ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #100 : ศึกประชิด [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.12K
      58
      24 ก.ย. 62

    ตอนที่ 100 ศึกประชิด






         องค์ชายยิมโฮหันไปสบตากับมหาดเล็กคนสนิทอย่างรู้กัน โชคังอินพยักหน้านิดหนึ่งก่อนจะมาพูดกับซอฮยอนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

         "แม่นาง รีบมากับข้าเถิด"

         ซอฮยอนเกือบจะอ้าปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เมื่อเห็นสีหน้าอันหวาดหวั่นของคนสนิทองค์ชายก็ตัดสินใจหุบปากเงียบ นางรีบรุดเดินตามเขาออกไปอย่างรวดเร็วแต่ก็มิวายหันมามองบุรุษอีกคนที่ไม่ได้ตามขึ้นมาด้วย

         "ข้าจะขึ้นไปที่สูง" ลียิมโฮกล่าวกับหญิงสาวเมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของนาง "เจ้าไปกับโชคังอินก่อน หลังจากสังเกตการณ์บนภูเขาแล้วข้าจะตามไป"

         คนเรือสองคนทำท่าเลิ่กลั่กอยู่ชั่วครู่และตัดสินใจว่าจะขึ้นไปบนภูเขากับองค์ชายด้วย

         "พวกเจ้าจะไปกับข้าด้วยหรือ"

         "พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะได้เตือนคนเรืออื่นๆ อีกด้วย"

         ยิมโฮแทกุนพยักหน้า

         เสียงปังเหมือนใครตีไม้เป็นจังหวะดังรัวขึ้น มันดังเป็นระลอกจากใจกลางเกาะและไล่เรียงไปรอบเกาะเหมือนสัญญาณประหลาด เสียงนกและแมลงในป่าเงียบสนิทลงอย่างฉับพลัน สักพักเสียงตีเหล่านั้นก็หายไป ทั้งสี่คนยืนนิ่งเงียบในความมืดพลางเงี่ยหูฟัง ส่วนหัวใจของซอฮยอนเองตอนนี้นั้นเต้นตึกตักด้วยความหวาดหวั่น

         ทั้งสี่สะดุ้งโหยงเมื่อเสียงตีไม้ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งเกาะอีกครั้ง คราวนี้มันดังทุกจุดและเหมือนจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมมาก ซอฮยอนยกมือกุมอกอย่างตั้งตัวไม่ถูก องค์ชายหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดก่อนจะตะโกนสั่งการให้โชคังอินพาสตรีนางเดียวในกลุ่มให้ออกไปจากที่นี่ก่อน

         ซอฮยอนเองก็รู้หน้าที่ดี นางรีบทำตัวให้กระฉับกระเฉงและก้าวตามมหาดเล็กคนสนิทขององค์ชายออกไป แต่ยังไม่ทันได้ออกไปไกลก็บังเกิดอีกสิ่งหนึ่งตามมา

         โคมสีแดงถูกปล่อยอยู่เต็มท้องฟ้าตัดกับเมฆดำ ดวงไฟนั้นวับแวมชั่วครู่ก่อนจะดับและดิ่งลงเหมือนต้องน้ำค้างในยามดึก

         ทันทีที่โคมไฟสีแดงปรากฏเหนือท้องฟ้าก็บังเกิดเสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทั้งเกาะ ตามด้วยเสียงร้องไห้จ้าของลูกเล็กเด็กแดง ซอฮยอนตัวแข็งทื่อก้าวขาไม่ออก โชคังอินเองก็เหมือนจะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปกะทันหันเช่นเดียวกัน

         "นั่น... นั่นคืออะไรเจ้าคะ"

         โชคังอินเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างระแวดระวัง

         "ข้าไม่แน่ใจ..." เขาตอบเสียงแผ่วเบา "แต่ถ้าให้เดา มันคือสัญญาณเตือนภัย"

         "จากอะไรเจ้าคะ คลื่นยักษ์หรือ"

         "จากข้าศึก"

         "ข้าศึกอะไรกัน"

         "ก็มีแค่พวกเดียว"

         เมื่อทั้งคู่วิ่งพ้นออกมาจากราวป่าก็มาถึงเขตบ้านเรือนที่ทำจากดินเหนียวและมุงหลังคาด้วยฟางซึ่งปลายถูกผูกไว้ด้วยหินขนาดใหญ่สำหรับถ่วงน้ำหนัก มหาดเล็กหนุ่มวิ่งกระโจนข้ามกองหินเข้ามาทางคอกวัวของชาวบ้านโดยมีซอฮยอนตามมาติดๆ หญิงสาวเหลือบไปเห็นสตรีวัยกลางคนในชุดฮันบกกำลังหอบลูกจูงหลานของตนเข้าไปในบ้านอย่างหวาดกลัว  อีกด้านหนึ่งเป็นกลุ่มขอทานที่ไร้บ้าน พวกเขาไร้ที่จะไปจึงทำได้แต่นอนกอดกันกลางดินทราย เห็นแล้วรู้สึกเวทนาจับใจ

         เมื่อทั้งคู่วิ่งห้อมาถึงใจกลางเกาะก็พบว่าทุกบ้านเรือนจุดไฟสว่างอย่างเตรียมพร้อมในอะไรสักอย่าง ผู้ชายวัยฉกรรจ์ออกมารวมตัวพร้อมเครื่องมือทางการเกษตรจำพวกจอบเสียม บางคนดีหน่อยก็จะมีมีดและดาบติดมือมาด้วย เด็กหญิงคนหนึ่งพยายามไขว่คว้าเอวบิดาพลางร้องไห้จ้า ผู้เป็นมารดาจำต้องรั้งตัวบุตรสาวตัวเองไว้เพื่อให้สามีไปรวมตัวกับชายคนอื่นๆ

         ถนนกลางเกาะปรากฏทหารในชุดสีแดงวิ่งควบม้าสวนโชคังอินกับซอฮยอนไปเกือบ 50 นาย บางนายใส่ชุดเกราะเตรียมพร้อมรบแล้ว 

         "นี่มันเกิดกลียุคอะไรกันแน่เจ้าคะ" ซอฮยอนถามเสียงสั่น

         "ถึงจวนแล้วข้าจะบอก รีบตามมาก่อนเถิด"

         "แล้วองค์ชายจะปลอดภัยไหมเจ้าคะ"

         "ไม่ต้องห่วงพระองค์หรอก ข้าห่วงพวกข้าศึกที่เผชิญหน้ากับองค์ชายมากกว่า"

         หญิงสาวรู้ดีว่าโชคังอินแกล้งพูดติดตลกเพื่อให้นางผ่อนคลาย แต่สถานการณ์รอบตัวตอนนี้มันไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคำว่าข้าศึกนั้นทำให้ซอฮยอนรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

         มหาดเล็กจากวังหลวงวิ่งนำหญิงสาวไปตามถนนสักพักก็มาถึงจวนผู้ว่าที่อยู่ใจกลางเกาะวัว ซอฮยอนมองเข้าไปก็พบว่าประตูไม้หน้าจวนเปิดอ้ากว้างจนเห็นผู้คนข้างในวิ่งวุ่นกันอย่างอลหม่าน

         "ใต้เท้าลี ใต้เท้าลีอยู่รึไม่ขอรับ!" โชคังอินตะโกนถาม บ่าวชายคนหนึ่งที่วิ่งสวนทางมาหยุดชะงัก

         "ท่านมาหาผู้ว่าหรือ"

         "ใช่ ใต้เท้าอยู่ที่ไหนรึ"

         "อยู่เรือนใหญ่ขอรับ ตอนนี้กำลังแต่งตัวเพื่อออกไปชายฝั่ง"

         "แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นถึงวิ่งวุ่นกันเช่นนี้" โชคังอินถามพลางมองไปรอบตัว

         "ใต้เท้าสั่งให้คนงานช่วยกันขนอาวุธไปให้ทหารขอรับ ส่วนที่เหลือก็ไปเตรียมม้าทั้งหมดให้พร้อมใช้งาน" บ่าวชายตอบ

         "ข้าศึกเป็นพวกไหนกัน เจ้าพอจะรู้รึไม่" มหาดเล็กหนุ่มถามต่อทว่าคราวนี้ลดเสียงเบาลง

         "คาดว่าสลัดญี่ปุ่นขอรับ"

         ซอฮยอนที่ยืนอยู่ไม่ห่างหันมามองอย่างรวดเร็ว

         "ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ!"

         "น่าจะเป็นสลัดญี่ปุ่น เห็นพวกทหารมันคุยกัน" บ่าวแห่งจวนผู้ว่าบอกอีกรอบ

         หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปาก

         "มีอะไรหรือซอฮยอน" โชคังอินถามอย่างสงสัย

         "เมื่อเช้า... เมื่อเช้าเชวซังกุงให้ข้าส่งจดหมายเกี่ยวกับ--"

         "โชคังอิน!" เสียงร้องเรียกดังลั่นจนทั้งคู่หันไปมอง ชายวัยสามสิบปลายๆ ในชุดขุนนางสีน้ำเงินท่าทางองอาจ ใบหน้าเหลี่ยมดวงตาดุเดินลงมาจากบันไดหินอย่ารวดเร็ว "ข้าได้ยินว่าเจ้าเพิ่งมาถึงไม่กี่ชั่วยาม นี่มันอะไรกัน"

         มหาดเล็กหนุ่มกับซอฮยอนก้มศีรษะคำนับ

         "ขอรับใต้เท้าลี ข้ามาถึงเกาะวัวก่อนองค์ชายไม่นาน"

         "องค์ชายรึ!" ผู้ว่าการเกาะวัวตาเหลือก "หมายความว่าอย่างไร นี่องค์ชายยิมโฮก็เสด็จด้วยหรือ"

         "ขอรับ แต่เราเพิ่งเห็นว่าเกาะวัวคล้ายจะกำลังประสบปัญหาอยู่ตอนนี้"

         "เจ้าบ้าไปแล้วหรือ" ใต้เท้าลีตะเบ็งเสียงดังลั่น "ทัพสลัดญี่ปุ่นที่จะเข้าขยี้เกาะวัวในคราวนี้ยกพลเรือมามากที่สุดในรอบ 50 ปี แน่นอนว่ากะจะยึดเกาะนี้ และข่าวนี้กระจายไปถึงเมืองหลวงแล้วมิใช่หรือ เหตุใดถึงยังพาองค์ชายเสด็จมา"

         มหาดเล็กโชคังอินตะลึงงัน

         "ใต้เท้าบอกว่าบุก... บุกหนักที่สุดในรอบห้าสิบปีหรือขอรับ" 

         "ใช่" ใต้เท้ากล่าวเสียงดังพลางมองขอบฟ้าอย่างร้อนใจ "ชาวบ้านหลายคนก็อพยพไปกันหลายครัวเรือนแล้วเพราะเกาะวัวต้านทัพเรือนิจิฮงในคราวนี้ไม่อยู่แน่นอน เหมือนเกาะจะเริ่มปิดน่านน้ำไม่ให้คนเข้าออกแล้วด้วย"

         "แต่ทำไมถึง--"

         "ข้าถึงได้ไม่เข้าใจว่าเจ้าเสียสติอะไรถึงพาองค์ชายเสด็จมาในที่อันตรายแบบนี้"

         "ความจริงคือองค์รัชทายาทประทานที่ดินบนเกาะนี้ให้องค์ชายขอรับ องค์ชายจึงถือโอกาสนี้มาพักผ่อน"

         "เจ้าพูดบ้าอะไร"

         "ใต้เท้า ข้าไม่เข้าใจ"

         "เกาะวัวไม่เคยมีที่ดินขององค์รัชทายาทมาก่อน แล้วพระองค์จะประทานให้องค์ชายยิมโฮได้อย่างไร"

         โชคังอินตกตะลึง

         "แต่สาส์นที่รัชทายาทส่งมาเขียนเอาไว้จริงๆ นะขอรับ"

         "ข้าว่าเจ้าน่าจะสับสน องค์รัชทายาทลีซองแจมีที่ดินบนเกาะเชจูโดต่างหาก ไม่ใช่เกาะวัว"

         ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาที่โชคังอิน เขายืนนิ่งไม่ไหวติงด้วยความตกใจสุดขีด

         "แต่สาส์นนั่น... มาจากองค์รัชทายาท ทำไมถึง--" โชคังอินหยุดพูดก่อนจะเบิกตาค้างและกล่าวออกมาด้วยเสียงกระซิบ "เซจาพิน"

         "พวกเจ้ารีบจัดการเรื่องของตัวเองเสีย ข้าจะไปที่ชายฝั่งก่อน" ใต้เท้าลีกล่าวจบก็เดินสวนทั้งคู่ออกไปอย่างเร่งร้อน

         "ฮยอนจองเซจาพินจงใจปลอมเนื้อความในสาส์นเพื่อหลอกให้องค์ชายเสด็จมาที่นี่แทนที่จะเป็นเกาะเชจูโดใช่ไหมเจ้าคะ" ซอฮยอนรีบถามมหาดเล็กหนุ่มทันที

         "ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้น"

         "เพราะเมื่อเช้านอกจากจดหมายอวยพรของพระสนมแล้ว เชวซังกุงยังสั่งข้าให้ส่งจดหมายไปถึงเจ้ากรมทหารเรื่องโจรสลัดญี่ปุ่นเจ้าค่ะ ซึ่งตอนนั้นข้าไม่รู้ว่ามันหมายถึงเกาะวัว"

         "อะ... อะไรนะ"

         "ข่าวนี้คงแพร่ไปถึงหูคนในวังไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คงจะเป็นเซจาพิน พระนางต้องการกำจัดองค์ชาย ซึ่งถ้าข้ารู้เนื้อความในจดหมายที่ส่งให้เจ้ากรมทหารก่อนหน้านี้คงทูลทัดทานองค์ชายไม่ให้มาที่เกาะนี้ไปแล้วเจ้าค่ะ" ซอฮยอนกล่าวอย่างกังวล

         "ตอนนี้เราคงหนีออกไปจากเกาะไม่ทันแล้ว ข้า... ข้าพาองค์ชายมาตายแท้ๆ" โชคังอินทรุดลงกับพื้น

        




    [ต่อจาก 50%]





         ซอฮยอนเอื้อมมือไปแตะไหล่มหาดเล็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา เขาคงทุกข์ใจมากด้วยเพราะเป็นทั้งสหายสนิทและผู้ปกป้องคุ้มครององค์ชายยิมโฮมาโดยตลอด แต่คราวนี้กลับถูกกลลวงหลอกล่อของคนร้ายกาจชักจูงให้มาประสบอันตรายที่หนักหนาเกินกว่าจะหลีกหนี 

         "ใต้เท้า" ซอฮยอนกล่าวเบาๆ "อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ นี่ไม่ใช่ความผิดท่านนะเจ้าคะ"

         "ความผิดข้าสิ ข้าเป็นมหาดเล็กแท้ๆ กลับไม่รู้เรื่องโจรสลัดญี่ปุ่นบุกเกาะวัว ข้าบกพร่องต่อหน้าที่นัก"

         "ข่าวนี้มาถึงวังไม่นานนะเจ้าคะ ไม่แปลกเลยที่ท่านจะรู้ล่าช้า องค์ชายเองก็เหมือนกัน"

         "ข้าน่าจะเฉลียวใจสักนิด ข้าไม่น่าชวนพระองค์มาที่นี่เลย" โชคังอินหลับตาด้วย "เจ้าก็ด้วย ข้าเป็นต้นเหตุพาเจ้ามาที่นี่ด้วย"

         "นี่ไม่ใช่เวลามาตำหนิตัวเองนะเจ้าคะ" ซอฮยอนหันไปมองรอบด้าน "เลิกโทษตัวเองแล้วคิดต่อไปเถิดเจ้าค่ะว่าจะเอาอย่างไรต่อไป"

         "จะให้คิดอะไรอีกเล่า เกาะนี้กำลังจะถูกยึดอยู่แล้ว"

         "นี่ท่านเป็นทหารรึเปล่า"

         "เจ้าเป็นผู้หญิง จะมารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสงคราม"

         "ข้ายอมรับเจ้าค่ะว่าข้าไม่รู้ แต่ท่านจะนั่งหมดอาลัยตายอยากตรงนี้และปล่อยให้ชาวบ้านถือจอบไปสู้กับพวกนิจิฮงหรือเจ้าคะ แล้วพวกเขาก็ไม่ใช่ทหารหาญด้วยซ้ำ"

         "เจ้าจะให้ข้าไปสู้กับสงครามที่ไม่มีทางเอาชนะได้หรือ"

         "กุยแกยังกำราบทัพอ้วนเสี้ยวที่มีกำลังพลเป็นล้านได้เลยนะเจ้าคะ"

         "เจ้าอย่าเอาสามก๊กมาพูดกับข้า" โชคังอินร้อง

         "ท่านทำตัวเหมือนคนขี้ขลาด ขนาดองค์ชายยิมโฮยังไม่ละทิ้งประชาชนของพระองค์เลย"

         "ซอฮยอน!"

         "หรือท่านจะให้ข้าจับดาบไปแทนท่านเจ้าคะ"

         "พอได้แล้ว!" มหาดเล็กหนุ่มร้องตะโกนก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง หญิงสาวยิ้มออกมา

         "ต้องให้ข้าพูดจาแรงๆ ใส่ก่อนสินะเจ้าคะถึงจะคิดได้"

         "เงียบได้แล้ว" โชคังอินพูดเสียงเข้มก่อนจะตรวจตราเครื่องแต่งกายของตัวเอง "เจ้าจงไปอยู่ในจวนท่านผู้ว่า ห้ามออกมาเด็ดขาด เข้าใจรึเปล่า"

         "เจ้าค่ะ"

         "ทำไมคราวนี้ถึงว่าง่าย ข้านึกว่าจะดันทุรังไปด้วยเสียอีก"

         "เวลาแบบนี้ข้าไม่อยากทำตัวเป็นภาระเจ้าค่ะ ใต้เท้ารีบไปเถิด"

         โชคังอินพยักหน้าก่อนจะเดินไปยังคอกม้าที่เหล่าบ่าวในจวนกำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่ ชายหนุ่มกระโดดขึ้นม้าตัวหนึ่งด้วยความคล่องแคล่วก่อนจะควบออกไปจากประตูจวนพร้อมทหารนายอื่นๆ อย่างรวดเร็ว

         ซอฮยอนเดินขึ้นบันไดหินเข้ามาในเรือนใหญ่ของจวนก็พบฮูหยินและอนุภรรยารวมถึงสาวใช้มากมายอยู่ข้างใน ทีแรกนางนึกภาพว่าจะพบสตรีในอาภรณ์หรูหรานั่งตัวสั่นกอดกันกลมอย่างหวาดหวั่นสงครามไม่ก็พนมมือไหว้ฟ้าดินร้องขอชีวิต แต่สิ่งที่เห็นตอนนี้กลับผิดคาดมากนัก

         ผู้หญิงทุกคนอยู่ในชุดทะมัดทะแมงกันทั้งสิ้นแม้แต่สาวใช้ เสื้อผ้าและกระโปรงนั้นไม่ยาวกรุยกรายแบบชอโกรีหรือทังอีทว่าดูคล้ายฮันบกของบุรุษเสียมากกว่า เส้นผมของทุกนางถูกรวบและเกล้ามวยไว้เหนือศีรษะเพื่อไม่ให้เกะกะบริเวณใบหน้า ดาบ มีดสั้นรวมถึงคันธนูถูกจัดวางเรียงไว้บนโต๊ะอย่างพร้อมสรรพ

         "นี่มันอะไรกันเนี่ย" ซอฮยอนเผลอร้องออกมา

         สตรีทุกนางหันมามองผู้มาใหม่เป็นตาเดียว บางคนที่กำลังเช็ดใบดาบอยู่ถึงกับหยุดการกระทำนั้นทันที

         "เจ้าเป็นใคร" สตรีร่างท้วมอายุประมาณ 30 ปีคนหนึ่งถามขึ้นพลางวางลูกธนูลงบนโต๊ะ

         "ข้าชื่อซอฮยอนเจ้าค่ะ เป็นนางในจากในวัง"

         "มาจากวังหลวงรึนี่"

         "เจ้าค่ะ ส่วนท่านคือ..."

         "ข้าลีฮวาจี ฮูหยินใหญ่แห่งจวนนี้ ส่วนสองคนที่นั่งเช็ดใบดาบอยู่เป็นอนุภรรยา นอกนั้นเป็นสาวใช้"

         ซอฮยอนพยักหน้าก่อนจะมองไปรอบตัว

         "ว่าแต่เจ้าเถิด" ฮูหยินลีสังเกตนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า "เป็นนางในในวังหลวงแต่ทำไมถึงมาอยู่ที่เกาะวัวนี้เล่า"

         "ข้ามากับองค์ชายยิมโฮเจ้าค่ะ"

         "อะไรนะ! ยิม... ยิมโฮแทกุนเสด็จหรือ ในยามศึกสงครามเช่นนี้อย่างนั้นหรือ" ฮูหยินลีร้องเสียงดัง

         "พระองค์อาจจะมาช่วยเราทำศึกก็ได้นะเจ้าคะนายหญิง" บ่าวสาวคนหนึ่งพูดขึ้น

         "จริงสิ พระองค์นำทัพเรือกับกำลังทหารมาช่วยเราด้วยใช่รึไม่" ภริยาท่านผู้ว่าถามซอฮยอนอย่างมีความหวัง

         "เอ่อคือ... พระองค์ไม่ได้มีอะไรมาเลยเจ้าค่ะ"

         "เจ้าหมายความว่าอย่างไร"

         "เกิดเรื่องในวังบางอย่างเจ้าค่ะ ความจริงองค์ชายต้องเสด็จไปเกาะเชจูโด แต่เพราะมีคนบางคนแกล้งปลอมเนื้อความในสาส์น องค์ชายจึงเสด็จมาที่นี่แทน"

         ฮูหยินลีชะงักไปเพราะงุนงงในสิ่งที่ได้ยิน

         "ที่เจ้าจะบอกคือ องค์ชายมาเพียงลำพังอย่างนั้นรึ"

         "เจ้าค่ะ"

         ลีฮวาจีแทบจะทรุดนั่งลงกับพื้น

         "ฮูหยิน!" ซอฮยอนถลาเข้าไปประคอง "ทำไมเจ้าคะ ศึกครั้งนี้หนักหนามากเลยหรือ"

         "เจ้าดูรอบตัวสิ" นางว่า "ขนาดสตรีอย่างเรายังต้องเตรียมพร้อมเลย ความจริงเกาะวัวถูกพวกนิจิฮงหวังตีเป็นเขตของตนมาหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จสักครั้ง"

         "เช่นนั้นท่านก็อย่าได้กังวล ครั้งนี้พวกนิจิฮงก็คงไม่มีทางตีได้อีกนั่นแหละเจ้าค่ะ" ซอฮยอนให้ความหวัง

         "เจ้าไม่รู้อะไร" ฮูหยินลีส่ายหน้า "ทัพที่เข้าตีเกาะวัวคราวนี้เป็นทัพหลวงจากไดเมียวคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง บุกหนักที่สุดในรอบ 50 ปี ท่านเจ้ากรมรู้ว่าครั้งนี้เกาะวัวต้านทานไม่ได้แน่ๆ จึงอพยพคนและกำลังทหารทั้งหมดไปไว้ที่เกาะเชจูโดแทน แม้แต่ทหารจากเมืองหลวงก็จะมาถึงแค่เกาะเชจูโด ไม่มาที่นี่"

         "อะไรนะเจ้าคะ!"

         "ตลอดทางที่เจ้าเห็นทหารรวมถึงชาวบ้านก่อนจะมาถึงจวน พวกนั้นคือคนที่เสียสละอยู่สู้เพื่อถ่วงเวลาต่างหาก"

         ซอฮยอนอ้าปากค้าง

         "แล้ว... แล้วพวกท่าน"

         "ใช่ พวกข้าก็ปฏิเสธการอพยพ พวกข้าจะอยู่สู้ ข้าไม่มีวันทิ้งสามีตัวเองแน่นอน"

         หญิงสาวหันมองรอบตัวไปยังสตรีคนอื่นๆ แม้ว่าจะมีกลิ่นอายความหวาดกลัวลอยอบอวลอยู่ในอากาศ แต่แววตาและสีหน้าของทุกคนนั้นเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก

         "ฉะนั้นสาวน้อยเอ๋ย" ภริยาท่านผู้ว่าพูดต่อ "เจ้าและองค์ชายกำลังตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงเพราะป่านนี้เส้นทางอพยพถูกปิดถาวรไปแล้ว ทางการทิ้งเกาะนี้เรียบร้อยเพราะใช้เกาะเชจูโดเป็นหน้าด่านแทน ข้าไม่รู้นะว่าใครปลอมสาส์นอะไรนั่น แต่คนนั้นคงเกลียดองค์ชายมากโขทีเดียวถึงหลอกให้พระองค์มาตายที่นี่"

         ซอฮยอนรู้สึกว่าใจนั้นหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ภัยที่กำลังเจอนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่แล้วนางกำลังกังวลกับเรื่องที่ถูกใส่ร้ายในข้อหาจดหมายสาปแช่งพระสนม แต่ตอนนี้อันตรายที่หนักหนากว่ามากกำลังมาเยือน... อาจจะร้ายแรงถึงชีวิตจนนางไม่สามารถกลับวังหลวงได้อีกครั้ง

         หญิงสาวรู้สึกห่วงองค์ชายและมหาดเล็กโชคังอินขึ้นมาจับใจ นางเองก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับสงครามจนกระทั่งศิลปะการป้องกันตัวรวมถึงการใช้อาวุธใดๆ แม้สักนิด... หรือครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ซอฮยอนไม่อาจใช้ความสามารถตนเองแก้ไขปัญหาได้

         "องค์ชายเสด็จกลับมาแล้ว!" บ่าวชายคนหนึ่งร้องตะโกนออกมาจากหน้าจวนจนทุกคนในห้องสะดุ้งโหยง ฮูหยินลีขยับตัวทันที

         "ใครก็ได้เตรียมกองฟางมาให้ด้วย เขาเสียเลือดมากทีเดียว"

         "องค์ชาย!" ซอฮยอนอุทานออกมา




    โปรดติดตามตอนต่อไป



    -แจ้งนักอ่านทุกท่าน ตอนนี้กลรักวังหลวงเล่ม 3 ได้วางขายในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ทาง meb e-book แล้วนะครับ โดยเริ่มจากตอนที่ 66 ถึงตอนที่ 94 (ไม่รวมตอนพิเศษและแจ้งข่าว) ใครสนใจซื้ออ่านหรือเก็บไว้เป็นเล่มสามารถกดเข้าได้ที่ลิงก์นี้เลยครับ (*กดเข้าจากลิงก์นี้เท่านั้นนะฮะ)

    กดเลยฮะ 
    >> https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjczNDI4NiI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEwNDQwMCI7fQ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×