉันจำใจพักในเรือนพักแคบๆ ที่หมกตัวอยู่ใจกลางเมืองเก่าในย่านของชาวอาหรับ ห้องทึบสีแดงที่รอบตัวปราศจากหน้าต่าง แคบจัดขนาดหาที่นอนให้เป้คู่ใจยังยากสิ้นดี แต่ไม่เป็นไรเพราะฉันไม่ได้ดั้นด้นมาเยรูซาเลมเพื่อหมกตัวอยู่ในห้องนอนอยู่ แล้ว เรื่องที่หลับที่นอน จึงเป็นเรื่องเล็กสำหรับคนแบกเป้เสมอ
มุม ที่อยากเห็นมากที่สุดในเยรูซาเลม คงเป็นกำแพงร้องไห้ (Wailling Wall) เหมือนกับนักท่องโลกคนอื่นๆ แต่ฉันกลับไม่เร่งเร้าตัวเองให้สปีดฝีเท้าเพื่อรุดไปหาที่นั่น บ่มความอยากเอาไว้ให้พองตัวขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการเดินละเลียดไปตามตรอกซอกซอยของเมืองเก่า
ทีแรกคิดว่า คงเพราะเป็นวันที่ไม่ปกติของเยรูซาเลม แทบทุกตรอกทุกมุมจึงมีทหารที่มีอาวุธครบมือยืนปักหลักอยู่จุดละ 2-3 คน คอยคุมเข้มดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวและชาวยิวจากทั่วโลกที่เดินทางมา ยังกำแพงร้องไห้ แต่ถามไถ่พ่อค้าแถวนั้น ได้ความว่า เยรูซาเลมเป็นแบบนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพียงแต่วันที่มีเทศกาลงานเฉลิมฉลอง จะเพิ่มระดับความเข้มงวดมากกว่าปกติ อาจจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แปลกไปสักหน่อย เพราะแทบไม่มีความสวยงามรออยู่ที่กำแพงร้องไห้ ไม่มีปราสาทราชวังอันโอ่อ่าสง่างามเอาไว้ให้แขกเหรื่อได้ไปยืนโพสท่าถ่าย รูป แต่กลับเป็นมุมที่นักท่องเที่ยวต่างแห่แหนไปกองรวมกันอยู่ที่นั่น
ที่ นั่นเป็นกำแพงเมืองด้านตะวันตก มุมซึ่งเคยมีวิหารศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวตั้งอยู่ แต่หลังจากถูกทำลายถึงสองครั้งสองครา จึงเหลือเพียงซากกำแพงเมืองเอาไว้ให้ชาวยิวได้มาสวดมนต์ภาวนาและสื่อสารกับ พระเจ้าผ่านกำแพงส่วนที่เหลือนี้
เมื่อไร้โบสถ์ร้างวิหาร บนลานกว้างริมกำแพง จึงคลาคล่ำไปด้วยชาวยิวที่พากันมาสวดมนต์ แบ่งแยกฝั่งหญิงชายอย่างเป็นสัดส่วน
ทุก คนต่างหันหน้าเข้าหากำแพง บ้างแค่สวดมนต์ บ้างตัดพ้อกับพระเจ้า และไม่น้อยที่ร่ำไห้ในโชคชะตาของชาวยิว ตามซอกของกำแพง เต็มไปด้วยกระดาษที่พวกเขาเขียนถ้อยคำอธิษฐาน วิงวอน และร้องขอต่อพระเจ้า ว่ากันว่า ส่วนใหญ่เป็นการระบายความทุกข์ใจของแต่ละคน
เมื่อเดิน ทะลุไปอีกด้านหนึ่งของกำแพง คือฝั่งที่ชาวอาหรับกำลังก้มลงละหมาดบนลานกลางแจ้งที่อยู่ระหว่างสุเหร่าอัล อักซา และโดมแห่งศิลา (Dome Of The Rock) ที่ซึ่งเป็นสุเหร่าศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวมุสลิม
แสงจางไปแล้ว อุณหภูมิรอบตัวดิ่งลงอย่างฮวบฮาบ แต่สำหรับวันพิเศษของชาวยิว พวกเขายังปักหลักสวดมนต์อยู่ริมกำแพงร้องไห้อย่างไม่ยี่หระให้แก่ลมหนาวที่ พัดกระพืออย่างฉุนเฉียว
“บางคนก็ไม่กลับบ้านนะ ก็คงเป็นแบบนี้ไป 3 วันนั่นแหละ จนกว่าจะจบเทศกาล...” สาวยิวรุ่นเยาว์ที่ยืนอยู่ริมกำแพงบอกให้ฟัง
ไม่ ไกลจากกำแพงร้องไห้และโดมแห่งศิลา เป็นโบสถ์อันเป็นจุดฝังศพของพระเยซู(Church Of Holy Sepulchre) เสียงร้องเพลงดังกึกก้องโบสถ์ บวกกับความเข้มขลังของโบสถ์ เมื่อผสานกับบรรยากาศความซาบซึ้งที่อาบไล้ใบหน้าของชาวคริสต์ที่ได้มายืนใน โบสถ์แห่งนี้ ปลุกให้ขนแขนของฉันดีดเด้งขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ภาพ ของคน 3 ศาสนา ต่างความเชื่อ ต่างความศรัทธา ปรากฏให้เห็นที่เยรูซาเลม ที่นี่จึงเป็นเมืองมหัศจรรย์ทางศาสนา ที่ทำให้ฉันลืมเรื่องสงครามมาราธอนและเรือนพักราคาแพงไปเสียสนิทใจ
"กาญจนา หงษ์ทอง"
ความคิดเห็น