ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #8 : ตัวตายตัวแทน [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.69K
      103
      28 เม.ย. 62

                           ตอนที่ 8 ตัวตายตัวแทน






         เหมือนทั้งโลกหมุนเคว้งคว้างกะทันหัน สติพิจารณาคำพูดของผู้เป็นมารดาทีละคำอย่างช้าๆ ราวกับตนเองฟังผิดไป

         "ท่านแม่ ท่านพูดอะไรกัน"

         "พี่สาวเจ้าเสียชีวิตตอนย่ำรุ่งที่บ้านสกุลซิน บ่าวในบ้านพ่อเจ้าแอบมาส่งข่าวให้กับแม่" 

         ฉับพลัน เข่าของซอฮยอนก็อ่อนแรงและทรุดลงกับพื้นทันที "ปะ... เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อคืนนางยังดูแข็งแรงดีนี่เจ้าคะ" 

         ซินฮเยวอนเงยหน้ามองบุตรสาวตนเองอย่างแปลกใจ "เจ้าว่าอะไรนะ นางมาหาเจ้าเมื่อคืนรึ"

         ซอฮยอนพยักหน้า

         "มาหาเจ้าทำไม ด้วยเรื่องอันใด" มารดารีบถาม อีกฝ่ายก้มหน้าไม่ยอมตอบ เพราะรู้ว่าน้ำตาอุ่นๆ กำลังไหลออกมา นางพยายามทำเสียงให้หนักแน่นตอบออกไป 

         "ไว้ข้าจะเล่าให้ท่านฟังทีหลัง ตอนนี้..." บุตรสาวยันตัวลุกขึ้นจากพื้นช้าๆ "ข้าจะไปบ้านสกุลซิน ไปดูให้เห็นกับตาว่านาง... นาง--"

         "พี่เจ้าจากไปจริงๆ ซอฮยอน" ฮเยวอนยืนยันเสียงสะอื้น

         "ข้าไม่เชื่อเจ้าค่ะ พี่ข้าเจ้าเล่ห์นัก นางต้องแกล้งหลอกข้าแน่ๆ" ซอฮยอนพูดทั้งน้ำตา ปากพยายามยกยิ้มให้เป็นเรื่องตลก ทว่าในใจกลับปวดร้าวพอกพูนจนมันกลั่นออกมาเป็นน้ำตาที่อาบแก้มนวล "ข้า... ไม่เชื่อว่านางจะตาย นางจะตายได้อย่างไรกัน ท่านแม่ฟังมาผิดแน่เจ้าค่ะ"

         ซอฮยอนเดินกลับเข้ามาในบ้านก่อนจะเปลี่ยนชุดเป็นชอโกรีสีขาวทั้งตัว แทงกีด้านหลังที่ปกติเป็นสีแดงสดก็เปลี่ยนสีดำสนิท ส่วนมารดาฮเยวอนที่ปกติใส่คาเชบนศีรษะก็ถอดออกและปักปิ่นสีดำตรงมวยผมด้านหลังแทน นางไม่เปลี่ยนชุดฮันบกเพราะแต่เดิมก็ใส่สีขาวอยู่ตลอด เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องด้วยโชซอนจะมีบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่สิ้นพระชนม์บ่อย ไว้ทุกข์คราวหนึ่งก็ใช้เวลาข้ามปีบางทีก็สองปี ประชาชนส่วนมากที่เป็นสามัญชนก็มักใส่ฮันบกสีขาวอยู่โดยตลอดเพื่อจะได้สะดวกเวลามีงานพิธี

         ฮเยวอนขอตัวเดินทางไปที่บ้านสกุลซินก่อนเพราะต้องไปรีบช่วยงาน ด้านผู้เป็นบุตรสาวหลังจากแต่งตัวเสร็จก็ยังคงนั่งอยู่ ภายในใจรู้สึกว่าการตายของพี่สาวต่าวมารดาเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริงอย่างไรพิกล เมื่อคืนฮวารยอนแม้ดูอ่อนล้า แต่นางก็ไม่มีทีท่าว่าจะจากไปอย่างปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้ หรือว่าพิษร้ายที่นางกล่าวถึงจะกำเริบขึ้นมาจริงๆ ความรู้สึกผิดยามนี้วิ่งวนในกายของซอฮยอน ไม่นานหลังจากนั่งนิ่งซึมอยู่สักพักหญิงสาวตัดสินใจเดินทางไปบ้านบิดาแท้ๆ ของตนในที่สุด
         
         ลูกอนุภรรยาใต้เท้าซินเดินออกมาตามถนนผ่านตลาดใหญ่ไปทางบ้านสกุลซินที่ตั้งโดดเด่นอยู่ปลายทาง ไม่นานเรือนหลังใหญ่กว้างขวางพร้อมป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่จารึกด้วยคำว่าสกุลซินก็ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า 

         บ้านที่นางแสนชิงชัง แสนรังเกียจ ในที่สุดนางก็ต้องกลับมา ยามนี้หญิงสาวไม่สนว่าใครจะมองอย่างไร สิ่งที่อยากรู้ตอนนี้คือฮวารยอนนั้นได้จากไปแล้วจริงหรือ

         เสียงคนในรั้วหินสีขาวกำลังพูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบ บางทีก็มีเสียงสะอื้นไห้แว่วออกมา ซอฮยอนรู้ทันทีว่าในงานมีคนมากมายนัก นางหันมองไปที่ทางเข้าก็พบมารดาของตนยืนมองประตูบ้านนิ่งไม่ไหวติง

         "ท่านแม่" ซอฮยอนวิ่งเข้ามาหา "ท่านมายืนทำอะไรตรงนี้เล่าเจ้าคะ เหตุใดถึงไม่เข้าไป"

         ฮเยวอนก้มลงเช็ดหน้ากับแขนเสื้อก่อนจะชี้นิ้วสั่นเทาไปที่ประตูไม้และเอ่ยออกมา

         "พวกเขาไม่ให้แม่เข้าไป"

         "อะไรนะ!" ซอฮยอนอุทานออกมาดังลั่น นางรีบเดินไปผลักประตูไม้ให้เปิดออกทว่ามันกลับลงสลักไว้อย่างแน่นหนาจากด้านใน หญิงสาวรีบยกมือขึ้นทุบประตูทันที

         "นี่ เปิดประตูนะ เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ยังมีแขกยืนตากแดดอยู่ข้างนอก กล้าดีอย่างไรถึงมาปิดประตูเช่นนี้" ซอฮยอนตะโกน

         "ซอฮยอน!" มารดาเรียกด้วยความตกใจ

         "ท่านแม่ถอยไปก่อน นี่มันหยามกันเกินไปแล้ว เปิดประตูสิ เปิดนะ!" หญิงสาวพยายามตะเบ็งเสียง แต่กลับไม่มีอันใดตอบรับนางกลับมาเลย

         ซอฮยอนหันรีหันขวาง ทันใดนางก็ก้มลงคว้ากระถางต้นไม้อันเล็กที่วางประดับตีนกำแพงหินของบ้านสกุลซินขึ้นมาในมือก่อนจะเขวี้ยงโยนข้ามกำแพงเข้าไป

         "ตายจริง!" ฮเยวอนยกมือขึ้นทาบอก

         "เพล้ง!" เสียงกระถางแตกดังมาจากด้านในพร้อมด้วยเสียงเอะอะโวยวาย

         ไม่นานประตูไม้ก็เปิดออก ผู้ชายคนหนึ่งในชุดสีขาวไว้ทุกข์เดินออกมาด้วยท่าทางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

         "ใคร! ใครมันบังอาจทำลายข้าวของในบ้านสกุลซิน" เขาตะโกนอย่างโกรธจัด

         "ข้าเอง" ซอฮยอนยืนเชิดหน้า สองมือเท้าสะเอว

         "เจ้าเป็นใคร" 

         "ข้ากับแม่ข้าจะเข้าไปในบ้าน แต่ประตูกลับปิดไม่ให้เข้า ทำเช่นนี้ไม่ดูถูกกันไปหน่อยหรือ" นางร้องตอบ

         "ที่นี่กำลังมีงานศพ มีแค่ชนชั้นสูงและบรรดาขุนนางเท่านั้นที่จะเข้าไปในพิธีได้ ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปไม่ได้" เขาพูดเสียงเขียว

         "ไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน แม่ข้าคือภริยาใต้เท้าซินเจ้าของบ้านหลังนี้" ซอฮยอนพูดออกมา

         "เจ้าเหลวไหลอะไร ข้าเป็นพ่อบ้านที่นี่มาหลายปี ตัวข้าและใครๆ ย่อมรู้ดีว่าภริยาเอกของใต้เท้าเสียชีวิตไปนานแล้ว เจ้าเอาอะไรมาพูด ใต้เท้าซินเป็นถึงมหาเสนาบดีที่ทำงานใกล้ชิดฝ่าบาท เจ้ากล้าพูดจาลบหลู่หรือ" พ่อบ้านเอ่ยออกมาเสียงดัง

         "แม่ข้าคือซินฮเยวอน ภริยาอีกคนของใต้เท้าซิน ท่านมิรู้หรือ" ซอฮยอนรีบตอบ

         พ่อบ้านนิ่งไปทันทีที่ได้ยิน ทว่าไม่นานเขาก็แหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นจนซอฮยอนผงะไปด้วยความตกใจ

         "ภริยาอีกคนอย่างนั้นหรือ เจ้าหมายถึงอนุภรรยาน่ะหรือ ฮ่าๆ" เขาพูดออกมาอย่างตลกขบขัน "แสดงว่าเจ้าก็คือลูกอนุฯ ซินซอฮยอนสินะ ใช่รึไม่ อืม รูปงามนัก เสียดายเป็นเพียงไพร่"

         ซอฮยอนกำหมัดแน่น 

         "เป็นอนุฯ อย่างนั้นหรือ เป็นแล้วอย่างไรเล่า"

         "เจ้าเสียสติหรือ ไพร่ชั้นต่ำไม่มีทางเข้ามาที่นี่ได้" พ่อบ้านตะโกนใส่หน้า ซอฮยอนเดินเข้าไปหมายมาดจะประจันหน้ากับพ่อบ้าน ทว่าผู้เป็นมารดาคว้าแขนเป็นเชิงห้ามปราม หญิงสาวหันมายิ้มให้ก่อนจะปลดมือมารดาออกและเอ่ยออกมาเบาๆ

         "ท่านแม่โปรดเบาใจเจ้าค่ะ ข้ามิทำอันใดวู่วามแน่เจ้าค่ะ" พูดจบนางก็หันมาถลึงตาใส่พ่อบ้านจอมเข้มงวด

         "ไหนท่านพ่อบ้าน โปรดตอบข้าที ทำไมอนุฯ จะเข้าไปในบ้านสกุลซินไม่ได้"

         "เจ้านี่เขลานัก ชนชั้นต่ำไม่สามารถเหยียบที่พักอาศัยของชนชั้นสูงหากไม่ได้รับอนุญาต"

         "ทำไมจะเหยียบไม่ได้รึเจ้าคะ"

         "เจ้านี่แปลก ข้าก็บอกอยู่ว่าเพราะเป็นชนชั้นต่ำ"

         "แล้วทำไมชนชั้นต่ำจะเข้าไปไม่ได้เจ้าคะ ท่านเอาแต่พูดว่าชนชั้นต่ำเข้าไปไม่ได้ แต่หาเหตุที่จับต้องได้ไม่ได้สักข้อ"

         "ก็เพราะเป็นคนชั้นต่ำ นี่อย่างไรเล่าเหตุผล"

         "ถ้าชนชั้นต่ำเข้าไป ดินจะทลาย ฟ้าจะถล่มรึอย่างไรเจ้าคะ" ซอฮยอนยอกย้อน

         "เจ้านี่บ้านัก ฟ้าจะถล่มได้อย่างไรกัน"

         "นั่นอย่างไรเจ้าคะ แล้วไฉนข้ากับแม่ข้าจึงเข้าไปไม่ได้" หญิงสาวรีบพูด พ่อบ้านชะงักไป

         "เอะอะโวยวายอะไรกัน ข้างในกำลังมีงานเศร้าโศก เหตุใดถึงตะโกนกันโหวกเหวกไม่ให้เกียรติสถานที่เช่นนี้" เสียงเข้มของชายคนหนึ่งที่คุ้นหูดังขึ้น เขาใส่ชุดคลุมของขุนนางสีขาวสำหรับไว้ทุกข์ เอวคาดด้วยเชือกสีดำ ศีรษะประดับหมวกสีดำมีปีกยาวสองข้าง ฮเยวอนและพ่อบ้านรีบก้มหน้าลงทันที

         "ตะ... ใต้เท้าซิน"

         ซอฮยอนยืนตาเบิกค้างมองหน้าบิดาแท้ๆ ของตนเองด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก



                          


                                     
         ความทรงจำครั้งสุดท้ายที่นางเจอเขายังคงตรึงแน่นอยู่ในจิตใจไม่เสื่อมคลาย คราวนั้นฮวารยอนหนีออกมาจากบ้านเพื่อพาซอฮยอนไปตลาดเครื่องประดับ นางซื้อแหวนหยกราคาแพงให้ตนเองวงหนึ่งซึ่งซอฮยอนก็ปฏิเสธเป็นพัลวัน 

         ทว่าฮวารยอนก็ไม่สนใจคำทัดทานใดๆ จากน้องสาว นางจัดการสวมแหวนให้และบอกตนเองว่าจงเก็บรักษาดีๆ ทว่าบรรยากาศอันเป็นสุขในขณะนั้นก็พังทลายลงไปในพริบตา ใต้เท้าซินแอบตามมาจนพบ เขาโมโหและสั่งให้จับตัวฮวารยอนขึ้นเกี้ยวกลับบ้านไปในทันที

         ส่วนซอฮยอนถูกลากไปทุบตีที่กล้าอาจเอื้อมแตะต้องคุณหนูในชนชั้นสูง อีกทั้งถูกใส่ร้ายว่าแหวนหยกนั่นขโมยมาจากฮวารยอน นางพยายามอธิบายว่าพี่สาวต่างมารดาซื้อให้ตน แต่กลับถูกตบหน้าสะบัด ส่วนแหวนก็ถูกถอดออกมาทุบจนแตกละเอียดพร้อมคำเหยียดหยามถึงพวกไพร่ที่แตะของชิ้นใดซึ่งเป็นของชนชั้นสูงก็เท่ากับว่าติดเมือกโคลนอันสกปรก เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ฮเยวอนผู้เป็นมารดาโดนดุด่าอีกทั้งถูกทำลายข้าวของจนต้องพานางย้ายบ้านหนีไปอีกครั้ง

         "ตะ... ใต้เท้าซิน นางสองคนนี้ก็คือ--" พ่อบ้านเอ่ยขึ้น

         "ข้ารู้ว่านางคือใคร" ขุนนางชั้นเอกตอบออกมา สายตาจับจ้องมาที่ซอฮยอน

         "แล้วจะให้พวกนางเข้าไปได้หรือไม่ขอรับ" พ่อบ้านก้มศีรษะถามอย่างนอบน้อม

         ใต้เท้าซินซังซอนยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ สักพักก็หันหลังเดินเข้าบ้านไปและเอ่ยออกมาเสียงเย็น

         "ให้เข้ามาได้ แต่ถ้าเข้ามาแล้วสร้างปัญหา จับโยนออกไปได้เลย"

         ฮเยวอนซุกหน้าก้มลงร้องไห้กับฝ่ามืออย่างร้าวรานใจ ซอฮยอนเวลานั้นรู้สึกถึงความโกรธที่แล่นพล่านไปทั่วกายอย่างรุนแรง นางอยากจะตอบโต้บิดาให้สมกับความเจ็บปวดที่เขามอบให้โดยที่ตนไม่เต็มใจมาตลอดสิบหกปี ทว่าเมื่อเห็นผู้เป็นมารดาร้องไห้เช่นนั้นนางก็รีบเข้ามากอดปลอบก่อนเหนือสิ่งอื่นใด

         "ท่านแม่เจ้าคะ ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ ไม่จำเป็นต้องเสียน้ำตาให้เขา เราเข้าไปในงาน เสียน้ำตาให้กับพระชายาดีกว่าเป็นไหนๆ เจ้าค่ะท่านแม่" ซอฮยอนพูด

         หลังจากมารดาสงบลง ซอฮยอนก็พาเดินเข้าไปในบ้านของสกุลซิน นางเคยมาที่นี่ก็จริงแต่ทว่ายังเยาว์นักจึงทำให้ความโอ่อ่าของสถานที่นี้ดูน่าตื่นตะลึงสำหรับหญิงสาวไม่เปลี่ยนแปลง

         ลานปูนปูด้วยหินทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสสลักลายเรียงสวยเท่ากันทุกก้อน เรือนไม้และพืชพรรณงดงามหายากทอดยาวริมรั้วหินสีขาวดูร่มรื่นเหมาะสำหรับการนั่งพักผ่อนหย่อนใจ ตัวบ้านหลังใหญ่ตั้งอยู่เบื้องหน้าเหนือบันไดหิน ป้ายไม้สลักคำว่าสกุลซินเห็นเด่นเป็นสง่า ห้องหับแบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน ภายในยังมีเรือนอีกหลากหลายตั้งอยู่ถัดไป ซอฮยอนไม่สามารถคาดคะเนเนื้อที่ในบ้านนี้ได้ถูกเลยหากมองด้วยสายตา

         ทว่าลานปูนหน้าบ้านบัดนี้เปลี่ยนไป ผู้คนในชุดสีขาวยืนกันเกลื่อน บริเวณที่คนยืนกันหนาแน่นที่สุดคือปะรำพิธีเล็กๆ ด้านบนคลุมด้วยผ้าสีขาวสลับดำ มีพู่ห้อยลงมา ซอฮยอนสังเกตว่าผ้ายาวสีขาวสลับดำนั้นก็ถูกนำไปติดไว้ที่หลังคาบ้านและป้ายสกุลซินอีกด้วย

         ซอฮยอนและมารดาเดินมาถึงในพิธี นางสังเกตเห็นหลายคนเป็นชาววัง ทั้งนางในและซังกุงในชุดสีขาวมาร่วมพิธีด้วย บางคนคาดจกดูรี(1)สีขาวสนิทไร้ลวดลายเหนือศีรษะ สตรีห้าหกนางยืนก้มหน้าเรียงแถวขนาบสองข้างเพื่อคำนับแขกที่มาเคารพดวงวิญญาณผู้จากไปปรโลก ผู้ชายหลายคนในงานใส่ผ้ากระสอบป่านสีน้ำตาลสำหรับไว้ทุกข์ บนศีรษะประดับหมวกสูงที่มีเชือกร้อยอยู่ตรงริมขอบซึ่งทำจากผ้ากระสอบเช่นเดียวกัน

         ทันทีที่เดินเข้ามาถึงแถวของสตรีที่ยืนก้มหน้า ผู้คนที่ยืนร้องไห้และพูดคุยกันเบาๆ อย่างเศร้าโศกก็เงียบกริบลงทันที ทุกคนค่อยๆ หันมามองและจับกลุ่มซุบซิบกันทันที หลายคนถึงกับมองสองแม่ลูกอย่างเหยียดหยามราวกับเป็นสิ่งโสมมบนพื้นดิน

         "นี่อนุฯ กับลูกสาวใต้เท้าซินที่ชื่อซอฮยอนมิใช่หรือ"

         "ไพร่มาเสนอหน้าอะไรในบ้านขุนนาง"

         "ตายจริง! ทำไมถึงปล่อยให้เข้ามาได้เล่า"

         ซอฮยอนกำมือพลางกัดฟันอย่างอดทนอดกลั้น นางพยายามข่มความรู้สึกอย่างสุดความสามารถ ตนเองนั้นยอมถูกข่มเหงได้ ทว่าหากพูดลามปามถึงมารดาด้วยนั้นย่อมยอมไม่ได้ แต่ฮเยวอนแตะหลังมือบุตรสาวเบาๆ พลางส่ายหน้า 

         "นั่น! ซอฮยอน... ซอฮยอนจริงหรือ" เสียงตะโกนของชายคนหนึ่งร้องขึ้น ทุกคนในงานสะดุ้ง

         ผู้ชายวัยประมาณยี่สิบปีหน้าตาเลิ่กลั่กวิ่งเข้ามาหาซอฮยอนด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าฉายแววปีติยินดี

         "แม่นาง... แม่นางคือซอฮยอนใช่รึไม่" เขาถามลิ้นพันอย่างดีใจในอะไรสักอย่าง

         "ใช่เจ้าค่ะ ท่านเป็นใครหรือ เหตุใดถึงรู้จักข้า" ซอฮยอนถามอย่างงุนงง

         "ข้าชื่อฮยองพัน เป็นบัณฑิตในสำนักศึกษาชางยง ข้ามิรู้จักเจ้าดอก หากแต่เคยอ่านงานของเจ้า"

         "งานข้ารึ" ซอฮยอนเลิกคิ้ว

         "ใช่ ก็เจ้าเป็นคนเขียนเรื่อง 'ผจัญอาเพศโบราณ' มิใช่หรือ"

         "นี่ท่านเคยอ่านงานข้าด้วยหรือ"

         "อ่านสิ ข้าชอบงานเจ้ามาก โดยเฉพาะตอนที่คังมยอลสู้กับเสือบนภูเขาคึมกัง ตอนนี้ประทับใจข้ามาก แม่ข้าก็ชอบ ยังบ่นกับข้าอยู่เลยว่าเรื่องนี้ชนชั้นไพร่เป็นผู้เขียนจริงหรือ"

         "จริงรึนี่ เป็นความจริงหรือ ข้าดีใจที่ท่านชอบ ไม่นึกว่าชนชั้นสูงจะอ่านงานของข้าด้วย" ซอฮยอนพูดอย่างตื้นตัน

         "อ่านสิ งานเขียนหาได้แบ่งชนชั้นวรรณะดอกแม่นาง แต่ข้าใคร่สงสัย เจ้าจะแต่งเล่มสองต่อรึไม่เรื่องนี้ ข้าอยากอ่านต่อ"

         ซอฮยอนหันไปยิ้มกับมารดา

         "ตรงนี้มีอะไรกันรึ" ใต้เท้าซินเดินเข้ามา ทุกคนรีบแหวกทางทันที

         "เหตุใดถึงส่งเสียงดัง ข้าบอกไปแล้วมิใช่หรือว่าอย่าเข้ามาแล้วเสียมารยาท" เขาพูดขึ้น ทุกคนก้มหน้าลง ซอฮยอนเงยหน้าจะพูดทว่าฮยองพันชิงเอ่ยขึ้นก่อน

         "พอดีข้าเจอคนเขียนหนังสือที่ข้าชื่นชอบจึงส่งเสียงดังไป ขออภัยด้วยขอรับ นางเป็นผู้หญิงแต่ทว่าสามารถเขียนหนังสือออกมาได้งดงามจับจิตนัก ไม่แพ้ผู้ชาย เหล่าบัณฑิตบางคนยังใช้งานนางประกอบการศึกษาด้วยซ้ำ" 

         "นาง? เจ้าหมายถึงใคร" ใต้เท้าซินถาม

         "ซอฮยอนคนนี้อย่างไรขอรับ" ฮยองพันผายมือมาที่หญิงสาว

         ใบหน้าเย็นชาหันมามองซอฮยอนช้าๆ ด้วยความแปลกใจ คิ้วขมวดอย่างนึกสงสัย ซอฮยอนสาบานได้ว่าแววตาที่บิดาตนมองมานั้นเจือปนความรู้สึกทึ่งและภาคภูมิใจไม่น้อย

         "เป็นหญิงแต่จับพู่กันเขียนตำรารึ อย่างไรก็สู้ผู้ชายไม่ได้" เขาพูดออกมาอย่างไม่แยแส

         ความรู้สึกปลาบปลื้มในใจซอฮยอนพังทลายลงทันที ความน้อยใจพุ่งพรวดขึ้นมาเป็นก้อนสะอื้นที่ลำคอ 


         ผู้เป็นมารดาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบจูงมือลูกสาวเข้ามาเคารพป้ายวิญญาณพี่สาว ซอฮยอนกล้ำกลืนความรู้สึกหม่นหมองให้หล่นกลับไปในก้นบึ้งแห่งใจและหันหน้ามาสู่งานพิธีของอดีตพระชายา


         ป้ายบูชาดวงวิญญาณสลักชื่อซินฮวารยอนตั้งอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ที่วางด้วยอาหาร ขนมหวาน รวมถึงผลไม้มากมาย เทียนสีขาวที่ยังไม่จุดไฟแท่งใหญ่ยักษ์ตั้งขนาบสองข้างของโต๊ะ ด้านหน้ามีไหทองเหลืองลวดลายสวยงามตั้งอยู่ ภายในจุดไฟกรุ่น ฮเยวอนและซอฮยอนเดินไปหยิบเปลือกไม้บางเรียวยาวมาคนละหนึ่งกำมือก่อนจะโปรยเข้าไปในไหทองเหลือง ควันสีขาวลอยฟุ้งออกมาตามด้วยกลิ่นหอม

         ทั้งสามคำนับป้ายวิญญาณสามหน ฮเยวอนนั้นน้ำตานองหน้า ส่วนซอฮยอนไม่มีน้ำตาสักหยด ไม่ใช่ว่าไม่เสียใจแต่ทว่าเป็นความจุกแน่นในอก จะพูดก็พูดไม่ออก

         "อนุฯ นางนี้ทำไมร้องไห้ราวกับฮวารยอนเป็นลูกแท้ๆ อย่างนั้นเล่า ข้าได้ยินว่านางเป็นคนฆ่าเมียเอกด้วยมิใช่หรือ" ฮูหยินคนหนึ่งพูดขึ้น

         ซอฮยอนเกือบจะหันไปโต้ฮูหยินคนนั้น ทว่าก็ฉุกใจตามคำพูดของนาง หญิงสาวหันไปมองมารดาที่นั่งร่ำไห้ลงกับพื้นราวกับหัวอกแตกสลายด้วยความแปลกใจ

         "ซอฮยอน" บ่าวคนหนึ่งของใต้เท้าซินวิ่งออกมาหา ซอฮยอนหันไปมองก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

         "ใต้เท้าซินเรียกพบเจ้า" บ่าวผู้นั้นพูด หญิงสาวสังเกตว่าบ่าวเรียกนางในฐานะไพร่ หาใช่ในฐานะลูกสาวขุนนางใหญ่

         "ท่านมหาเสนาบดีมีอะไรกับข้าหรือ" ซอฮยอนเลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อบิดาของตนเช่นกัน

         "ใต้เท้าซินอยากหารือกับเจ้าเรื่องตัวตายตัวแทน"




    โปรดติดตามตอนต่อไป



    เชิงอรรถ


    (1) จกดูรี หมายถึง เครื่องประดับศีรษะขนาดเล็กคล้ายกล่องผ้าสีดำทรงกลมมุมเหลี่ยม ตรงกลางยุบลงเล็กน้อยวางด้วยเครื่องประดับกระจุกกระจิกเช่นลูกปัด, หยกชิ้นเล็กๆ จกดูรีจะมีสายคาดกับศีรษะ ถ้าเป็นงานศพจกดูรีจะเป็นสีขาวไร้ลวดลาย (การสวมใส่จกดูรีอย่างเป็นทางการเริ่มใช้ในสมัยพระเจ้ายองโจหลังพระองค์ประกาศยกเลิกการใส่คาเชบนศีรษะ)




    (การสวมใส่จกดูรี)

         

         

       



         
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×