ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #69 : ออซองเคียงวอน (1) [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.63K
      101
      22 ก.ค. 62

    ตอนที่ 69 ออซองเคียงวอน (1)






         "แต่... แต่สร้อยเส้นนั้น องค์ชายมอบให้นางนะเจ้าคะ" เซจีแย้งขึ้น

         "ข้าว่าไม่ใช่หรอก" ซงฮวันพูดขึ้น

         "เจ้ารู้ได้อย่างไร"

         "เมื่อคืนก่อนซุนฮวาบอกข้าว่านางกับนางกำนัลคนอื่นๆ เคยเห็นซอฮยอนใส่สร้อยเส้นนี้ตอนอาบน้ำเสมอ และเมื่อข้ารำลึกดูดีๆ ก็เหมือนจะจำได้ว่าก่อนจะเกิดเรื่องขององค์หญิงดายอง ซอฮยอนจะมีสร้อยเส้นหนึ่งอยู่กับตัวตลอดจริงๆ เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่ามันถูกร้อยด้วยป้ายหยกที่หัก" ซงฮวันบอก

         "แล้วที่ข้าเห็นเล่า" เซจีร้อง "องค์ชายยื่นสร้อยให้นาง ข้าเห็นกับตา"

         "สิ่งที่เห็นกับความเป็นจริงอาจต่างกัน ไม่แน่ว่าองค์ชายอาจจะอยากทอดพระเนตรก็ได้นะว่าเป็นป้ายหยกอะไร จึงขอให้นางถอดมาให้ดู พอดูเสร็จก็คืนให้" คิมซังกุงกล่าว เซจีนิ่งไป

         "เช่นนั้น ถ้าป้ายหยกนี่เป็นของซอฮยอนแต่แรก นายหญิงคิดว่านางเป็นใครหรือเจ้าคะ" ซงฮวันถาม

         "ข้าว่านางโกหก นางไม่ใช่ไพร่แน่นอน ชนชั้นสูงยังไม่มีทางได้พกป้ายหยกแบบนี้เลยตามคำแปลที่ข้าถอด"

         "นางอาจจะเป็นไพร่จริงๆ ก็ได้นะเจ้าคะแล้วมีคนอื่นให้ป้ายหยกนางมา" ซงฮวันสันนิษฐาน

         "ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องสืบให้รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร" 

         "สืบหรือเจ้าคะ"

         "ข้าพยายามจะไม่สนใจนาง ทว่าตั้งแต่เกิดเรื่องสายลับญี่ปุ่นขององค์ชายเรื่อยมาจนถึงบัดนี้ ซอฮยอนเหมือนจะโผล่เข้ามาทำให้เรื่องต่างๆ มันบิดเบี้ยวอยู่ตลอด ฉะนั้นซงฮวัน ต่อไปนี้จงเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อซอฮยอน"

         "เปลี่ยนท่าที?"

         "ใช่ เจ้าต้องแสร้งทำดีกับนาง แล้วหาทางสืบประวัติมาให้ได้ว่านางเป็นลูกสาวบ้านไหน แล้วเหตุใดจึงมาเป็นลูกบุญธรรมใต้เท้าปาร์ค เจ้าทำได้รึไม่" คิมซังกุงสั่ง

         "ได้เจ้าค่ะนายหญิง" ซงฮวันรับคำก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากเรือนพักซังกุงไป

         "ส่วนเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ จงตั้งใจอ่านหนังสืออย่างเดียวมิฉะนั้นจะเสียสมาธิ" คิมซังกุงบอกหลานสาวตัวเอง

         "นายหญิง ออซองเคียงวอนครั้งนี้ ท่านคิดว่าซอฮยอนจะ--" 

         "ขึ้นมาเทียบขั้นเจ้าหรือ" คิมซังกุงต่อให้จนจบ

         "ใช่เจ้าค่ะ"

         "ก่อนอื่นเลยนะ" คิมซังกุงจ้องหน้าเซจีตรงๆ "เจ้าต้องมีความมั่นใจในตัวเองก่อน ถ้ายังมัวพะวงว่าจะมีคนที่เก่งมาเทียบเจ้า เจ้าเองนั่นแหละที่จะหวั่นไหว เลิกสนใจผู้อื่นเถิด"

         เซจีก้มหน้าลง

         "แต่ถ้าเจ้ากังวลเรื่องซอฮยอนจริงๆ ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่านางไม่มีทางขึ้นมาเทียบเจ้าในการสอบครั้งนี้ได้แน่นอน"

         "ทำไมเล่าเจ้าคะ"

         "ออซองเคียงวอนไม่ใช่เซ็งกักชิ แค่ความจำดีหรือสติปัญญาเป็นเลิศไม่เพียงพอที่จะชนะได้หรอก มันต้องอาศัยหลายๆ อย่างทั้งไหวพริบ การคิดสิ่งใหม่ๆ กระทั่งสร้างสรรค์ผลงานที่แหวกขนบธรรมเนียม"

         "ข้าไม่เข้าใจเจ้าค่ะ"

         "ทุกปีโจทย์ของแต่ละส่วนงานจะต่างกันเสมอ ห้องเครื่อง ห้องเย็บปัก แม้กระทั่งตำหนักใหญ่จะได้รับโจทย์ที่ให้สร้างผลงานชิ้นใหม่ออกมา ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าสนใจสำหรับคนในวัง ทว่ากองงานวรรณกรรม โจทย์จะเหมือนเดิมทุกปีนั่นคือให้เขียนงานวรรณกรรมออกมาชิ้นหนึ่งเท่านั้น เจ้าคิดว่าผลงานประดิษฐ์ใหม่ที่จับต้องได้กับหนังสือโง่ๆ สิ่งไหนคนจะชอบมากกว่ากัน"

         เซจีทำหน้าเข้าใจ "อย่างนี้นี่เอง"

         "นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางกำนัลตำหนักใหญ่ชนะในการสอบออซองเคียงวอนมาตลอดอย่างไรเล่า" คิมซังกุงพูด

         "แล้วรอบสองเล่าเจ้าคะ ออซองเคียงวอนมีสองรอบไม่ใช่หรือ"

         "ไม่ต้องสนใจ รอบสองจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อหาผู้ชนะไม่ได้ และมันไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โชซอนด้วย"

         เซจีพยักหน้าก่อนจะอดนึกถึงซอฮยอนไม่ได้ เพราะถ้าจับสังเกตดูดีๆ ตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้เข้าวังมาก็เหมือนจะสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เมืองโชซอนมาก่อนเหมือนกันมิใช่หรือ...









         ซอฮยอนเหลือบมองจานขนมยักกวา*ในจานที่ซงฮวันยื่นมาให้ด้วยความงุนงง

         "กินไหม อร่อยนะ" ซงฮวันชวนพลางนั่งลงข้างๆ

         "ไม่ล่ะ ขอบใจ" 

         "นี่ กินหน่อยสิ ข้าไม่ใส่ยาพิษหรอก อีกอย่างมันเยอะด้วย เจ้าช่วยข้ากินหน่อยนะ"

         "นายหญิงเคยบอกว่าห้ามเอาของกินขึ้นมาบนเรือนชางวี เจ้าลืมแล้วรึ"

         "ก็ตอนนี้นางไม่อยู่นี่นา"

         "เจ้ากินไปคนเดียวเถิด ข้าจะอ่านตำรา"

         "แหม ขยันตลอดเลยนะเจ้าน่ะ"

         ซอฮยอนไม่สนใจคนข้างกาย นางก้มลงอ่านตำราต่อ ซงฮวันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ

         "อ่านอะไรอยู่หรือ"

         ซอฮยอนหลับตาลงอย่างคนที่ใกล้จะหมดความอดทน นางเงยหน้าขึ้น

         "เจ้าต้องการอะไร"

         "เจ้าหมายความว่าอะไรหรือ" ซงฮวันตีหน้าซื่อ

         "เลิกกวนข้าเสียที"

         "ตายจริง ดูพูดเข้า ข้าแค่อยากเป็นเพื่อนกับเจ้าเท่านั้นเองนะ"

         ซอฮยอนกลอกตา

         "ข้าทำไม่ดีกับเจ้าไว้มาก อยากจะไถ่โทษบ้าง หวังว่าคนใจกว้างอย่างเจ้าคงจะไม่ถือโกรธข้าหรอกนะ"

         "ไถ่โทษด้วยขนมจานเดียวนี่น่ะหรือ"

         "โธ่ เจ้าก็มองว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสิ"

         "ถ้าเจ้าคิดได้จริง อยากเป็นเพื่อนกับข้าจริง ก็จงไปนั่งที่อื่นเถิด ข้าต้องการสมาธิในการอ่านตำรา แล้วก็ยกขนมของเจ้าออกไปด้วย" ซอฮยอนพูดจบก็หันกลับไปสนใจตำราตรงหน้าต่อ ซงฮวันแอบทำสีหน้าไม่สบอารมณ์พลางคิดในใจว่านางคนนี้ใจแข็งนัก 

         ซุนฮวาเดินขึ้นมาบนเรือนชางวี สายตานางจับจ้องไปที่ซอฮยอนก่อนจะชะงักอยู่ชั่วครู่เมื่อเห็นว่านางนั่งอยู่กับซงฮวัน ความเย็นชาปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาวมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเห็นจานขนมยักกวาตรงหน้าคนทั้งคู่ 

         "อ้าว ซุนฮวา เจ้ามาแล้วหรือ มานั่งตรงนี้สิ ข้ากำลังคุยอะไรสนุกๆ กับซอฮยอนอยู่พอดีเลย" ซงฮวันร้องทัก ซอฮยอนเงยหน้าขึ้นมอง

         ซุนฮวากับซอฮยอนสบตากันอยู่ชั่วครู่ ฝ่ายหลังทำท่าจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่างแต่ยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ซุนฮวาก็เมินไปทางอื่นโดยสมบูรณ์ก่อนจะเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไป

         ซงฮวันหรี่ตาลงช้าๆ ก่อนจะหันมองซอฮยอนทีซุนฮวาที

         "เอ๊ะ นี่เจ้าโกรธกันอยู่รึ"

         "ไม่ใช่เรื่องของเจ้า" ซอฮยอนตอบ

         "ทะเลาะเรื่องอะไรกันหรือ" ซงฮวันซักต่อ

         ซอฮยอนไม่ตอบ 

         "ปรึกษาข้าได้นะ พวกเจ้ามีอะไรผิดใจกัน ให้ข้าช่วยไกล่เกลี่ยให้"

         หญิงสาวทนไม่ไหวลุกขึ้นหยิบตำราและเดินลงจากเรือนชางวีไปอย่างรวดเร็ว ซงฮวันยิ้มเยาะก่อนจะพูดขึ้นลอยๆ พลางปรายตาไปทางซุนฮวา

         "สงสัยซอฮยอนไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเรียนเดียวกันกับใครบางคนกระมัง ถึงลุกออกไปเช่นนี้"

         ซุนฮวาซึ่งนั่งเงียบอยู่ได้ยินก็แอบกำหมัดแน่นโดยที่ไม่มีผู้ใดเห็น







    [ต่อจาก 50%]






         พระตำหนักคยองชุงจอนหรือตำหนักกลางเป็นพระที่นั่งอันใหญ่โตโดดเด่นและโอ่อ่ากว่าพระที่นั่งใดๆ ในวังหลังทั้งสิ้น ด้วยเพราะเป็นที่ประทับของประมุขฝ่ายใน คู่ชีวิตของพระราชารวมไปถึงแม่ของแผ่นดิน พระตำหนักจึงตั้งสง่าและคับคั่งไปด้วยข้าราชบริพารทุกระดับชั้นตั้งแต่ทหาร มหาดเล็ก ขันที ซังกุงตลอดจนถึงนางในนางกำนัลทั้งหลาย 

         พื้นหินทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสวางซ้อนกันเป็นแนวยาวสำหรับเป็นทางเสด็จของฝ่าบาทและพระมเหสี กล่าวกันว่ามันเคยทอดยาวจรดตำหนักของฝ่าบาท จนกระทั่งถูกสร้างใหม่ ทางที่ปูด้วยหินจึงสุดสายแค่ซุ้มประตูทางเข้าเขตของตำหนักกลางเท่านั้น  ส่วนอีกด้านก็ทอดยาวไปถึงบันไดหิน

         บันไดหินนี้มีความคล้ายกับพระที่นั่งอึยจองจอนมากที่สุดด้วยจำนวนขั้นบันได เสาหินขนาดเล็กที่เรียงรายโดยรอบดุจฐานทรงพลังรองรับตัวตำหนักด้านบน บริเวณว่างของรอบๆ พระที่นั่งนี้เองจะปรากฏแถวของเหล่าซังกุงและนางในยืนอยู่ ทุกคนยืนก้มหน้าสงบเสงี่ยมไม่ไหวติงอย่างคนที่ถูกฝึกมาดี นางในจะประสานมือกันไว้ด้านหน้า ส่วนซังกุงจะเก็บมือสองข้างไว้ในชายผ้าด้านหน้าของชุดทังอีตน ส่วนทหารในชุดสีแดงสวมหมวกชองริบ(2) มือหนึ่งถือดาบจะยืนอยู่อีกด้านและประจำจุดต่างๆ รวมถึงซุ้มประตูเพื่อรักษาความปลอดภัยทั้งปวง

         เซโจซังกุงเดินตัดลานหินด้านหน้าตำหนักเข้ามาอบ่างรวดเร็ว ในมือถือหนังสือหน้าปกน้ำตาลเล่มหนึ่ง เมื่อขึ้นมาด้านบนเหล่าซังกุงกับนางในก็ก้มหัวให้อย่างพร้อมเพรียง แม้แต่ยุนซังกุงซึ่งเป็นซังกุงประจำพระองค์ของวังบีก็โค้งคำนับให้

         "ช่วยทูลพระมเหสีให้ที" เซโจซังกุงกล่าว

         "พระมเหสีเพคะ ซังกุงปกครองมาขอเข้าเฝ้าเพคะ" ยุนซังกุงกราบทูลเข้าไป

         "ให้นางเข้ามา" พระมเหสีรับสั่ง

         เซโจซังกุงเดินเข้าไปในตำหนักก็พบขันทีในชุดสีเขียวยืนขนาบข้างม่านสีทอง และทันทีที่นางก้าวผ่านม่านก็พบพระมเหสีประทับอยู่ด้านใน โดยที่ด้านหลังเป็นฉากกั้นซึ่งเป็นภาพเขียนรูปดวงอาทิตย์ลอยเหนือภูเขาใหญ่ เซโจซังกุงคำนับชุงจอนมามะแบบเต็มก่อนจะนั่งลงเบื้องหน้าพระพักตร์

         "มีธุระอะไรหรือเซโจซังกุง" พระมเหสีที่วันนี้สวมใส่ทังอีลายมังกรสีแดงสดตรัสถาม

         ซังกุงปกครองวางหนังสือที่ถือติดมือมาวางไว้บนโต๊ะ

         "ตอนนี้ถึงฤดูกาลของออซองเคียงวอนแล้วเพคะ เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันที่จะมาเข้าเฝ้าพระมเหสีเพื่อให้พระองค์ทรงประทานโจทย์การสอบเพคะ"

         "จริงรึนี่" พระมเหสีเบิกพระเนตรกว้าง "นี่ถึงเทศกาลการเลื่อนขั้นจากแนอินเป็นนางในเต็มตัวแล้วสินะ ช่างไวนัก ข้าก็มัวแต่ทำงานจนลืมวันลืมคืนไปเสียสนิท"

         "เพคะ พระมเหสี ได้โปรดทรงประทานโจทย์ให้ด้วยเพคะ" เซโจซังกุงทูล

         วังบีเปิดหนังสือดูก่อนจะทำท่าครุ่นคิดอยู่สักพัก ไม่นานพระนางก็เอื้อมมือหยิบพู่กันจุ่มหมึกในแป้นลายดอกไม้และลงมือเขียนอะไรบางอย่างลงในหนังสือ

         "ว่าแต่เซโจซังกุง การสอบรอบสองเจ้าได้คิดเอาไว้แล้วรึยัง" 

         "ปกติการสอบออซองเคียงวอนมีแค่รอบเดียวเพคะ เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่จะไร้ซึ่งผู้ชนะ"

         "แล้วถ้าหากครั้งนี้เกิดไม่มีผู้ชนะเล่า เจ้าจะทำอย่างไร"

         "พระมเหสี ทำไมถึงตรัสอะไรเช่นนั้นเล่าเพคะ จะมีการสอบอะไรในแผ่นดินบ้างที่ไร้ซึ่งผู้ชนะ"

         "ข้าแค่อยากให้เจ้าลองคิดเผื่อไว้ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนหรอกนะ อีกอย่างโอกาสที่จะไม่มีคนชนะก็น่าจะสูงอยู่ในปีนี้"

         "ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเพคะ" เซโจซังกุงงุนงง

         "แนอินปีนี้มีแววเก่งหลายคน ข้าว่าน่าจะมีอะไรพลิกผันพอสมควร"

         เซโจซังกุงเงียบไป แต่สักพักก็ทูลว่า

         "เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปปรึกษาเรื่องนี้กับใต้เท้าต้นเครื่องนะเพคะ"

         "ท่านไม่ต้องลำบากหรอก" พระนางตรัสพลางยกพู่กันจุ่มน้ำหมึกอีกรอบ "เพราะข้าคิดโจทย์รอบสองเอาไว้ให้เจ้าแล้ว"

         เซโจซังกุงตกตะลึง

         "พระ... พระองค์ทรงคิดไว้แล้วหรือเพคะ"

         "ใช่"

         จากนั้นพระมเหสีก็ตรัสถึงโจทย์รอบสองให้เซโจซังกุงฟัง

         "ชุงจอนมามะ!" ซังกุงปกครองเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าของนางปรากฏความตื่นตะลึงสุดขีด "พระองค์... พระองค์คิดโจทย์แบบนี้ออกมาไม่ได้นะเพคะ"

         "ทำไมรึ"

         "โธ่ พระนางก็รู้อยู่แก่พระทัย ไยต้องย้อนถามหม่อมฉันเพคะ โจทย์อันนั้นมันเกี่ยวพันถึงการเมือง การกบฏและประวัติศาสตร์เมืองโชซอน เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่ควรไม่เป็นหัวข้อการสอบนะเพคะ"

         "นั่นแหละข้าจึงอยากใช้หัวข้อนี้"

         "พระมเหสี!"

         "เจ้าจะหวาดกลัวไปทำไม นี่คือข้อสอบที่แท้จริงซึ่งนางในทุกคนควรรู้"

         "แต่โจทย์แบบนี้มันไม่ได้นะเพคะ ไม่ได้จริงๆ มันล่อแหลมและเสี่ยงกับกระแสสะท้อนกลับของเหล่าราษฎรด้วยนะเพคะ ไหนจะขุนนางขั้วอำนาจเก่าอีก"

         "นี่มันข้อสอบวังหลัง พวกวังหน้าจะมายุ่มย่ามได้อย่างไร"

         "พระมเหสี โปรดถอนรับสั่งคืนเถิดเพคะ"

         "ไม่ เจ้าจงถ่ายทอดคำสั่งลงไปตามนี้ ถ้าผู้ใดขัดข้องก็จงให้มันมาหาข้า"

         "เอ่อ..."

         "ข้าหรือเจ้ากันแน่ที่เป็นมเหสี เซโจซังกุง" วังบีตรัสเสียงเข้ม

         เซโจซังกุงก้มศีรษะลง

         "เอาล่ะ ข้าเขียนโจทย์ให้เจ้าแล้ว จงรีบเอาไปประกาศเถิด"

         ซังกุงปกครองรับหนังสือมาก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกจากตำหนักกลางด้วยสีหน้าวิตกกังวลอย่างยิ่ง
         










         "ทุกคน ทุกคน" นางกำนัลคนหนึ่งวิ่งพรวดพราดเข้ามาบนเรือนชางวี "ว้ายนายหญิง ขอโทษเจ้าค่ะ" นางรีบขอโทษขอโพยเมื่อเห็นเชวซังกุงยืนอยู่หน้าเรือน

         "มีธุระอะไร" นางถามเสียงเขียว

         "คือเซโจซังกุงเรียกประชุมแนอินทุกส่วนงานที่ลานหน้าฝ่ายในเจ้าค่ะ"

         "ประชุมเรื่องอะไรหรือ"

         "นางกำลังจะประกาศโจทย์ข้อสอบออซองเคียงวอนของทุกฝ่ายอยู่บัดนี้แล้วเจ้าค่ะ"

         "จริงหรือ!"

         นางกำนัลในเรือนชางวีทุกคนตกตะลึงก่อนจะหันมาหน้าพูดคุยกันทันที

         "ยังจะนั่งคุยกันอยู่อีก" เชวซังกุงเอ็ดทุกคน "รีบไปสิ"

         นางกำนัลทุกคนต่างลุกฮือและวิ่งแข่งกันออกจากเรือนชางวีมุ่งหน้าไปลานหินฝ่ายในด้วยความรวดเร็ว หลายคนพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นถึงโจทย์ที่จะได้รับ มีเพียงซอฮยอนและซุนฮวาเท่านั้นที่เดินตามไปอย่างช้าๆ ไม่เร่งร้อน

         "ซอฮยอน" เชวซังกุงเรียกก่อนที่นางจะเดินลงไปจากเรือนชางวี

         "เจ้าคะนายหญิง"

         "หลายวันมานี้ข้าเห็นเจ้าไม่คุยกับซุนฮวา ไหนจะนั่งห่างกันด้วย เจ้ามีปัญหาอะไรกันหรือ"

         "เอ่อ ความจริงก็มีนิดหน่อยเจ้าค่ะ"

         "อืม ข้าจะไม่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวแล้วกัน แต่ขอบอกเจ้าไว้อย่าง อย่าให้เรื่องนี้มาทำลายสมาธิในการสอบออซองเคียงวอน การทดสอบครั้งนี้สำคัญอีกทั้งสามารถชี้เป็นชี้ตายอนาคตได้ เพื่อนน่ะโกรธกันเป็นเรื่องธรรมดา เดี๋ยวก็ดีกัน เจ้ารู้ใช่รึไม่" เชวซังกุงเตือน

         "เจ้าค่ะนายหญิง"






         เมื่อแนอินของกองงานวรรณกรรมมาถึงลานหินหน้าฝ่ายในก็ปรากฏแนอินจากส่วนงานต่างๆ เข้าแถวกันอยู่ก่อนแล้ว เซโจซังกุงที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดสูงหน้าลานเพ่งมองมาที่กลุ่มคนมาใหม่อยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า

         "เอาล่ะ ได้เวลาประกาศโจทย์ของแต่ละฝ่ายกันแล้วนะ จงตั้งใจฟังและทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด พวกเจ้าจะมีเวลาเพียงหนึ่งวันหลังจากประกาศโจทย์ และเมื่อหมดเวลา เหล่าซังกุงจะเลือกผลงานสามชิ้นที่ดีที่สุดเพื่อหาผู้ชนะโดยวางผลงานทั้งสามนั้นให้คนในวังได้ชื่นชม ณ กลางลานหินแห่งนี้"

         ทุกคนตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เซโจซังกุงเปิดหนังสือในมือออกและเริ่มต้นอ่าน

         "ห้องเครื่อง... จงทำอาหารที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงเลือดลมของสตรีที่เพิ่งแท้งลูก"

         นางกำนัลห้องเครื่องตกตะลึง

         "ห้องเย็บปัก... จงปักลายมังกรทองบนแถบผ้าแดงที่ส่องประกายได้ในแสงจันทร์"

         คราวนี้บังเกิดเสียงตะโกนวี้ดว้ายด้วยความดีใจมาจากเหล่าแนอินห้องเย็บปัก แสดงว่าโจทย์เข้าทางพวกนาง

         "ตำหนักใหญ่..."

         แนอินประจำตำหนักใหญ่รวมถึงเซจีกลั้นหายใจรอฟัง

         "จงประดิษฐ์ภาชนะที่อำนวยความสะดวกสบายสำหรับฝ่าบาทที่ไม่เคยมีใครประดิษฐ์มาก่อนในโชซอน"

         แนอินตำหนักใหญ่รีบจับกลุ่มพูดคุยกันทันทีอย่างเคร่งเครียด มีเพียงเซจีเท่านั้นที่แอบยิ้ม

         "ห้องซักรีด... จงคิดค้นเตารีดแบบใหม่ที่ไม่ใส่ถ่านไม้ลุกแดงภายในแต่มีความร้อนพอที่จะรีดฉลองพระองค์ให้เรียบได้"

         แนอินห้องซักล้างและซักรีดจับมือกันด้วยความตื่นเต้น

         "ห้องเขียนหนังสือและจดบันทึกสังกัดกองงานวรรณกรรม..."

         บรรดาแนอินกองงานวรรณกรรมและซอฮยอนพากันจ้องมองเซโจซังกุงอย่างลุ้นสุดขีด

         "จง...






    โปรดติดตามตอนต่อไป

         
         

         
    เชิงอรรถ

    (1) ขนมยักกวา หมายถึง ขนมดั้งเดิมของเกาหลีที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ลักษณะเป็นรูปดอกไม้ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำผึ้ง คนเกาหลีเริ่มทานและทำขนมชนิดนี้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ยุคโชซอนทั้งในชิลลาและในโครยอ ยักกวามักทำขึ้นในงานมงคลและเทศกาลต่างๆ




    (2) หมวกชองริบ หมายถึง หมวกของบุรุษในสมัยโชซอน มักสวมใส่โดยเหล่าทหาร ยอดหมวกมีพู่ประดับ ใต้ปีกหมวกจะมีสายที่ร้อยด้วยสิ่งที่คล้ายลูกประคำ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×