ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #10 : สกุลคิม [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.53K
      95
      28 เม.ย. 62

                               ตอนที่ 10 สกุลคิม






         ท่าเรือกวางเมียงถือเป็นแหล่งอันเจริญอีกที่หนึ่งของโชซอน เนื่องด้วยเป็นที่สัญจรไปมาระหว่างเมืองแล้ว พ่อค้าก็มักจะมาขายสินค้าบริเวณนี้อยู่ตลอด ของที่ขายนั้นไม่ได้มีเพียงแต่ข้าวปลาอาหาร แต่มีทุกอย่างที่จำเป็นรวมไปถึงของหายากจากเมืองจีนทั้งยา สัตว์หายาก เมล็ดพันธุ์เพาะปลูก อาภรณ์เนื้อดีตลอดจนตำราทุกแขนงวิชา เหล่าลูกหลานชนชั้นขุนนางและบัณฑิตหลายคนต้องถ่อมาที่นี่เพื่อมาซื้อตำราเหล่านี้สำหรับการสอบควากอ(1) ชนชั้นต่ำก็หาซื้อตำราแพทย์เพื่อจะสอบเข้าเป็นหมอในสำนักหมอหลวง หน่วยแพทย์ชุมชนจนถึงค่ายกักกัน

         ทุกๆ ปี ทุกเมืองในโชซอนต้องจัดการส่งของเป็นบรรณาการแก่ราชสำนัก ราษฎรก็จะสรรหาของดีที่สุดเพื่อส่งเข้าวังโดยผ่านท่าเรือกวางเมียงนี้ทั้งสิ้น ที่มีกฎเกณฑ์แบบนี้ก็เพราะพระราชาอยากทราบความเป็นอยู่ของประชาชน ถ้าปีนั้นของที่ส่งเข้ามาอุดมสมบูรณ์ก็จะสื่อถึงความเป็นอยู่ที่ดี ทว่าหากของที่ส่งเข้ามาด้อยคุณภาพหรือร่อยหรอไป แสดงว่าปีนั้นเกิดสภาวะย่ำแย่ ข้าวยากหมากแพงและโรคระบาด

         ท่าเรือแห่งนี้จึงเป็นศูนย์กลางผลประโยชน์หลายๆ อย่างทั้งสินค้าเงินตรารวมไปถึงอำนาจผูกขาดกับราชสำนัก แน่นอนว่าขุนนางบางพวกแอบชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ พ่อค้าทั้งรายใหญ่รายย่อยจึงต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลนี้ทั้งสิ้นซึ่งก็ล้วนแต่มาจากสกุลคิมนั่นเอง

         บ้านสกุลคิมเป็นเรือนหลังใหญ่โตที่สุดในละแวกกวางเมียง ทุกคนรู้กันดีว่าตระกูลนี้เป็นชนชั้นสูงสืบต่อกันมาหลายรุ่น ลูกหลานทุกคนจะถูกส่งเข้าวัง ฝั่งผู้ชายก็มีทั้งมูบัน(2) และมุนบัน(3) สูงสุดที่ตระกูลนี้ไต่เต้าได้ก็คือมหาเสนาบดี ส่วนผู้หญิงก็จะเข้าไปเป็นนางใน ยึดครองอำนาจของฝ่ายใน สูงสุดที่ตระกูลนี้ไต่เต้าได้ก็คือตำแหน่งซังกุงรับบัญชา

         บ้านสกุลคิมยามนี้มีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ภายในตัวบ้าน ลานหินกว้างปรากฏโต๊ะสำหรับให้คนในตระกูลนั่งรับประทานอาหารที่จะถูกนำยกมาตลอดจากบรรดาแม่ครัวที่ยืนทำอยู่ริมรั้วบ้าน ผ้าหลากสีผูกระโยงระยางราวกับมีพิธีแต่งงาน สตรีสี่ห้านางในชุดคลุมแขนเสื้อยาวกรุยกรายปักลายสวยงามบนศีรษะประดับคาเชสูงเด่น กำลังร่ายรำไปมาเป็นวงกลมตามจังหวะเสียงดนตรีดูเพลินตา เสียงพูดคุยของบรรดาแขกก็เอะอะดังเซ็งแซ่ประชันกัน

         สตรีหนึ่งปรากฏอยู่บริเวณหน้าบ้าน คลุมผ้าไว้มิดชิดทั้งกายเหลือเพียงเสี้ยวใบหน้า เมื่อก้าวเข้าประตูไม้มานางก็ปลดผ้าคลุมออกเผยให้เห็นคาเชแบบสตรีชาววังบนศีรษะ ชอโกรีสีชมพูสดสวย กระโปรงที่คาดตั้งแต่หน้าอกจนคลุมถึงปลายเท้าก็เป็นสีม่วงงดงาม แน่นอนว่าหากมิใช่ชนชั้นสูงจะไม่สามารถหาอาภรณ์เนื้อดีแบบนี้ได้เลย

         ทุกคนในบ้านรีบกุลีกุจอลุกขึ้นโค้งให้คำนับสตรีชุดสีฉูดฉาดกันทุกคน หลายคนเข้ามาทักทายถึงตัว ทว่านางก็ไม่สนใจผู้ใดก่อนจะรีบเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่มีป้ายไม้สลักไว้เด่นชัดด้านบนว่า "สกุลคิม"

         ภายในตัวเรือนมีขุนนางผู้ใหญ่หลายคนนั่งดื่มชากันอยู่ ทันทีที่ทุกคนเห็นสตรีผู้มาใหม่ ใต้เท้าวัยชราในชุดสีแดงสดก็รีบลุกขึ้นและออกมาหานางทันที

         "คิมซังกุง ในวังเรียบร้อยดีหรือ" ใต้เท้าคิมแทซุนผู้รั้งตำแหน่งมหาเสนาบดีและประมุขของตระกูลคิมกล่าวทักทาย

         "เรียบร้อยเจ้าค่ะท่านลุง แต่ท่านลุงคะ ท่านจัดงานเลี้ยงแบบนี้ไม่คิดว่าจะเป็นการหยามเกียรติสกุลซินรึเจ้าคะ บ้านนั้นเพิ่งมีพิธีศพฮวารยอนนะเจ้าคะ" คิมซังกุงพูดประชดก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่น "ดีมากเจ้าค่ะ ท่านแน่มากที่กล้าจัดงานนี้ต้านกับงานศพสกุลนั้น ป่านนี้ใต้เท้าซินคงโกรธจนอกแตกตายไปแล้วก็ได้ ท่านช่างร้ายจริงๆ"

         ใต้เท้าคิมหัวเราะร่า "การจัดงานเลี้ยงนี้มิใช่ความคิดเจ้ารึอย่างไรเล่า อีกอย่างศัตรูตัวฉกาจที่จะมาถอนรากถอนโคนตระกูลเราถูกเจ้าวางยาพิษจนตาย เรื่องนี้ไม่ฉลองไม่ได้ดอก" คิมซังกุงพยักหน้าพลางนึกถึงอดีตพระชายาฮวารยอน

         "หึ สกุลซิน กล้าดีอย่างไรส่งลูกสาวเป็นพระชายา สกุลเราลำบากแทบตายที่จะให้ใครสักคนเป็นเชื้อพระวงศ์ จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีใครทำได้ แต่สกุลซินกลับทำได้ ข้าไม่ยอมดอกเจ้าค่ะ"

         "ดีแล้ว เจ้าทำถูกแล้ว แต่ที่เราทำแบบนี้จะถูกครหาได้รึไม่ จัดงานฉลองช่วงที่อดีตพระชายาจากไป" 

         "จะครหาอันใดเจ้าคะ นางโดนปลดก่อนกลับมาตายที่บ้าน มิใช่พระชายาอีกแล้ว จะกลัวอันใด ถ้าท่านกังวลก็ส่งคนไปเคารพป้ายวิญญาณนางสักคนสองคน แต่ให้ใส่ชุดสีแดงไปนะเจ้าคะ" คิมซังกุงพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม สักพักนางก็หันไปมองรอบบ้านด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมลงก่อนจะพูดต่อว่า "ทว่าเรื่องที่ข้าวิตกกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ"

         "เรื่องอันใดรึ" ใต้เท้าคิมสงสัย

         "ฮวารยอนยังไม่ตายทันทีหลังจากโดนพิษ นางกลับไปรักษาตัวที่บ้าน ข้าได้ข่าวว่านางยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งมาตายตอนเช้ามืด" 

         "แล้วอย่างไรเล่า"

         "ใต้เท้า ท่านไม่แปลกใจรึเจ้าคะ ฮวารยอนรู้ดีว่าข้าเป็นคนวางยาในโจ๊กสมุนไพร พ่อนางแน่นอนว่าย่อมรู้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ถ้าเอาไปเปิดโปงข้าจะถึงที่ตายทันที แต่ทว่าพวกเขากลับนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหว ท่านไม่คิดว่ามันผิดปกติรึเจ้าคะ" คิมซังกุงกล่าว ใต้เท้าคิมคิดตามคำพูดหลานสาว

         "แผนข้ามีช่องโหว่หลายจุด แต่พวกเขากลับไม่ทำอะไร ปล่อยให้พระชายาตายลงอย่างน่าสมเพช ซึ่งถ้านางตาย พยานปากสำคัญที่จะมาเปิดโปงข้าก็หมดไป ข้าไม่เข้าใจว่าสกุลซินคิดจะทำอะไรกันแน่"

         "พวกเขาอาจกลัวอำนาจที่สกุลเรามีก็ได้" ใต้เท้าคิมสันนิษฐาน

         "ไม่ใช่แน่นอนเจ้าค่ะ อำนาจสกุลซินก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเรา แล้วคนอย่างใต้เท้าซินไม่มีทางกลัวใคร ข้าว่าพวกเขาต้องกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง เราจะประมาทไม่ได้นะเจ้าคะ"

         คิมแทซุนเอามือไพล่หลังพลางคิดใคร่ครวญ 

         "เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปสืบเอง ตอนนี้เจ้ารีบเข้าไปในบ้านเถิด หลายคนรอยินดีกับเจ้าอยู่ที่สามารถแอบแฝงตัวไปจัดการอดีตพระชายาได้... เออจริงสิ เจ้ารู้ข่าวเรื่องวังหลวงเปิดรับนางกำนัลรึไม่" ขุนนางชั้นเอกถามอย่างนึกขึ้นได้

         คิมซังกุงยิ้มเย็น

         "ทราบเจ้าค่ะ ที่ข้ามาที่บ้านวันนี้ก็เพื่อมาหาหลานสาวข้าด้วย"

         "หลานสาวเจ้า คิมเซจีน่ะหรือ" 

         คิมซังกุงพยักหน้า

         "ใช่เจ้าค่ะ ข้าจะให้นางเข้าวังเสียที"







                                  




         หลังจากคิมซังกุงกล่าวทักทายทุกคนในบ้านเรียบร้อย นางก็กลับเข้าห้องพักส่วนตัวอย่างอ่อนเพลีย บ่าวคนหนึ่งยกถาดกาน้ำชามาวางพร้อมถ้วย

         คิมซิลวาปรายสายตามองออกไปนอกประตูอย่างรำคาญใจ เหล่าบรรดาพี่น้องของนางวันๆ เอาแต่เที่ยวเล่น สำเริงสำราญกับทรัพย์สมบัติรวมถึงอำนาจที่บรรพบุรุษสร้างไว้แทนที่จะขวนขวายกอบโกยดิ้นรนให้ได้มากขึ้นกว่าเดิม ถ้าไม่นับญาติฝ่ายชายก็มีเพียงนางเท่านั้นที่พยายามผูกสายป่านของวงศ์ตระกูลให้เหนียวแน่นที่สุด

         แต่เส้นทางก็หาได้ราบเรียบเสมอไป สกุลซินที่ทรงอำนาจในวังมากพอๆ กับสกุลคิมเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ ทั้งสองตระกูลขับเคี่ยวกันมาอย่างยาวนาน ความชิงชังริษยาอาฆาตสืบต่อกันมา จากพ่อสู่ลูกชาย จากแม่สู่ลูกสาว จนกลายเป็นขั้วอำนาจสองขั้วในวังที่ยังไม่มีฝ่ายใดปราชัย อีกทั้งยังแก่งแย่งเพื่อเป็นคนโปรดของเชื้อพระวงศ์ หวังครอบครองอำนาจและลาภยศสรรเสริญ ทว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองตระกูลยังทำไม่ได้ นั่นคือส่งลูกหลานฝ่ายหญิงเข้าไปรับตำแหน่งเป็นพระชายา พระสนม และสูงที่สุด พระมเหสี

         และไม่นานมรสุมก็เข้ากระหน่ำสกุลคิม เพราะสกุลซินสามารถส่งลูกสาวเข้าไปรับตำแหน่งพระชายาของแทกุนได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ความปั่นป่วนเกิดขึ้นทันทีเพราะถ้าหากฮวารยอนพูบูอินสามารถไปได้ถึงตำแหน่งมเหสี นั่นคือจุดจบของสกุลคิม ในครานั้นคิมซิลวาที่แต่เดิมเป็นซังกุงรับบัญชาจึงได้แอบแฝงเข้าไปเป็นซังกุงคนสนิทที่ดูแลพระนางและจัดการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสีย ทำให้พระชายากระเด็นออกจากตำแหน่งและสิ้นชีพไปในที่สุด

         นางเป็นคนสกุลคิมทั้งตัวและหัวใจมาแต่กำเนิด ทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อเชิดหน้าชูตาครอบครัว เสียดายที่นางเป็นหญิง หนทางอำนาจในราชสำนักจึงมีไม่มากนักแต่นางก็พร้อมที่จะเสียสละ และในอดีตนั้นไม่มีใครจะงดงามไปกว่าซิลวาได้อีกแล้ว เหล่าผู้ใหญ่ในสกุลคิมเคยถึงกับผลักดันนางให้เข้าไปคัดเลือกเป็นพระ...

         "นายหญิง คุณหนูเซจีมาถึงแล้วขอรับ" บ่าวคนหนึ่งส่งเสียงรายงานจากหน้าห้อง ทำให้ความคิดของคิมซังกุงหยุดชะงักไปในทันที

         "รีบให้นางเข้ามาเร็วเข้า" ซิลวาสั่ง

         ประตูกรุกระดาษเลื่อนเปิดออก สตรีวัยสิบหกปีเดินเข้ามาในชุดชอโกรีสีฟ้า กระโปรงยาวสีชมพูอ่อนเป็นสีเดียวกับแทงกีที่ผูกปลายผมด้านหลัง ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักนั้นแม้จะไม่โดดเด่นไปทางด้านความงดงาม ทว่าน่าเอ็นดูอย่างเด็กสาวอ่อนเยาว์

         "ท่านป้า" คิมเซจีผู้มีศักดิ์เป็นหลานสาวคิมซิลวาเอ่ยขึ้น 

         "นั่งลงสิ" เจ้าของห้องกล่าว เซจีค่อยๆ นั่งลงกับพื้น 

         "ข้าไม่เจอเจ้าเกือบปี สบายดีหรือ" คิมซังกุงถามหลานสาว เซจีไม่ตอบแต่พยักหน้าเงียบๆ

         "เจ้ายังเต้นแร้งเต้นกาอะไรนั่นอยู่รึไม่" คิมซังกุงเอ่ยขึ้นอีก เซจีเงยหน้ามองทันที

         "ท่านป้า การแสดงเจ้าค่ะ ไม่ใช่เต้นรำแร้งกาอย่างที่ท่านว่า" หญิงสาวแก้ คิมซังกุงเบ้ปากและมองไปทางอื่น

         "ข้าไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน งานที่เจ้าทำนั่น ที่ข้ามาวันนี้เพื่อจะให้เจ้าเลิกเสีย"

         "เลิก? เลิกอะไรเจ้าคะ"

         "เลิกไปโรงศิลป์เพื่อทำเรื่องบ้าๆ นี่เสียที เลิกอาชีพนี้เสีย"

         เซจีหรี่ตามอง

         "เลิกสิ่งที่ข้าทำอยู่รึเจ้าคะ-- อ้อ ข้ารู้แล้ว ท่านกำลังจะให้ข้าเข้าวังเป็นนางกำนัลใช่รึไม่ ข่าวรับคนเข้าเป็นนางในก็มาถึงหูข้าเหมือนกัน แต่คำตอบยังคงเหมือนเดิมเจ้าค่ะท่านป้า นั่นคือไม่"

         "นี่ไม่ใช่คำขอ นี่เป็นคำสั่ง แล้วเจ้าก็เลิกเรียกข้าว่าท่านป้าเสียที ต่อจากนี้ให้เรียกข้าว่านายหญิง นั่นคือคำปกติที่นางกำนัลระดับต่ำกว่าพึงเรียกขานซังกุง" คิมซังกุงพูดพลางยกถ้วยชาดื่มอย่างไม่แยแสหลานสาว

         "ท่านเลิกสั่งให้ข้าทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เสียที ข้าไม่เข้าวัง ข้าชอบงานแสดง ข้าสนใจในศาสตร์นี้ มันเป็นสิ่งที่ข้ารัก" 

         คิมซังกุงหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน "สิ่งที่รักหรือ เฮอะ เต้นระบำให้คนดู เที่ยวตะลอนเป็นตัวประหลาดแสดงบนในโรงศิลป์ให้คนหัวเราะเยาะ นี่หรือสิ่งที่เจ้าภาคภูมิใจ เจ้าประสบความสำเร็จแล้วใช่รึไม่ เจ้าอยู่สกุลคิมชนชั้นขุนนาง ทำแบบนี้ไม่อายรึอย่างไร นี่มันเป็นวิถีอาชีพพวกชั้นต่ำชัดๆ"

         "ถึงจะไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรีแต่ก็--"

         "หุบปาก" คิมซังกุงขัดขึ้นเสียงเข้ม นางกระแทกกาน้ำชาลงบนโต๊ะตัวเตี้ยอย่างแรงจนเซจีสะดุ้งโหยง

         "นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเกียรติยศศักดิ์ศรี แต่เกี่ยวพันถึงครอบครัวและวงศ์ตระกูลเรา สกุลคิมส่งผู้หญิงเข้าวังทุกครั้งที่ราชสำนักเปิดรับ หลายคนเข้าไปตั้งแต่หกขวบ บางคนเข้าไปตอนโตแต่ต้องมีเส้นสายเพราะการเข้าวังตอนโตถือเป็นเรื่องผิดธรรมเนียมของฝ่ายใน ในอดีตข้าก็เคยผ่านมาแล้ว จนตอนนี้ได้เป็นซังกุงรับบัญชา ถึงทีเจ้าบ้างที่จะดำเนินรอยตาม"

         "อำนาจท่านก็ล้นแนเมียงบูอยู่แล้วนี่เจ้าคะ ใครจะกล้าต่อกรกับท่านได้" เซจีพูดประชด

         "เจ้านี่โง่นัก ถึงข้าเป็นซังกุง แต่บรรดานางในที่ยังไม่ขึ้นมาเป็นระดับซังกลับไม่มีคนของสกุลคิมอยู่เลย เมื่อตอนยังเด็กเจ้าไม่อยากเข้าวัง ตอนนั้นข้าอ่อนใจจะบังคับเจ้า แต่คราวนี้เจ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป มันคือหน้าที่ที่เจ้าต้องแบกรับในฐานะคนสกุลคิม"

         "แล้วคนอื่นเล่าเจ้าคะ"

         "เจ้าเป็นหลานทางตรงโดยสายเลือด จะมีใครเหมาะสมไปกว่าเจ้า เซจี เจ้าเข้าวังในฐานะคุณหนูลูกหลานสกุลคิมซึ่งเป็นชนชั้นสูง ใครได้ยินก็หัวหดแทบจะคำนับแล้ว เมื่อมีคนนับหน้าถือตาเราก็จะอยู่อย่างสุขสบายราบรื่นไปยาวนาน เจ้าจะกลัวอันใด"

         "แต่... แต่ข้าอยาก" เซจีก้มหน้าลง

         "เลิกฝันเฟื่องถึงงานการแสดงนั่นเสียทีเซจี มันช่วยให้เจ้ามีอำนาจในอนาคตรึ จะมีสิ่งใดหอมหวานไปกว่าลาภยศที่จะได้จากราชสำนัก ไปเต้นกินรำกินมีประโยชน์อะไร แก่ตัวไปก็หมดหนทาง ถึงตอนนั้นเจ้าจะประกอบอาชีพอะไรเลี้ยงชีวิต กีแซง(4)หรือ"

         "นายหญิง!" เซจีร้องออกมาด้วยความตกใจ

         "ฉะนั้นจงเข้าวังเสีย ผู้ใหญ่ในสกุลเราเห็นชอบและมีคำสั่งลงมาแล้ว เจ้าจำเป็นต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมของตระกูล เพื่อสืบทอดอำนาจไปรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป ไม่แน่ว่ารุ่นเจ้าอาจสามารถเอาชนะคนสกุลซินได้ซึ่งบรรพบุรุษของเราไม่มีใครเคยทำได้เลยในเวลากว่าครึ่งศตวรรษ ใต้เท้าคิมจะอุปถัมภ์ฝากฝังเจ้าเอง เมื่อเข้าวังข้าก็จะรับช่วงต่อดูแลเจ้าอีกที" ซิลวาอธิบายก่อนจะยกชาขึ้นจิบจนหมด ชั่วครู่นางก็วางถ้วยใบเล็กลงช้าๆ 

         "ข้าไม่รู้ว่าปีนี้สกุลซินจะให้ใครเข้าวังรึไม่ ทุกครั้งใต้เท้าซินจะส่งมาแต่คราวนี้ดูเงียบนัก ไม่รู้จะเล่นลูกไม้อะไรอีก"

         จู่ๆ เซจีก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนคิมซังกุงตกใจ นางเงยหน้ามองด้วยความสงสัย

         "ข้าไม่เข้าวังเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ใต้เงาของตระกูล มันไม่น่าภาคภูมิใจสักนิด" นางเอ่ยออกมา เสียงสั่นแต่เด็ดเดี่ยว คิมซังกุงมองหลานสาวตัวเองอย่างดูหมิ่น

         "เมื่อเจ้าได้ลิ้มรสอำนาจเจ้าก็จะภูมิใจเอง อย่าทำเหมือนมีหลักการแน่วแน่เป็นของตัวเองไปหน่อยเลยเซจี นี่คือชะตาของเจ้าตั้งแต่มาเกิดในตระกูลนี้แล้ว" 

         "ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้าคะนายหญิง แต่มันไม่ใช่ข้า ไม่ใช่นิสัยข้าจริงๆ" หญิงสาวหันเดินหนีไปที่ประตู เอื้อมมือหวังจะเลื่อนเปิดออก

         "แล้วองค์ชายยิมโฮเล่า" คิมซังกุงพูดขึ้นมา เซจีชะงักทันที มือซึ่งกำลังจะเปิดประตูแข็งค้าง นางหันกลับมามอง คราวนี้แววตาคิมซิลวาส่อประกายแห่งชัยชนะเด่นชัด

         "องค์ชายทำไมรึเจ้าคะ" นางเอ่ยถามช้าๆ พลางย่อตัวลงนั่งอีกครั้งราวต้องมนตร์สะกด คิ้วขมวดอย่างสงสัย

         "พระชายาฮวารยอนโดนปลด ซึ่งบัดนี้นางก็ตายไปแล้ว เจ้ามิรู้หรือ"

         "อะไรนะเจ้าคะ! ตายหรือ"

         "ใช่ ข้าเป็นคนกำจัดนางเอง" คิมซังกุงตอบ

         ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้อง ไม่นานคิมซังกุงก็ยื่นหน้ามากระซิบใกล้กับหลานสาว

         "เจ้าหลงรักองค์ชายตั้งแต่ยังเยาว์มิใช่หรือ ยามพระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรการเต้นรำ เจ้าก็เอาแต่เพ้อคลั่งถึงพระองค์ รักมากเสียจนล้มป่วยเมื่อรู้ว่าฮวารยอนได้เป็นพระชายา ตอนนี้เสี้ยนหนามหมดไปแล้ว ทางสะดวกแล้ว จะมีวิธีไหนดีไปกว่าการเข้าวังสั่งสมบารมีหาพรรคพวกสนับสนุนและไต่เต้าขึ้นเป็นพระชายาเล่า เซจี"

         คิมเซจีนั่งฟังด้วยความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปกันอย่างบอกไม่ถูก นั่นเป็นความจริง นางหลงรักองค์ชายมาก ความฝันที่อยากเคียงข้างแท่นบรรทมนั้นพังทลายเมื่อรู้ว่าสตรีในสกุลคู่อริได้ครอบครองตำแหน่งนี้ไป แต่เมื่อรู้ว่านางถูกกำจัดก็เหมือนกับมีแสงแห่งความหวังอันริบหรี่ถูกจุดสว่างขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความมืด

         คิมซังกุงยิ้มเย็น รู้ทันทีว่าสามารถพูดเอาชนะใจหลานสาวตนเองได้แล้ว นางลุกขึ้นยืนและเดินไปเปิดประตูออกก่อนจะพูดโดยไม่หันมามองว่า

         "คิดดูให้ดี เซจี"




    โปรดติดตามตอนต่อไป

         

         
    เชิงอรรถ


    (1) ควากอ หมายถึง การสอบเข้ารับราชการในโชซอน เทียบของจีนก็จะคล้ายคลึงกับระบบจอหงวน สอบควากอสามปีจะมีหนึ่งครั้ง แบ่งออกเป็นสามวิชาคือ มูกวา วิชาทางการทหาร, มุนกวา วิชาการด้านพลเรือน, จับกวา วิชาทั่วไป อัตราส่วนการรับนั้นน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้สมัคร ซึ่งคนที่มาสอบได้ต้องมาจากชนชั้นขุนนางเท่านั้น แต่บางสมัยก็มีสามัญชนมาสอบและผ่านเช่นกัน ทว่าปรากฏการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้ยากมาก

    (2) มูบัน หมายถึง ข้าราชการฝ่ายทหาร (บู๊)

    (3) มุนบัน หมายถึง ข้าราชการฝ่ายพลเรือน (บุ๋น)

    (4) กีแซง หมายถึง นางโลม, หญิงโสเภณี

         

         
         

         
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×