NC

คำเตือนเนื้อหานิยาย

นิยายเรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหานิยาย

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฮูหยินของข้า (Re-up)

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.39K
      1.05K
      7 ธ.ค. 65

    ยังไม่ทันรุ่งสางเฟิงชิงถิงก็ถูกกลิ่นอันไม่โสภาจากร่างใหญ่ปลุกให้ตื่นขึ้นมา

    “หมั่นโถว” เสียงแหบห้าวเสียงเดิมก่อนจะมีเสียงโครกครากในท้องของเจ้าบ้าผู้นั้น

    หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็หายงุนง่วงเป็นปลิดทิ้ง นางรู้แล้วว่าเหตุใดเจ้าบ้าผู้นี้ต้องแย่งอาหารของผู้อื่น เขาคงจะเป็นคนกินจุนี่เอง นางยืดเส้นยืดสายล้างหน้าบ้วนปากก่อนจะสะพายสัมภาระของตนเองและเริ่มออกเดินทางทันทีเพราะสงสารเจ้าบ้าที่ต้องทนหิวตลอดเวลา

    “ไปกันเถิด” นางหันไปเรียกเขา 

    เจ้าบ้าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่ก็เดินตามนางมาติดๆ โชคดีที่ไม่ไกลนักมีตลาดยามเช้าระหว่างเขตชายแดน เห็นมีร้านโจ๊กเปิดอยู่นางจึงเข้าไปนั่งในเพิง กำลังคิดจะสั่งโจ๊ก พ่อค้าที่กำลังคนโจ๊กอยู่ก็ทิ้งทัพพีไปไล่ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าร้าน

    “เจ้าตัวเหม็น ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ยืนอยู่หน้าร้านข้าเช่นนี้แล้วลูกค้าจะเข้าร้านได้อย่างไร” ยังไม่ทันที่จะผลักเจ้าคนตัวใหญ่สกปรกให้พ้นร้าน เจ้าของร้านโจ๊กก็ถูกมือใหญ่สกปรกผลักกระเด็นไปไกล เขาร้องโอดโอยลุกขึ้นมาไม่ได้อีกเลย

    “เถ้าแก่ ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า” เฟิงชิงถิงตกใจรีบตรวจร่างกายเจ้าของร้านโจ๊ก

    ดีที่อาการเจ้าของร้านโจ๊กเพียงแค่ช้ำในแต่ก็ช้ำเป็นวงกว้าง นางจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปตำหนิเจ้าบ้า “เหตุใดต้องทำร้ายเขารุนแรงเช่นนี้” 

    “กิน” 

    “มันทำร้ายข้า ข้าจะเรียกคนของทางการมาจับตัวมัน โอ๊ย!” แค่ขยับตัวร่างของเถ้าแก่ร้านโจ๊กก็ปวดระบมไปหมด

    “นี่เป็นยาแก้ช้ำในอย่างดี ท่านเอาไปทา ไม่นานก็หาย ส่วนเจ้าบ้าคนนี้ข้าจัดการเขาเอง” นางยื่นขวดกระเบื้องให้เถ้าแก่

    “แม่นางกับมันรู้จักกันหรือ”

    จะบอกว่ารู้จักก็ไม่ใช่ เห็นพ่อค้าแม่ค้าและคนเดินตลาดเริ่มเข้ามามุง นางก็รู้ว่าอยู่ได้อีกไม่นาน นางยัดขวดยาแก้ช้ำในให้เถ้าแก่แล้วรีบจากไป ไม่ต้องบอกเจ้าบ้าผู้นั้นก็เดินตามมาด้วย

    จนห่างจากร้านโจ๊กมาไกลแล้ว เห็นว่ามีร้านหมั่นโถวเพิ่งจะเปิดแผงขาย นางก็รีบตรงเข้าไปทันที

    “แม่นางต้องการหมั่นโถวหรือซาลาเปาร้อนๆ หรือไม่ขอรับ ซาลาเปาไส้เนื้อของเราเลื่องชื่อไปถึงแคว้นต้าหลวนเลยนะขอรับ” เถ้าแก่รีบเชิญชวน

    นางกำลังจะอ้าป้าสั่งก็เห็นมือสกปรกยื่นผ่านหน้านางไป มือนั้นคว้าซาลาเปาไส้เนื้อขึ้นมาหลายลูกยัดเข้าปากอย่างรวดเร็ว

    “นี่ๆ เจ้าจะมาหยิบอย่างนี้ได้อย่างไร เอาเงินมาก่อน” เถ้าแก่ร้านหมั่นโถวโวยวาย

    “เขามากับข้า ข้าจ่ายเงินเอง เอาหมั่นโถวและซาลาเปาไส้เนื้ออย่างละสิบลูกให้ข้าด้วย” เฟิงชิงถิงรีบบอกเพราะกลัวว่าเจ้าบ้าจะทำร้ายเถ้าแก่ร้านหมั่นโถวอีกคน

    “ได้ๆ ข้าจะจัดการเอาร้อนๆ ให้เดี๋ยวนี้” เห็นว่าขายดีตั้งแต่เปิดร้านเถ้าแก่ก็อารมณ์ดีขึ้น

    เฟิงชิงถิงแยกหมั่นโถวไว้ในสัมภาระของนางแค่สองลูก ส่วนที่เหลือนางห่อให้เจ้าบ้าจนหมด “เอาไปเสีย เราแยกกันตรงนี้ ไม่ต้องตามข้ามาอีก” 

    นางยัดห่อหมั่นโถวและซาลาเปาไว้กับอกกว้างของเขาแล้วก็รีบเดินจากมา เห็นเขาเอาแต่กินซาลาเปาไส้เนื้อโดยไม่ได้ตามนางมา ก็รีบเร่งฝีเท้าออกจากตลาดโดยไว

    ที่จริงจากที่นางเคยจับแขนของเจ้าบ้าตอนที่จะตกต้นไม้ ก็พอจะรู้ว่าชีพจรของเขาสับสน นางสันนิษฐานว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เป็นบ้า แต่อาจจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างทำให้กลายเป็นเช่นนี้ แต่นางยังตรวจร่างกายเขาไม่แน่ชัดจึงไม่รู้ว่าจะสามารถรักษาอาการได้หรือไม่ อีกทั้งการรักษาเช่นนี้ต้องใช้เวลาและไม่แน่ว่าจะเห็นผล ตัวนางเองก็ยังต้องหลบหนีจากทหารแคว้นเจิ้ง ดังนั้นนางควรจะต้องหลบหนีก่อน หากเขากับนางมีวาสนาเจอกันอีกครั้งในเวลาที่เหมาะ นางจะรักษาเขาอย่างแน่นอน

    เฟิงชิงถิงออกมาจากตลาดยามเช้าได้ไม่นานฟ้าก็เริ่มสาง แต่ขณะนั้นเองหญิงสาวก็เห็นว่ามีกลุ่มทหารควบม้ามาจากตลาดมุ่งทางนาง ยามนี้จะหาที่หลบก็ลำบากเพราะเป็นที่โล่งกว้างอีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาฉุกละหุก นางจึงรีบใช้หน้ากากมนุษย์ปิดบังใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้ แล้วแสร้งว่าเป็นนักเดินทางทั่วไป

    “ล้อมนางเอาไว้!” เสียงดังราวกับฟ้าผ่ามาพร้อมกับกลุ่มม้าที่ควบพุ่งมาอย่างรวดเร็ว อาชาตัวใหญ่ย่ำเท้ามารายล้อมทำเอาฝุ่นตลบไปทั่ว เหล่าทหารบนหลังม้าจ้องมองนางเป็นตาเดียว

    “ใต้เท้า พวกท่านต้องการสิ่งใด” หญิงสาวถามนายทหารที่แต่งกายต่างจากผู้อื่น คาดว่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม

    “ฟังจากสำเนียงของแม่นาง เจ้าคงไม่ใช่คนแคว้นเจิ้ง” นายทหารผู้นั้นมองสำรวจนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

    “ข้าเป็นคนแคว้นต้าหลวน เดินทางมาส่งญาติที่แคว้นเจิ้งและกำลังจะเดินทางกลับ” 

    “แม่นาง เจ้าใช่หญิงสาวที่มอบยาแก้ช้ำในให้เถ้าแก่ร้านโจ๊กใช่หรือไม่” 

    “เถ้าแก่ร้านโจ๊ก ข้าไม่รู้จัก” นางล้วงมือเข้าไปในห่อสัมภาระ คิดว่าหากหนีไม่พ้นคงต้องใช้ผงยาที่เตรียมเอาไว้

    “แต่ในรัศมีพื้นที่บริเวณนี้ มีแม่นางที่แต่งชุดคล้ายกับที่ลูกค้าร้านโจ๊กบอก อีกทั้งยังเป็นชุดสีเดียวกันด้วย”

    “จำคนผิดแล้ว พวกท่านโปรดหลีกไปเถิด ข้ายังต้องเดินทางอีกไกล” เฟิงชิงถิงพยายามเดินฝ่าม้าที่ขวางทางออกไป แต่กลับไม่ง่ายดังที่คิด

    “ขวางนางเอาไว้!” หัวหน้านายทหารสั่งก่อนจะพลิกตัวลงจากหลังม้า ตรงมายังนาง “แม่นาง เช่นนั้นข้าขอตรวจห่อสัมภาระของเจ้าได้หรือไม่” 

    หญิงสาวกอดห่อสัมภาระตนเองแน่น “พวกท่านมีสิทธิ์ใด”

    “สิทธิ์ที่พวกเราเป็นทหารแคว้นเจิ้งอย่างไรเล่า แม่นางโปรดให้ความร่วมมือด้วย” แม้วาจาจะสุภาพ แต่ท่าทางก้าวสามขุมเข้ามาหานั้นเต็มไปด้วยท่าทีข่มขู่

    “ถอยออกไป!” หญิงสาวบอกเสียงกร้าว

    “หากแม่นางไม่ให้ความร่วมมือ เห็นทีข้าต้องล่วงเกินแล้ว” ทหารผู้นั้นคิดจะกระชากห่อผ้าของนางไปตรวจดู แต่ขณะที่กำลังยืนมือไป กลับมีวัตถุก้อนเล็กๆ ปะทะมาที่หลังมือจนเขาต้องชักมือกลับแล้วใช้มืออีกข้างกุมไว้ด้วยความเจ็บปวด

    “คิดว่าคนต้าหลวนอ่อนแอจนสามารถรังแกได้อย่างนั้นหรือ ฝันไปเถิด” เสียงทุ้มพร้อมกับร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งที่พาร่างมาปรากฏตัวอยู่ในวงล้อมของเหล่าทหาร บุรุษผู้นั้นหันมาคลี่ยิ้มให้นาง “แม่นางไม่ต้องกลัวไป แม้จะอยู่ต่างแคว้นแต่เราชาวต้าหลวนก็ใช่ว่าจะถูกผู้อื่นรังแกกันได้ง่ายๆ” 

    เฟิงชิงถิงไม่รู้ว่าชายคนนี้คือใคร แต่จากชุดสีฟ้าอ่อนที่เขาสวมใส่ที่แขนเสื้อมีลายปักรูปเมฆาสีขาว หากจำไม่ผิดนี่เป็นชุดของคนสำนักเมฆาขาว ซึ่งเป็นสำนักฝ่ายธรรมะที่โด่งดังอันดับต้นๆ ในแคว้นต้าหลวน

    “เจ้าคือผู้ใด” ทหารหัวหน้ากลุ่มถามเสียงเข้ม

    “ข้าก็คือผู้ที่จะมาปกป้องไม่ให้แม่นางผู้นี้ถูกพวกเจ้ารังแกอย่างไรเล่า”

    “พวกข้าไม่ได้รังแกนาง เพียงแค่ต้องการจะค้นของในห่อผ้านางเท่านั้น” 

    “นางมีความผิดใด พวกท่านจึงต้องค้นข้าวของของนาง” 

    “นาง...” จะตอบอย่างไรดีเล่า เบื้องบนสั่งว่าการตามหาหมอเทวดาเป็นความลับที่บอกผู้ใดไม่ได้ “นางมีความผิดใดข้าไม่จำเป็นต้องตอบเจ้า หลีกไป” 

    “เห็นหรือไม่เจ้าตอบไม่ได้ รังแกกันเห็นๆ แถวนี้ก็เปลี่ยวร้างจากผู้คน เจ้าเป็นทหารนอกรีตใช่หรือไม่” 

    “ไม่ใช่!” ไม่คิดว่าจะถูกคนผ่านทางมาหาว่าพวกเขาเป็นทหารนอกนอกรีต

    “หากไม่ใช่ แล้วเหตุใดจึงทำตัวไม่ต่างกับกลุ่มโจร” 

    “นั่นมันเป็นเรื่องของพวกข้า หลีก หากไม่หลีกระวังจะเจ็บตัว” พวกเขาเป็นทหารชั้นผู้น้อยจึงไม่เก่งเรื่องการต่อความ แต่ถนัดเรื่องใช้กำลังแก้ปัญหา

    “หากไม่หลีกเล่า”

    “อยากเจ็บตัวก็ตามใจ” หัวหน้านายทหารบอก ขณะที่เขากระชับดาบในมือคิดจะจู่โจมชายหนุ่มที่โผล่เข้ามาขวาง อีกฝ่ายนั้นก็ถอยหลังไปอยู่เคียงข้างหญิงสาวก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้นายทหารผู้นั้น

    “ใครอยากจะสู้กับพวกเจ้ากัน ไปกันเถิดแม่นาง” เอ่ยจบเขาก็คว้าเอวของเฟิงชิงถิงสะกิดปลายเท้าเพียงครั้งเดียวร่างก็ทะยานขึ้นฟ้าห่างจากกลุ่มทหารเหล่านั้น ได้ยินเสียงตวาดตามมาว่า “ตามพวกนางไป!” 

    “ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ” เฟิงชิงถิงกล่าวกับชายหนุ่มแปลกหน้าหลังจากที่เขาพานางมาหนีมาไกลจากเหล่าทหารพวกนั้น

    “มิได้ แต่แม่นางเดินทางเพียงลำพังหรือ เป็นสตรีคนเดียวเดินทางต่างแคว้นอันตรายยิ่ง”

    “ข้าชินเสียแล้ว” นางไม่คิดจะเอ่ยกับเขาให้มากความ

    “โชคดีที่เมื่อครู่ข้าผ่านทางมาพอดี ไม่เช่นนั้นแม่นางอาจจะถูกทหารพวกนั้นทำอันตรายได้ ว่าแต่แม่นางจะไปที่ใด” 

    “ข้ากำลังเดินทางกลับแคว้นต้าหลวน”

    “เช่นนั้นหรือ ที่จริงข้าเองก็จะกลับแคว้นต้าหลวนเช่นกัน แต่เพราะยังตามหาคนผู้หนึ่งไม่เจอทำให้ข้าต้องรั้งอยู่ที่ชายแดนเจิ้งเพื่อสืบข่าวเรื่องของเขา เช่นนี้ดีหรือไม่ คนที่สำนักของข้าค้างอยู่ที่โรงเตี๊ยมในตลาดชายแดน หากแม่นางไม่รีบ เจ้าสามารถค้างแรมกับพวกเราคนสำนักเมฆาขาว หากพวกเราสืบเรื่องคนไม่เจอพวกเราก็จะเดินทางกลับ แม่นางสามารถร่วมทางไปกับเราได้” 

    เฟิงชิงถิงกำลังไตร่ตรองเรื่องต่าง ๆ 

    “แม่นางไม่ต้องเกรงใจ เราคนสำนักเมฆาขาวชอบยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นอยู่แล้ว ดีกว่าแม่นางเดินทางไกลเพียงคนเดียว” 

    หากนางเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่อาจจะปกปิดฐานะของตนเองได้ “เช่นนั้นรบกวนท่านด้วย”

    “ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเกรงใจ” ชายหนุ่มยิ้มเก้อคล้ายเขินอาย ก่อนจะนึกได้ “ข้ายังไม่ได้แนะนำตัว ข้านามว่าไป๋มู่ เป็นศิษย์สำนักเมฆาขาว ไม่ทราบว่าแม่นางมีนามว่าอะไร” 

    “ข้า เฟิง...” นางไม่ควรจะใช้นามจริง “เลี่ยงเฟิง” 

    “แม่นางเลี่ยง เช่นนั้นไปกันเถิด ข้าจะพาแม่นางไปยังโรมเตี๊ยมที่เราพักแรมก่อนที่พวกทหารพวกนั้นจะตามทัน” 

    เฟิงชิงถิงพยักหน้า

    “เช่นนั้นคงต้องล่วงเกินแม่นางอีกครั้งแล้ว” ไป๋มู่ยิ้มเอียงอายอีกครั้งก่อนจะโอบเอวบางของหญิงสาว ทะยานร่าง ไปยังโรงเตี๊ยมที่คนสำนักพวกเขาพักแรมอยู่

    แม้ระยะทางจะไกลจากตลาดยามเช้าที่เฟิงชิงถิงเพิ่งจะผ่านมา แต่เพราะชายหนุ่มใช้วิชาตัวเบาจึงทำให้การเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมชายแดนแห่งนั้นไม่นานเท่าการเดินทางด้วยเท้า

    “ศิษย์พี่” ไป๋มู่ทักทายบุรุษที่สวมชุดสำนักเมฆาขาวเหมือนเขาด้วยเสียงร่าเริง

    “ไป๋มู่ เจ้าไปที่ใดมา ผู้อื่นต่างแยกย้ายกันไปสืบหาสือซานเหลียงประมุขพรรคมารกันจนหมดแล้ว แต่เจ้ากลับเอาเวลาไปเที่ยวเล่นหรือไร” บุรุษที่ไป๋มู่เรียกว่าศิษย์พี่ตำหนิเขาอย่างโกรธเคือง

    “ศิษย์พี่ ท่านใจเย็นๆ ก่อน ข้าไม่ได้หนีไปเที่ยว ข้าคิดไปสืบเรื่องคนผู้นั้นที่ตลาดยามเช้าที่อยู่เลยชายแดนไป แต่ไม่คิดว่าจะเจอแม่นางเลี่ยงกำลังถูกทหารเจิ้งรังแก ข้าจึงช่วยเหลือนางออกมา”

    ศิษย์พี่ที่อยู่ในอารมณ์กรุ่นโกรธ เมื่อเห็นว่ามีสตรีอีกนางอยู่ในห้องรับรองชั้นพิเศษที่คนสำนักเมฆาขาวเข้าพัก สีหน้าเข้มงวดก็คลายลงหันไปทักทายหญิงสาวผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงสุภาพ

    “ทำเรื่องน่าอับอายให้แม่นางเห็นแล้ว ต้องขออภัย ๆ” 

    “แม่นางเลี่ยงอย่าถือสาศิษย์พี่ของข้าเลย เขาเป็นคนโมโหง่ายหายเร็ว เห็นหรือไม่ยามนี้เขาหายโกรธแล้ว” ไป๋มู่บอกอย่างร่าเริง

    “เจ้า!” ถูกศิษย์น้องนำเรื่องตนเองมาวิจารณ์ต่อหน้าผู้อื่น หยวนถังก็อดอับอายไม่ได้ 

    แต่ใครจะรู้ว่ายามนี้เฟิงชิงถิง ไม่ได้ฟังคนทั้งสองแม้แต่น้อย นางกำลังคิดถึงนามสือซานเหลียงที่เพิ่งผ่านหูไป “เมื่อครู่พวกท่านเอ่ยถึงผู้ใดหรือ”

    “ก็เอ่ยถึงศิษย์พี่ของข้าอย่างไรเล่า เขานามว่าหยวนถัง เป็นคนโมโหง่ายแต่หายเร็ว” ไป๋มู่ตอบ

    “ข้าหมายถึงพวกท่านกำลังสืบข่าวเรื่องของผู้ใดกัน”

    “อ้อ...เป็นประมุขพรรคมาร นามว่าสือซานเหลียง เจ้าสำนักของเราเกือบจับเขาได้แล้ว ไม่คิดว่าเขาจะกระโดดหน้าผาสูงหลายร้อยจั้งหนีการจับกุมของพวกเรา” หยวนถังตอบ

    “เขาทำสิ่งใดผิด” เฟิงชิงถิงถาม

    “แค่เป็นประมุขพรรคมารก็ไม่ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ”

    “แค่นั้นนะหรือ” นางถามด้วยเสียงที่กระด้างขึ้น

    “แม่นางอาจจะไม่เข้าใจเรื่องยุทธภพ แต่ข้าขอบอกว่าสือซานเหลียงผู้นี้เป็นภัยต่อยุทธภพ เขาคิดการใหญ่ถึงขั้นคิดจะใช้ฮ่องเต้แคว้นต้าหลวนของเราเป็นหุ่นเชิด”

    เฟิงชิงถิงไม่อยากอธิบายเรื่องที่นางรู้ สือซานเหลียงหาใช่คนที่คิดจะใช้ฮ่องเต้แคว้นต้าหลวนเป็นหุ่นเชิด แต่มันมีเรื่องมากกว่านั้นที่ไม่มีผู้ใดรู้ “พวกท่านช่างโลกแคบยิ่งนัก หากเขาคิดจะให้ฮ่องเต้เป็นหุ่นเชิด สิ่งแรกที่เขาจะทำคือทำลายล้างสำนักที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคของเขาไม่ดีกว่าหรือ”

    “แม่นาง แม่นางรู้เรื่องใดมาหรือไม่” ไป๋มู่ถามด้วยความแปลกใจ

    “ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระอีกอย่างต้องทำ ขออภัยที่ไม่สามารถอยู่รอพวกท่านออกเดินทางได้” 

    “แต่แม่นางเดินทางคนเดียว” ไป๋มู่ยังคงเป็นห่วงสวัสดิภาพของนาง

    “ท่านไม่ต้องกังวล เรื่องวันนี้หากมีโอกาสข้าจะตอบแทนท่านในวันหน้า ขอตัว” เอ่ยจบหญิงสาวก็ไม่รอสิ่งใด หมุนกายรีบออกจากโรงเตี๊ยมและเดินทางกลับไปยังตลาดยามเช้าที่นางเพิ่งจากมา

    เพราะเขาและนางแทบจะไม่เคยได้ได้สนทนากันเลย เจอกันก็ไม่กี่ครั้ง อีกทั้งทั้งสองก็แทบไม่ได้มองหน้ากัน เพราะไม่มีเหตุจำเป็น เหตุผลนี้จึงทำให้นางจำเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้นางจำได้แล้วว่าเจ้าบ้าที่นางว่าคุ้นตานั้นคือผู้ใด เขาคือสือซานเหลียง พี่ใหญ่ของหยุนซิงเย่ จากการคาดเดาของนาง เขาคงถูกทำร้ายจนลมปราณตีกลับ อีกทั้งยังกระโดดลงมาจากหน้าผาสูงชัน ไม่ตายก็ถือว่าเก่งมากแล้ว นางต้องกลับไปหาเขา นางปล่อยเขาไปไม่ได้ เพราะสือซานเหลียงคือพี่ชายร่วมสาบานของหยุนซิงเย่! 

    นางไม่ควรทิ้งเขามาเลย นางควรจะตรวจดูเขามากกว่านี้ หากนางแค่เปิดผมที่ปิดบังใบหน้าของเขาขึ้นนางก็จะเห็นว่าเขาเป็นใคร หากเขาเป็นอะไร นางคงรู้สึกผิดต่อพี่สาวไปจนตาย

    เฟิงชิงถิงก้าวเท้ายาวไวขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง ตรงกลับไปยังทางเดิมด้วยความกระวนกระวายใจ

    เพราะต้องหลบทหารแคว้นเจิ้ง ระหว่างทางเฟิงชิงถิงจึงต้องเปลี่ยนชุดและเปลี่ยนหน้ากากเพื่ออำพรางตัวตน แม้จะพักเพื่อกินอาหารและดื่มน้ำเพียงไม่นาน แต่สุดท้ายนางก็ไปถึงตลาดยามเช้าไม่ทันตะวันตกดิน

    ร่างบางหายใจหอบมองตลาดยามเช้าที่เห็นอยู่ไกลๆ ด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว แม้ตะวันจะตกดินแล้วนางก็ยังเดินกลับไปอย่างไม่ย่อท้อ แต่เพราะเหนื่อยมากเกินไป สุดท้ายจึงนั่งพักอยู่ข้างทางอย่างเหนื่อยอ่อน

    นางนั่งพักไปพร้อมกับมองไปยังจุดหมายที่ยามนี้เป็นเพียงเงาในความมืด นางไม่รู้ว่าหากไปถึงจะเจอเขาหรือไม่ แต่อย่างไรนางก็ต้องหาเขาให้เจอ 

    ขณะที่กำลังนั่งพักและคิดหาหนทางค้นหาสือซานเหลียงผู้นั้นอยู่ เฟิงชิงถิงก็ได้ยินเสียงคล้ายมีบางสิ่งบางอย่างขยับอยู่ไม่ไกลจากทางเดินที่นางพักอยู่ นางหันไปมองที่มาของเสียงก็เห็นว่ามีเงาตะคุ่มของบางสิ่งอยู่บริเวณนั้น ร่างนั้นสูงใหญ่อีกทั้งยังขยับเข้ามาใกล้นางเรื่อยๆ 

    ตอนแรกนางคิดว่าเป็นสัตว์ร้าย จึงล้วงเข้าไปในห่อสัมภาระคิดจะใช้ผงยาสลบ แต่เมื่อมองดีๆ จึงเห็นว่าเป็นร่างคน แล้วดวงตาคู่หวานก็เบิกกว้างเมื่อเห็นชัดว่าคนที่เดินเข้ามาหานางนั้นคือผู้ใด

    “สือซานเหลียง!”

    ร่างสูงใหญ่ก้าวขามาหยุดอยู่ตรงหน้านางพลางแบมือ “ซาลาเปาไส้เนื้อ”

    เฟิงชิงถิงทั้งอ่อนใจทั้งหายกังวล ไม่น่าเชื่อว่านางจะเจอเขาง่ายดายเช่นนี้ “ข้าไม่มีซาลาเปาไส้เนื้อ” 

    “หมั่นโถว” เอ่ยถึงหมั่นโถวทีไรเหตุใดต้องมองหน้าอกของนาง

    “ข้าบอกกี่ครั้งเหตุใดเจ้าไม่ฟัง ในนี้ไม่มีหมั่นโถว!” 

    นางบ่นเขาแต่แล้วก็ต้องแปลกใจ ยามนี้นางสวมหน้ากากแปลงโฉมอยู่เหตุใดเขาจึงจำนางได้ “เจ้าจำข้าได้?”

    “หมั่นโถว” เขาชี้มือมาที่หน้าอกที่หญิงสาวใช้สองแขนกอดปกป้องเอาไว้

    ไม่ใช่จำหมั่นโถวของนางได้หรอกนะ ไม่ใช่ ไม่ใช่…

    แต่ช่างเถิด ยามนี้เจอเขาก็ดีแล้ว 

    เฟิงชิงถิงก้าวช้าๆ ไปใกล้เขามากกว่าเดิม นางคิดจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาใช่คนที่นางคิดจริงหรือไม่ จึงตั้งใจจะเปิดผมที่ปิดบังใบหน้าเขาเอาไว้ แต่แค่เพียงยืนมือไปเท่านั้นร่างสูงใหญ่ก็แผ่ไอสังหารพร้อมกันเสียงคำรามอย่าข่มขู่ ทำเอาหญิงสาวต้องรีบหดมือกลับ 

    “ข้าไม่ได้คิดจะทำร้ายท่าน ข้าแค่ต้องการดูว่าท่านคือสือซานเหลียงจริงหรือไม่” 

    “ฮึ่ม” เสียงเขาคำรามในลำคอ พร้อมกับท่าทีระแวงมากขึ้น

    เฟิงชิงถิงใช้วิธีสุดท้าย นางหยิบหมั่นโถวที่เหลือครึ่งลูกออกมายื่นให้คนตรงหน้าช้าๆ อีกฝ่ายมองนางแค่ครู่แล้วก็รีบคว้าหมั่นโถวไปกินเช่นเดิม ขณะที่เขาอ้าปากนำหมั่นโถวเข้าปากนางก็บอกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่ได้ทำอะไรท่าน”

    ครั้งนี้นางยื่นมือไปแตะที่ใบหน้าเขาก่อน เขาคำรามจ้องนางไม่วางตาแต่คงเป็นเพราะอารมณ์ดีที่ได้กินหมั่นโถวจึงยอมให้นางแตะใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารุงรัง ไม่นานดวงตาคู่เข้มปนดุดันก็ไม่สนใจนาง นางจึงเลื่อนมือไปปัดผมที่บังใบหน้าเขาออก

    “เป็นท่านจริงๆ ด้วย” นางเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ

    หมั่นโถวเพียงแค่ครึ่งลูกหมดไปอย่างรวดเร็ว ท่าทีของสือซานเหลียงก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เขาถอยหลังจนพ้นมือบาง ทำให้ผมก้อนสกปรกปิดบังใบหน้าเขาอีกครั้ง

    นั่นแสดงว่าเขาติดตามนางเพราะเห็นว่านางสามารถมอบอาหารให้เขาได้ แต่เขายังคงไม่ไว้ใจนาง คนผู้นี้ช่างเดาความคิดได้ยากยิ่งนัก ยามที่เขาปกติยังคาดเดาง่ายกว่านี้

    “จำได้หรือไม่ ข้าคือเฟิงชิงถิง ข้ากับหยุนซิงเย่รักกันเหมือนพี่น้อง ส่วนท่านคือสือซานเหลียงพี่ร่วมสาบานของพี่สาวข้า” 

    คงเป็นเพราะยังไม่หิวมาก สือซานเหลียงจึงเพียงแค่นั่งลงบนพื้นด้วยท่าทางเหม่อลอย ดูท่าว่าเขาคงจะจำอะไรไม่ได้ หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะนั่งลงตามพยายามไม่สนใจกลิ่นเหม็นที่โชยมาจากตัวเขา ขยับเข้าไปใกล้ทีละคิดจะตรวจชีพจรให้เขา แต่เขากลับหลบมือของนาง

    “ข้าแค่ต้องการตรวจอาการของท่านเท่านั้น”

    เขาไม่สนใจนาง แต่ก็ไม่ยอมให้นางถูกเนื้อตัวเช่นกัน อีกทั้งยังส่งสายตาน่ากลัวมาให้ทำเอาเฟิงชิงถิงต้องล่าถอยออกมา “เราคงไม่ได้สนิทกันเพียงนั้น เช่นนั้นก็รอให้เราสนิทกันก่อนก็ได้” 

    หญิงสาวถอดใจในที่สุด ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรกับเขาดีแต่คืนนี้คงต้องพอเพียงแค่นี้ ในเมื่อเขาไม่ให้นางยุ่งด้วยนางก็จะไม่ยุ่ง หากยุ่งมากไปนางเองจะเป็นฝ่ายเจ็บตัวเอา ไม่คุ้มๆ 

    คิดดังนั้นเฟิงชิงถิงก็มองซ้ายขวาหาที่เหมาะๆ เพื่อพักแรม นางเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งกิ่งก้านใบหนา คงพอให้ปีนขึ้นไปได้จึงเดินตรงไป ไม่คาดว่าร่างที่นั่งเหม่อลอยอยู่นั้นจะลุกขึ้นแล้วเดินตามนางมา แต่เป็นเช่นนี้นางก็วางใจว่าวันรุ่งขึ้นเขาคงไม่หายไปไหน

    หญิงสาวปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ส่วนสือซานเหลียงก็แหงนหน้าขึ้นไปมองเจ้าของร่างบางก่อนจะนั่งปักหลักอยู่ที่โคนต้นไม้ นั่งนิ่งไม่ไหวติงคล้ายกับก้อนหินก้อนหนึ่ง นางนั่งมองอยู่นานไม่เห็นเขาขยับก็วางใจ คิดว่าพรุ่งนี้ค่อยลองหาทางตรวจชีพจรเขาอีกครั้ง

    เช้าวันต่อมา ไม่ต่างกับเช้าวันก่อนเท่าใดนัก เพราะนางถูกกลิ่นเหม็นกลิ่นเดิมปลุกขึ้นมาพร้อมกับเสียงแหบห้าว

    “หมั่นโถว”

    ดูว่าสิ่งที่ต้องจัดการเรื่องแรกคงเป็นเรื่องกลิ่นเหม็นสาบที่ตัวเขาเสียมากกว่า ยามนี้เรื่องหนึ่งที่นางพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง คือหากเขาหิวเขาจะเข้ามาหานางเอง แต่หากเขาไม่หิวก็แค่จะคอยตามแต่ไม่ได้ก่อกวนอะไร นั่นก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี

    เพราะเตรียมอาหารระหว่างเดินทางเพียงเล็กน้อย ยามนี้ก็หมดไปแล้วด้วย จะให้ไปซื้อที่ตลาดยามเช้าก็เกรงว่าจะมีทหารมาตรวจตราเพื่อจับตัวนาง ดังนั้นเฟิงชิงถิงจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปยังด่านชายแดนโดยไม่ใช้ทางหลัก

    ข้อดีของการไม่ใช่ทางหลักนั่นคือไม่ค่อยมีคนสัญจรผ่านไปมาอีกทั้งยังเงียบสงบ แต่การเดินทางในเช้าวันนี้ไม่เงียบสงบสักนิด

    “หมั่นโถว หมั่นโถว กินหมั่นโถว” 

    เสียงที่ตามหลังมาตลอดทางทำให้เส้นเลือดที่ขมับของหญิงสาวเต้นตุบๆ อีกทั้งนางยังรู้สึกเหมือนเสียงนั้นจะต่ำขึ้นเรื่อยๆ เจ้าบ้าหรือสือซานเหลียงกำลังกดดันนาง หากนางไม่มีของให้เขากิน เขาจะฆ่านางหรือไม่ เรื่องนี้นางไม่แน่ใจ 

    เดินทางจนดวงตะวันเกือบจะตรงศีรษะ เหงื่อที่หน้าผากของนางผุดซึมอยู่ทั่วใบหน้าและสันหลัง ไม่ใช่เพราะอากาศร้อนแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะด้านหลังของนางกำลังถูกสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอย่างดุร้าย พร้อมกับเสียงที่ดุดันขึ้นทวีคูณ

    “หมั่นโถว”

    นางหันกลับไปมองก็เห็นแววตาคู่นั้นมองนางอย่างดุดัน แล้วนางก็เห็นเขาก้มต่ำลงมาเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นมีประกายวาบ

    หญิงสาวหนาวสะท้านขึ้นมาในทันใดเมื่อรู้ว่าเขามองสิ่งใด จะเป็นสิ่งใดเล่าหากไม่ใช่หมั่นโถวของนาง

    “กินหมั่นโถว”

    เฟิงชิงถิงกอดอกตนเองด้วยความหวาดกลัว นางไม่เคยหวาดกลัวมากขนาดนี้มาก่อน ขาเริ่มก้าวไม่ออกในขณะที่ร่างสูงใหญ่ก้าวย่างเข้ามาหางนางด้วยท่าทางหิวกระหาย

    “ข้าไม่มีหมั่นโถวให้ท่านจริงๆ”

    สายตาที่มองมานั้นบอกว่าเขาไม่เชื่อนางและกำลังคิดจะกินหมั่นโถวของนาง

    “สือซานเหลียงท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้” ในที่สุดเฟิงชิงถิงก็ล้วงเข้าไปในห่อสัมภาระของตนเองอีกครั้งคลำของบางอย่างเอาไว้

    “หมั่นโถว!” เอ่ยจบร่างสูงใหญ่ก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วจนนางแทบจะมองไม่ทัน เห็นครั้งสุดท้ายว่ามือเขากำลังพุ่งมาที่ใดนางก็ซัดผงบางอย่างออกไป 

    ผงนั้นสาดใส่ใบหน้าดุดันเต็มไปด้วยหนวดเคราของสือซานเหลียงพอดี แต่ผลที่นางคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกลับไม่เกิด

    “เหตุใดท่านไม่สลบ” นี่เป็นผงสลบชนิดรุนแรงที่ท่านปู่ของนางสอนนางปรุงขึ้นมา ผงสลบนี้แม้แต่อาชาพันธุ์ดีเจอเข้าไปยังล้มอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่นางใช้ผงปริมาณที่ล้มอาชาถึงหกตัวลงได้แต่เขากลับ...

    “หมั่นโถว” เมื่อมือใหญ่อันสกปรกพบเป้าหมายก็ไม่รีรอ สอดเข้าไปในสาบเสื้อแล้วคว้าหมั่นโถวของหญิงสาว ขยับมือขยำอย่างแรงจนนางเจ็บจนน้ำตาเล็ด มือข้างนั้นคิดจะดึงหมั่นโถวออกไปจากร่างนาง แล้วมันจะดึงออกไปได้อย่างไรเล่า! อีกทั้งยังมีเอี๊ยมเป็นปราการอยู่อีกชั้นหนึ่ง นางพยายามปัดป้องด้วยความเจ็บและโมโหสุดขีดแต่ก็ไม่ได้ผล 

    เมื่อเห็นว่าไม่สามารถดึงหมั่นโถวจากร่างนางได้ เจ้าของมือใหญ่ก็เป็นฝ่ายก้มหน้าลงมาอ้าปากกว้างพร้อมกับกระชากเสื้อนางเปิดออก 

    “ไม่นะ ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้!” นางหวีดร้องสุดเสียงด้วยความอดสู ไม่คิดว่าจะมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่น 

    ขณะที่คิดว่าตนเองคงไม่มีหน้าไปเจอผู้ใดแล้ว เพราะถูกคนบ้าย่ำยีหน้าอกที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหมั่นโถว ร่างหนาที่สูงตระหง่านก็ทรุดร่างคุกเข่าอยู่ตรงหน้านางอย่างอ่อนแรง แต่มือนั้นก็ยังคงเกาะกุมสิ่งที่เขาคิดว่าหมั่นโถวเอาไว้ ดวงตาคู่ดุดันเปลี่ยนเป็นปรือปรอยก่อนจะปิดลงช้าๆ พร้อมกับร่างใหญ่อีกครึ่งตัวที่โน้มเข้ามาหานาง สุดท้ายก็พาให้นางหงายหลังและถูกครึ่งร่างช่วงบนของเขาทับเอาไว้จนไม่สามารถขยับตัวได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×