ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #3 : เล่ห์เหลี่ยมซังกุง [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.5K
      127
      28 เม.ย. 62

    ตอนที่ 3 เล่ห์เหลี่ยมซังกุง





         องค์ชายยืนเอามือไพล่หลังอยู่ริมหน้าต่างในพระตำหนัก สายตาเย็นชาที่เป็นเอกลักษณ์ประจำพระองค์เหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ความรู้สึกยามนี้เหมือนมีพิษร้ายกัดกร่อนภายในอกช้าๆ สิ่งที่เขาคิดและตัดสินใจไปนั้นจะรุนแรงสำหรับสตรีคนหนึ่งหรือไม่หนอ นางผู้โดดเดี่ยวเงียบเหงา แม้มิใช่คนที่สนิทเสน่หาแม้เพียงนิด แต่ความเปล่าเปลี่ยวที่นางได้รับก็ทำให้พระองค์ทรงเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาบ้างในห้วงพระทัย เหล่าข้าราชบริพารมักซุบซิบนินทาลับหลังกันว่าพระชายาฮวารยอนคนนี้เป็นที่ชิงชังสำหรับยิมโฮแทกุน ทว่าความจริงสิ่งที่เขามีให้หาได้ใช่ความรังเกียจ แต่เป็นความไม่ปลาบปลื้มในคู่ชีวี

         พระมเหสีคือหน้าที่ พระสนมเอกคือหัวใจ เป็นสิ่งที่รู้กันว่าเป็นความจริงสำหรับพระราชาทุกองค์ แต่เขายังมิใช่ราชา องค์รัชทายาทก็ยังมิใช่ เป็นเพียงองค์ชาย เหตุใดต้องถูกจับคู่อำนาจทางการเมืองให้แต่งงานกับลูกของขุนนางชั้นสูงที่เขาไม่ได้รักด้วยเล่า เขาจะไม่มีสิทธิ์สามารถเลือกได้ด้วยตนเองเทียวหรือ ความโกรธและความเบื่อหน่ายธรรมเนียมวังหลวงทำให้เขาพาลห่างเหินและเย็นชาพระชายาผู้น่าสงสารไปโดยปริยาย ทุกครั้งที่เจอกันแววเนตรอาวรณ์ซึ่งดูราวกับจะเปี่ยมไปด้วยน้ำตามักพยายามสบลึกมายังเขา เหมือนจะสื่อถึงความรักความจงรักภักดีที่นางมีให้ ทว่าพระองค์ก็ยังทรงเมินเฉยมาตลอด แต่ตะกอนลึกก้นบึ้งพระทัยนั้นกลับเต็มแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด

         บทสนทนาที่พระองค์ทรงคุยกับมหาดเล็กคู่พระทัยในห้องทรงพระอักษรเมื่อยามเช้ายังคงดังก้องไปมาในหัว สองจิตสองใจว่าสิ่งที่รับสั่งออกไปนั้นเห็นควรแล้วหรือ เหมาะสมแล้วหรือ


         
         "เป็นเรื่องจริงหรือ" ยิมโฮแทกุนตรัสถาม

         "พ่ะย่ะค่ะ มีหลักฐานและพยานครบถ้วน หลายปากก็บอกตรงกัน ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับพระวินิจฉัยของพระองค์ว่าจะส่งเรื่องนี้ให้กรมอาญารึไม่" มหาดเล็กโชในชุดสีเขียวทูลตอบ ยืนอย่างสำรวมหน้าพระที่นั่ง

         "กรมอาญาหรือ" องค์ชายขมวดคิ้ว

         "พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย แต่ตามกฎของฝ่ายในต้องแจ้งให้พระมเหสีรู้เพื่อตัดสินโทษ แนเมียงบูมีข้อห้ามว่าเรื่องต่างๆ ล้วนเป็นความลับห้ามแพร่งพรายให้คนนอกรู้ แต่ถ้าหากองค์ชายจะแจ้งพระมเหสี โทษก็คือตายสถานเดียวพ่ะย่ะค่ะ"

         "แล้วถ้าจะลงโทษกันเองเงียบๆ ได้รึไม่ ข้าไม่อยากให้เสด็จแม่ต้องทรงกริ้วด้วยเรื่องเช่นนี้"

         "ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ ทรงรับสั่งมาได้ว่าจะลงโทษขั้นใด" มหาดเล็กโชเอ่ย

         ท่ามกลางความเงียบ ยิมโฮแทกุนหลับตาลงสักพักก่อนจะตรัสว่า

         "ลงโทษตามกฎที่มีบัญญัติไว้สูงสุด"
         
         เงียบกันไปอีกสักพัก มหาดเล็กโชคังอินที่ยืนก้มหัวรับคำสั่งก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองนายเหนือหัวอย่างไม่แน่ใจ ยิมโฮแทกุนละความสนใจจากตำราตรงหน้าและสบตาเข้ากับผู้ใต้บังคับบัญชาพอดี

         "มีอะไรหรือ มหาดเล็กโช" องค์ชายตรัสถามด้วยความสงสัย

         "ลงโทษ... ตามที่มีกฎบัญญัติไว้สูงสุดอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ" โชคังอินทูลถาม

         "ทำไมหรือ เจ้าตกใจอะไร"

         "พระองค์ทรงหมายถึง... ประทานยาพิษหรือ"

         ยิมโฮแทกุนเบิกตากว้างด้วยความตกพระทัย ก่อนจะรีบตรัสออกมาว่า

         "ข้าขอโทษ มหาดเล็กโช ข้ามิค่อยรู้ธรรมเนียมของฝ่ายใน ความหมายของข้าคือให้ลงโทษโดยการปลดนางออกจากตำแหน่งก็เท่านั้น หาใช่ประหารนางไม่ ข้าพูดผิดเอง" 

         มหาดเล็กโชถอนหายใจด้วยความโล่งอก "หม่อมฉันก็เกือบเข้าใจผิด นึกว่าพระองค์จะให้นางถึงที่ตาย"

         "ข้าสับสนระหว่างโทษของฝ่ายในกับทางทหารไป อีกอย่างพูบูอินแม้จะมีลูกให้ข้าไม่ได้และมีโทษที่ออกไปหาหมอชาวบ้านแตะต้องวรกายอย่างอุกอาจก็จริง แต่ความผิดที่ว่านางคบชู้สู่ชายกับหมอคนนั้นข้ายังไม่ปักใจเชื่อ ข้าต้องสืบให้รู้ว่านางผิดจริงหรือถูกใส่ร้าย ในวังหลวงเจ้าก็รู้ดีว่ามีการใส่ร้ายป้ายสีกันตลอดเวลา เพื่ออำนาจ เพื่อขึ้นเป็นใหญ่ ฮวารยอนก็เช่นกัน หากนางบริสุทธิ์ข้าก็จะให้นางคืนตำแหน่งเดิม" ลียิมโฮพูดอธิบาย

         "พระองค์ทรงคิดว่าพระนางถูกใส่ร้ายหรือพ่ะย่ะค่ะ"

         "ข้าคิดเช่นนั้น เพราะเรื่องความผิดของนางที่หลุดออกมานั้น คนของข้าบอกว่าต้นตอจริงๆ มาจากคิมซังกุง ซังกุงคนสนิทของนางเอง"

         "หา คิมซังกุง จะเป็นไปได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ คิมซังกุงจะให้ร้ายนายของตัวเองไปทำไมกัน มันไม่สมเหตุสมผลเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"

         "สิ่งนี้คือสิ่งที่ข้าสงสัย คิมซังกุงเป็นซังกุงทรงอิทธิพลในแนเมียงบู อีกทั้งยังเป็นลูกหลานขุนนางชั้นสูงที่มีอำนาจมากในวังหลวงแทบทุกรัชสมัยของโชซอน ฉะนั้นคิมซังกุงอาจมีเบื้องหลังที่ข้าไม่รู้ ไหนจะหมอควังคยอมที่ถูกฆ่าตายอย่างลับๆ แน่นอนว่ามีคนบงการอยู่ ข้าจึงไม่สั่งลงโทษพูบูอินหนักนัก แค่ให้ปลดออกจากตำแหน่งชั่วคราวเพื่อไต่สวนความจริง"

         "ทรงมีพระวินิจฉัยที่ถูกต้องแล้ว หม่อมฉันจะรีบสั่งการลงไปพ่ะย่ะค่ะ" มหาดเล็กโชโค้งคำนับก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษรเพื่อถ่ายทอดคำสั่งขององค์ชาย



         ยิมโฮแทกุนถอนสายตาจากวิวทิวทัศน์นอกตำหนัก ก่อนจะเดินไปมาพลางคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง

         ใช่ การปลดนางออกจากตำแหน่งก็ยังโหดร้ายเกินไปสำหรับพูบูอิน มันไม่เป็นธรรมสำหรับนางเลยสักนิด เขาต้องหยุดยั้งคำสั่งเดิม


         องค์ชายรับสั่งให้จัดเตรียมขบวนเสด็จไปยังตำหนักของพระชายา ไม่นานพระองค์ก็เสด็จมาถึง ทว่ามันกลับผิดปกติ หน้าตำหนักไร้นางในและทหารยืนอยู่เลยราวกับเป็นตำหนักร้าง แต่ยังไม่ทันที่พระองค์จะเสด็จเข้าไป ประตูก็เปิดออกพร้อมกับมีสตรีนางหนึ่งเดินออกมา

         "คิมซังกุง" ยิมโฮแทกุนตรัสขึ้นอย่างแปลกใจ

         ใบหน้าซังกุงคนสนิทของฮวารยอนพูบูอินเปื้อนเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา บริเวณรอบดวงตาก็แดงช้ำอย่างคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก มือที่ปกติต้องอยู่ในชายผ้าด้านหน้าของชุดทังอีเสมอนั้นบัดนี้ขยุ้มชายกระโปรงราวกับคนที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ร่างที่เดินมาคำนับให้องค์ชายก็สั่นสะท้านดุจคนต้องลมหนาว เมื่อนางโค้งคำนับให้องค์ชาย เข่านางก็อ่อนแรงจนนางทรุดนั่งลงกับพื้น

         "นายหญิง!" นางในหลายคนร้องขึ้น

         "เกิดอะไรขึ้นคิมซังกุง เจ้าเป็นอะไร แล้วพระชายาเล่า อยู่ที่ไหน" ลียิมโฮตรัสถาม

         คิมซังกุงสะอึกสะอื้นเล็กน้อยก่อนจะทูลตอบ

         "ขออภัยที่หม่อมฉันเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์เพคะ แต่ในฐานะข้ารับใช้ผู้จงรักภักดี หม่อมฉันไม่อาจทนอดกลั้นต่อการจากไปของผู้เป็นนายได้เพคะ" พูดจบนางก็ร้องไห้โฮ เหล่ามหาดเล็กและนางในที่ได้ยินต่างพากันตกตะลึง

         "การจากไป ใครจากไป เจ้าพูดอะไรคิมซังกุง" องค์ชายถามอย่างร้อนรน

         "พระชายาฮวารยอน พระชายาสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ"

         องค์ชายยืนนิ่งตะลึงงันราวกับคนถูกสาป สายตาจ้องมองไปที่ตัวตำหนักอย่างไม่เชื่อสายตา

         "ปะ... เป็นไปไม่ได้ นางจะตายได้ยังไง พูดจาเหลวไหลอะไร เจ้ากำลังหมิ่นเบื้องสูงอยู่รู้ตัวรึไม่!"

         "เพราะรับสั่งองค์ชายต่างหากเพคะที่ทำให้พระนางสิ้นชีพ" คิมซังกุงทูลทั้งน้ำตา

         "รับสั่งข้าอย่างนั้นรึ ข้าไม่ได้สั่งให้นางตาย เจ้าหมายถึงอะไร"

         "องค์ชายรับสั่งให้ปลดพระชายาออกจากตำแหน่ง ทันทีที่คำสั่งมาถึงพระนางก็สะเทือนพระทัยอย่างหนักหน่วง และในที่สุด... ในที่สุด" ถึงตรงนี้คิมซังกุงก็พูดต่อไม่ได้อีกเพราะก้มหน้าลงร่ำไห้อีกครั้ง

         "เจ้าพูดมาให้ชัดเจนคิมซังกุง บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น" ยิมโฮแทกุนตรัสอย่างคนใกล้หมดความอดทนเต็มที พระสุรเสียงสั่นสะท้านพิกล

         "ละ... หลังจากพระนางทรงทราบคำสั่งให้ปลดจากตำแหน่ง พระนางก็ให้ทุกคนออกไปจากพระตำหนักและรับสั่งว่าอยากอยู่ลำพัง แม้หม่อมฉันก็เข้าพระพักตร์ไม่ติดเพคะ จนมีนางในคนหนึ่งเข้าไปพบว่าพระนางสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ พระนาง... พระนางทรงเสวยยาฟู่จื่อ(1)เข้าไปเพคะ"

         "อะไรนะ! ทำไมฟู่จื่อถึงอยู่กับตัวนางได้ ยานี่แม้แต่ห้องเครื่องหรือสำนักหมอหลวงก็ถือว่าเป็นของต้องห้ามมิดชิด เหตุใดพูบูอินถึงมีมันในครอบครองได้เล่า" องค์ชายตรัสถาม

         "ไม่มีใครรู้เพคะ แต่พระนางน้อยพระทัยนัก จนในที่สุดก็ตัดสินใจลาโลกเพคะ"

         ยิมโฮแทกุนรู้สึกพื้นที่ยืนอยู่หมุนเล็กน้อย ความรู้สึกผิดที่อัดแน่นในพระทัยแล่นพรวดขึ้นมาจุกเป็นก้อนอยู่ที่ลำคอ ขอบตาร้อนผ่าวอย่างหาสาเหตุไม่ได้ 

         "ได้โปรด ทรงประหารหม่อมฉันเถิดเพคะ หม่อมฉันเป็นซังกุงคนสนิท แต่กลับปล่อยให้พระนางสิ้นชีพไปปรโลก ทรงประหารหม่อมฉันผู้ไม่เอาไหนคนนี้ด้วยเถิดเพคะ" คิมซังกุงทุ่มทอดกายร่ำร้อง

         "แล้ว... แล้วพระศพอยู่ที่ไหน ข้า... ข้าอยากเห็น... นาง" น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด
         
         "พระศพของนางถูกนำออกไปทางประตูมรณะ(2)แล้วเพคะ" คิมซังกุงตอบปนเสียงสะอื้น

         "อะไรนะ ประตูมรณะหรือ" คราวนี้พระวรกายขององค์ชายทรงโงนเงนราวกับหอคอยสูงที่ฐานไม่มั่นคง มหาดเล็กโชรีบเข้ามาก้มตัวลงทำท่าจะแบกร่างของยิมโฮแทกุน

         "ข้าไม่เป็นไร" องค์ชายตรัสพลางหลับตาลงช้าๆ

         "องค์ชายเพคะ หม่อมฉันขอให้พระองค์เสด็จกลับตำหนักก่อนเถิดเพคะ การปลิดชีพตัวเองของพระชายาเป็นเรื่องสยดสยอง ถ้าเรื่องอัปมงคลนี้แพร่ไปถึงเซจากุง(3) ตำหนักใหญ่(4)และตำหนักกลาง(5) จะต้องมีการไต่สวนขนานใหญ่แน่นอน ตอนนี้พระองค์ควรกลับไปก่อน หม่อมฉันจะจัดการทางนี้ให้ องค์ชายจะประทับที่นี่ไม่ได้ จะอย่างไรพระชายาก็ไม่มีทางฟื้นจากความตายได้นะเพคะ"

         ยิมโฮแทกุนยังยืนนิ่ง ฉับพลันพระองค์ก็ผลุนผลันวิ่งเข้าไปที่ตำหนักพระชายาและเลื่อนประตูเปิดออกก่อนจะพุ่งเข้าสู่ด้านในอย่างรวดเร็ว

         "องค์ชายเพคะ!" คิมซังกุงร้องอย่างตกใจ

         ในตำหนักไม่มีใคร ไม่มีสิ่งใด ทุกอย่างปกติและหม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะเพิ่งมีคนลาโลกจากไปในที่แห่งนี้

         "องค์ชาย รีบไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ" มหาดเล็กโชทูลขึ้น เขาเดินตามพระองค์มาอย่างห่างๆ ยิมโฮแทกุนเซเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยันผนังอย่างคนหมดแรง องค์ชายเงยพระพักตร์ขึ้นมองก็พบว่าผนังตรงนั้นเป็นที่แขวนรูปวาดรูปหนึ่ง เป็นดวงอาทิตย์กำลังทอแสงเหนือเมฆอันสลับซับซ้อน

         รูปนี้เป็นรูปวาดฝีพระหัตถ์ที่พระชายาฮวารยอนทรงวาดให้เขาเพื่อสื่อถึงความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง ความบริบูรณ์สำหรับตำแหน่งแทกุน แต่เขากลับปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ตอนนั้นจำได้ว่าแทบจะไม่ได้ชายตามองรูปนี้ด้วยซ้ำ ทว่าคราวนี้สามารถมองได้เต็มตา เห็นถึงความสวยงามอย่างแจ่มชัดเป็นครั้งแรก แต่ว่าคนวาดนั้นได้ตายจากไปเสียแล้ว

         "ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าวาดรูปได้งดงามถึงเพียงนี้" องค์ชายตรัสเบาๆ ก่อนจะยกแขนปาดน้ำตาช้าๆ

         "องค์ชาย" มหาดเล็กโชทูลเตือนเสียงแผ่ว ลียิมโฮเงยหน้ามองทั่วตำหนักอย่างร้าวรานใจก่อนจะค่อยๆ เดินออกไปจากตำหนักพระชายา

         ไม่นาน องค์ชายและขบวนเสด็จก็เคลื่อนออกจากตำหนักพระชายาและหายลับไป ทิ้งความเงียบงันโศกเศร้าไว้เบื้องหลังอย่างน่าใจหาย ข้าราชบริพารหลายคนยืนซับน้ำตาเพื่อไว้อาลัยให้แก่พระชายาผู้วายชนม์ บางคนถึงกับคำนับแบบเต็ม(6)ด้วยความจงรักภักดี เสียงนกบางชนิดร้องขึ้นอย่างเศร้าๆ เป็นจังหวะจากที่ใดสักแห่ง สักพักทุกคนก็ค่อยๆ เดินแยกย้ายออกไปจากบริเวณ

         คิมซังกุงยืนขึ้นจากพื้น ใบหน้าที่เสแสร้งว่าเศร้าโศกบัดนี้เต็มใบด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม ดวงตาวาวโรจน์ฉายแววจงเกลียดจงชังเหลือประมาณ

         "ดีที่ข้าไหวตัวทันเอาร่างนางไว้ที่ห้องดองผัก หาไม่องค์ชายคงพบเข้า" คิมซังกุงพูดกับนางในคนสนิท

         "นางตายรึยังเจ้าคะ" นางในกระซิบถามด้วยความอยากรู้

         "นางอดทนนัก โดนพิษไปขนาดนั้นแต่ยังไม่ยอมตาย ข้าจึงสั่งคนให้แบกร่างนางไปทิ้งที่ห้องดองผักและขังไว้ ป่านนี้คงสิ้นใจไปแล้ว ข้าจะไปจัดการกับศพนางให้เร็วที่สุดเพราะองค์ชายต้องสืบสาวราวเรื่องแน่นอน" คิมซังกุงพูดจบก็รีบเดินไปทางห้องเครื่องทันที



    โปรดติดตามตอนต่อไป




    เชิงอรรถ


    (1) ฟู่จื่อ หมายถึง ชื่อยาพิษชนิดหนึ่ง มักใช้ประทานแก่คนที่ต้องโทษประหาร

    (2) ประตูมรณะ หมายถึง ประตูลับสำหรับนำนักโทษและชาววังที่ต้องโทษขั้นรุนแรงถึงชีวิต เป็นการลงโทษและฆ่ากันอย่างลับๆ ของมหาดเล็กและราชองครักษ์ เวลามีใครโดนนำตัวผ่านประตูนี้จะถูกจับมัดคลุมด้วยผ้าขาวและเป็นที่รู้กันว่าเป็นโทษขั้นร้ายแรงและจุดจบคือความตายเท่านั้น ประตูนี้ใครออกไปจะไม่ได้กลับเข้ามา ชื่อก็จะถูกลบออกจากวังหลวงอย่างลับๆ และห้ามให้มีใครพูดถึงอีก

    (3) เซจากุง หมายถึง ฝ่ายในขององค์รัชทายาท ในวังหลวงจะมีฝ่ายในอยู่สองส่วน ส่วนแรกคือแนเมียงบูเป็นฝ่ายในของพระราชา ส่วนสองคือเซจากุง

    (4) ตำหนักใหญ่ หมายถึง ตำหนักของพระราชา

    (5) ตำหนักกลาง หมายถึง ตำหนักของพระมเหสี

    (6) คำนับแบบเต็ม หมายถึง การแสดงความเคารพขั้นสูงสุด กล่าวคือ ยกแขนสองข้างเป็นระนาบเดียวกันในแนวขวางบริเวณหน้าผาก แบมือสองข้าง มือขวาทับมือซ้าย จากนั้นย่อเข่าซ้าย ก้มตัวลงต่ำ เข่าขวาย่อตามจนถึงพื้น หัวเข่าสองข้างประชิดติดกันและก้มตัวพร้อมกับมือสองข้างตรงหน้าผากให้จรดถึงพื้นและคำนับ



                  
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×