ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #91 : ข้อเสนอจากเซจาพิน [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.23K
      64
      20 ส.ค. 62

    ตอนที่ 91 ข้อเสนอจากเซจาพิน








         "คือว่า... หม่อมฉัน... ไม่แน่ใจเพคะ" ซอฮยอนกล่าวออกมา

         "เจ้าเป็นอะไรกัน" องค์ชายยิมโฮขมวดคิ้วอย่างสงสัย "จู่ๆ ก็ทำหน้าเหมือนตกใจอะไรรุนแรง ทำไม หวางจื่อห้าวพูดจาไม่ดีใส่เจ้ารึ"

         "ไม่ใช่เพคะองค์ชาย"

         "แล้วเกิดอะไร--"

         "องค์ชาย!" ทหารในชุดแดงวิ่งขึ้นมาบนเรือนรับรอง "ท่านทูตพร้อมจะคุยกิจธุระแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

         ยิมโฮแทกุนยืนขึ้นพลางพยักหน้ากับเหล่าข้าราชบริพารก่อนจะเดินตามทหารนายนั้นลงไปจากเรือนรับรองโดยมีใต้เท้าสองสามคนติดตามไปด้วย

         "ท่านไม่ไปกับองค์ชายหรือ" ซอฮยอนที่เหมือนจะหายจากอาการตกใจแล้วหันไปถามมหาดเล็กโชคังอิน

         "การพูดคุยธุระและกิจการบ้านเมืองอย่างเป็นทางการจะทำในตำหนักที่มิดชิดและรโหฐานพอสมควร ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ก็มีเพียงองค์ชายและใต้เท้าสองสามท่าน ข้าเข้าไปไม่ได้เพราะจัดเป็นเรื่องงาน ไม่ใช่การเลี้ยงรับรองเมื่อครู่ อย่างมากข้าก็ได้แต่ถวายอารักขาหน้าห้องเท่านั้น"

         ซอฮยอนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

         "ตอนนี้เจ้าก็กลับกองงานวรรณกรรมได้แล้วนะ ไม่มีอะไรแล้ว เพราะจะมีนางในจากตำหนักกลางมาช่วยงานแทน"

         "แล้วองค์ชาย..."

         "องค์ชายทรงพระปรีชา พระองค์เอาอยู่แน่นอน" โชคังอินกล่าว

         "แต่ว่า... ข้ายังไม่อยากกลับเจ้าค่ะ"

         "อะไรนะ"

         "ข้ายังไม่อยากกลับตอนนี้"

         "ทำไมเล่า บทเรียนเจ้าก็ยังไม่จบ ไฉนจึงไม่รีบกลับไป"

         "เอ่อ" ซอฮยอนบีบมือไปมา "ข้าอยากอยู่ที่นี่มากกว่า"

         "เจ้ามีอะไรใช่ไหม" โชคังอินกล่าวอย่างรู้ทัน "ข้าเห็นอาการเจ้าแปลกๆ ตั้งแต่ท่านทูตโมโห เจ้ามีอะไรกันแน่"

         "ข้าเองก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะใต้เท้า"

         มหาดเล็กคนสนิทขององค์ชายมองหญิงสาวอย่างแปลกใจ แต่เขารู้ดีว่าถ้านางไม่บอก อย่างไรนางก็ไม่มีทางบอก จึงเลิกเซ้าซี้และสั่งให้แนอินคนอื่นจัดการเก็บกวาดบนเรือนรับรองให้เรียบร้อย











         ผ่านไปสักพัก คณะทูตก็เดินออกจากตำหนักเพื่อไปยังเรือนพักส่วนตัว ส่วนองค์ชายก็เดินออกมาพร้อมใต้เท้าของตน พระพักตร์นั้นเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด เขาเรียกประชุมขุนนางทันทีและให้จดบันทึกทุกอย่างที่เขาได้ทำการสนทนากับหวางจื่อห้าวไปส่งในวัง

         "ต้าหมิงเปิดพรมแดนธรรมชาติให้คนโชซอนสามารถเดินทางได้อย่างอิสระแล้ว ส่วนท่าเรือทางเหนือก็เลิกตรึงทหารอย่างเป็นทางการ" องค์ชายประกาศ

         "หวางจื่อห้าวรับรองเรื่องนี้แน่นอนหรือพ่ะย่ะค่ะ" ใต้เท้าวอนกี ขุนนางฝ่ายบุ๋นด้านการปกป้องประเทศทูลถาม

         "ใช่ ฮ่องเต้ต้าหมิงก็ทรงรับรองมาพร้อม"

         "ปกติพรมแดนธรรมชาติบริเวณนั้นไม่ว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรต้าหมิงก็ไม่เคยเปิดอิสระมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ วันนี้เหตุใดถึงเปิดได้" ใต้เท้าอีกคนกล่าวขึ้น

         "นั่นสิ หม่อมฉันได้ยินกิตติศัพท์ความเจ้าเล่ห์เพทุบายของหวางจื่อห้าวมานาน ไม่คิดว่าตัวจริงจะอ่อนหัดเช่นนี้ มีอย่างที่ไหนให้สิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการไปอย่างง่ายดายโดยไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน" ใต้เท้าวอนกีกล่าว

         องค์ชายยิ้ม

         "พวกท่านยังไม่รู้เท่าทันหวางจื่อห้าว"

         ทุกคนนิ่งเงียบ

         "หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ"

         "การที่เอาให้ในสิ่งที่เราต้องการมาแบบนี้ นี่แหละคือแผนเหนือเมฆของเขา"

         "เหนือเมฆ?"

         "พรมแดนธรรมชาติแห่งนั้นปกติถ้าชาวโชซอนจะผ่านต้องเสียทรัพย์สินเพื่อเป็นค่าผ่านทาง ซึ่งเราเองก็อยากให้ต้าหมิงเปิดอย่างอิสระมาตลอด และถ้าพวกท่านตรองดู หากหวางจื่อห้าวต้องการแลกเปลี่ยนกับอะไรที่มีค่าของเราเพื่อเปิดพรมแดน เรายังพอจะเลือกได้ว่าควรแลกรึไม่ ถ้าไม่คุ้มกันก็ปฏิเสธ ซึ่งต่อให้ปฏิเสธไป พรมแดนก็ยังเก็บค่าผ่านทางดุจเดิม"

         "แต่สิ่งที่หวางจื่อห้าวทำคือ ยกเลิกพรมแดนนั้นให้เป็นอิสระก่อนเลยโดยไม่ร้องขอข้อแลกเปลี่ยน นั่นมันไม่ได้หมายถึงการมัดมือชกฝ่ายเราหรือ มันคือการการันตีว่า 'ข้าให้ท่าน ท่านต้องให้ข้า' อย่างไม่บิดพลิ้ว"

         ทุกคนตกตะลึงเมื่อองค์ชายยิมโฮตรัสจบ ใต้เท้าวอนกีตั้งสติได้คนแรกจึงรีบทูลถามว่า

         "แต่แล้วอย่างไร เขาให้เรามาก่อน ไม่จำเป็นว่าจะได้จากเราเหมือนกันนี่พ่ะย่ะค่ะ เรายังสามารถปฏิเสธได้"

         "ถูกต้อง เราปฏิเสธได้" องค์ชายพยักพระพักตร์ "แต่คนในวังรวมถึงฝ่าบาทจะคิดอย่างไร พรมแดนที่เราถวิลหามานานอยู่แค่เอื้อมแต่กลับไม่คว้าเอาไว้ พวกท่านคิดว่าเสียงตำหนิจากคนในวังและเหล่าราษฎรจะมากมายเพียงไหน หวางจื่อห้าวรู้เท่าทันเราในจุดนี้จึงใช้วิธีนี้เล่นงานเรา ที่สำคัญ เขาบอกว่าถ้าไม่ตกลง พรมแดนนั้นจากที่เก็บแค่ค่าผ่านทางจะเป็นปิดถาวรและเป็นของต้าหมิงโดยสมบูรณ์"

         ใต้เท้าทุกคนนั่งนิ่งตัวแข็ง ไม่นึกไม่ฝันว่าต้าหมิงจะใช้วิธีนี้เพื่อเรียกร้องสิ่งที่ตนอยากได้

         "แล้ว... แล้วหวางจื่อห้าวได้บอกรึไม่พ่ะย่ะค่ะ ว่าเขาต้องการอะไรแลกเปลี่ยน" ขุนนางคนหนึ่งถามขึ้น

         "เขาต้องการแร่หินดำ(1)ร้อยหีบ" ยิมโฮแทกุนตรัสตอบ

         "อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ!" หลายคนในห้องแทบจะผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ "แร่หินดำร้อยหีบ! เขาขออะไรของเขา"

         "ข้ารู้" องค์ชายตรัสเสียงเบา "ข้อนี้แหละที่ข้าคิดหนัก"

         "เราต้องปฏิเสธ!" ขุนนางหน้าอ่อนคนหนึ่งร้อง

         "ปฏิเสธรึ!" ใต้เท้าวอนกีหันไปตะคอก "แล้วก็ให้เขาปิดพรมแดนเป็นของตัวเองอย่างนั้นหรือ"

         "แต่โชซอนเราช่วงนี้ขาดแคลนแร่หินดำมาหลายปีแล้วนะท่าน เหมืองแร่ตอนนี้ก็มีแต่ดินขาว จะหาแร่หินดำจากไหนไปให้ ที่มีอยู่ตอนนี้ก็แทบจะไม่พอใช้ในโชซอนกันอยู่แล้ว"

         "ท้องพระคลังกับในวังมีเท่าใด" ใต้เท้าวอนกีถาม

         "รวมกันยังไม่ถึงสิบหีบเลยขอรับ"

         "ท้องพระคลังเราจะแตะไม่ได้" องค์ชายตรัสขึ้น "นั่นเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ของฝ่าบาท"

         "แต่ว่า--"

         "ข้าพอมีทางอื่นที่จะหาแร่หินดำมาได้" 

         "องค์... องค์ชายมีวิธีหรือพ่ะย่ะค่ะ" หลายคนร้องถาม

         "ใช่" ยิมโฮแทกุนลุกขึ้นยืน "แต่ก่อนอื่นข้าต้องเข้าวังก่อน -- โชคังอิน" องค์ชายตรัสเรียกมหาดเล็กคนสนิท ผู้ถูกเรียกเดินเข้ามาในห้องก่อนจะก้มศีรษะคำนับ

         "แม่นางซอฮยอนกลับวังไปแล้วใช่รึไม่"

         "เอ่อ ยังพ่ะย่ะค่ะ"

         "ทำไมนางยังไม่กลับ"

         "คือนางบอกว่าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ"
         
         ยิมโฮแทกุนขมวดคิ้ว "หมายความว่าอย่างไรอยู่ต่อ แล้วนี่นางอยู่ที่ไหน"

         "หม่อมฉันเห็นเดินอยู่แถว--" โชคังอินพูดไม่ทันจบ ทหารยามในชุดสีแดงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาก่อนจะทูลองค์ชายด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักว่า

         "องค์... องค์ชาย แม่นางคนนั้น คนที่ประชันกลอนกับท่านทูต กำลัง... กำลังไปขอพบหวางจื่อห้าวตามลำพังตัวต่อตัวพ่ะย่ะค่ะ"

         "อะไรนะ!"











    [ต่อจาก 50%]






         ซอฮยอนเดินลัดเลาะมาตามแนวพุ่มไม้หน้าเรือนพักของท่านทูตหวางจื่อห้าว นางพยายามแฝงกายไม่ให้ทหารของต้าหมิงสังเกตเห็น แต่ปัญหาคือ ตนเองจะเข้าพบท่านทูตได้อย่างไร

         คราวแรก ซอฮยอนแสร้งบอกทหารเหล่านั้นว่าองค์ชายมีรับสั่งให้มาแจ้งข่าว แต่กลับถูกปฏิเสธเพราะท่านทูตกำลังพักผ่อน หญิงสาวคิดจะใช้วิธียกสำรับอาหารเข้าไปแต่ก็เปลี่ยนใจเพราะดูทีท่าว่าพวกทหารต้าหมิงน่าจะรู้ทัน

         จนแล้วจนรอดก็ต้องมายืนขาแข็งเกร็งอยู่ในพุ่มไม้เพื่อหาจังหวะเข้าไปในเรือนท่านทูต นางไม่รู้ว่าแอบในนี้อยู่นานเท่าใด แต่ในที่สุดการเฝ้ารอก็สัมฤทธิ์ผล ทหารต้าหมิงค่อยๆ เดินออกไปเฝ้าที่ประตูอีกด้านคล้ายจะเปลี่ยนเวรยาม

         ซอฮยอนอาศัยช่องโหว่นี้พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ ชอโกรีสีแดงของนางเกี่ยวพันกับกิ่งไม้จนยุ่งเหยิงไปหมด เมื่อจัดการแกะออกเสร็จเรียบร้อยก็ค่อยๆ ย่องไปที่หน้าเรือนพักท่านทูตพลางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง

         หญิงสาวหรี่ตาไปที่ประตูโครงไม้กรุกระดาษบานหนึ่งก่อนจะเอาหูแนบฟังเสียงข้างใน...

         "ซอฮยอน!" 

         เสียงเรียกชื่อทำเอานางสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันมาหาคนเรียก ยิมโฮแทกุนเสด็จมาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ พระพักตร์คมเข้มนั้นคล้ายจะมีอาการกริ้วแฝงอยู่ 

         "องค์ชาย!" หญิงสาวตกตะลึง "เบาๆ สิเพคะ" ซอฮยอนกระซิบก่อนจะทำภาษามือบอกให้ลดเสียงลง

         องค์ชายยิมโฮแทบกุมขมับกับสตรีผู้นี้ แทนที่จะตกใจว่าถูกจับได้เพราะแอบมาหาท่านทูต นางกลับหันมาสั่งให้เขาเงียบเสียงลงอีก... เป็นผู้หญิงประเภทใดกัน

         "เจ้ามาทำอะไรที่นี่" ยิมโฮตรัสถามเสียงเข้ม "แล้วเหตุใดต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ"

         "หม่อมฉันแค่อยากจะมาพบท่านทูตเพคะ"

         "พบทำไม"

         "หม่อมฉันบอกไม่ได้เพคะ"

         องค์ชายเผลอคว้าต้นแขนของหญิงสาวมาเขย่าอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่

         "ซอฮยอน! เจ้าพอเสียที เลิกทำตัวแบบนี้ได้แล้ว!"

         "องค์ชาย" หญิงสาวตกตะลึง "ทรงเป็นอะไรไปเพคะ"

         "เจ้านั่นแหละเป็นอะไร เหตุใดถึงชอบหาเรื่องใส่ตัวนัก คนอื่นเขาอยูกันสงบๆ มีเจ้าคนเดียวที่เอาแต่วิ่งเข้าใส่ปัญหา"

         "องค์ชายทรงหมายถึงอะไรเพคะ"

         "บนเรือนรับรอง เจ้าต่อกลอนโดยไม่คิด อีกทั้งยังรับประชันกับหวางจื่อห้าวด้วย"

         "ทูตคนนี้ดูถูกพวกเรานะเพคะ ทั้งยังลบหลู่ใต้เท้าแชของข้าด้วย หม่อมฉันไม่ยอมหรอกเพคะ"

         "แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเสนอตัว แล้วนี่อะไร ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ มาขอพบท่านทูตตามลำพัง เจ้าเสียสติรึ"

         "เสียสติอย่างไรเพคะ"

         "เจ้าเป็นสตรี และเป็นนางในด้วย จะเข้าพบบุรุษตัวต่อตัวในห้องหับรโหฐานได้อย่างไร คนอื่นจะติฉินนินทาเอาได้"

         "ใครก็จะพูดก็พูดไปเพคะ เจตนาหม่อมฉันดีเสียอย่าง"

         "ถ้าเจตนาดี ทำไมข้าถามเจ้าถึงไม่ยอมบอกเล่า เหตุใดจึงเก็บงำความกับทุกอย่างไว้กับตัวตลอด"

         "เพราะ... เพราะว่าหม่อมฉันยังไม่พร้อมที่จะบอกเพคะ"

         "แต่สิ่งที่เจ้าทำก็ไม่ถูก ไม่ว่าอย่างไรท่านทูตก็ไม่มีทางจะให้นางในเข้าพบหรอก เลิกหวังเสียเถอะ อีกอย่างนะ เรือนนี้ไม่ใช่เรือนพักท่านทูตหวางจื่อห้าว"

         "อะไรนะเพคะ!"

         "ท่านทูตอยู่เรือนใหญ่กว่านี้ เรือนนี้ไม่มีคนพักอยู่ด้วยซ้ำ ทหารจึงไม่รัดกุมอย่างไรเล่า"

         ซอฮยอนทำหน้าจะเป็นลม นางทนยืนขาแข็งในพุ่มไม้ตั้งนานเพื่ออะไรหนอ

         "เอ่อ องค์ชายปล่อยหม่อมฉันได้แล้วกระมัง" หญิงสาวกล่าวออกมาอย่างเก้อเขิน ยิมโฮแทกุนเพิ่งรู้สึกพระองค์ว่ากำลังจับต้นแขนซอฮยอนอยู่ทั้งสองข้างก็รีบปล่อยมือ

         "เอ่อ ถ้าเช่นนั้น" องค์ชายตรัสเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอันน่าอึดอัดเมื่อครู่ "เจ้าจะกลับวังเลยรึไม่ ข้าเองก็จะเข้าวังด้วย"

         "เข้าวัง?" ซอฮยอนขมวดคิ้ว "พระองค์ไม่ต้องดูแลท่านทูตแล้วหรือเพคะ"

         "ต้องดูแลสิ ที่เข้าวังไปก็ธุระของท่านทูตนี่แหละ"

         "หวางจื่อห้าวต้องการอะไรเพคะ"

         ยิมโฮแทกุนเผลอถลึงตาใส่หญิงสาว

         "เจ้านี่อย่างไรนะ รู้ดีไปเสียหมดทุกเรื่อง"

         "ทูตต้าหมิงมาโชซอนทีไร ถ้าไม่มาขอ ก็มาแลกเปลี่ยนนี่เพคะ"

         "ชาติที่แล้วเกิดเป็นขุนนางในกรมที่ดูแลเรื่องระหว่างอาณาจักรรึ"

         "เปล่าเพคะ แค่หัดอ่านหนังสือ"

         ซอฮยอนยิ้มก่อนจะเดินนำหน้าองค์ชายออกไปจากหน้าเรือนพัก ลียิมโฮมองตามอย่างรู้สึกหมั่นเขี้ยวกับสตรีผู้นี้มากขึ้นทุกวัน










         ดอกไม้สีสดใสหลากหลายสายพันธุ์ถูกจัดเรียงอย่างทะนุถนอมใส่แจกันลายมังกรใบใหญ่ มือบอบบางสีขาวดุจงาช้างบรรจงลิดใบที่ดูเทอะทะออกเพื่อต้องการขับให้บุปผาทั้งหลายชูช่อสวยงาม นางเพ่งมองพลางหมุนแจกันไปรอบด้านเพื่อดูว่าลงตัวแล้วหรือไม่

         "เจ้าว่าสวยรึยัง โอซังกุง" 

         "เพคะพระชายา งดงามมากเพคะ"

         "ยกยอเก่ง งดงามอย่างไร มีใบเหี่ยวอยู่ตรงนี้" ผู้ถูกเรียกว่าพระชายาเด็ดใบเหี่ยวออกจากก้านอย่างอารมณ์เสีย

         "ขอทรงอภัย หม่อมฉันแก่แล้ว หูตาฝ้าฟางเพคะ" โอซังกุงทูล

         พระชายาตวัดสายตามองซังกุงประจำตัวอย่างไม่ชอบใจ

         "เลิกพูดมากได้แล้ว รีบเอาแจกันนี่ไปไว้ที่ตำหนักองค์รัชทายาท ถึงสวามีข้าจะไม่อยู่ในวังแต่ข้าก็ไม่อยากให้ตำหนักตงกุงไร้ชีวิตชีวา"

         "เพคะ พระชายา"

         "พระชายา" เสียงจากนางในหน้าตำหนักร้องขึ้น "องค์ชายยิมโฮขอเข้าเฝ้าเพคะ"

         พระชายาฮยอนจองชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเหลือบมองไปยังประตูตำหนัก

         "เชิญเข้ามาได้"

         ยิมโฮแทกุนก้าวเข้ามาในตำหนักก่อนจะทำการคำนับให้ประมุขฝ่ายในของเซจากุง โอซังกุงรีบยกแจกันดอกไม้ออกไปช้าๆ อย่างรู้หน้าที่

         "นั่งก่อนสิองค์ชาย" เจ้าของตำหนักเอ่ยอนุญาต

         ร่างสูงค่อยๆ นั่งลงเบื้องหน้าพระชายา

         "เป็นอย่างไร เหตุใดวันนี้ถึงมาหาข้าได้" ฮยอนจองตรัสถาม

         "ตรัสเช่นนี้แสดงว่าหม่อมฉันบกพร่องในการหมั่นเข้าเฝ้าสินะพ่ะย่ะค่ะ" องค์ชายยิ้ม

         เซจาพินหัวเราะออกมานิดหนึ่ง

         "ข้าไม่ได้จะกล่าวเช่นนั้น เจ้าเองก็มีเรื่องวุ่นวายมากมาย ตั้งแต่เรื่องอดีตพระชายาฮวารยอน ไหนจะเรื่องสายลับนิจิฮง"

         "ใช่พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ที่ยุ่งเหยิงที่สุดคงจะเป็นเรื่องทูตจากต้าหมิง"

         ฮยอนจองเซจาพินยกชาในจอกขึ้นจิบ

         "อย่าโทษข้าเลยนะที่จู่ๆ ให้เจ้าไปทำหน้าที่นี้แทนรัชทายาท ข้ากับซองแจเห็นพ้องต้องกันว่าถึงเวลาแล้วที่จะให้เจ้ามีส่วนร่วมในราชกิจของฝ่าบาทบ้าง เพื่อสั่งสมประสบการณ์และเป็นกำลังสำคัญเมื่อสวามีข้าขึ้นเป็นพระราชา" เซจาพินกล่าวโดยเน้นประโยคสุดท้าย

         "หม่อมฉันก็หลงเข้าใจผิดอยู่นานว่าพระชายาเป็นคนออกความคิดนี้เองเพราะองค์รัชทายาทตอนนี้ไม่ได้อยู่ในวัง" ยิมโฮแทกุนตรัสทีเล่นทีจริง

         มุมปากของฮยอนจองกระตุกขึ้นนิดหนึ่ง

         "กล่าวอะไรเช่นนั้น ข้าไม่กล้าก้าวก่ายหรอก"

         "เช่นนั้นก็น่าแปลก เพราะนางในที่คอยดูแลการต้อนรับคณะทูตรวมถึงนางในประจำตำหนักหม่อมฉันกลับถูกใครบางคนเรียกตัวไปอย่างปัจจุบันทันด่วนเลยทีเดียว"

         "แปลกอย่างไรรึ"

         "ก็นางในเหล่านั้นต่างพากันมาที่ตำหนักพระนางอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ"

         "โธ่" เซจาพินแกล้งโบกมือกลบเกลื่อน "โอซังกุงต่างหากที่เรียกพวกนางมา ไม่ใช่ข้า นางก็คงอยากเรียกมาทบทวนระเบียบนางในกระมัง"

         "เช่นนั้นก็น่าบังเอิญนัก เพราะวันที่นางในถูกเคลื่อนย้ายเป็นวันเดียวกับที่คณะทูตเดินทางมาถึงตำหนักแทเพียงพอดี"

         ฮยอนจองส่ายศีรษะ

         "แย่จริงๆ เลยโอซังกุง ดูทีรึ เรียกนางในตำหนักแทเพียงมาอบรมในวันที่ท่านทูตมา ข้าจะลงโทษนางให้หนักทีเดียว ทำให้เจ้าลำบากไปด้วย"

         องค์ชายยิ้มเย็น คิดในใจว่าผู้หญิงตรงหน้าช่างร้ายกาจนัก โยนความผิดให้ซังกุงตนเองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้อย่างหน้าไม่อาย

         "ข้าจะถือว่าสิ่งที่โอซังกุงทำข้าเองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ ฉะนั้นองค์ชายสามารถขอรับการช่วยเหลือจากข้าได้หากติดขัดประการใด" เซจาพินกล่าวเสียงนุ่ม "และแน่นอนว่าการที่องค์ชายมาหาข้าถึงตำหนักแสดงว่ามีปัญหาบางประการกับท่านทูตสินะ"

         "พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทก็ไม่อยู่ จึงมีเพียงพระชายาเท่านั้นที่พอช่วยข้าได้ เพราะพวกท่านนั้นทำหน้าที่ต้อนรับทูตมานานจึงอยากขอคำชี้แนะด้วย"

         "เช่นนั้นก็ว่ามาได้"

         "ท่านทูตจะเปิดพรมแดนธรรมชาติที่เก็บค่าผ่านทางให้กลายเป็นพรมแดนอิสระพ่ะย่ะค่ะ"

         "จริงรึนี่" เซจาพินเบิกตากว้าง "ถือเป็นข้อเสนอที่น่าเย้ายวนใจเอามากๆ หวังว่าเจ้าจะรับมันไว้นะ"

         "พ่ะย่ะค่ะ แต่ทางเขาเองก็ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน"

         "อะไรหรือ"

         "แร่หินดำร้อยหีบพ่ะย่ะค่ะ"

         เซจาพินนิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยต่อว่า

         "นี่คือสาเหตุที่เจ้ามาหาข้าสินะ เพราะแร่หินดำนี่เอง"

         "พ่ะย่ะค่ะ โชซอนเราขาดแคลนแร่ชนิดนี้ เหมืองแร่ของทางการก็มีแต่ดินขาว ในท้องพระคลังหม่อมฉันก็ไม่คิดจะใช้อยู่แล้ว แต่ทว่าตระกูลของพระชายามีเหมืองแร่สำหรับขุดแร่หินดำโดยเฉพาะถึง 5 แห่ง และทุกแห่งก็ได้รับสัมปทานจากทางการเป็นรายเดียวและผูกขาดกับราชสำนักอีกด้วย"

         "ดูเจ้ารู้ถ่องแท้ถึงตระกูลข้าดีเหลือเกินนะ"

         "ไม่หรอกพ่ะย่ะค่ะ รู้แค่ว่านอกจากเหมืองแร่แล้ว ตระกูลท่านก็ยังมีโกดังและถ้ำบนเขาสำหรับเก็บแร่หินดำไว้อีกมากมาย" องค์ชายตรัส

         ฮยอนจองเซจาพินจ้องหน้าชายหนุ่มแน่นิ่ง

         "อืม... เจ้าคงอยากให้ข้าช่วยเจ้าแก้ปัญหาสินะ"

         "พ่ะย่ะค่ะ"

         "แต่มันตั้งร้อยหีบ หาใช่น้อยๆ เลยนะ"

         "พระนางเพิ่งตรัสให้ข้าตกลงรับข้อเสนอเรื่องเปิดพรมแดนไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ แค่แร่หินดำร้อยหีบ หม่อมฉันว่าพระองค์ไม่น่าจะมีอะไรเดือดร้อน"
         
         "ที่เจ้าพูดมันก็ถูก แค่ร้อยหีบไม่น่าจะกระเทือนถึงกิจการเหมืองแร่ของตระกูลข้าหรอก แต่ทว่ากำไรนั้นจะหดหายไปพอสมควร"

         "พระนางจะเอาเงินตรามาเป็นข้อต่อรองกับเรื่องสำคัญของชาติรึพ่ะย่ะค่ะ"

         "ไม่ใช่กับชาติ แต่กับเจ้า"

         ยิมโฮเงียบไป

         "ถ้าพระนางจะคิดเป็นตัวเงิน ก็คิดมาพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันพร้อมจะ--"

         "ข้าไม่ได้ต้องการเงินตรา ยิมโฮ" เซจาพินเอ่ย "แต่ข้าแค่อยากเห็นเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้"

         องค์ชายยิมโฮขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

         "ข้ามีข้อเสนอจะให้เจ้า หรือเจ้าจะมองว่ามันเป็นข้อแลกเปลี่ยนก็แล้วแต่จะคิด แต่ข้ามั่นใจว่าข้อเสนอข้านั้นเจ้าเองจะไม่เสียอะไรเลย มีแต่จะได้เท่านั้น"

         "แล้วข้อเสนอของพระองค์คือ" ลียิมโฮตรัสถาม

         "ข้าจะให้เจ้ามีพระชายา"

         "อะไรนะ!" 

         "เจ้าฟังถูกแล้ว"

         "พระองค์ตรัสอะไรออกมาพ่ะย่ะค่ะ พระชายาอะไรกัน" ยิมโฮแทกุนร้องออกมาอย่างไม่เข้าใจ

         "อดีตพระชายาฮวารยอนก็จากไปสักพักหนึ่งแล้ว เจ้าควรจะมีพระชายาใหม่เสียที"

         "แต่เรื่องนี้มันเป็น--"

         "เรื่องของพระมเหสีที่จะจัดการใช่รึไม่" เซจาพินต่อให้จนจบอย่างรู้ทัน "ชุงจอนมามะเองก็มีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ ที่ข้าทำนี่คือแบ่งเบาภาระให้พระนางนะ เจ้าเองก็เป็นอนุชาขององค์รัชทายาทลีซองแจ แม้จะคนละมารดาแต่ก็ถือว่าเป็นสายพระโลหิตเดียวกัน และข้าในฐานะพระชายาขององค์รัชทายาท ก็มองเจ้าไม่ต่างจากน้องชายคนหนึ่งเลยนะ"

         "ทว่าเรื่องพระชายาไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันต้องใช้เวลาและความเหมาะ--"

         "เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก" ฮยอนจองเซจาพินพูดขัดองค์ชายอีกครั้ง "เพราะข้าเล็งเห็นคนเหมาะสมพอที่จะเป็นพระชายาให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว"

         "อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ!"

         "นางก็คือคิมเซจี หลานสาวของคิมซังกุงซึ่งเป็นซังกุงรับบัญชา"







    โปรดติดตามตอนต่อไป
         



    เชิงอรรถ


    (1) แร่หินดำ หมายถึง แร่ดินสอดำ หรือที่รู้จักกันในชื่อแกรไฟต์
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×