ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Haikyuu!!]14 days Before...(Oikage)

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 : วันมหาดวงกุด Rewrite

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.01K
      143
      2 ก.ย. 57

               
     

    บทนำ:วันมหาดวงกุด


                รถบัสเคลื่อนตัวไปตามถนนลูกรังขรุขระจนโคลงเคลงไปมาชวนให้มึนหัว แสงอาทิตย์ใกล้เที่ยงวันสาดส่องลงมาท่ามกลางอากาศร้อนจัดยิ่งทำให้รู้สึกหมดแรงจนอยากกลับไปนอนพักที่บ้านเสียเดี๋ยวนี้ แต่กลุ่มเด็กหนุ่มภายในรถกลับส่งเสียงจอแจคึกคักเสียจนคนขับรถหันมากระพริบตางุนงงอยู่หลายครั้ง

                “ค่ายล่ะ พวกเราจะไปค่ายกันล่ะ!!

                เสียงสดใสของเด็กหนุ่มร่างเล็กเจ้าของฉายา “นกต่อที่แข็งแกร่งที่สุด” ดังกังวานไปทั่ว แถมเจ้าตัวยังลุกขึ้นยืนกระโดดโลดเต้นบนรถที่โคลงเคลงอย่างน่าหวาดเสียว ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเสียงดุ

                “เฮ่ย นั่งลงดีๆ เลิกวุ่นวายได้แล้ว ฮินาตะ! ก็แค่เข้าค่ายฝึกก่อนไปคัดเลือกอินเตอร์ไฮ ตื่นเต้นอะไรนักหนา!

                เจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์แต่ดูเคร่งเครียดไม่สมวัยเอ่ยปรามพลางส่งเสียงจึ๊กจั๊กในลำคออย่างหงุดหงิด พอได้ยินแบบนั้นฮินาตะก็หันมากระพริบตาปริบ ก่อนเอื้อมมือขึ้นมาปิดปากทำหน้าทะเล้น

                “มาว่าแต่คนอื่น นายเองก็ตื่นเต้นมากเหมือนกันไม่ใช่เรอะ ดูซิๆ ไอ้แผ่นพับท่องเที่ยวในมือนั่นมันอะไรกันคาเงยามะซัง”

                เมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดล้อเลียนพลางจ้องไปที่แผ่นพับท่องเที่ยวในมือ คาเงยามะก็สะดุ้งเฮือก ก่อนรีบเก็บยัดใส่กระเป๋า ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที

                “หนวกหูน่า!!!

                “หึ ทำตัวไร้สาระชะมัด” สึกิชิมะนั่งกอดอกไขว่ห้างอยู่ข้างๆยามากุจิมองไปที่ฮินาตะด้วยสายตาเหยียดหยามเช่นเคย

                “ว่าไงนะ ไอ้แว่น!!” ฮินาตะตะโกนอย่างหัวเสีย แต่อีกฝ่ายกลับนั่งฟังเพลง mp3 จากเครื่องของตนเองต่ออย่างไม่ใส่ใจ ยิ่งทำให้ฮินาตะทำท่าฮึดฮัดยิ่งกว่าเก่า

                “ไหนๆ? แผ่นพับท่องเที่ยวเหรอ? ขอดูบ้างสิ”

                สึกะวาระที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันหันมายิ้มอย่างสนใจเป็นเชิงบอกว่า “ขอดูด้วยสิ” กับรุ่นน้องจอมซึน คาเงยามะจึงเหลือบมองไปที่ใบหน้าแต้มรอยยิ้มใสซื่อของรุ่นพี่แล้วถอนใจยาว ก่อนหยิบแผ่นพับในกระเป๋าออกมาแล้วส่งไปให้อีกฝ่ายแต่โดยดี

                “หืมม ไหน...อ๊ะ เทศกาลวันทานาบาตะอย่างนั้นเหรอ...จัดใกล้ๆโรงแรมที่พวกเราพักอยู่ด้วย”

                สึกะวาระกวาดสายตามองดูอย่างตื่นเต้น แล้วใบหน้าของทานากะก็โผล่เข้ามาดูแผ่นพับจากด้านหลัง

                “ห๊า!! เทศกาลงั้นเรอะ!! แบบนี้จะต้องมีสาวๆใส่ชุดยูคาตะมากมายแน่นอน ตื่นเต้น ตื่นเต้นจังโว้ย!! สองอาทิตย์นี้ ทานากะซังอาจจะมีแฟนกับเขาซักที ฮ่าๆๆ”

                “ฉันมาช่วยฝึกนะ ไม่ใช่มาหาแฟนให้นาย ทานากะ”

                ไดจิ “อดีต” กัปตันทีมคาราสึโนะเอ่ยพลางถอนใจ แต่ทานากะและฮินาตะกลับกระโดดโลดเต้นไปด้วยกันอย่างตื่นเต้น

                “เฮ้อ ถ้าคุณคิโยโกะมาด้วยก็ดีสิน้า” นิชิโนยะนั่งเท้าคางพลางพึมพำเรื่อยเปื่อย พอได้ยินแบบนั้น อาซาฮีก็หัวเราะเบา

                “เธอเข้ามหาลัยไปแล้วคงยุ่ง ช่วยไม่ได้นะ”

                “คุณอาซาฮีก็เข้ามหาลัยแล้วเหมือนกันนี่ แต่ก็ยังอุตส่าห์มาช่วยพวกเรา” นิชิโนยะเอ่ยพลางหันมายิ้มให้ พอเห็นแบบนั้นอดีตเอสของคาราสึโนะก็หน้าแดงเรื่อ เกาหลังคอตนเองแก้เขิน

                “ก็นะ...ยังไงพวกนายก็เป็นรุ่นน้องนี่นา ยังไงปีนี้ก็อยากให้ทุกคนได้เป็นตัวแทนไปอินเตอร์ไฮกัน”

                พอได้ยินคำว่า “อินเตอร์ไฮ” เนตรสีน้ำทะเลลึกก็เหลือบมองไปที่อาซาฮีและนิชิโนยะ ก่อนจะเบือนสายตาไปที่เหล่าเพื่อนและรุ่นพี่ของตนเองที่บัดนี้ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว แล้วหันกลับไปมองนอกหน้าต่างเช่นเดิม

                อินเตอร์ไฮ…

                หนึ่งปีผ่านไปแล้วสินะ...

                คาเงยามะคิดในใจพลางหวนคิดถึงอดีต ในปีที่แล้วพวกเขาพลาดโอกาสเข้ารอบชิงตัวแทนอินเตอร์ไฮของจังหวัดอย่างน่าเสียดาย ความเจ็บปวดจากความพ่ายแพ้ในตอนนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในใจจนถึงตอนนี้

                เวลาล่วงเลยผ่านมาหนึ่งปี ในที่สุดพวกเขาก็ได้เป็นรุ่นพี่ปีสอง พวกรุ่นพี่ปีสามต่างเรียนจบและเข้ามหาลัยกันไปหมดแล้ว แต่กระนั้นก็ยังกลับมาช่วยพวกเขาฝึกซ้อมอยู่เสมอ ในวันนี้เองก็เช่นกัน

                เหลืออีกสามอาทิตย์ก่อนจะถึงวันคัดเลือกตัวแทนจังหวัดในปีนี้ เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอมหน้าร้อนพอดี ทุกคนจึงตัดสินใจมาเข้าค่ายฝึกแถบชานเมืองกันสองอาทิตย์เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งนัดสำคัญ แต่ดูเหมือนสมาธิของทุกคนจะจดจ่ออยู่กับงานเทศกาลและการเที่ยวเล่นเสียมากกว่า

                ถ้าเป็นแบบนี้ เดี๋ยวก็แพ้อาโอบะโจไซเหมือนปีก่อนอีกหรอก

                เด็กหนุ่มคิดพลางถอนใจ และทันใดนั้น ภาพแผ่นหลังของใครบางคนก็ผุดวาบเข้ามาในใจ แผ่นหลังที่เฝ้าวิ่งไล่ตามมานานแสนนาน แม้คิดว่าไล่ตามทันแล้ว แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็หนีออกไปไกลอีกครั้ง

                โออิคาวะซัง…

                ตั้งแต่จบการแข่งขันของปีที่แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เขาได้ข่าวมาจากคินดะอิจิว่าอีกฝ่ายเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวได้ และดูเหมือนจะเล่นวอลเลย์ต่อที่นั่น

                ตอนนี้...จะเป็นยังไงบ้างแล้วนะ...

                “เฮ้ ใจลอยอะไรอยู่น่ะ คาเงยามะ”

                เสียงเรียกของใครบางคนทำให้เขาหลุดออกจากห้วงแห่งความคิด ภาพแรกที่เข้ามาในลานสายตาคือนัยน์ตากลมโตของคู่หูคนปัจจุบันของตนเอง

                “ถึงแล้วนะ ลงรถได้แล้ว”

                “อะ...อืม”

                คาเงยามะพยักหน้าน้อยๆ พอกวาดสายตามองให้ดีก็พบว่ารถบัสจอดนิ่ง และคนในรถก็เดินลงไปเกือบหมดแล้ว

                “เฮ้ออ ที่พักจะเป็นยังไงนะ ตื่นเต้นชะมัด ว่ามะ” ฮินาตะหัวเราะสดใสพลางยืดตัวขึ้นหยิบของจากชั้นวางด้านบน

                “นี่มันค่ายฝึกซ้อม ถ้านายเอาแต่คิดถึงเรื่องไร้สาระ เดี๋ยวก็แพ้อาโอบะโจไซเหมือนปีที่แล้วหรอก เจ้าโง่”

                คาเงยามะขมวดคิ้วเอ่ยเสียงดุ แล้วหยิบเป้ขึ้นมาสะพายเอาไว้

                “แล้วทำไมจะต้องเป็นอาโอบะโจไซด้วยฟระ แพ้ทีมอื่นไม่ได้เรอะ” ฮินาตะกระพริบตาปริบ ทำให้อีกฝ่ายยิ่งหงุดหงิดขึ้นเป็นทวีคูณ

                “ก็ปีที่แล้วเราแพ้ จำไม่ได้หรือไง!

                “แต่ปีนี้ไม่มีมหาราชาแล้วนี่นา เอสของเขาก็ไม่อยู่แล้วด้วย กลัวอะไรเล่า”

                พอได้ยินฉายาของใครคนนั้นคาเงยามะก็นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ภาพใบหน้าแต้มรอยยิ้มรื่นเริงของอีกฝ่ายผุดวาบขึ้นมาในมโนคิด นัยน์ตาสีน้ำเงินหวั่นไหวไปชั่วขณะ แต่แล้วก็กลับมาสงบนิ่ง ขมวดคิ้ว แล้วตะโกนเสียงดุอีกครั้ง

                “โออิคาวะซังไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ซักหน่อย!

                พูดจบก็ชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนรีบหมุนตัวเดินลงจากรถบัสไป

                ฮินาตะมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายเลี้ยวลับสายตาไปด้วยสีหน้างุนงงอย่างที่สุด

                “ก็พูดถึงอาโอบะโจไซจะไม่เกี่ยวได้ไง อะไรของเขาหว่า”

                เด็กหนุ่มเกาศีรษะตนเอง ก่อนตัดสินใจทิ้งเรื่องงุนงงของคู่หูไป แล้วสะพายเป้เดินลงจากรถ มุ่งหน้าสู่ที่พักของค่ายอันแสนสนุกในสองอาทิตย์นี้

               

                “ว้าวววว สุดยอดเลยย!!

                เสียงพึมพำของเหล่านักเรียนชมรมวอลเลย์ของคาราสึโนะดังจ่อกแจ่กขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นภาพที่พักตรงหน้า

                ที่พักของค่ายในครั้งนี้เป็นเรียวคังแบบญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาสีเขียวขจี เบื้องบนคือท้องฟ้าใสกระจ่างยามฤดูร้อน สายลมพัดโชยเข้ามาเย็นสบายกำลังดี แม้จะบอกว่าเป็นค่ายฝึก แต่พอเห็นบรรยากาศแบบนี้แล้วก็อดคิดถึงเรื่องเที่ยวขึ้นมาไม่ได้

                “เราเข้าไปเก็บของกันก่อนเถอะ จะได้เริ่มฝึกซ้อมกัน เห็นแบบนี้ แต่ใกล้ๆมีโรงยิมสำหรับซ้อมวอลเลย์อยู่ด้วยนะ” ไดจิหันมายิ้มพลางเดินตรงเข้าไปยังเรียวคังเป็นคนแรก ก่อนที่รุ่นน้องคนอื่นๆจะเดินตามเข้าไปด้วยท่าทีรื่นเริงและคึกคักผิดปกติ

                “สวยจังเลยยยย สุดยอดเลย ว่าไหม คาเงยามะ!” ฮินาตะหันมาตบไหล่คู่หูของตนเองดังป้าบ แต่คนถูกทำร้ายกลับเพียงแค่ขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วตอบเสียงเรียบกลับมาว่า

                “ก็แค่ที่พักสำหรับซ้อม จะอะไรกันนักหนา”

                ก่อนที่ฮินาตะจะเถียงกลับ เสียงหัวเราะของสึกิชิมะก็ดังขึ้นมาแทรกก่อน

                “ท่านราชาเขาไม่ตื่นเต้นกับสถานที่ของคนเดินดินแบบนี้หรอก ว่าไหม ยามากุจิ”

                “ว่าไงนะ!

                ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังจะแยกเขี้ยวใส่กัน ทานากะก็โผล่พรวดมาแทรกกลางระหว่างทั้งสอง พลางโอบไหล่ทั้งคู่ไปด้วย

                “เอาน่า เอาน่า อย่าทะเลาะกันสิ ทีมเดียวกันมาเข้าค่ายกันทั้งทีสามัคคีกันหน่อยยยย”

                “จริงด้วยครับ ทานากะซัง เท่สุดๆ!!” ฮินาตะตบมือเสียงดังพลางเอ่ยด้วยสีหน้าชื่นชม ทำให้คนถูกชมยิ่งยืดอกอย่างภาคภูมิ

                “แถมยังมีสาวๆมากมายรอเราอยู่ที่นี่ด้วย ต้องสนุกมากๆถึงจะถูก!

                “ทานากะซัง!

                “ร..รู้แล้วน่า มาฝึกกันต่างหาก”

                รุ่นพี่หนุ่มยิ้มแห้งๆพลางตบไหล่คาเงยามะสองสามทีแก้เขิน ก่อนที่ทุกคนจะเดินตามคนอื่นๆเข้าไปในเรียวคังพร้อมๆกัน

               

                แต่บางครั้ง...ทุกอย่างมันก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด

                “อะไรนะ?! ห้องเต็มเหรอครับ?!

                พอประโยคนั้นหลุดออกจากปากของอดีตกัปตันชมรม รุ่นน้องทั้งหลายก็พลันอ้าปากค้าง ใจตกลงไปถึงตาตุ่มทันที

                “เอ่อ...ต้องขออภัยด้วยนะคะ...เอ่อ...พอดีว่า” พนักงานต้อนรับสาวในชุดกิโมโนเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก สีหน้าดูลังเลว่าควรจะพูดดีหรือไม่พูดดี แต่สุดท้ายก็ค่อยๆเอ่ยออกมา

                “เมื่อคืนนี้...มีห้องหนึ่งเกิดดคีฆาตกรรมในห้องปิดตายขึ้น ก็เลยเปิดรับแขกไม่ได้...ตอนนี้ห้องเลยขาดไปห้องนึงน่ะค่ะ”

                คดีฆาตกรรม...

                พอได้ยินแบบนั้นทุกคนก็หน้าซีดเผือด บรรยากาศที่เคยร้อนระอุพลันเย็นยะเยือกขึ้นมาราวกับหิมะใกล้ตก แถมยังได้ยินเอฟเฟคเป็นเสียงหมาหอนจากที่ไกลๆอีกด้วย

                “ไดจิซัง...มันจะดีหรอครับ...มีคดีฆาตกรรมแบบนี้” ทานากะที่กลัวผีเข้าเส้นเลือดเหลือบมามองอดีตกัปตันด้วยสีหน้าดูมีความหวัง แต่ซีดเผือดราวกับกระดาษ

                “ในห้องปิดตายด้วยนะ...คงจะหลอนกว่าปกติ” สึกะวาระเสริม

                “น่ะ...นั่นสิครับ...ผะ...ผมว่า เปลี่ยนที่ดีกว่า” ฮินาตะตัวสั่นพั่บๆ พลางเอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้อของไดจิอีกสองสามที

                “เฮ่ยย พวกนายมันอะไรเนี่ย ผีมีจริงที่ไหน” นิชิโนยะขมวดคิ้วพลางตบหลังทั้งสองคนดังป้าบจนแทบลงไปนอนกองกับพื้น แล้วหันไปหาไดจิกับสึกะวาระที่ยืนอยู่ด้วยกัน

                “เอายังไงดีครับไดจิซัง จะเปลี่ยนที่ไหม”

                “ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ให้หาที่พักกะทันหันแบบนี้คงไม่ได้หรอกนะ” สึกะวาระเอ่ยพลางถอนใจ เห็นเช่นนั้นไดจิก็หันไปถามพนักงานต้อนรับอีกครั้ง

                “แสดงว่าขาดไปแค่ห้องนึงสินะครับ?

                “ใช่ค่ะ”

                “แล้วจะเป็นไปได้ไหม ถ้าเราจะแชร์ห้องกับคนอื่น”

                “เอ๊ะ...เดี๋ยวนะคะ” พนักงานสาวเอียงคอพลางกดคีย์บอร์ดแล้วเช็คข้อมูลในหน้าจอคอมพิวเตอร์ “อืม มีห้องนึงเป็นห้องมุมที่ค่อนข้างกว้าง น่าจะนอนได้สองคนค่ะ จริงสิ ดูเหมือนเขาจะเป็นคนของชมรมวอลเลย์เหมือนกันด้วย ถ้ายังไงจะลองสอบถามให้นะคะ”

                พนักงานสาวรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อกับเจ้าของห้องนั้น แล้วฮินาตะก็ขมวดคิ้ว ก่อนหันไปกระซิบกระซาบกับไดจิ

                “ชมรมวอลเลย์? แสดงว่ามีโรงเรียนอื่นมาเก็บตัวที่นี่ด้วยเหรอเนี่ย แบบนี้ความลับเราก็ถูกเปิดเผยสิครับ”

                “ไม่แน่หรอก อาจจะเป็นพวกเด็กมหาลัยก็ได้ บางทีคงแค่มาเที่ยวแล้วเล่นกันสนุกๆเฉยๆ” ไดจิหัวเราะเบา “ฉันว่าอาจจะดีก็ได้นะ เป็นนักวอลเลย์เหมือนกัน คงมีอะไรสนุกๆแน่นอน ว่าไหม”

                “เอ่อ...ถ้าเป็นงั้นก็ดีครับ”

                คาเงยามะมองคนอื่นๆด้วยสายตาเรียบเฉย ก่องลองเบือนสายตาไปสังเกตสภาพโดยรอบ

                แม้เรียวคังแห่งนี้จะค่อนข้างเก่าแต่ก็เป็นระเบียบและสะอาดสะอ้านดีทีเดียว ตามกำแพงมีรูปภาพนักวอลเลย์ซึ่งเป็นเส้นขาวดำวาดด้วยมือประดับอยู่ด้วย ที่ไดจิบอกว่าเรียวคังแห่งนี้ดังเรื่องค่ายเก็บตัวคงไม่ได้โกหก

                พนักงานสาวพูดคุยกับอีกฝ่ายในสายพักหนึ่งก็ขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนหันกลับมาถามพวกเขาว่า

                “เอ่อ...เจ้าของห้องเขาถามว่า ในกลุ่มพวกคุณมีสาวๆหรือเปล่าน่ะค่ะ”

                “......”

                คำถามสุดประหลาดของอีกคนที่ปลายสายทำให้สมาชิกชมรมวอลเลย์แห่งคาราสึโนะต่างทำหน้าอึ้งกิมกี่ ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว

                “...ไม่มีครับ ชมรมวอลเลย์ ชายล้วน” กว่าไดจิจะหาเสียงของตนเองเจอก็ปาเข้าไปเกือบหนึ่งนาที พนักงานสาวพยักหน้าพลางยิ้มแห้ง แล้วกลับไปสนทนากับปลายสายอีกครั้ง

                “เรียบร้อยค่ะ...เขาบอกว่าถ้าเป็นชมรมวอลเลย์จะมาแชร์ห้องด้วยก็ได้” พอวางสายเสร็จพนักงานสาวก็ยิ้มน้อยๆ ได้ยินแบบนั้นไดจิก็ถอนใจโล่งอก

                “งั้น รบกวนด้วยนะครับ”

                ถึงไดจิจะดูโล่งอก...แต่ดูเหมือนสมาชิกคนอื่นๆจะไม่ได้เป็นแบบนั้น

                “ฉันว่า ปัญหาที่สำคัญที่สุดตอนนี้ ก็คือใครจะเป็นคนไปพักกับเจ้าบ้าคนนั้นต่างหาก” นิชิโนยะหันมามองรุ่นน้อง พลางเท้าสะเอว

                “ฉันไม่เอาด้วยนะ...ถามถึงสาวๆแบบนั้น ต้องเป็นไอ้พวกหื่นกามแน่ๆ บรึ๋ย” ทานากะกอดแขนตนเองพลางทำหน้าสยองขวัญ

                “เขาไม่ปล้ำแกหรอกน่า ทานากะ” นิชิโนยะทำหน้าเอือมระอา

                “อาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ผมว่าเจ้านั่นไม่ปกติชัวร์” ฮินาตะทำหน้าปุเลี่ยนๆ

                “นายนั่นแหละไป ราชา” สึกิชิมะหันมาโบ้ย คาเงยามะได้ยินแบบนั้นก็ตะโกนกลับอย่างหงุดหงิดทันที

                “บอกว่าให้เลิกเรียกแบบนั้นไง! นายนั่นแหละไป”

                “นายต่างหากไป...”

                “ไม่ แกต่างหากโว้ย!!

                พอเห็นรุ่นน้องต่างโยนตำแหน่งกิตติมศักดิ์กันไปมา ไดจิก็ถอนใจยาว พลางยกมือขึ้นปรามทันที

                “เอาล่ะๆ เรามาใช้วิธียุติธรรม จับฉลากกันเถอะนะ”

                ได้ยินแบบนั้นนัยน์ตาของทุกคนก็เป็นประกายราวกับเห็นทางสว่าง

                “จริงด้วย ง่าย บริสุทธิ์ ยุติธรรม จับฉลากบันไซ!!” ทานากะตะโกนก้อง

                “ยอดเยี่ยมมากเลยครับ ไดจิซัง!” นิชิโนยะหันมามองอย่างชื่นชม

                สึกิชิมะถอนใจอย่างระอา งุนงงว่าคิดวิธีจับฉลากมันเป็นเรื่องยอดเยี่ยมผิดปกติตรงไหน

                “ถ้างั้น เราทำฉลากกันเลยไหมครับ” คาเงยามะถามพลางวางเป้ของตนเองลง เพื่อเตรียมตัวจับฉลาก

                “ฟิตจังนะราชา ระวังคนที่จับได้จะเป็นนายล่ะ” สึกิชิมะหัวเราะหึหึในลำคอ

                “หึ ไม่มีทาง” คาเงายามะหลับตาพลางยิ้มอย่างมั่นใจ “ฉันเป็นคนมีดวงเรื่องจับฉลากมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่รู้เรอะ”

                “หรอ แล้วจะคอยดู” สึกิชิมะหัวเราะเบา ก่อนจะเข้ามาช่วยกันทำฉลากจากกระดาษที่พนักงานสาวส่งให้

     

                บางที...วันนี้เขาอาจไม่มีดวง

                “เอาล่ะ ได้ผู้ชนะแล้วสินะ!” ไดจิยิ้มพลางตบมือหนึ่งครั้ง โดยมีเสียงหัวเราะของสึกิชิมะเป็นแบคกราวด์

                เนตรสีน้ำทะเลลึกมองฉลากสีแดงในมือตนเองด้วยสีหน้าว่างเปล่า...

                “เอาน่า มันอาจจะไม่เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้!” ฮินาตะตบบ่าให้กำลังใจคู่หู แต่ก็อดขำกับสีหน้าอึ้งกิมกี่ของเซ็ตเตอร์อันดับหนึ่งอย่างชายตรงหน้าไม่ได้

                “งั้นพวกเราเก็บของเสร็จก็พักผ่อนกันตามสบายก่อนนะ ไว้ค่อยฝึกกันพรุ่งนี้ เย็นมากแล้ว” ไดจิเอ่ยพลางมองนาฬิกา แล้วเหลือบไปมองท้องฟ้าเบื้องนอกที่กลายเป็นสีส้มแสด

                คาเงยามะหยิบเป้ขึ้นมาสะพาย ก่อนเดินเข้าไปในเขตห้องพักด้วยสีหน้าเซ็งอย่างที่สุด...ทำไมต้องเป็นเขาด้วยนะ ที่ต้องไปนอนกับใครก็ไม่รู้ตั้งสองอาทิตย์
                แต่คิดในแง่ดี อีกฝ่ายอาจจะอยู่ไม่กี่วันกลับก็ได้...
                ปลอบใจตนเองแบบนั้นก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย พลางรีบสาวท้าวเดินต่อทันที

                ห้องมุม..ชั้นสอง...ห้อง 2220

                เขาคิดในใจพลางเดินขึ้นบันไดไปเพียงลำพัง เพราะคนอื่นๆต่างมีห้องอยู่ชั้นหนึ่งกันหมด มีเพียงเขาเท่านั้นที่หลงไปอยู่ชั้นสองคนเดียว และยังต้องมาอยู่กับคนที่ไม่รู้จักอีกด้วย

                คนๆนั้น...จะแปลกแค่ไหนกันนะ

                เด็กหนุ่มถอนใจยาว ปลงในโชคชะตาชีวิตของตนเอง ถือซะว่าวันนี้เป็นวันดวงกุด กุดวันนี้...วันแข่งอินเตอร์ไฮอาจจะมีดวงก็ได้ เขาปลอบใจตนเองเป็นครั้งที่สอง

                รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องแบบญี่ปุ่นห้องหนึ่ง เขาเคาะประตูเบาๆสองสามครั้ง ก่อนเลื่อนบานประตูเปิดออก

                “รบกวนด้วยนะครับ”

                คาเงยามะพูดเสียงดังฟังชัด แล้วค่อยๆก้าวเดินเข้าไปในห้องพลางกวาดตามองโดยรอบ ด้านในเป็นห้องแบบญี่ปุ่นโล่งกว้างซึ่งปูด้วยเสื่อทาทามิ ตรงกลางมีโต๊ะน้ำชาเตี้ยๆและเบาะรองนั่งสองอัน  ตรงข้ามกับประตูทางเข้าคือหน้าต่างบานใหญ่ ข้างๆมีตู้เสื้อผ้าขนาดใช้ได้สองคนตั้งติดกับกำแพง ส่วนลึกเข้าไปทางขวาเป็นห้องน้ำส่วนตัวที่ตอนนี้ปิดประตูสนิทอยู่

                เด็กหนุ่มวางเป้ลงบนพื้นแล้วเดินไปที่ริมหน้าต่าง เหม่อมองทิวทัศน์ด้านนอกอย่างไม่อาจละสายตาไปได้ ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนคล้อยลับเส้นขอบฟ้า ท้องฟ้ายามเย็นแต่งแต้มด้วยสีส้มแสดคละเคล้ากับสีน้ำเงินเข้ม เบื้องล่างคือหุบเขาเขียวขจีเรียงรายโอบล้อมตัวเมืองที่มองเห็นอยู่ไกลๆ เป็นภาพฉากที่งดงามและไม่อาจหาดูได้ในเมืองใหญ่

                ซ่า...

                ทันใดนั้น เสียงน้ำไหลก็ดังออกมาจากอีกฟากของประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทอยู่

                คาเงยามะหลุดออกจากภวังค์พลางรีบหันไปมองที่ประตูห้องน้ำทันที

                อยู่ในห้องน้ำ?

                ดูเหมือนเพื่อนร่วมห้องจำเป็นของเขาจะอยู่ในห้องน้ำ เห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็รีบวางของอย่างเป็นระเบียบ ยืนตรงด้วยท่าทีสุภาพ เฝ้ารอให้อีกฝ่ายเดินออกมาเพื่อจะได้ทักทายตามมารยาท

                ครืด...

                ไม่นานนักประตูห้องน้ำก็ถูกเลื่อนเปิดออก คาเงยามะจึงเงยหน้าขึ้น หมายทักทายอีกฝ่ายที่กำลังเดินออกมา แต่ทันใดนั้นก็ต้องอ้าปากค้าง ร่างกายแข็งทื่อ

                เพราะคนที่เดินออกมานั้น...ไม่ใช่คนแปลกหน้าแต่อย่างใด...

                เขานิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนพยายามขยับริมฝีปากอย่างยากลำบาก

                “...อ...โออิคาวะซัง...”

                นี่ไม่ใช่ดวงกุดระดับปกติแล้ว...มันมหากุดเลยต่างหาก...

     

     
    TBC

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×