ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Naruto] เล่ห์ราชา [END]

    ลำดับตอนที่ #26 : CHAPTER 22 : จุดเริ่มต้นของความเจ็บปวด (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.18K
      158
      17 พ.ย. 57

    บทที่ 22 จุดเริ่มต้นของความเจ็บปวด (100%)

     

     

                ภาพชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินเคียงคู่กันเข้ามาภายในเขตล็อบบี้ล้วนสะกดสายตาของคนที่อยู่ในบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดีเพราะคนที่กำลังเดินหน้าเจื่อนจืดเข้ามานั่นน่ะธรรมดาเสียเมื่อไหร่ ทุกคนต่างรู้ว่าร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีเหลืองทองที่สะท้อนเด่นมาแต่ไกลก็คือแม่ทัพใหญ่แห่งกลุ่มบริษัทอุซึมากิคอร์เปอเรชัน

     

    อุซึมากิ นารูโตะ

    หนึ่งในตัวเต็งของผู้เข้าร่วมประมูลสัมปทานในครั้งนี้

     

                แต่สิ่งที่ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันระงมคงไม่ใช่แค่เพราะตัวเต็งในการประมูลปรากฏตัวเพียงอย่างเดียว หญิงสาวที่เดินควงคู่กันมานั้นก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน บรรดานักธุรกิจชายทั้งหนุ่มทั้งแก่ต่างจ้องมองกันตาเป็นมันเพราะรัศมีความสวยที่ชวนให้หลงใหล ยิ่งเห็นเธอเดินเคียงคู่มากับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเพลย์บอยอันดับต้นๆอย่างอุซึมากิ นารูโตะ ความน่าสนใจในตัวเธอก็เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ

     

                อุซึมากิ นารูโตะ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ยังคงฮอตเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะคะ ว่ามั้ย? แถมวันนี้ก็ยังควงสาวสวยมาอวดซะด้วยสิ” เสียงหวานใสถามคนที่กำลังมองตาค้าง ซาสึเกะยืนนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง ไม่รับรู้สิ่งที่คนข้างกายพูดเลยสักนิด

     

    เธอ...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

     

                ร่างสูงคิด ดวงตาสีรัตติกาลยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างบางเจ้าของเรือนผมสีชมพูที่กำลังทำท่าทางเหมือนตื่นกลัวอะไรบางอย่าง และเขาก็รู้เสียด้วยว่าเธอกำลังกลัวอะไรอยู่...

     

    ก็กลัว เขา ยังไงล่ะ

     

                ซาสึเกะขบกรามแน่นราวกับกำลังระงับอารมณ์โกรธที่กำลังพุ่งพล่านเพราะเห็นคนที่ควรจะรอเขาอยู่ที่ห้องกลับมาเดินเฉิดฉายอยู่กับศัตรูหมายเลขหนึ่งของเขา เธอทำแบบนั้น... ทั้งๆที่เมื่อเช้าเขาก็พูดไปชัดเจนแล้วว่าไม่ให้เธอมางานนี้ พูดชัดแล้วว่าให้รอเขาอยู่ที่ห้องแล้วเขาจะไปรับหลังจากเสร็จงาน

     

    เขาจำได้ว่าเขาย้ำแล้ว...

     

    และเขาก็จำได้ว่าเขาเตือนแล้ว...

     

    เตือนแล้วว่าไม่ให้เธอไปอยู่ใกล้ผู้ชายคนไหนอีก!!!

    แล้วสิ่งที่เขากำลังเห็นอยู่มันคืออะไร!?!

    ไอ้ภาพที่เดินเกาะแข้งเกาะขาจนแทบจะสิงกันได้มันคืออะไร!?!

     

    .

    .

    .

     

                ด้านคนที่กำลังหวาดกลัวเพราะดันไปขัดคำสั่งประกาศิตของราชาก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้คนที่เธอต้องการจะหลบเลี่ยงกำลังใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธมองเธออยู่ หญิงสาวได้แต่เดินก้มหน้าก้มไม่กล้าสบตากับใครอาศัยเพียงเดินตามแรงดึงที่มือซึ่งเจ้านายของเธอถือวิสาสะมาจับไว้ตั้งแต่ลงจากรถหน้าโรงแรม

     

                “พี่ไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าไอ้บ้านั่นมันจะคอแข็งขนาดนั้น รู้แบบนี้ไม่น่าไปท้ามันดวดเหล้าเลย ให้ตายสิ!” เสียงบ่นพึมพำของร่างสูงที่เดินนำหน้าทำให้คนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตามาตลอดทางเงยหน้าขึ้นมอง แม้จะเห็นใบหน้าหล่อเหลานั่นเพียงเสี้ยว แต่ร่องรอยที่แสดงออกถึงความอิดโรยของเขาก็ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด

     

                “ไหวรึเปล่าคะ พี่นารูโตะ” ซากุระถามออกไปอย่างเป็นห่วง

     

                “ฮื่อ พี่ไม่เป็นไรหรอกครับ ชินแล้วล่ะกับไอ้อาการแฮงค์แบบนี้น่ะ” ร่างสูงตอบเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา “แต่ก็เกือบแย่เหมือนกันนะ นี่ถ้าเราไม่โทรไปปลุกพี่ล่ะก็มีหวังคงได้ชวดงานนี้แหง”

     

                “ทีหลังก็อย่าไปดื่มเหล้าในคืนก่อนมีงานสำคัญแบบนี้สิคะ พี่น่ะมาในฐานะตัวแทนของบริษัทนะ มาทำตัวสำมะเหลกเทเมาแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน” เธอดุ แต่คนถูกดุก็ดูไม่ได้จะสำนึกอะไรเลย ร่างสูงหัวเราะร่าก่อนจะชูมือขึ้นทั้งสองข้างราวกับยอมแพ้

     

                “คร้าบๆ” เขาพูดก่อนจะย่นจมูกเหมือนกำลังขัดใจ “แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่ พอเห็นหน้าเจ้าซาสึเกะทีไรพี่ก็อยากจะเอาชนะมันทุกที...”

     

    ร่างบางไม่รับรู้ว่านารูโตะพูดอะไรต่อจากนั้น เพราะจิตใจของเธอถูกดึงให้จดจ่ออยู่กับคำเพียงคำเดียวที่อีกฝ่ายเพิ่งเอ่ยออกมา

     

    ซาสึเกะ...

     

    แค่ได้ยินชื่อของเขาน้ำตาที่กักเก็บไว้ก็ทำท่าจะไหล เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อยังคงติดอยู่ในหัวของเธอมาจนถึงตอนนี้ เป็นความทรงจำที่เธอไม่มีวันลืม...

     

    ไม่มีวันลืมว่าเขา...โหดร้ายเหลือเกิน...

     

    เธออยากจะหนีจากเขา

     

    ไม่อยากอยู่ใกล้เขาอีกแล้ว เธอไม่อยากปวดใจ ไม่อยากทรมานมากไปกว่านี้ เขาเหมือนของล้ำค่าที่เธอไม่อาจแตะต้อง คือคนที่เธอไม่กล้าแม้จะฝันถึง เธออยากจะไปให้พ้นๆจากเขาเสีย เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น...หัวใจจอมทรยศของเธอมันอาจจะไปอยู่กับเขา ไปให้เขาได้เหยียบเล่นแบบที่เขาชอบทำ

     

    แต่มันก็คงไม่ทันแล้ว...

     

    เพราะเธอ...

    รักเขาไปแล้ว

     

    ซากุระไม่เข้าใจว่าความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นจากตรงไหน เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพอรู้ตัวอีกทีเขาก็กลายเป็นคนที่มีผลต่อหัวใจของเธอ เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนโหดร้าย เขาถนัดในเรื่องการสร้างความทรมานใจซึ่งสามารถฆ่าคนให้ตายทั้งเป็นได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไร

     

    เขาโหดร้าย...

    เรื่องนั้นเธอรู้ดี

     

    แต่เขามีเสน่ห์...

     

    แม้ว่าวันแรกๆที่เธอเข้าไปอยู่บ้านหลังนั้นจะถูกคนป่าเถื่อนคนนั้นทำร้ายสารพัดแต่หลังจากวันที่เขาจับเธอขังห้องน้ำเขาก็ไม่ได้มายุ่งกับเธออีกเลย เขาทำเหมือนว่าเธอเป็นแค่ก้อนอากาศ เขาอยู่ของเขา เธออยู่ของเธอ ต่างคนต่างทำเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน ไม่สิ คงมีแต่เขาคนเดียวที่คิดแบบนั้น เพราะฝ่ายเธอที่ต้องคอยหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขาก็จำเป็นที่จะต้องแอบมองเขาอยู่ทุกวันเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงเขาได้ถูกที่ถูกทาง โดยเฉพาะในวันหยุดที่เธอไม่ต้องไปทำงาน เธอจะได้เห็นเขาแทบทุกอิริยาบถ แม้จะได้มองจากมุมมืดๆมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน แต่เธอก็เห็นเขา...

     

    เห็นเสน่ห์ของเขาที่ทำให้คนอื่นต่างพากันหลงใหล...

     

    เขาเป็นคนเก่ง ฉลาด และแสนจะเจ้าเล่ห์ เขามักจะเด็ดขาดและจริงจังกับงานอยู่เสมอ เขาไม่เคยไปทำงานสาย ไม่เคยกลับบ้านก่อนสองทุ่ม เขาชอบโทรสั่งงานลูกน้องตอนดึกๆดื่นๆ เขาไม่เคยนอนก่อนเที่ยงคืน เขาตื่นหกโมงเช้าทุกวัน เขาเป็นคนสะอาดและระเบียบจัด เขาไม่ยอมให้บ้านมีฝุ่น เขาไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในบ้านของตัวเอง เขาชอบเก็บตัวอยู่บนชั้นสามบางครั้งก็ค้างคืนที่นั่น เขาดื่มกาแฟไม่ใส่นมไม่ใส่น้ำตาล เขาไม่ชอบของหวาน  และเขา... เขาเป็นผู้ชายที่เธอจดจำได้ทุกรายละเอียด

     

    ทุกอย่างมันคงจะเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ตอนนั้น...

     

                การที่ต้องเห็นเขาอยู่ทุกวัน... การที่ต้องได้ยินเสียงของเขาอยู่ทุกคืน... มันคงจะทำให้คนที่ไม่เคยได้ใกล้ชิดผู้ชายคนไหนมาก่อนอย่างเธอหวั่นไหว ทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเขามันอาจจะทำให้เธอกลัวจนตัวสั่นแต่ในขณะเดียวกัน...ก็รู้สึกมีความสุข เธอหลงเสน่ห์ของเขาเข้าอย่างจัง หลงไปทั้งๆที่ไม่ได้รู้ตัวอะไรเลย

     

    แต่พอเธอรู้ตัว

    มันกลับทำให้เธอเจ็บปวด

    เพราะเธอรู้ดี...

     

    ว่ามันเป็นไปไม่ได้

     

                นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธออยากออกจากบ้านของเขา เธอก็แค่ไม่อยากถลำลึกมากไปกว่านี้ แค่ต้องตัดใจเรื่องเด็กที่เธอต้องยกให้เขาเธอก็คงทรมานแทบตาย ถ้าต้องให้มาตัดใจจากเขาอีก

     

    เธอต้องตายแน่ๆ

     

    แต่สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ตามมากักขังเธออีกจนได้ ผูกมัดเธอ... ด้วยบ่วงที่เรียกว่าความสัมพันธ์ทางกาย

     

    ซากุระรู้ดีว่าเธอไม่มีวันหนีเขาไปไหนพ้น

    แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยายามจะหนี...

    ให้เธอได้เจ็บน้อยลงก็ยังดี...

     

                และทางหนีจากเงื้อมมือของเขาที่เธอพอจะมองเห็นในตอนนี้ก็คืออยู่ใกล้เจ้านายของเธอให้มากที่สุด เธอรู้ดีว่าคนที่ห่วงภาพพจน์ของตัวเองอย่างซาสึเกะไม่มีทางยอมปล่อยให้คนอื่นมาล่วงรู้ความสัมพันธ์ของเขากับเธอแน่นอน เขาคงไม่กล้ามาชิงตัวเธอทั้งๆที่เธอยังเกาะติดอยู่กับนารูโตะแบบนี้

     

    ขอให้เธอได้หนีหน้าเขาไปสักพัก

    ขอแค่ไม่ต้องเห็นหน้ากันทุกวัน

     

    ขอแค่ให้เธอ...ตัดใจได้ก็พอ...

     



                “ซากุระ ซากุระจัง...” เสียงเรียกเบาๆของคนที่เดินนำหน้าทำให้เธอกลับสู่ปัจจุบัน หญิงสาวหันมองคนเรียกเลิกลั่ก

     

                “คะ?”

     

                “เป็นอะไรน่ะ”

     

                “...”

     

                “เห็นหน้าซีดๆมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ไม่สบายรึเปล่าครับ” ร่างสูงถามอย่างเป็นห่วง ก่อนจะกระชับมือที่จับให้แน่นขึ้นไปอีก เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าอุณหภูมิที่มือของเธอสูงผิดปกติ

     

                “ปละ...เปล่าค่ะ อ๊ะ!” ร่างบางตอบก่อนจะอุทานอย่างตกใจเมื่อคนถามใช้มือหนาๆของตนแตะเข้าที่หน้าผากของเธอโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว

     

                “ทำไมตัวร้อนแบบนี้ล่ะ!?!” นารูโตะพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน ใบหน้าหล่อคมดูเครียดเขม็งขึ้นมาทันที

     

    “ฉันไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบเสียงอ่อย ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสายตาที่ดูจับผิดของอีกฝ่าย “ดูเหมือนว่าเค้าจะเรียกผู้ร่วมสัมปทานเข้าไปในห้องแล้วนะคะ เราไปกันเถอะ”

     

    “...”

     

    ร่างสูงไม่ตอบอะไรเพียงแต่ใช้สายตาอันแสนคมกริบของตัวเองมองสำรวจคนข้างกายอย่างละเอียด ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่ใบหน้าของเธอก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้านวล เสียงของเธอดูอ่อนแรงลงเรื่อยๆแต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยังฝืนทำตัวเข้มแข็ง

     

    “เรา...รีบๆไปกันเถอะค่ะ”

     

    “...”

     

    “นะคะ...”

     

    “ไปโรงพยาบาลกัน” นารูโตะพูดขึ้นในที่สุด ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลจ้องมองคนตัวเล็กกว่าอย่างเป็นห่วง เขาเองก็พอจะสังเกตได้ตั้งแต่ตอนที่เจอเธอเมื่อเช้าว่าเธอมีอาการเหมือนคนป่วย แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ได้แสดงอาการอะไรมากไปกว่าใบหน้าที่ดูซีดเซียวเขาจึงยอมให้เธอตามมาที่งาน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้แค่หน้าซีดเสียแล้ว ทั้งร่างกายที่ร้อนเหมือนไฟกับท่าทางที่ดูอิดโรยนั่นก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้เธอกำลังป่วย... และก็ดูเหมือนจะหนักเสียด้วย

     

     “ไปเถอะ เดี๋ยวพี่พาไป” ร่างสูงพูดย้ำก่อนจะออกแรงดึงมือเธอไปที่ทางออก หญิงสาวพยายามขืนตัวไว้เมื่อเห็นท่าทางที่ดูเอาจริงของเจ้านาย

     

    “ฉันไม่เป็นไรจริงๆค่ะ!” เธอตอบกลับเสียงดัง ก่อนจะผ่อนเสียงลงเมื่อเห็นสายตาแข็งๆของนารูโตะ “ฉัน...ไม่อยากทำให้บริษัทเสียหาย”

     

    “...”

     

    “เรา... เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ” เธอพูดพร้อมกับอ้อนวอนเขาทางสายตา และพอเห็นเธอทำแบบนั้นฝ่ายคนถูกอ้อนก็ใจอ่อนยวบยาบเหมือนขี้ผึ้งถูกไฟลน

     

    เขาแพ้สายตาของเธอจริงๆ...

     

    “ดื้อจริง” นารูโตะบ่นก่อนจะถอนหายใจอย่างยอมจำนน “เอางั้นก็ได้ครับ แต่ถ้าไม่ไหวเมื่อไหร่ก็รีบบอกพี่นะ”

     

    พูดจบร่างสูงก็เดินจูงมือคนป่วยไปยังห้องที่จัดไว้สำหรับให้ผู้ร่วมประมูลยื่นซองประมูล หญิงสาวก้าวขาเดินตามเจ้านายของตนไปอย่างช้าๆแต่อาการปวดตุบๆที่ศีรษะก็ทำให้เธอไม่อาจทรงตัวเอาไว้ได้ ร่างบางเกาะแขนคนข้างๆเพื่อยึดเป็นหลัก

     

     “หืม? จู่ๆเกิดมาหลงเสน่ห์อะไรพี่ล่ะ เกาะแขนซะแน่นเชียว” ร่างสูงแซวเมื่อเห็นว่าคนข้างๆออกแรงบีบแขนของตนจนรู้สึกเจ็บ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับของคนข้างกาย มิหนำซ้ำเขายังรู้สึกว่ามือที่เคยเกาะแขนเขาแน่นค่อยๆผ่อนแรงลงไป และโดยไม่ทันได้ตั้งตัวร่างเล็กที่เคยเกาะแขนเขาไว้ก็ล้มพับลงไปกองที่พื้นทั้งอย่างนั้น นารูโตะเบิกตากว้างมองภาพนั้นอย่างตกใจก่อนจะทรุดตัวลงข้างๆเธอ ร่างสูงเขย่าตัวคนที่นอนหมดสติเบาๆพร้อมกับส่งเสียงเรียก

     

    “ซากุระ... ซากุระ!

     

    .

    .

    .

     

                ภาพตรงหน้าทำให้ใครคนหนึ่งซึ่งยืนดูเหตุการณ์ทุกอย่างใจหล่นวูบ รู้สึกปวดแปลบในใจอย่างบอกไม่ถูก ทำไมล่ะ...ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ถ้าเป็นเมื่อก่อนต่อให้เธอร้องไห้ลงไปดิ้นพลาดต่อหน้าเขาเขาก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว... แค่เห็นเธอล้มลงไปต่อหน้าต่อตา...

     

    หัวใจของเขา...

    ก็แทบสลาย...  

               

                ความรู้สึกบางอย่างในใจสั่งให้ร่างสูงก้าวขาเข้าไปหาคนที่นอนหมดสติ ไปแย่งเธอมาจากคนที่กำลังตะโกนเรียกชื่อของเธออยู่ แล้วบอกให้มันรู้ว่าเธอเป็นของเขา มันไม่มีสิทธิ์แตะต้อง ไม่มีสิทธิ์มามองเธอด้วยสายตาแบบนั้น ไม่มีสิทธิ์มาจับมือถือแขน ไม่มีสิทธิ์...

     

    เขาอยากจะทำแบบนั้น...

    อยากจะทำแบบนั้น...

     

    แต่เขา...

    ก้าวขาไม่ออก...

     

                ต่อหน้าคนใหญ่คนโตในวงการธุรกิจแบบนี้เขาไม่กล้าพอที่จะเข้าไป เขาไม่พร้อมที่จะตอบคำถามใครว่าคนที่กำลังนอนหมดสตินั่นเป็นอะไรกับเขา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นความลับต่อไป ความลับซึ่งจะให้ใครล่วงรู้ไม่ได้ เพราะภาพพจน์ของเขา... คือความเป็นความตายของธนาคาร

      

                “อ้าว นั่นซาสึเกะคุงไม่ใช่เหรอ” เสียงทุ้มๆของชายคนหนึ่งเรียกเขา ร่างสูงหันมองไปยังต้นเสียงก็พบกับชายวัยกลางคนที่แต่งกายดูภูมิฐาน  

     

    ฟุรุคาวะ คาสึจิ

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

     

                “เดินหาอยู่ตั้งนานที่แท้ก็มาอยู่กับลูกสาวฉันนี่เอง”

     

                “สวัสดีครับ” ซาสึเกะทักทายผู้อาวุโสกว่าด้วยท่าทีที่สุขุมนอบน้อมผิดกับในใจที่กำลังว้าวุ่น

     

                “เดินหาตั้งนานอะไรล่ะคะคุณพ่อ เมื่อกี้หนูยังเห็นคุณพ่อคุยอยู่กับประธานฟุเสะอยู่เลย” คารินพูดพลางหรี่ตามองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาจับผิด “นี่คงไม่ได้ไปแอบเตี๊ยมอะไรกันหรอกนะคะ”

     

                “ทำพ่อเสียผู้ใหญ่แล้วมั้ยล่ะลูกคนนี้ เดี๋ยวซาสึเกะคุงก็เข้าใจพ่อผิดกันพอดี” คาสึจิแก้ตัวแทบไม่ทันเมื่อถูกลูกสาวสุดที่รักถามมาแบบนั้น จากนั้นชายวัยกลางคนก็สนทนาอะไรบางอย่างกับเขาต่อแต่เขาก็ได้แต่ตอบอย่างขอไปทีเพราะจิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับการสนทนานี้เลย จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายนาทีคาสึจิก็ขอตัวกลับไปเตรียมตัวสำหรับงานที่กำลังจะเริ่ม

     

                “ได้เวลาฉันต้องไปแล้วล่ะสิ” ชายวัยกลางคนพูด ซาสึเกะหันมามองก่อนจะโค้งทำความเคารพ

     

    “ลาก่อนครับ” เขาพูดเสียงเบาหวิว สายตายังคงเหล่มองไปยังคนที่นอนหมดสติและกำลังถูกอุ้มโดยศัตรูหมายเลขหนึ่ง ร่างสูงกำมือแน่น...

     

    ใครอนุญาตให้มันมาแตะต้องของๆเขา!

     

    แต่เขาทำอะไรได้ล่ะ?

     

    ก็ทำได้แค่ยืนโกรธอยู่ตรงนี้...

    ยืนมองอยู่ตรงนี้...

    ก็ทำได้แค่นั้น...

     

    “พยายามเข้านะซาสึเกะฉันเอาใจช่วยเธอเต็มที่” คาสึจิพูดกับเขาพร้อมกับตบที่บ่าเบาๆก่อนจะหันมาทางลูกสาวที่กำลังมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “ส่วนเราก็ไปกันได้แล้วคาริน”

     

                “ฉันหวังว่าจะได้เห็นชัยชนะของราชานะคะ” เธอพูดทิ้งท้ายพร้อมกับยิ้มแล้วเดินจากไป แต่ซาสึเกะไม่ได้สนใจเธอ... เขาไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มที่แฝงนัยบางอย่างของอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ

     

    .

    .

    .

     

               

                “ยังไม่เข้าข้างในอีกหรือครับ” จูโกะที่เดินเข้ามาสมทบทีหลังเพราะถูกใช้ให้ไปจัดการเอกสารงานประมูลถามขึ้นเมื่อเห็นเจ้านายของตนยังยืนเหม่ออยู่ที่ล็อบบี้ทั้งๆที่ควรจะเข้าไปอยู่ในห้องประมูลแล้ว

     

    ดวงตาสีรัตติกาลที่ดูเศร้าหันมองลูกน้องคนสนิท...  

     

                “จูโกะ...” ซาสึเกะเรียกเลขาของตนด้วยน้ำเสียงที่ประหลาดที่สุด

     

    น้ำเสียงเหมือนกำลังอ้อนวอน...

     

                “มีอะไรหรือครับคุณซาสึเกะ”

     

                “นาย...” เขาพูดเสียงสั่น รู้สึกโหวงๆในใจอย่างบอกไม่ถูก “นายไปดูผู้หญิงคนนั้นให้ฉันหน่อย”

     

                “ใครครับ” จูโกะถามอย่างสงสัย แต่ลึกๆในใจเขาก็พอเดาได้ว่าเจ้านายของเขาหมายถึงใคร เพราะ ผู้หญิงคนนั้น เป็นคำที่ซาสึเกะใช้เรียกคนเพียงคนเดียว... คนเพียงคนเดียวที่เขาถูกสั่งให้ตัดใจจากเธอ

     

    เจ้านายของเขา...

    ไม่เคยแม้แต่จะเรียกชื่อของเธอเลยสักครั้ง....

     

                “ก็ผู้หญิงคนนั้นไง!” เสียงของซาสึเกะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่แสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยว วูบหนึ่งที่ดวงตาสีรัตติกาลดูสับสน แต่มันก็แค่พักเดียว... แล้วสายตาคู่นั้นกลับมาดุดันเหมือนเดิม

     

                “...”

     

                “ตามผู้หญิงคนนั้นไปแล้วเอาตัวกลับมา! นารูโตะเพิ่งพาแม่นั่นออกไปได้ไม่นานยังไม่น่าจะไปได้ไกล ถ้าได้ตัวมาแล้วก็พาไปไว้ที่ห้องของฉัน” คำสั่งประกาศิตถูกเปล่งออกมาพร้อมๆกับสายตาแข็งกร้าวและกรุ่นโกรธของราชา

     

    “ฉันจะสั่งสอน...ให้แม่นั่นรู้ว่าถ้าขัดคำสั่งของฉันแล้วผลมันจะเป็นยังไง”

     

                “คุณซาสึเกะ...”

     

                “ไปสิ!!!

     

    .

    .

    .

     

                ห้องสำหรับจัดประมูลถูกแบ่งเป็นโซนเล็กๆเอาไว้ตามจำนวนของผู้ที่เข้าร่วมประมูล ซาสึเกะถูกเชิญให้นั่งในโซนที่สอง ทั่วทั้งโซนมีเพียงโต๊ะพร้อมเก้าอี้หนึ่งชุดที่ใช้สำหรับตั้งคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับให้ผู้ร่วมประมูลเสนอราคา สต๊าฟที่พาเขามานั่งประจำที่กำลังอธิบายกติกาข้อบังคับที่ใช้ในงานประมูลครั้งนี้ แต่ข้อมูลเหล่านั้นก็ไม่ได้เข้าหัวเขาเลยสักนิด เพราะตอนนี้ความคิดของเขา... วนเวียนอยู่กับเรื่องของคนเพียงคนเดียว...

     

    ผู้หญิงคนนั้น!   

     

     

    ไม่ได้! ตอนนี้จะมัวมาคิดถึงเรื่องอื่นไม่ได้!

     

    เขาต้องทำเพื่อธนาคาร...เพื่ออุจิวะ...

     

    ร่างสูงเตือนตัวเอง เขารวบรวมสมาธิที่แตกกระเจิงอีกครั้ง หลังจากที่ทำใจให้สงบลงได้ ความเยือกเย็นในแบบของราชาก็กลับมา เสียงสัญญาณที่ดังบ่งบอกว่าเป็นเวลาเริ่มประมูลดังขึ้นในอีกราวๆสิบนาทีให้หลังหลังจากที่ผู้ร่วมประมูลทุกคนเข้าประจำที่ ซาสึเกะนั่งกอดอกมองจอมอนิเตอร์ของตัวเองด้วยท่าทีสบายๆ ราคาสัมปทานเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจากราคาขั้นต่ำที่ตั้งไว้สองพันห้าร้อยล้านตอนนี้กลับดีดตัวสูงขึ้นมาถึงสามพันสามร้อยล้าน ผู้ประมูลยังคงแข่งขันเคาะราคากันอย่างดุเดือด ตัวเลขราคาสัมปทานยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด

     

    สามพันเจ็ดร้อยล้าน...

     

    เป็นไปอย่างที่คิด...

     

                ร่างสูงยิ้มเย็นเมื่อเห็นจอมอนิเตอร์นิ่งไป มีผู้เสนอราคาเพิ่มมาอีกสองสามราย ราคาประมูลยังคงเพิ่มขึ้นแต่มันก็เพิ่มขึ้นทีละน้อยราวกับว่าเกมการแข่งขันครั้งนี้ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

     

    สามพันเจ็ดร้อยห้าสิบล้าน...

     

    สามพันเจ็ดร้องเจ็ดสิบล้าน...

     

    สามพันแปดร้อยล้าน...

               

                “ฉันต้องชนะ”

     

    สี่พันล้าน...

     

                ซาสึเกะกรอกตัวเลขลงไปในช่องสำหรับใส่ราคาที่ต้องการประมูล ตัวเลขบนจอนิ่งไปทันทีเมื่อเห็นราคาประมูลที่ตอนนี้สูงถึงสี่พันล้าน ราชากระหยิ่มยิ้ม... แน่ล่ะว่าเขาศึกษามาทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรายชื่อผู้ร่วมยื่นซองสัมปทานที่มีมากกว่าสิบรายหรือแม้กระทั่งอำนาจการซื้อของคนพวกนั้น

     

    ทุกอย่างอยู่ในการคาดการณ์ของเขา

     

                วินาทีที่ผู้ให้สัมปทานประกาศรายชื่อผู้ชนะ มันจะต้องเป็นคำประกาศชัยชนะของราชาและถือเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามการเงินที่กินเวลายาวนานเกือบสองชั่วโมง และถ้าเสร็จจากงานบ้าๆนี่เมื่อไหร่ เขาจะต้องกลับไปจัดการ ธุระส่วนตัวที่กำลังรอให้เขาไปสะสาง

     

    สี่พันหนึ่งร้อยล้าน...

     

                !!!

     

                ตัวเลขที่เด้งขึ้นมาใหม่ทำให้คนที่กำลังคิดเหม่อลอยดึงสติกลับมาแทบไม่ทัน ดวงตาสีรัตติกาลเบิกกว้างราวกับกำลังเห็นสิ่งอัศจรรย์...

     

                “เป็นไปไม่ได้...” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น มันไม่น่าจะเป็นไปได้... ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีใครกล้าทุ่มเงินขนาดนี้เพื่อสัมปทานเกาะเล็กๆแบบนั้นนอกจากเขา ร่างสูงกัดริมฝีปากแน่นราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก สี่พันล้านคือเงินที่เขาเตรียมไว้สำหรับการสัมปทานครั้งนี้ เป็นเงินที่เขาสามารถนำมาใช้ลงทุนได้ในนามของธนาคาร

     

    มันคือลิมิต...

     

                แต่จะชนะคู่แข่งได้ก็ต่อเมื่อเขาเสนอเงินประมูลมากกว่าสี่พันหนึ่งร้อยล้าน ซึ่งก็หมายความว่าส่วนเกินทั้งหมดเขาจะต้องใช้เงินตัวเอง

     

    เขากำลังลังเล…

    แต่ถ้าไม่ลองเสี่ยงดูเขาก็จะพลาดโอกาสนี้ไป...

     

    สี่พันหนึ่งร้อยแปดสิบล้าน

     

                ซาสึเกะกรอกตัวเลขลงไปใหม่ นัยน์ตาคมจ้องมอจอมอนิเตอร์อย่างเคร่งเครียด ช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่รอให้ผู้ให้สัมปทานประกาศชื่อผู้ที่ชนะการประมูล ช่างเป็นเวลาที่บีบคั้นหัวใจของเขาเหลือเกิน แม้จะอยู่กับความกดดันมาตลอดทั้งชีวิตแต่ร่างสูงก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกมการแข่งขันครั้งนี้ทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้อง

     

    สี่พันหนึ่งร้อยแปดสิบห้าล้าน

     

                ตัวเลขเด้งขึ้นมาอีกครั้ง ซาสึเกะจ้องมองมันอย่างตะลึงงัน

     

    นี่มันบ้าอะไรกัน!

     

                ซาสึเกะบ่นในใจอย่างหัวเสียเมื่อเห็นราคาประมูลที่ตนเสนอไปถูกตีตกลงมาอีกครั้ง มิหนำซ้ำยังดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจงใจจะเบียดขึ้นเป็นอันดับหนึ่งด้วยราคาที่เฉียดกับที่เขาเสนอเพียงเล็กน้อย ร่างสูงกำมือแน่น เลือดในกายเย็นเฉียบราวกับถูกแช่แข็ง...

     

    แต่แค่นี้หยุดเขาไม่ได้หรอก...

     

                เขาคิดก่อนจะเอื้อมมือเตรียมกรอกตัวเลขลงไปในช่องราคาอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นรอยแดงจางๆที่ข้อมือ ซาสึเกะชะงักมือค้าง หัวใจแสนเยือกเย็นกระตุกวูบเมื่อนึกถึงที่มาที่ไปของมัน

     

    มันเป็นร่องรอยที่ผู้หญิงคนนั้นฝากไว้...

    ร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อคืน

     

    เธอไม่ได้...

     

    เต็มใจเป็นของเขา

     

    เจ็บอีกแล้ว

     

                แค่คิดก็รู้สึกเสียดที่อก... ความรู้สึกเจ็บแปลบแบบนี้ เมื่อไหร่มันจะหายๆไปซักที...

     

    ปี๊บๆ

     

                เสียงสัญญาณดังออกมาจากจอมอนิเตอร์ก่อนจะตามมาด้วยเสียงประกาศของฟุรุคาวะ คาสึจิ ตัวแทนผู้ให้สัมปทาน

     

                “สรุปยอดการประมูลสัมปทานอยู่ที่สี่พันหนึ่งร้อยแปดสิบห้าล้าน ผู้ชนะการประมูลในครั้งนี้คือคุณฟุเสะ ดันโซ จากธนาคารฟุวะ ขอแสดงความยินดีด้วยครับ”

     

    .

    .

    .

     

                “อุจิวะพลาดเหรอเนี่ย?”

     

              “ขนาดหัวเรือใหญ่มาเองแท้ๆก็ยังแพ้ฟุวะเลยนะ”

     

              “เป็นธนาคารอันดับหนึ่งจริงๆน่ะเหรอ เงินสำรองในธนาคารยังมีน้อยกว่าของฟุวะซะอีก”

     

                จูโกะมองตามกลุ่มนักธุรกิจที่เดินผ่านเขาไปด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความตกใจอย่างปิดไม่มิด นี่เจ้านายของเขา...

     

    แพ้งั้นเหรอ?

     

                มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไปสำหรับชายที่ชื่อ อุจิวะ ซาสึเกะ คนที่ได้ฉายาว่าราชานรกที่แสนน่ากลัว มันเหลือเชื่อเกินไป... เหลือเชื่อเกินไปที่จะคิดว่าชายคนนั้นกำลังพ่ายแพ้... พ่ายแพ้ธนาคารคู่แข่งอย่างฟุวะ

     

    เป็นไปไม่ได้หรอก

     

                “จูโกะ” เสียงทุ้มที่แสนเย็นเยียบเอ่ยเรียกชื่อเขาทำให้เจ้าของชื่อที่กำลังยืนก้มหน้าอยู่ตื่นจากภวังค์ จูโกะเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของตนที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่

     

                “คุณซาสึเกะ...” เขาเรียกผู้เป็นนายเสียงแผ่ว “เรื่อง...”

     

                “ได้ตัวผู้หญิงคนนั้นมามั้ย” ซาสึเกะถามขึ้นโดยไม่รอให้เขาพูดจนจบประโยค น้ำเสียงของซาสึเกะดูแปร่งแปลกจนคนฟังสงสัย และดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้น....

     

    ก็ดูว่างเปล่าจนน่ากลัว...

     

                “ผม...คือผมตามไปไม่ทันครับ” เลขาหนุ่มตอบเสียงเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ“พนักงานที่ประจำอยู่หน้าโรงแรมบอกว่าคุณนารูโตะพาซากุระขึ้นแท็กซี่ไปก่อนที่ผมจะออกไปตามเธอน่ะครับ”

     

                “...”

     

                “ผมคิดว่าคุณนารูโตะน่าจะพาซากุระกลับไปที่พักหรือไม่ก็สถานพยาบาลที่ไหนซักแห่งเพราะจากที่ฟังมาดูเหมือนว่าเธอจะป่วย...”

     

                ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆจากคนที่กำลังฟังอยู่ จูโกะเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง... อารมณ์ของซาสึเกะในตอนนี้เดาได้ยากยิ่งนัก เขาไม่รู้ว่าเจ้านายของเขากำลังคิดอะไรอยู่ กำลังรู้สึกเสียหน้าที่พ่ายแพ้หรือ? รู้สึกเจ็บแค้น? หรือกำลังรู้สึกอะไร?

     

                “คุณซาสึเกะจะให้ผม...”

     

                “ไม่ต้อง” ร่างสูงสั่งเสียงเรียบ ดวงตาสีรัตติกาลดูเฉยชาผิดกับเมื่อตอนก่อนเข้าไปในห้องประมูลลิบลับ  “กลับไปที่โรงแรม”

     

                “ครับ?” จูโกะย้ำเหมือนไม่แน่ใจในคำสั่ง ยิ่งเป็นคำสั่งที่ถูกสั่งด้วยน้ำเสียงแปร่งๆนั่นก็ยิ่งไม่แน่ใจเข้าไปใหญ่ แล้วเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลก็ไขข้อข้องใจให้เขาด้วยประโยคเรียบๆเพียงประโยคเดียว

     

                “เราจะกลับกันแล้ว”

     

    .

    .

    .

     

                “...งั้นเหรอครับ ถ้างั้นผมก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ... หึๆ จะว่าไปผมไม่คิดเลยนะครับว่าจะมีโอกาสได้เห็น...เวลาที่ราชาถูกปลดออกจากบัลลังก์น่ะ คงเป็นภาพที่น่าดูไม่น้อยเลยสินะครับ...”

     

    อิโนะมองดูแผ่นหลังของผู้ชายที่ในอดีตเคยเป็นคนที่เธอรักอย่างสุดหัวใจอย่างหงุดหงิด สายลมเย็นๆที่หอบเอากลิ่นอาหารหอมฉุยพัดเข้ามาปะทะจมูกของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะรู้สึกหิวแค่ไหนแต่เธอก็ต้องรอกินพร้อมกับเขา... เขาคนนั้นที่ยังคงเอาแต่คุยโทรศัพท์มาเกือบครึ่งชั่วโมง!

     

    หญิงสาวหันกลับมาสนใจสเต็กจานใหญ่ที่เอาแต่ส่งกลิ่นยั่วน้ำลายของเธอแล้วมองมันด้วยสายตาละห้อย

     

    เมื่อไหร่จะรีบคุยให้มันจบๆไปซักที!

    รู้แบบนี้ไม่น่ามาด้วยซะก็ดีหรอก!

     

                เธอคิดแล้วก็ต้องถอนหายใจ...

     

    ถ้าเขาคนนั้นบอกให้เธอมา

    เธอ...จะไปขัดอะไรเขาได้

     

    ใช่สิ! ถ้าขัดใจได้ป่านนี้เธอคงไม่ต้องรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้กินยาเบื่ออยู่ทุกชั่วโมงแบบนี้หรอก! อิโนะนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ผ่านมา ซาอิเดินเฉิดฉายไม่อายสายตาคนในบริษัทเข้ามาหาเธอแล้วบอกว่าหลังเลิกงานเขาจะพาไปทานข้าว เขาพูดเสียงดังราวกับว่าต้องการจะให้คนทั้งแผนกรับรู้ แต่ถ้าเธอเดาไม่ผิดคนๆเดียวที่ซาอิอยากให้ได้ยินก็คงจะเป็น...

     

    นารา ชิกามารุ

    อัจฉริยะคนเก่งของแผนกบัญชี

    คนที่ช่วงนี้มีข่าวลือว่าแอบกิ๊กกับเธออยู่!

     

                หญิงสาวอธิบายไม่ได้ว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไรที่จู่ๆเขาที่เธอเข้าใจมาตลอดว่าไม่เคยมีใจให้เธอกลับแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเธอต่อหน้าคนทั้งแผนกแบบนั้น

     

    เธอดีใจที่เขาให้ความสำคัญกับเธอ...

    แต่ลึกๆแล้วเธอก็ยังไม่แน่ใจ...

     

    ว่าที่เขาทำไปทั้งหมด...

     

    มันคือสิ่งที่เขารู้สึกจริงๆรึเปล่า?

     

     

                “...ผมก็แค่ช่วยนิดๆหน่อยๆน่ะครับ ที่เหลือมันก็เป็นความสามารถของคุณล้วนๆไม่ต้องมาขอบคุณผมหรอก... ครับ... ครับ... ผมจะไปแน่นอนครับ อย่าลืมเตรียม ไอ้นั่นให้ผมล่ะ ฮ่าๆ นานๆทีมันก็ต้องมีบางสิครับ ครับ... แล้วพบกันครับ...สวัสดีครับ...”

     

                เมื่อจบบทสนทนาที่แสนยืดเยื้อ ร่างสูงก็กดตัดสายก่อนจะหมุนตัวเดินกลับมายังโต๊ะอาหารตัวที่มีหญิงสาวคนสำคัญนั่งอยู่ แต่เมื่อหันมาก็พบว่าเธอกำลังมองเขาด้วยสายตาขุ่นเขียวแบบที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลัง งอนที่ถูกทิ้งให้นั่งอยู่คนเดียวมานานสองนาน

               

    “ทำไมจ้องหน้าพี่แบบนั้นล่ะ” เขาถามพร้อมกับหัวเราะ

     

                “ยิ้มแก้มปริเชียวนะ” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งงอนกึ่งหมั่นไส้ ซาอิยิ้มอีกครั้ง

     

    สงสัยเขาจะคุยโทรศัพท์นานเกินไปหน่อย...

     

                “อ้าว แค่ยิ้มก็ผิดเหรอ” ร่างสูงถามพลางเอียงคออย่างน่ารัก อิโนะเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ก่อนจะตอบ

     

                “เปล่าหรอกค่ะ แต่เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้ ไม่รู้จะยิ้มทำไมในเมื่อตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกอยากจะยิ้ม...”

     

    “...”

     

    “...ชอบยิ้มแค่เพื่อหลอกให้คนอื่นตายใจ ไอ้แบบนี้น่ะเค้าเรียกว่ายิ้มเสแสร้ง”

     

    เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ...

     

                ใบหน้าที่เคยฉาบฉายไปด้วยรอยยิ้มของซาอิกลายเป็นใบหน้าที่แสนเย็นชา ดวงตาของเขาดูว่างเปล่า... ดวงตาสีหยกสลดลงเหมือนรู้สึกผิดที่พูดแรงไป เธอก้มหน้ามองอาหารในจานเพราะไม่กล้าสบตากับดวงตาสีแสนเย็นชาคู่นั้น

     

    “พูดจาอะไรไม่น่ารักเลยนะ” ซาอิพูดขึ้นในที่สุดก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว ดวงตาสีนิลจดจ้องอยู่ที่สมาร์ทโฟนในมือเหมือนกำลังดูอะไรบางอย่างที่สำคัญ “เป็นเด็กนิสัยไม่ดีแบบนี้ระวังจะไม่มีคนมารักนะครับ”

     

                “กะ...ก็ไม่ได้อยากจะน่ารักซักหน่อย! ไม่ได้ขอให้ใครมารักด้วย” อิโนะขึ้นเสียง ใบหน้าหวานแดงก่ำไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะโกรธหรืออายกันแน่

     

                “ถ้าเถียงอีกคืนนี้พี่พาไปค้างด้วยนะ” ซาอิพูดเสียงเรียบเหมือนไม่ใส่ใจเพราะดวงตาของเขายังไม่ละจากเจ้ามือถือเครื่องบางนั่นเลย แต่ก็เพราะประโยคนั้นเพียงประโยคก็ทำเอาคนกำลังจะโวยวายต่อถึงกับเงียบกริบ อิโนะก้มหน้ามองอาหารในจานอีกครั้ง ใบหน้านวลแดงเรื่องกับคำขู่ที่แสนเอาแต่ใจของเขาก่อนที่เรียวปากเล็กจะระบายยิ้มออกมาอย่างโล่งอก หากแต่เธอก็ซ่อนมันไว้ไม่ให้คนตรงหน้าเห็น

     

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอไม่ชอบสายตาแสนเย็นชาของเขา...

    สายตาของเขาเมื่อกี้มันดูน่ากลัว...

    มันไร้ความรู้สึก..

     

    เหมือนกับตอนนั้น

     

                “ทำตัวน่ารักๆเรียบร้อยแบบนี้น่ะดีแล้ว” ร่างสูงพูดชมก่อนจะเอื้อมมือไปลูบผมคนที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน “ถ้าวันนี้ไม่งอแงพี่จะพาไปซื้อตุ๊กตา เอาตัวใหญ่ๆแบบที่อิโนะชอบเลยดีมั้ย” พูดพร้อมกับหัวเราะพลางขยี้ผมสีฟางจนเสียทรง หญิงสาวตีแขนคนขี้แกล้งไม่แรงนักก่อนจะตวาดใส่

     

                “ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ!

     

                “คร้าบๆ พี่รู้แล้ว” คนตัวสูงกว่าว่าก่อนจะใช้สายตาที่ดูเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจมองมาที่เธอ ร่างสูงยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะหายใจรดกัน อิโนะผงะ ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างตื่นตกใจ

     

    “ก็เห็นมากับตาสัมผัสมากับมือ...”

     

    !!!

     

    “รู้อยู่แล้วล่ะครับว่าไม่ใช่เด็ก”

     

     

     

                โอ๊ยตายๆๆ ผู้ชายเรื่องนี้ >__< ขี้หึงเป็นที่หนึ่งแถมหื่นกันเป็นที่สอง อ่ะจ้ะ -.- มาต่อให้ครบแล้วนะคะ เนื้อเรื่องช่วงนี้มันหนืดๆหน่วงๆ เฮ้อ~ สวีทของบักเกะ... รอต่อไปจ้ะ

               

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×