ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #47 : รอยเลือด [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.9K
      141
      31 พ.ค. 62

    ตอนที่ 47 รอยเลือด






         ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฟากฟ้า ส่องแสงสว่างนวลตาลงมาทาบทับลานพิธีที่ยังคงครื้นเครงไปด้วยผู้คนและการจัดเลี้ยง เหล่าข้าราชบริพารต่างสลับกันเข้าถวายคำอวยพรแด่องค์ชายไม่ขาดสาย 

         บรรดานางรำถวายก็เช่นกัน เมื่อชุดแรกซึ่งมีคิมเซจีรวมอยู่ด้วยถวายการแสดงเสร็จเรียบร้อยก็พากันมานั่งพักที่ด้านข้างของปะรำพิธี เซจีเปลี่ยนชุดกลับมาเป็นชอโกรีสีแดงตามเดิมและนั่งรออย่างอดทนตามแผนของคิมซังกุง

         องค์ชายซึ่งประทับอยู่ในปะรำพิธีเพ่งตามองคนโทเล็กสีดำที่อยู่ตรงหน้าของตน เขายอมรับว่าสุราในคนโทนี้รสเลิศนักอีกทั้งยังไม่เคยลิ้มรสที่ไหนมาก่อน แต่ที่น่าแปลกคือฤทธิ์ของมัน องค์ชายรู้พระองค์ว่าไม่ใช่คนคออ่อนเนื่องจากเวลาฝึกอยู่ในค่ายฝึก ทหารย่อมต้องคู่กับสุราเป็นปกติ แต่ครานี้หลังจากดื่มไปได้ไม่กี่จอก ความมึนเมาก็เริ่มครอบงำสติสัมปชัญญะของยิมโฮแทกุนอย่างรวดเร็ว

         เมื่อสายตาเริ่มพร่าเลือน องค์ชายก็ค่อยๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ไม้ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ

         "องค์ชาย ทรงเป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ" มหาดเล็กโชรีบทูลถาม

         "เหมือนข้าจะเมาสุรานะ" องค์ชายยิ้ม

         "ตรัสเป็นเล่น พระองค์เคยมึนเมาเสียที่ไหนกัน"

         "สุรานี้คงเป็นสูตรใหม่ของห้องเครื่องกระมัง รสชาติยอดเยี่ยมทว่าฤทธิ์รุนแรง"

         "เช่นนั้นจะเสด็จกลับตำหนักเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" 

         "องค์ชายเพคะ" คิมซังกุงเดินมาด้านหน้าโต๊ะตัวใหญ่พลางโค้งคำนับ

         "มีอะไรหรือจีมิลซังกุง" องค์ชายหันมาถาม (*จีมิลซังกุงคือคำเรียกของซังกุงรับบัญชาซึ่งก็คือตำแหน่งของคิมซังกุง)

         "ก่อนที่จะเสด็จกลับ ขอทรงได้โปรดเสด็จไปตำหนักกลางสวนก่อนเถิดเพคะ"

         "ทำไมข้าต้องไปที่นั่น" องค์ชายขมวดคิ้ว

         "เหล่าขุนนางกำลังเตรียมของกำนัลถวายและมีประสงค์จะพูดคุยบางเรื่องน่ะเพคะ ด้วยเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ยลโฉมตัวจริงของพระองค์อย่างเป็นทางการ หลายคนก็คงอยากเสวนากับองค์แทกุนอยู่แล้วเพคะ"

         "ข้าไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย"

         "เป็นธรรมเนียมปฏิบัติน่ะเพคะ พระองค์เพิ่งมางานฉลองครั้งแรกจึงไม่รู้ว่ามีหลักปฏิบัติข้อนี้ รีบเสด็จเถิดเพคะ ทุกคนรออยู่" คิมซังกุงเร่งเร้า

         ยิมโฮแทกุนพยักหน้าก่อนจะค่อยๆ ทรงตัวลุกขึ้น นับว่าพระองค์ยังครองพระสติได้ดีเพราะเวลาเดินเหินนั้นยังคงเป็นปกติไม่เซไปมา

         "ไหวรึไม่พ่ะย่ะค่ะ" มหาดเล็กโชถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นดวงเนตรขององค์ชายปรือราวกับจะหลับใหล

         "ไหว ข้าไหว คิมซังกุง เจ้านำทางไปเลย" องค์ชายรับสั่ง คิมซังกุงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินนำหน้าขบวนเสด็จของยิมโฮแทกุนออกไปจากปะรำพิธี ชั่วเสี้ยวเวลาที่มิมีผู้ใดจะเห็นทัน ซังกุงรับบัญชาแอบหันไปขยิบตากับเซจีแวบหนึ่ง ผู้เป็นหลานสาวเห็นดังนั้นก็รีบพยักหน้าตอบก่อนจะรีบเดินออกไปจากลานพิธีเช่นกัน

         ตำหนักกลางสวนเป็นตำหนักเล็กๆ ท่ามกลางต้นสนและต้นอึนแฮงนามุ ทางยาวไปสู่ตัวตำหนักหลังเล็กนั้นปูลาดด้วยหินอ่อนสวยงามมีโคมไฟสีเหลืองนวลแขวนประดับไว้ตามทางเป็นจุดๆ กับกิ่งไม้ดูเพลินตา

         เมื่อมาถึงหน้าตำหนักซึ่งภายในถูกจุดเทียนสว่างไสวไว้เรียบร้อยแล้ว ยิมโฮแทกุนก็หันมาถาม

         "ไหนเล่าขุนนาง"

         "ใกล้มาแล้วเพคะ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปประทับก่อนเถิด" คิมซังกุงเชื้อเชิญ

         "เมื่อครู่เจ้าบอกว่าคนกำลังรอองค์ชายอยู่มิใช่หรือ เหตุใดมาถึงจึงกลับคำว่ากำลังมา" มหาดเล็กโชถามอย่างสงสัย

         "คงมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหันกระมังเจ้าคะ" คิมซังกุงแก้ตัว

         ยิมโฮแทกุนก้าวขึ้นไปบนตำหนักก่อนจะเลื่อนประตูไม้กรุกระดาษออกด้านข้างและก้าวเข้าไปด้านใน

         มหาดเล็กโชทำท่าจะตามเข้าไปแต่ถูกคิมซังกุงขัดขวาง

         "ท่านเข้าไปมิได้"

         "ข้าเป็นมหาดเล็กคนสนิท เหตุใดจะ--"

         "ที่นี่เป็นเขตส่วนพระองค์ ท่านทำได้เพียงแต่รอด้านนอก หากไม่ใช่ขุนนางที่มีกิจธุระก็ห้ามเข้า"

         "แต่ว่า--"

         "ท่านจงอย่าลืม การที่ได้ถวายการรับใช้องค์ชายอย่างใกล้ชิดจนได้รับความไว้วางพระทัยไม่ได้หมายความว่าท่านจะได้เป็นเชื้อพระวงศ์ไปด้วย" คิมซังกุงพูดเหน็บ

         มหาดเล็กโชคังอินคอแข็งขึ้นมาทันทีก่อนที่จะหยุดพูดจาไม่ต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก

         องค์ชายยิมโฮเดินช้าๆ เข้ามาในตำหนักก่อนจะหันมองไปรอบด้านด้วยความงุนงง ตำหนักแห่งนี้เล็กและคับแคบนัก ไม่เหมาะจะเป็นที่พบปะชุมนุมของขุนนางสักนิด พระองค์เดินไปที่ห้องด้านในและเลื่อนบานประตูออกอย่างสงสัยใคร่รู้

         สตรีในชุดซกซี่มา(ชุดชั้นในสีขาวของนางใน ด้านบนคล้ายกระโจมอก ด้านล่างเป็นกระโปรงซึ่งโดยปกติจะมีชอโกรีทับอีกที ซกซี่มาจึงเป็นชุดชั้นในเพื่อสวมใส่ยามไปอาบน้ำ)กำลังนั่งลงจัดผ้าปูที่นอนสีขาวลงบนพื้น ผิวพรรณนวลเนียนขาวผ่องที่โผล่พ้นออกมานอกชุดนั้นดึงดูดสายตาอย่างบอกไม่ถูก

         องค์ชายยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ร่างของสตรีปริศนาอยู่เช่นนั้นราวกับมีมนตร์ขลังประหลาดทำให้ยิมโฮแทกุนไม่สามารถถอนสายตาไปจากร่างงามนั้นได้ เลือดในกายสูบฉีดแล่นพล่านไปทั้งร่าง ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกกระแทกกระทั้นเข้ามาในทรวงอกบวกกับฤทธิ์สุราประหลาดส่งผลให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลอย่างสิ้นเชิง

         คิมเซจีหันมามององค์ชายช้าๆ นางไม่มีทีท่าตกใจแม้สักนิด หญิงสาวยิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้องค์ชายก่อนจะลุกขึ้นยืนสาวเท้ามาหาพระองค์

         สายตาชายไม่อาจหักห้ามได้ ยิมโฮแทกุนเผลอจ้องมองลำคอระหงลามไปยังอกเนียนสวยเหนือปทุมถันซึ่งมีซกซี่มาปิดไว้ หัวไหล่มนน่าลูบไล้ต้องประกายล้อแสงเทียนดุจจะยั่วยวนบุรุษเพศ เซจีคำนับองค์ชายก่อนจะถือวิสาสะแตะต้องพระวรกาย

         มือของยิมโฮแทกุนถูกฉุดรั้งเบาๆ ไปยังที่นอนซึ่งปูไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ร่างขององค์ชายไม่ต่างกับหุ่นที่ต้องคุณไสยซึ่งต้องทำตามคำสั่งของหมอผี ทว่าผู้ควบคุมในครั้งนี้กลับเป็นสตรีหน้าตาสะสวยและอ่อนเยาว์นัก ใจลึกๆ ขององค์ชายนั้นเรียกร้องให้หยุดการกระทำนี้เสีย แต่ไฟกามารมณ์ที่พลุ่งพล่านก็กลบความนึกคิดนั้นไปเสียสิ้น

         ยิมโฮแทกุนประทับลงบนที่บรรทมช้าๆ สายตายังคงจ้องมองคิมเซจีไม่วางตา 

         "เจ้า... เจ้าเป็นใคร เหตุใด... เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้" องค์ชายถามเบาๆ

         เซจียิ้มแฝงเลศนัยก่อนจะใช้สองนิ้วลูบไปที่เปลือกตาของยิมโฮแทกุน องค์ชายทรงหลับตาลงอย่างเกียจคร้าน หญิงสาวก้มลงกระซิบที่ข้างหูเขาเบาๆ

         "มันเป็นความฝันเพคะองค์ชาย อย่าหาเหตุผลกลใดกับความฝันเลย ได้โปรดปล่อยให้ร่างกายโลดแล่นไปตามใจของตนเองเถิดเพคะ"

         ความดำมืดในห้วงอารมณ์ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงจนองค์ชายขาดความยับยั้งชั่งใจเสียสิ้น จมูกโด่งงดงามค่อยๆ ก้มลงไปที่ซอกคอเซจีหวังจะซุกไซ้สนองกิเลสอันเร่าร้อน

         เสียงฝีเท้าวิ่งตุบตับเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็วตามด้วยเสียงเอะอะโวยวายดังสนั่น องค์ชายลืมตาขึ้นก่อนจะเงยหน้ามอง คิมเซจีถึงกับโมโหที่ถูกขัดขวางก่อนจะหันไปมองผู้บุกรุก

         มหาดเล็กโชคังอินนั่นเอง เขาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยความตื่นตกใจ ไม่นานคิมซังกุงก็วิ่งตามเข้ามา

         "นี่ท่าน! ข้าบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่าห้ามเข้า" คิมซังกุงตวาดใส่มหาดเล็กโชด้วยความโกรธ

         "องค์ชาย! เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ" มหาดเล็กคนสนิทรีบทูลโดยไม่สนใจคิมซังกุง

         "มีอะไรหรือ"

         "รีบเสด็จกลับตำหนักก่อนเถิด เกิดเรื่องร้ายแรงที่ตำหนักพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ทหารยามเพิ่งมาแจ้งหม่อมฉัน" 

         องค์ชายผุดลุกขึ้นยืนทันทีจนเซจีสะดุ้งโหยง เหตุการณ์ร้ายแรงที่เข้ามาอย่างฉับพลันทำให้ยิมโฮแทกุนรู้สึกพระองค์ขึ้นมาทันทีดุจน้ำเย็นซัดสาด องค์ชายส่ายศีรษะขับไล่ความมึนงงอยู่สักพัก

         เมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนมาองค์ชายก็ก้มลงมองเซจีที่นั่งอยู่บนพื้นก่อนจะตรัสว่า

         "เป็นนางในทำเช่นนี้ไม่บังควร เจ้ากลับไปเถิด หากฝ่าบาทรู้เข้าเจ้าจะต้องโทษหนัก" ตรัสจบพระองค์ก็เดินออกไปจากห้องด้วยความรวดเร็วโดยมีมหาดเล็กโชรีบก้าวตามไปติดๆ

         คิมซังกุงอ้าปากค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก

         "นายหญิง!" คิมเซจีร้องขึ้นอย่างโกรธจัดเมื่อองค์ชายเสด็จลับกายไปแล้ว "ข้าบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่าห้ามให้ใครเข้ามาในตำหนัก ทำไมนายหญิงยังปล่อยให้มหาดเล็กโชเข้ามาเจ้าคะ"

         "ข้าห้ามแล้วเซจี แต่ทหารยามนายหนึ่งวิ่งมากระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับเขา แล้วจู่ๆ ก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา จะขัดขวางไม่ทัน" คิมซังกุงตอบด้วยความโมโห

         คิมเซจีทุบกำปั้นลงบนที่นอนอย่างเจ็บใจ เมื่อครู่นี้นางเกือบจะได้ถลาถลำเข้าไปสู่ช่วงเวลาแห่งความสุขกับองค์ชายแล้ว ยิมโฮแทกุนเองก็ดูจะถูกชักจูงให้อยู่ในเสน่ห์อันเย้ายวนของตนอย่างราบคาบ แต่จู่ๆ กลับมีมารผจญเข้ามาขัดขวางกลางคันเสียอย่างนั้น 

         "บ้าที่สุด!"

         คิมซังกุงขมวดคิ้ว

         "นี่เจ้าโมโหอันใด อย่าบอกนะว่าทำไม่สำเร็จ"

         "ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำเจ้าค่ะ" เซจีกล่าวอย่างอารมณ์เสีย

         ซังกุงรับบัญชาหลับตาลงก่อนจะถอนหายใจช้าๆ

         "ไม่เป็นไร คราวหน้ายังมีโอกาสอีก ตอนนี้เจ้ารีบไปแต่งตัวเถิด" คิมซังกุงพูดจบก็เพ่งมองไปยังที่บรรทมซึ่งยับยู่ยี่พลางคิดในใจ

         ยิมโฮแทกุน อย่าคิดว่าจะรอดไปได้ตลอดนะเพคะ...






         ขบวนเสด็จขององค์ชายต่างกันพากันวิ่งตามยิมโฮแทกุนอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงตัวตำหนักก็พบกลุ่มคนกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ด้านข้างตำหนัก องค์ชายปรี่เข้าไป

         เมื่อเหล่าข้าราชบริพารเห็นองค์ชายเสด็จเข้ามาก็ตกใจก่อนจะก้มศีรษะพลางหลีกทางให้ ทหารยามและทหารจากกรมอาญายืนล้อมอยู่อีกชั้นด้านใน คบเพลิงถูกจุดส่องสว่างไปทั่วบริเวณ

         "หลีกทางให้องค์ชายด้วย" มหาดเล็กโชตะโกน บรรดาทหารหันมามองก่อนจะทำหน้าทำตาเลิ่กลั่ก

         "เหตุใดถึงยังไม่ถอยออกไป" 

         "เอ่อ องค์ชาย หม่อมฉันว่าพระองค์ไม่ควรทอดพระเนตรสิ่งนี้นะพ่ะย่ะค่ะ" ทหารยามพูดเบาๆ

         "หลบไป" องค์ชายตรัสเสียงเบา

         "แต่ว่า--"

         แววพระเนตรเย็นชาตวัดมามองจนนายทหารตัวสั่นสะท้าน เขาก้มหน้าลงและตัดสินใจสั่งให้ทหารคนอื่นๆ แหวกทางให้องค์ชายเสด็จเข้าไป

         ทันทีที่ภาพด้านในปรากฏสู่สายตาทุกคน เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจปนหวาดกลัวก็ดังระงมไปทั่วบริเวณ ซังกุงและนางในแทบทุกคนปิดปากและหันหน้าหนีอย่างทนดูไม่ได้พลางกรีดร้องอย่างเสียขวัญ ส่วนพวกผู้ชายนั้นต่างพากันตาค้างอ้าปากหวอแน่นิ่ง บางคนนั้นหลับตาเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นสิ่งสยดสยองยามค่ำคืน

         ร่างของชายเคราะห์ร้ายรายหนึ่งนอนจมกองเลือดข้นสีแดงเข้มออกดำอยู่บนพื้น เลือดเป็นลิ่มๆ เจิ่งนองไปทั้งพื้นหิน เขานอนกางแขนกางขาคว่ำหน้า มือสองข้างกำจิกพื้นแน่นอย่างคนที่เจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุดก่อนจะขาดใจตาย

         "ถูกใบดาบฟันคออย่างแรง ฟันฉับเดียวจนสิ้นใจ" ทหารจากกรมอาญาคนหนึ่งทูลรายงานองค์ชาย "ที่ลำคอมีรอยฟันที่ลึกและรุนแรงมาก หม่อมฉันคิดว่าถ้าคนฆ่าจงใจจะให้คอขาดก็น่าจะทำได้ไม่ยาก"

         เสียงร้องระงมของผู้คนรอบด้านดังขึ้นอีกครั้งอย่างสะเทือนขวัญ เสียงพูดคุยเซ็งแซ่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดโชยคลุ้ง

         "ใครกัน ใครมันทำเช่นนี้ ใครที่กล้าทำเรื่องสยดสยองโหดร้ายเช่นนี้" องค์ชายตรัสอย่างตกตะลึง

         "แล้วเหตุใดศพถึงมาอยู่ข้างๆ ตำหนักขององค์ชาย" มหาดเล็กโชถามเบาๆ

         "นั่นคือสิ่งที่หม่อมฉันสงสัย" ทหารจากกรมอาญาพูดกับองค์ชาย "แน่นอนว่าคนตายถูกสังหารที่นี่ ดูจากรอยเลือดและรอบๆ บริเวณแสดงว่าเขาไม่ได้ถูกฆ่าจากที่อื่นแล้วลากมา แต่ทว่าถูกฆ่า ณ ที่ตรงนี้เลย"

         "แล้วเหตุใดต้องเป็นตรงนี้"

         "องค์ชาย หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม หลังจากพระองค์เสด็จออกจากงานเลี้ยง พระองค์ก็หายตัวไปสักพัก องค์ชายทรงไปที่ไหนหรือพ่ะน่ะค่ะ" นายทหารถาม

         "นี่เจ้า!" มหาดเล็กโชร้อง "เจ้าจะกล่าวหาว่าองค์ชายเป็นคนทำหรือ!"

         "ข้าแค่อยากรู้"

         "บังอาจนัก!"
     
         "มหาดเล็กโช" องค์ชายขัดขึ้น พระองค์กำลังจับจ้องไปที่ใบหน้าของคนตายก่อนจะตรัสขึ้นช้าๆ

         "นั่นมาซาฮิโระใช่รึไม่"

         มหาดเล็กโชคังอินตกตะลึงก่อนจะหันไปเพ่งมองศพผู้ตาย เขาฉวยคบเพลิงจากมือทหารนายหนึ่งและก้าวเข้าไปส่องใกล้ๆ ศพเพื่อจะดูให้แน่ชัด

         มหาดเล็กอ้าปากค้างก่อนจะพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก

         "มาซา... มาซาฮิโระจริงๆ ด้วย นี่มันอะไรกัน เพราะอะไร ทำไมถึงได้"

         "องค์ชายรู้จักคนตายด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ" นายทหารหรี่ตา

         ยิมโฮแทกุนไม่ตอบทว่าตรัสออกมาแผ่วเบา

         "แผนร้าย"

         "อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ" มหาดเล็กโชขมวดคิ้วถาม

         องค์ชายเหลือบมองตัวตำหนักก่อนจะหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด

         "องค์ชาย มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ"

         ยิมโฮแทกุนผลุนผลันเดินขึ้นไปบนตำหนักทันทีท่ามกลางความตื่นตกใจของทุกคน นายทหารที่ยืนล้อมรอบอยู่รีบหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว มหาดเล็กโชรีบก้าวตามขึ้นไป

         มหาดเล็กคนสนิทรีบจุดเทียนเพื่อให้แสงสว่างโดยรอบภายในตำหนัก องค์ชายกวาดตามองโดยรอบอย่างถี่ถ้วน

         ทุกอย่างปกติ ไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต

         "องค์ชายสงสัยสิ่งใดหรือ"

         ยิมโฮแทกุนยังคงตรวจตราจุดต่างๆ ภายในตำหนักอย่างละเอียด

         "องค์ชาย มีอะไรกัน--" มหาดเล็กถามยังไม่ทันขาดคำ เท้าก็ก้าวไปเหยียบอะไรบางอย่างจนเสียหลักลื่นไถล ดีที่คว้าเสาไม้ทันจึงสามารถพยุงตัวอยู่ได้

         โชคังอินก้มลงมองสิ่งที่ตนเหยียบก่อนจะหยิบขึ้นมาดูช้าๆ องค์ชายเดินเข้ามามองใกล้ๆ

         มันคือฉลองพระองค์สีดำขององค์ชาย ซึ่งชุดนี้มีความคล้ายคลึงกับชุดที่ยิมโฮแทกุนทรงสวมใส่อยู่ทุกประการ ยกเว้นแต่ว่ามันมีรอยคราบเลือดเปื้อนเปรอะอยู่บริเวณกลางหน้าอก

         "อะ... องค์ชาย" มหาดเล็กเสียงสั่น

         "แผนชั่ว แผนชั่วของพวกญี่ปุ่น"

         "องค์ชายทรงคิดว่า..."

         "โยชิดะกับฮอนโดคิดไม่ซื่อ เข้าวังหลวงมาในฐานะแขกบ้านแขกเมือง แล้วจัดการสังหารมาซาฮิโระข้างตำหนักข้าและลักลอบเข้ามาภายในตำหนักเพื่อทำให้ชุดข้าเปื้อนรอยเลือดคนตาย"

         มหาดเล็กอ้าปากค้าง

         "พวกเขาจะทำเช่นนั้นทำไมกันพ่ะย่ะค่ะ"

         "เจตนาพวกญี่ปุ่นคือจะให้ข้าตกเป็นจำเลยข้อหาสังหารทูตตายและใช้เหตุผลนี้ในการรุกรานโชซอน"

         "อะไรนะ!"

         "องค์ชาย ช่วยเปิดประตูตำหนักด้วยพ่ะย่ะค่ะ" เสียงนายทหารดังมาจากหน้าตำหนัก ทั้งสองคนสะดุ้ง

         ยิมโฮแทกุนกันมาทางมหาดเล็กคนสนิททันที

         "เจ้าจงรีบออกไปทางหลังตำหนักก่อนเถิด"

         "แล้วองค์ชายเล่า" โชคังอินถามอย่างร้อนรน

         "ข้าจะอยู่รับหน้าเอง"

         "ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันจะรีบนำฉลองพระองค์ไปยังห้องซักล้างแล้วให้พวกนางกำนัลรีบจัดการเอาคราบเลือดออกไปให้เร็วที่สุดนะพ่ะย่ะค่ะ" 

         "ไม่ได้"

         "องค์ชาย! ถ้าไม่รีบเอาไปซักล้างชำระคราบเลือด พวกเขาก็จะสงสัยเล่าว่าเหตุใดฉลองพระองค์หายไปชุดหนึ่ง ถึงตอนนั้นองค์ชายจะยิ่งกลายเป็นผู้ต้องหานะพ่ะย่ะค่ะ"

         "ข้าไม่ได้บอกว่าไม่ต้องซัก แต่จะเอาไปให้ห้องซักล้างไม่ได้ ถ้าพวกนางกำนัลเห็นรอยเลือดขึ้นมา อย่างไรกรมอาญาก็ย่อมสืบสวนจนเจอ เจ้าก็รู้ว่าพวกนางในปากสว่างเพียงใด"

         "แล้วจะเอาไปให้ใครซักเล่าพ่ะย่ะค่ะ"

         ประตูตำหนักถูกทุบอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงเรียกร้องให้เปิดดังขึ้นอีกครั้ง

         "เจ้ารีบไปก่อนเร็วเข้า" องค์ชายรับสั่ง 

         มหาดเล็กโชไม่รอช้ารีบวิ่งมาที่ด้านหลังตำหนักทันทีก่อนจะแทรกตัวผ่านหน้าต่างออกมา เขาปีนรั้วไม้เตี้ยๆ พลางซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ท่ามกลางความมืดและรอคอย

         เมื่อรอบด้านเงียบสงบไร้ผู้คน มหาดเล็กโชก็วิ่งออกจากที่ซ่อนเข้าไปในความมืดของเขตที่พักของนางในด้วยความรวดเร็ว มือชุ่มเหงื่อกำลังกอบกุมฉลองพระองค์เปื้อนเลือดขององค์ชาย

         เขาวิ่งสะเปะสะปะไม่รู้ทิศทาง องค์ชายรับสั่งเด็ดขาดว่าห้ามนำชุดไปให้พวกนางกำนัลห้องซักล้าง ทำให้โชคังอินเริ่มสับสนว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรเพราะอีกใจก็ห่วงองค์ชายที่กำลังรับหน้าพวกทหารอยู่ ส่วนเสื้อตัวนี้หากเอาไปซักเองก็ต้องไม่พ้นสายตาสอดรู้สอดเห็นจากพวกนางวังรับใช้อยู่ดี เรื่องนี้เป็นความลับจึงต้องทำอย่างลับๆ

         ฉับพลันก็บังเกิดเสียงตุบๆ ดังเข้ามากระทบโสตประสาท โชคังอินหยุดเดินพลางเงี่ยหูฟัง

         เสียงเหมือนไม้ทุบลงบนผ้าดังฝ่าความมืดมาถึงหูอีกครั้ง ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะรีบเดินไปยังต้นเสียงทันที ในใจสงสัยเล็กน้อยว่าใครกันที่มาซักผ้าในเวลาเช่นนี้

         เมื่อเดินมาถึงกำแพงเตี้ย โชคังอินก้มตัวลงก่อนจะแอบมองเข้าไปด้านในกำแพง ก็ปรากฏสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ข้างบ่อน้ำพลางยกไม้ทุบลงบนผ้าอย่างแข็งขัน

         มหาดเล็กโชยิ้มมุมปาก เขารู้แล้วว่าจะให้ใครซักฉลองพระองค์ของยิมโฮแทกุน...





    [ต่อจาก 50%]




         ซอฮยอนชะงัก นางถือไม้ทุบผ้าค้างกลางอากาศพลางมองฝ่าความมืดออกไปที่กำแพงเตี้ย เมื่อครู่นางสาบานได้ว่าสังเกตเห็นอะไรบางอย่างขยับไหวอยู่บริเวณนั้นแลดูคล้ายกับโครงร่างมนุษย์

         หญิงสาวรีบบิดผ้าขึ้นตากทีละตัวแต่ก็หันไปมองรอบด้านด้วยความระแวดระวัง บริเวณนี้เป็นส่วนของนางในซึ่งปกติแล้วผู้ชายจะบุกรุกเข้ามาไม่ได้ แต่ถ้ามีใครคิดไม่ซื่อ ไม้ทุบผ้าในมือนางก็พร้อมจะใช้ป้องกันตัวได้เสมอเช่นกัน

         ไอเย็นยะเยือกแปลกประหลาดคล้ายจะเคลื่อนแผ่วเบามาสัมผัสท้ายทอยนาง ซอฮยอนขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก ไม่แน่ว่าความมืดในวังหลวงกำลังเล่นงานให้เผลอจินตนาการไปถึงเรื่องภูตผีปิศาจ หญิงสาวห่อไหล่ด้วยความหนาวก่อนจะยกมือขึ้นลูบต้นแขน

         มือของซอฮยอนไปทับมือของใครไม่รู้อีกคนหนึ่งที่วางทาบทับบนต้นแขนของนางไว้อยู่แล้ว...

         หญิงสาวสะดุ้งโหยงก่อนจะหันมามอง ฉับพลันก็ถูกมือหนาแกร่งของใครบางคนอุดปากไว้ไม่ให้ส่งเสียง 

         "อย่าร้องนะ!" เสียงบุรุษปริศนาเอ่ยขึ้น

         ซอฮยอนดิ้นขลุกขลักไปมา สักพักชายหนุ่มลึกลับก็ปล่อยมือออก

         "เจ้าปิดปากข้าทำไม" ซอฮยอนแหวทันที

         "ก็เจ้าจะร้อง"

         "ข้าบอกตอนไหนว่าจะร้อง"

         "ผู้หญิงเวลาตกใจก็เห็นหวีดร้องทุกที"

         "ไม่ใช่เลย นั่นเป็นความเข้าใจผิดของพวกผู้ชาย"

         "เราจะเถียงกันอยู่เช่นนี้หรือ"

         "แล้วเจ้าจะมาทำอันใด ถึงข้าจะไม่ใช่นางในเต็มตัวแต่เจ้าเป็นผู้ชายนะ เหตุใดถึงกล้ามาแตะต้องตัวข้าเช่นนี้" ซอฮยอนพูด

         "ข้ามาขอความช่วยเหลือ"

         ซอฮยอนเลิกคิ้วพลางสำรวจชายเบื้องหน้า

         "เจ้าเป็นทหารหรือ"

         "มหาดเล็กรักษาพระองค์ ชื่อโชคังอิน"

         "มหาดเล็กของฝ่าบาทหรือ" ซอฮยอนอ้าปากค้าง

         "มิใช่ แต่นั่นไม่สำคัญ ตอนนี้เจ้าช่วยข้าซักเสื้อตัวนี้หน่อยได้รึไม่" มหาดเล็กโชยื่นฉลองพระองค์ขององค์ชายยิมโฮให้หญิงสาว

         "อะไรนะ แล้วทำไมต้องเอามาให้ข้าซักเล่า"

         "ก็ข้าเห็นเจ้านั่งซักผ้าอยู่พอดี"

         "แล้วเหตุใดถึงไม่ไปให้นางกำนัลซักล้าง"

         "ไปไม่ได้" โชคังอินพูดอย่างร้อนรน "มีเหตุผลจำเป็นที่ให้พวกนางซักไม่ได้ เจ้าช่วยข้าทีเถิด"

         ซอฮยอนหยิบเสื้อมาดู

         "เสื้อใครหรือ" นางถาม

         "นายของข้าเอง"

         "แปลกแท้ แค่เสื้อตัวเดียวทำไมถึงให้คนอื่นซักไม่ได้-- เดี๋ยวนะ" หญิงสาวเพ่งมองเนื้อผ้า "นี่... นี่มันรอยเลือดนี่"

         "ใช่ แต่ฟังข้าก่อน"

         "เอาคืนไปเลยนะ"

         "แม่นาง ได้โปรด"

         ซอฮยอนเหวี่ยงเสื้อใส่มหาดเล็กโช

         "ข้ารู้แล้วว่าทำไมท่านถึงไม่ให้นางกำนัลทั่วไปซักแต่เจาะจงเอามาให้ข้า นายของท่านคงไปทำร้ายใครมาใช่รึไม่ แล้วคงจะเอามาให้ข้าซักทำลายหลักฐานเช่นนั้นหรือ"

         "ไม่ใช่เช่นนั้น"

         "รีบออกไปเสียก่อนที่ข้าจะไปฟ้องซังกุง"

         "เจ้าเข้าใจผิด นี่คือฉลองพระองค์ของยิมโฮแทกุน แล้วพระองค์ก็โดนใส่ร้าย" มหาดเล็กโชร้อง

         ซอฮยอนชะงัก

         "ท่านพูดว่ายิมโฮแทกุนหรือ"

         "ใช่"

         "พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ในงานเลี้ยงหรือ"

         "องค์ชายเสด็จออกมาแล้วและพบว่ามีพวกชั่วคิดไม่ซื่อสร้างสถานการณ์ให้องค์ชายตกเป็นแพะรับบาปฆ่าทูตญี่ปุ่นตาย"

         "อะไรนะ!" ซอฮยอนยกมือขึ้นปิดปาก

         "มีคนญี่ปุ่นสามคนเข้ามาในงานเลี้ยงฉลอง แต่จู่ๆ หนึ่งในสามกลับถูกฆ่าตายข้างตำหนักขององค์ชาย อีกทั้งฉลองพระองค์ในตำหนักองค์ชายก็มีรอยเปื้อนเลือด มันเป็นการจัดฉากชัดๆ ข้าจึงนำมาให้เจ้ารีบซักอย่างไรเล่า"

         "นี่... นี่เป็นเรื่องจริงหรือ"

         "จริงสิแม่นาง ช่วยหน่อยเถิด ถึงไม่เห็นแก่ข้าก็เห็นแก่องค์ชายก็ได้"

         ซอฮยอนยืนนิ่ง เรื่องราวที่ได้รับรู้มันดูเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนจนตั้งตัวไม่ติด 
       
         "แล้ว... แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไร"

         "แค่ซักให้คราบเลือดออกไปให้หมดแค่นั้น"

         "ท่านไม่ได้โกหกข้าใช่รึไม่" ซอฮยอนมิวายสงสัย

         "ข้าพูดจริง แม่นาง"

         ซอฮยอนเหลือบมองฉลองพระองค์ของยิมโฮแทกุนอย่างตัดสินใจไม่ถูก

         





         ประตูตำหนักถูกเปิดออกอย่างแรง นายทหารจากกรมอาญากรูเข้ามาอย่างรวดเร็ว โยชิดะกับฮอนโดเดินตามเข้ามาด้วย ใบหน้าของทั้งคู่แดงก่ำไปด้วยโทสะก่อนจะปรี่ตรงเข้ามาหาองค์ชายยิมโฮ

         "องค์ชาย!" โยชิดะคำราม ตาจ้องเขม็ง "นี่มันอะไรกัน ท่านสังหารแขกบ้านแขกเมืองเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!"

         องค์ชายยิ้มเย็น

         "ท่านตบตาคนเก่งดีนะ รู้อยู่แก่ใจว่าทำไมมาซาฮิโระตายแต่กลับมาถามข้า"

         "ก็พระองค์ฆ่าเขา!" โยชิดะตะเบ็งเสียง

         "ข้าไม่ได้ทำ"

         "ไม่ได้ทำหรือพ่ะย่ะค่ะ! พระองค์ตรัสทั้งๆ ที่ศพสหายหม่อมฉันนอนตายคอแทบขาดอยู่ข้างตำหนักพระองค์เช่นนี้น่ะหรือ!"

         "เรื่องนี้มีแค่เจ้ากับข้าที่รู้ดีว่าอะไรมันเป็นความจริง"

         "หม่อมฉันอุตส่าห์เข้าพิธีไปถวายคำอวยพรแก่องค์ชาย" โยชิดะแสร้งพูดต่อไปโดยไม่สนใจยิมโฮแทกุน "นี่หรือคือสิ่งที่องค์ชายตอบแทนกลับมา หม่อมฉันไม่น่ามาที่นี่เลย เพราะพระองค์มีแรงจูงใจที่จะฆ่าหม่อมฉันกับสหายอยู่แล้ว"

         "เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร"

         "องค์ชายลืมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ว่าพระองค์เคยตรัสไว้ว่าสมัยที่สายลับญี่ปุ่นระบาดทั่วฮันยาง พระองค์ได้จับประหารเสียสิ้น"

         ยิมโฮแทกุนชะงัก ไม่นึกว่าโยชิดะจะเอาคำพูดของเขามาใช้เป็นข้ออ้างในการกล่าวหาได้เช่นนี้

         "หม่อมฉันจะไม่ยอมแน่ เรื่องนี้ต้องถึงฝ่าบาทและองค์จักรพรรดิญี่ปุ่น!" โยชิดะพูดเสียงดัง "หยามหน้ากันชัดๆ"

         "องค์ชาย" ทหารจากกรมอาญาพูดขึ้น "มีช่วงหนึ่งที่พระองค์เสด็จออกจากงานพิธี ตอนนั้นองค์ชายไม่ได้เสด็จกลับตำหนักเดี๋ยวนั้น แต่ทว่าหายตัวไป พระองค์ไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ"

         "ข้าไปตำหนักกลางสวน" องค์ชายตอบ

         "ตำหนักกลางสวน?" นายทหารขมวดคิ้ว "เสด็จไปทำอะไรที่นั่นเวลานั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ"

         ภาพคิมเซจีที่จูงมือตนเองให้ไปยังที่บรรทมฉายวาบเข้ามาในดวงจิต เขาจะตอบไปตามตรงไม่ได้

         "ข้า... ข้าไปพักผ่อนหย่อนใจ"

         นายทหารหรี่ตา

         "ทำไมไม่กลับมาที่นี่เล่าพ่ะย่ะค่ะถ้าประสงค์จะพักผ่อนจริงๆ  องค์ชาย ตรัสความจริงออกมาเสียดีกว่า"

         "นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนทำหรือ"

         "มีแนวโน้มพ่ะย่ะค่ะ"

         "ใต้เท้า" โยชิดะขัดขึ้น "ถามเช่นนี้เปล่าประโยชน์ ข้าคิดว่าควรค้นตำหนักขององค์ชายจะเป็นการดีกว่า ดูจากบาดแผลและเลือดที่ไหลออกมาจากคอของมาซาฮิโระสหายข้า คนที่สังหารเขาต้องมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อแน่ๆ เพราะเลือดต้องกระฉูดยามโดนฟันรุนแรง"

         "แต่ฉลองพระองค์ของยิมโฮแทกุนปกติดีนี่นา" นายทหารตอบพลางเหลือบมองชุดขององค์ชาย

         "ช่วงเวลาที่องค์ชายหายไปมีเหลือเฟือพอที่จะสังหารคนและเปลี่ยนชุดนะใต้เท้า ข้าจึงอยากให้ค้นตำหนักนี้"

         นายทหารจากกรมอาญานิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

         "พวกเจ้าค้นตำหนักให้ทั่ว" เขาหันไปสั่งลูกน้อง ทหารคนอื่นๆ ก้มศีรษะรับคำก่อนจะเริ่มต้นรื้อค้นข้าวของในตำหนักทันที







         ในที่สุดซอฮยอนก็ตัดสินใจคว้าฉลองพระองค์ของยิมโฮแทกุนมาจากมือของโชคังอินก่อนจะแช่ลงไปในกระบะไม้ที่บรรจุน้ำสะอาดไว้เต็มเปี่ยม

         "ก็ได้ ข้าจะช่วย" หญิงสาวพูดเบาๆ

         "ขอบใจเจ้ามากนะ" มหาดเล็กโชกล่าว

         เสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังมุ่งตรงมาหา มหาดเล็กโชชะงักก่อนจะรีบพูด

         "ข้าต้องไปก่อนนะ จะให้ใครเห็นข้าไม่ได้ ตอนเช้าจะมาเอาเสื้อคืนนะ ขอบใจมาก" ซอฮยอนยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไรเขาก็วิ่งหายเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็วเสียแล้ว

         ซุนฮวานั่นเองที่เดินตรงมาหา นางเพ่งตามองซอฮยอนก่อนจะทักด้วยความแปลกใจ

         "ซอฮยอน! ทำไมเจ้าไม่ไปงานฉลอง แล้วนั่นอะไร นี่เจ้ายังซักผ้าไม่เสร็จอีกหรือ!" 

         ซอฮยอนไม่ตอบ

         "นี่เจ้าเป็นอะไรไป งานเลี้ยงเลิกแล้วนะ ทำไมยังนั่งซักผ้าอยู่จนมืดค่ำเช่นนี้เล่า"

         "ซุนฮวา..." ซอฮยอนเรียกช้าๆ

         "ทำไมหรือ"

         "เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกแล้วแหละ"

         "ไม่สำคัญ? เจ้าพูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจ"

         ซอฮยอนเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนสนิทฟังจนจบ เมื่อเล่าจบซุนฮวาก็ถึงกับอ้าปากค้าง นางก้มตัวลงและหยิบเสื้อสีดำในกระบะไม้ขึ้นมาดู

         "นี่น่ะหรือฉลองพระองค์ของยิมโฮแทกุน" หญิงสาวถามเสียงกระซิบ ซอฮยอนพยักหน้า

         ซุนฮวานิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดเสียงดัง

         "นี่เจ้าทำอะไรลงไปรู้ตัวรึไม่"

         "อะไรนะ" ซอฮยอนงุนงง

         "เขาพูดอะไรมาก็เชื่ออย่างนั้นหรือ ถ้านี่ไม่ใช่ชุดขององค์ชาย แต่เป็นของใครไม่รู้ที่ฆ่าหรือทำร้ายคนแล้วอยากทำลายหลักฐานจึงเอามาให้เจ้าซัก เจ้าของเสื้อนี่อาจจะเป็นคนร้ายหรือโจรก็ได้ และต่อให้เป็นขององค์ชายจริง เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์บริสุทธิ์ ไม่ได้ฆ่าทูตนั่นด้วยตัวเอง โธ่ ทำไมเจ้าไม่ปฏิเสธไปนะ นี่ถ้าทหารมาตามหาเสื้อเปื้อนเลือดแล้วเจ้าโดนกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรฆ่าคนนี่ข้าก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ"

         "มหาดเล็กคนนั้นเขาไม่ได้โกหกหรอก" ซอฮยอนส่ายศีรษะ

         "เจ้านี่ช่างอ่อนต่อโลกเสียเหลือเกินนะ" ซุนฮวาพูดเสียงเขียว

         "มีอะไรกันหรือ" นางในชั้นต้นยุนเยนาเดินเข้ามาถาม ซอฮยอนรีบกดเสื้อให้จมลงไปในน้ำเพื่อไม่ให้นางเห็น

         "พี่เยนา" ซุนฮวาร้องทัก "พอดีเราคุยกันอยู่น่ะ พี่เพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงหรือ"

         "ใช่ แต่ข้ามัวคุยกับพวกนางในตำหนักองค์ชายยิมโฮอยู่ รู้รึไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น" เยนาพูด

         "อะไรหรือพี่" ซุนฮวาแสร้งถาม

         "มีคนพบศพทูตญี่ปุ่นโดนฟันคอตายอย่างสยดสยองที่ข้างตำหนักองค์ชาย ดูเหมือนเขาว่ากันว่าองค์ชายเป็นคนลงมือสังหาร"
       
         ซอฮยอนแอบสบตากับซุนฮวา

         "พวกเจ้าไม่ตกใจหรือ" เยนาทักอย่างแปลกใจ

         "ตกใจสิ" ซุนฮวารีบพูด "พอดีกำลังตกตะลึงน่ะ"

         "อย่างนั้นหรอกหรือ เช่นนั้นข้าไปนอนก่อนนะ ง่วงเหลือทน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาถอดจารึกโบราณอีก"

         ซุนฮวายิ้มให้รุ่นพี่ เมื่อยุนเยนาเดินจากไปซอฮยอนก็หันมาพูดทันที

         "เห็นรึไม่ ข้าบอกแล้วว่าขององค์ชาย"

         "แต่ถ้าองค์ชายเป็นคนฆ่าทูตนั่นจริงๆ เจ้าจะตกที่นั่งลำบากไปด้วยนะ หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ" ซุนฮวาเอ่ยอย่างเป็นกังวล

         ซอฮยอนไม่ตอบ ตอนนี้นางกำลังงุนงงกับรอยคราบเลือดบนฉลองพระองค์ของยิมโฮแทกุน

         มันไม่ยอมจางหายไปเลยแม้แต่นิดเดียว...






         ทางด้านตำหนักขององค์ชาย เหล่าทหารค้นจนทั่วก็ไม่พบฉลองพระองค์ชุดใดที่เปื้อนเลือดเลย ยิมโฮแทกุนยิ้มเย็น

         "แล้วอย่างไรต่อเล่า เสื้อเปื้อนรอยเลือดที่กล่าวร้ายข้ากลับหาไม่พบ จะทำอย่างไรต่อไป"

         นายทหารจากกรมอาญาทำสีหน้าอึดอัด ส่วนโยชิดะหรี่ตามององค์ชายอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินหลบออกมายังมุมที่ลับตาคนนอกตัวตำหนัก ฮอนโดเดินตามมาติดๆ

         "ข้านำเลือดไปป้ายฉลองพระองค์ขององค์ชายในตำหนักแล้วจริงๆ นะขอรับ ข้าไม่เข้าใจทำไมถึงหาไม่พบ" ฮอนโดรีบพูด

         "ข้าเชื่อว่าเจ้าทำแล้ว แต่องค์ชายทรงฉลาดนัก เขาต้องเห็นเสื้อตัวนั้นแล้วให้มหาดเล็กคนสนิทนำไปซักแน่ๆ" โยชิดะพูดพลางครุ่นคิด

         "เช่นนั้นแผนเราก็พังน่ะสิขอรับ" ฮอนโดร้อง

         "ไม่หรอก ฉลองพระองค์มีทั้งหมดเจ็ดตัว ถ้าหายไปตัวหนึ่งย่อมผิดสังเกต"

         "แต่ถ้ามหาดเล็กจัดการนำไปซักให้สะอาดเรียบร้อยแล้วนำกลับมาทุกอย่างก็จบอยู่ดีนี่ขอรับ"

         "ไม่ เพราะเลือดที่ข้าให้เจ้าเอาไปป้ายเสื้อตัวนั้นผสมผงขาวลงไปด้วย ไม่ว่าจะซักล้างอย่างไร พยายามแค่ไหน คราบเลือดก็ไม่มีจางหายไปแน่นอน"






    โปรดติดตามตอนต่อไป

         
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×