ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Naruto] เล่ห์ราชา [END]

    ลำดับตอนที่ #38 : CHAPTER 32 : คนไร้หัวใจ (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.99K
      162
      18 ก.พ. 58

    บทที่ 32 คนไร้หัวใจ

     

     

    สามชั่วโมงก่อน...

     

                ร่างบางในชุดเดรสสั้นสไตล์วินเทจกึ่งเดินกึ่งวิ่ง พยายามก้าวขาให้ทันคนตัวสูงที่เอาแต่เดินดุ่มๆเข้าไปในภัตตาคารอาหารสุดหรูที่ไม่ต้องเดาให้ยากก็รู้ว่าเป็นภัตตาคารสุดโรแมนติกสำหรับคู่รัก หลังจากที่เดินๆวิ่งๆแถมยังบ่นก่นด่าคนพามาที่เดินเร็วอย่างกับกำลังแข่งขันเดินวิ่งการกุศล อิโนะก็มายืนเสมอเคียงข้างเขาได้เมื่อคนตัวโตหยุดยืนอยู่ริมทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อนเพื่อชื่นชมดื่มด่ำกับบรรยากาศภายนอกร้านที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหราไม่แพ้ข้างใน

     

    “วันนี้อากาศดีนะครับ”

     

    เขาพูดเสียงเนิบนาบเหมือนเคย แต่เธอแทบจะร้องกรี๊ดและอยากเอามือฟาดๆคนข้างๆนักเมื่อเห็นริมฝีปากได้รูปของเขาหลุดยิ้มออกมาเหมือนสะใจที่แกล้งให้เธอวิ่งตามได้สำเร็จ

     

                อิโนะพ่นลมหายใจแรงๆทางปากอย่างโกรธเคือง ก่อนจะยกรองเท้าส้นสูงกว่าสี่นิ้วกระทืบหนักๆที่รองเท้าหนังสีดำมันวาวราคาแพงระยับของเขา

     

                “โอ๊ย!” ร่างสูงอุทานออกมาพร้อมกับเขย่งเท้ากระโดดไปมาอย่างน่าสงสาร นัยน์ตาคมตวัดมองแม่ตัวดีที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามกลั้นขำอยู่

     

    แสบนักนะ!!!

     

                “แค่มาทานข้าว ทำไมต้องพามาที่หรูขนาดนี้ด้วยล่ะคะ” คนไม่รู้ไม่ชี้เอ่ยถาม ดวงตาสีหยกกวาดมองไปรอบอย่างตื่นเต้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ซาอิพาเธอออกมากินข้าวด้วย เขาพาเธอไปโน่นมานี่บ่อยเสียจนนับไม่ถูกว่าไปกันกี่ที่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพาเธอมาร้านที่หรูหราขนาดนี้ และถ้าเธอจำไม่ผิด มันคือภัตตาคารอาหารสำหรับคู่รักที่ดีที่สุด แพงที่สุด และคิวแน่นที่สุดในหมู่ภัตตาคารด้วยกัน

     

                “ก็มื้อนี้เป็นมื้อพิเศษ” พูดจบก็จูงมือเธอออกเดินต่อ หญิงสาวขมวดคิ้วกับคำว่า มื้อพิเศษ ของเขา แล้วดวงตาสีหยกก็วาวโรจน์เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้

     

                “อ้อ~ จะไถ่โทษใช่มั้ยล่ะคะ ที่เมื่อวานไปลากฉันออกมาจากงานแต่ง” พูดด้วยเสียงเจ้าเล่ห์ก่อนจะเบ้ปากหมั่นไส้ เมื่อวานเธอถูกบ่นๆๆจนหูชา แถมบ่นอย่างเดียวไม่พอ เขายังบังคับให้เธอไปเปลี่ยนชุดใหม่อีก พอเธอไม่ยอมก็หักดิบพาเธอไปขังไว้ที่คอนโดเพื่อจะได้แน่ใจว่าเธอไม่มีทางจะกลับไปงานแต่งงานได้

     

    และจากนั้น...

     

                “อิโนะ...” เสียงเรียบนิ่งของคนตัวโตดังขัดความคิดที่เลยเถิดของเธอ พร้อมกับคนข้างหน้าหยุดเดินกะทันหันจนเธอแทบจะเอาหน้าไปซบกับแผ่นหลังกว้างๆ จากนั้นก็หันหน้าดุๆมาทางเธอ ดวงตาสีนิลดูลึกลับจ้องเธออย่างคาดโทษ

     

    “พี่บอกไว้ก่อนนะว่าพี่ไม่ได้เสียใจเลยที่ไปพาตัวเธอออกมาจากงาน แต่งตัวอะไรไม่ดูกาลเทศะ นั่นงานแต่งงานนะครับไม่ใช่ปาร์ตี้”

     

    และเขาก็บ่นอีกจนได้...

     

                “เวลาพี่พูดด้วยก็มองหน้าพี่สิครับ” ร่างสูงดุคนตัวเล็กที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาบ่นอะไรงึมงำๆ ไม่ยอมสบตาอย่างที่คนยอมรับผิดควรทำ

     

                “สั่งอย่างกับพ่อ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเค้าซักหน่อย”

     

                “พี่ได้ยินนะ”

     

                “ขอ-โทษ-ค่ะ!” พูดเสียงประชดประชันแถมยังจะสะบัดมือเขาทิ้ง แต่คนตัวสูงก็ไม่ยอมปล่อย เขากำมือเธอเอาไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ

     

                “ปล่อยฉันนะ!

     

                “เราจะคุยกันดีๆซักครั้งไม่ได้เลยรึไง? ทำไมจะพูดจาอะไรถึงชอบทำประชดตลอด อึดอัดมากเลยเหรอครับเวลาที่ต้องไปไหนมาไหนกับพี่?” ถามเสียงเข้มพลางจ้องหน้าเธอนิ่ง อิโนะเพียงแต่ระบายยิ้มเหยียดอย่างไม่ยอมจำนน

     

                “ใช่ค่ะ! ฉันอึดอัด อึดอัดมากกก ต้องไปไหนมาไหนกับคนที่ เกลียดแถมยังถูกบังคับให้ทำโน่นทำนี่อีก เฮอะ! อย่างกับเป็นนักโทษ”

     

    กลายเป็นทะเลาะกันอีกแล้ว...

                                                                                                                     

                หลังจากได้ฟังคำพูดแสนร้ายกาจของเธอซาอิก็ทำเพียงยืนเงียบ เขามองเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เธอคิดว่าเขาจะต้องโกรธ จากนั้นก็บ่นเธอยาวๆว่าเธอทำตัวเหมือนเด็ก และขู่เธอว่าถ้าเธอพูดอะไรไร้สาระอีกเขาจะหาเรื่องก่อกวนไม่ให้เธอฝึกงานได้สำเร็จ ซึ่งมันเป็นข้อข่มขู่ที่ทำให้เธอยอมเขาแทบทุกอย่าง แต่สุดท้ายร่างสูงก็ออกเดินต่อโดยที่ยังคงจับมือเธอไว้อยู่ เขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่า...         

     

                “ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะเลยเวลาที่จองโต๊ะไว้”

     

    .

    .

    .

     

                เสียงไวโอลินและเสียงเปียโนบรรเลงเป็นเพลงช้าๆ สร้างบรรยากาศแสนโรแมนติกสมกับเป็นภัตตาคารอาหารสำหรับคู่รักที่เลื่องชื่อ หากแต่ความโรแมนติกนั้นกลับไม่ได้ช่วยทำให้บรรยากาศระหว่างคนสองคนที่เพิ่งเปิดศึกทะเลาะกันไปหมาดๆ ดูดีขึ้นมาเลย

     

                อิโนะนั่งมองจานอาหารที่ว่างเปล่าของตัวเองอย่างเหม่อลอย นิ้วเรียวสวยเกลี่ยวนเป็นวงกลมที่โต๊ะเหมือนคนกำลังใช้ความคิด

     

    อึดอัด...

     

                เป็นความอึดอัดที่กินเวลายาวนานนับชั่วโมง ตั้งแต่พาเธอเข้ามานั่งในร้าน นอกจากสั่งอาหารกับไวน์แล้วซาอิก็ไม่ได้พูดอะไรเลย เขาไม่ได้มองหน้าเธอ... พออาหารมาเสิร์ฟก็ก้มหน้าก้มตากินไปเงียบๆ หลังจากนั้นก็เอาแต่เหม่อมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟกับรถราที่ยังคงวิ่งอยู่เต็มถนน ทำเหมือนว่าเธอไร้ตัวตน... ซึ่งเธอก็เหมือนจะไร้ตัวตนจริงๆ เพราะเธอเองก็เอาแต่เงียบ ทั้งๆที่ใจอยากจะขอโทษเขาใจจะขาด แต่จะด้วยทิฐิที่อยากเอาชนะหรือเพราะน้อยใจจนอยากทำประชดก็ไม่อาจรู้ ทำให้คำขอโทษเหล่านั้นได้แต่กระจุกตัวอยู่ที่ลำคอ เป็นคำที่เธอไม่กล้าพูดออกมา...

     

                “ถ้าสมมติว่า... วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน อิโนะอยากจะพูดอะไรกับพี่เหรอครับ?”

     

                จู่ๆคนที่เอาแต่เงียบมาเป็นชั่วโมงก็ยอมเปิดปากจนได้ ดวงตาของเขายังคงมองผ่านกระจกออกไปข้างนอก มือข้างหนึ่งถือแก้วไวน์ที่บรรจุของเหลวสีกุหลาบไว้ เขายกไวน์ขึ้นจิบ ท่าทางเศร้าสร้อยเหมือนกำลังรำพึงรำพันถึงอะไรบางอย่าง

     

                คนถูกถามชะงักตกใจกับคำถามพวกนั้นก่อนที่สมองจะแปรผลคำตอบออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ฟังเสียงของหัวใจเลยสักนิด

     

                “ฉันเกลียดพี่ เกลียดๆๆๆ คนอะไรก็ไม่รู้ชอบเผด็จการ สั่งโน่นสั่งนี่ เจ้ากี้เจ้าการ ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทั้งๆที่ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย!

     

                เธอต่อว่ายาวเหยียด เกลียดความรู้สึกน่าอึดอัดแบบนี้จนต้องระบายเป็นคำพูดออกมา แต่แทนที่จะโกรธ คนฟังกลับหันใบหน้าเปื้อนยิ้มมองมาที่เธออย่างเอ็นดู ร่างสูงขยับริมฝีปากหยักได้รูปของเขาขึ้นเปล่งเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบบอกเธอ

     

                “พี่ขอโทษนะ... สำหรับทุกเรื่องเลย”

     

                “...”

     

                “แต่ก็ดีแล้วล่ะที่เธอคิดแบบนั้น” ร่างสูงพูดพร้อมระบายรอยยิ้มขมขื่น เขายกมือเท้าคางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพึมพำ “ เกลียด เหรอ? ฮะๆ พี่ว่าคนแบบพี่ก็สมควรแล้วล่ะ... สมควรถูกเกลียด”

     

                เสียงเศร้าสร้อยชวนเวทนาของเขาทำให้เธอเจ็บแปลบในใจ อิโนะหน้าชายิ่งกว่าถูกด่า... เธอพยายามจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้เขารู้สึกแย่ แต่ทว่าปากไม่ยอมขยับอย่างใจนึก

     

                “คือฉัน...”

     

                “อะไรหลายๆอย่างที่พี่ช่วงชิงมาจากเธอ พี่อาจจะคืนให้ไม่ได้ แต่สำหรับอิสรภาพ... พี่จะคืนให้ครับ”

     

                “!!!

     

                “ต่อไปนี้เธอไม่ต้องทำตามที่พี่บอกแล้ว และพี่ก็จะไม่เจ้ากี้เจ้าการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเธออีก พี่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เธอต้องการมาตลอด แต่ก็ทำใจปล่อยไปไม่ได้ซักที แต่ตอนนี้พี่ยอมแล้ว พี่จะไม่บังคับหรือรั้งตัวเธอไว้อีก พี่คืนอิสระให้...” ร่างสูงบอกเธอก่อนจะระบายยิ้มอ่อนโยน เขายกไวน์ดื่มทั้งแก้วราวกับต้องการให้มันช่วยย้อมหัวใจที่เจ็บปวด

     

    อิสระ?

     

                ทำไมพอได้ยินเขาพูดออกมาแบบนั้นหัวใจของเธอถึงได้รู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดมิใช่หรือ? แต่ทำไมพอได้มันมาจริงๆแล้วเธออยากจะร้องไห้มากกว่าดีใจล่ะ? ผู้ชายคนนี้... คือคนที่เธอเกลียด... คือชายที่เธอสาบานว่าจะไม่ยุ่งกับเขาอีก แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย เธอต้องตายแน่ๆถ้าเขา... ปล่อยมือเธอ...

     

                จู่ๆน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนมากมายก็เอ่อล้นขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ สมองของเธอบอกว่าเธอควรจะดีใจที่ผู้ชายหน้าเป็นตรงหน้าจะไปพ้นๆจากชีวิตเสียที แต่หัวใจของเธอบอกให้เธอรั้งเขาไว้ เพราะเขาคือเจ้าของของมัน...

     

    ใช่...

    เขาคือเจ้าของของมัน...

    คือเจ้าของหัวใจดวงนี้...

     

                อิสระเหรอ? เธอไม่อยากได้หรอก ที่เธออยากได้ยินไม่ใช่คำว่า คืนอิสระให้แต่เป็นคำว่า รักต่างหาก...

     

                “พี่รักเธอนะ”

     

    .

    .

    .

               

     

    คำว่า รักมันคือคำแสนวิเศษ...

    มันเป็นคำที่ทำให้คนฟังล่องลอย โดยเฉพาะเมื่อได้ยินจากปากของคนที่ตนรัก...

     

                ร่างบางยังคงนั่งนิ่งราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดล้ำลึก...

     

    พี่รักเธอนะ

     

                ประโยคนั้นยังคงก้องอยู่ในหัว...

                เขาบอกรักเธอ... บอกรักเป็นประโยคสั้นๆง่ายๆ ไม่ต้องรำพึงรำพันอะไรมากมาย แต่แค่ประโยคสั้นๆนั้นก็ทำให้หัวใจของเธอชุ่มฉ่ำราวกับมีน้ำมาหล่อเลี้ยง ทิฐิที่เคยมีมลายหายไปจนหมดเหลือเพียงความรู้สึกแสนเปราะบางเหมือนเมื่อครั้งก่อนตอนที่เธอยังอยู่ปีหนึ่ง ตอนที่เธอกับเขา... ยังมีความสุขด้วยกัน... เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความเจ็บช้ำที่เกิดจากซาอิเป็นบาดแผลที่บาดลึกที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมา เขาทำให้เธอกลายเป็นคนกลัวที่จะมีความรัก ไม่อยากเริ่มต้นใหม่กับใคร แต่เธอก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน... ว่าเขาก็คือคนที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุด

     

    ริมฝีปากบางระบายยิ้มหลังจากคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ดวงตาสีหยกเริ่มสอดส่ายมองหาคนที่พอบอกรักปุ๊บก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำปั๊บ เธอหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาเมื่อนึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งอดีตของหนุ่มสุดเนิร์ดที่ทั้งหล่อทั้งเก่ง

     

    ซาอิเป็นพวกตื่นเต้นง่าย...

     

                ถ้าเขาต้องทำอะไรที่ต้องอาศัยความกล้าอย่างมากอย่างเช่นการออกไปพูดในงานปฐมนิเทศของรุ่นน้องปีหนึ่ง การเป็นตัวแทนของคณะกล่าวสุนทรพจน์ในวันสำคัญ หรือแม้แต่การออกไปโชว์ตัวแสดงกิจกรรมนันทนาการสนุกสนาน เขาจะเกิดอาการปวดท้องกะทันหันจนต้องวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำเป็นว่าเล่น และครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน... เพราะการบอกรักก็เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความกล้า...

     

                หลังจากรออยู่เกือบยี่สิบนาที หญิงสาวก็หมดความอดทน เธอเองก็อยากบอกความในใจให้คนหน้าเป็นคนนั้นรู้เหมือนกัน และถ้าปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานกว่านี้ ทั้งความกล้า ความบ้าของเธอที่อยากะสารภาพความรู้สึกมันคงหดหายไปแน่

     

                คิดได้ดังนั้นร่างบางก็ก้าวเท้ายาวๆเดินตรงปรี่ไปที่ห้องน้ำ กะว่าจะไปดักรอคนขี้ตื่นเสียหน่อย แต่เธอก็ต้องเบรกตัวเองไว้แทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงแว่วๆที่แสนคุ้นเคยดังมาจากระเบียงที่ทำไว้เป็นจุดสำหรับชมวิว อิโนะเดินเข้าไปใกล้เพื่อฟังให้ชัดๆ...

     

    “...อย่าโกรธสิครับที่รัก คุณก็รู้นี่ครับว่าผมรักคุณคนเดียว...”

     

                แต่แค่ประโยคแรกก็ทำเอาหัวใจของเธอปวดหนึบ... ได้แต่วิงวอนภาวนาของให้คนที่กำลังพูดไม่ใช่ เขาแต่ใครเล่าจะหลีกหนีความเป็นจริงพ้น...

     

                “ผมบอกแล้วไงครับว่ากับแม่นั่นผมก็แค่เล่นๆด้วยน่ะ ความจริงผมก็ไม่อยากจะกลับไปกินของเก่าเท่าไหร่หรอก แต่มันเป็นงานที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ...”

     

                ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ชัดว่าเป็นเสียงของคนที่กำลังตามหา อิโนะชะโงกตัวออกไปนอกระเบียง กลืนก้อนสะอื้นเพราะไม่อยากให้คนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่รู้ตัว และทันทีที่เห็นเงาตะคุ่มของคนที่ยืนพิงระเบียง... ร่างบางก็แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น

     

    คำภาวนาของเธอไร้ผล

     

    เบื้องหน้าของเธอคือร่างสูงสง่าที่แสนคุ้นเคย คือคนที่เธอเพิ่งจะยอมรับว่า รักไปแล้วหมดทั้งใจ เป็นชายที่เคยกรีดหัวใจของเธอจนเหวอะหวะเป็นแผลเมื่อครั้งอดีต... และตอนนี้เขากำลังแบบเดิมซ้ำอีก หัวใจของเธอ... ถูกขยี้ให้แหลกเหลวอีกครั้ง...

     

    ด้วยฝีมือของคนๆเดิม!

     

    ดวงตาสีหยกพร่าเลือนไปด้วยหยดน้ำตามากมาย...

     

    เธอควรจะตระหนักได้ตั้งนานแล้ว...

     

                “งานก็คืองานครับ จะงานอะไรคุณไม่ต้องรู้หรอก เอาเป็นว่าถ้าเสร็จงานนี้เมื่อไหร่ผมจะเลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นทันที...”

     

    ว่าเขา...

     

    “ถ้าแม่นั่นจะรักผมแล้วมันจะแปลกตรงไหนล่ะครับ? ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่หลงผม โดยเฉพาะกับคนที่เคยเทิดทูนบูชาผมแบบนั้น จะมารักมาชอบผมอีกมันก็ไม่แปลก แต่ตบมือข้างเดียวมันจะไปดังอะไร ยังไงผมก็ไม่เล่นด้วยหรอก กะว่ากินเสร็จใช้งานเสร็จก็จะปล่อยทิ้ง คุณอย่ากังวลเลยน่า...”

     

    มันก็เป็นแค่คนโกหก...

     

                “คร้าบ เสร็จงานแล้วผมจะรีบบินไปหาคุณทันทีเลย คุณก็เถอะ เตรียมต้อนรับผมแบบเด็ดๆล่ะ ผมคิดถึงคุณจะแย่... ครับ รักนะครับ

     

    เป็นผู้ชายเลือดเย็นที่ฆ่าเธอให้ตายทั้งเป็น!!!

     

     

               

               

    // เดินเข้ามาคุกเข่า กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์

    เก๊าก๋อโต้ดT^T ไม่ได้อัพนิยายตั้งนานนน ฮึก... ขอโทษทุกคนนะคะที่ทำให้รอ ไม่มีข้อแก้ตัว ไรต์ติดการ์ตูนนน ไรต์ติดนิยายยย ไรต์ก็เลยขี้เกียจ เดี๋ยวทุกท่านก็จะชินขอรับ=.,= เห็นมีคนเขียนคำนิยมให้ ปริ่มปลื้มปิติ >< แอบจึ้กตรงคำว่า “มีวินัย” กรี๊ดดด!!! ข้าน้อยเพิ่งจะทำการอู้ไปหมาดๆ แต่ก็ยังชมว่ามีวินัย ขอบคุณมากนะคะสำหรับคอมเม้นท์ของทุกท่านและคำนิยม มันทำให้ไรต์คึกคัก(โดนกดดัน) จนต้องรีบแต่งออกมา><

     

    และก็นะๆๆ เวลาจะทรมานคู่ไหนไรต์ก็จัดหนักๆไปหลายคู่พร้อมๆกันเลย คราวนี้เป็นคิวของอิโนะลูกแม่กับอีตาซาอิผู้ชั่วร้าย(ขออภัยที่ต้องยัดบทคนร้ายให้แก-.,-) อีก 50%ที่เหลือไม่เกินวันพรุ่งนี้แน่ค่ะ!

     

    100%

     

     

                หลังจากที่ฆ่าใครบางคนให้ตายทั้งเป็นด้วยคำพูด เจ้าดวงตาสีนิลก็ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่ระเบียง สายลมอ่อนๆพัดเข้ามาปะทะใบหน้า... พร้อมๆกับความคิดที่ล่องลอยออกไปไกล...

     

    “แกแสดงละครห่วยเป็นบ้า”

     

                เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งทำให้คนที่ถูกหาว่า แสดงห่วยตื่นจากภวังค์ ซาอิยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องไว้ใส่กระเป๋ากางเกง เขาไม่ได้หันกลับมามองคนพูดที่ยืนกอดอกพิงผนังอยู่ข้างหลัง ดวงตาสีนิลทอดมองออกไปข้างหน้า ชื่นชมดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืนของเมือง

     

                “อยู่ด้วยเหรอครับ” ถามออกไปส่งๆเหมือนไม่ต้องการคำตอบเท่าไหร่ คนถูกถามได้แต่ถอนหายใจยาว...

     

                “เวลาจะบอกเลิกใคร... เค้าไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลกันหรอก” ชายปริศนาพูดออกไปเหมือนเตือนสติ รู้สึกสงสารคนตรงหน้าจับใจ แม้จะไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่เสียงที่สั่นเครือไม่มั่นคงก็ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวกำลังร้องไห้

     

                พอได้ฟังคำท้วงจากบุคคลที่ยืนดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ มือหนาก็ยกแตะที่ใบหน้า และเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถึงความอุ่นชื้นที่ขอบตา คนที่ได้ชื่อว่าตายด้านไร้อารมณ์ก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ

     

                “ผมก็เพิ่งรู้... ว่าตัวเองก็มีน้ำตาเหมือนกัน

     

                อิทาจิเงียบไปพักใหญ่ เพราะไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูดกับคนที่เพิ่งจะเฉือนหัวใจตัวเองทิ้ง เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเหมือนเช็คอะไรบางอย่าง ทิ้งบรรยากาศให้เงียบกริบ  ก่อนที่ดวงตาสีรัตติกาลจะกลับไปสนใจคนที่ยังยืนหันหลังให้

     

                “แกแน่ใจเหรอว่าจะทำแบบนี้”

     

                “มันเป็นทางเดียวนี่ครับ ที่จะทำให้เธอตัดขาดจากผมได้” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยเสียงเศร้าสร้อย...ขมขื่น...

     

    “นกสองหัวอย่างผม... จะถูกแก้แค้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมไม่อยากให้เธอต้องมาซวยไปด้วย ผมพลาดเอง... ผมผิดเองที่เผลอ... ผมน่าจะย้ำกับตัวเองให้มากกว่านี้ ว่าคนอย่างผม ไม่สมควรรักใคร

     

                “แกเหมือนน้องฉันอย่างกับแกะ เป็นพวกชอบทรมานตัวเองเหมือนกัน” คนอาวุโสกว่าเอ่ยอย่างระอา

     

                “คุณซาสึเกะก็ด้วยเหรอครับ?”

     

                “อืม... วันนี้มันมาขอทะเบียนสมรสกับฉัน บอกว่าจะเอาไปทำเรื่องหย่า”

     

                “ทำไม... ถึงกะทันหัน...”

     

                “เพราะนั่นคือซาสึเกะ” อิทาจิตอบเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลาเครียดเขม็งขึ้นทันทีเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา “นายที่มีดันโซเป็นศัตรูเพียงคนเดียวยังต้องระวังขนาดนี้ แต่น้องฉันต้องรับศึกหลายด้าน ตอนนี้เรื่องใหญ่ที่สุดคงจะเป็นเรื่องของธนาคาร เมื่อวานมันไปกินเหล้าจนเมาแล้วก็โทรมาเล่าให้ฉันฟัง... ธนาคารอุจิวะกำลังจะถูกฟ้อง”

     

                “ฟ้อง?” คนฟังตาเบิกโพลง ก่อนจะหันใบหน้าที่ยังมีคราบน้ำตาที่เช็ดออกไม่หมดกลับมามองคนพูด ลืมความเสียใจไปชั่วขณะ

     

                “เป็นฝีมือของคาสึจิ เจ้านั่นส่งคนของตัวเองแฝงตัวเข้ามาในธนาคาร และก็ทำเรื่องเลวๆอย่างการปล่อยเงินกู้นอกระบบที่อัตราดอกเบี้ยสูงลิบ และใช้กลโกงยึดทรัพย์สินของลูกหนี้มาอย่างผิดกฎหมาย ไม่มีใครคิดหรอกว่านั่นเป็นการกระทำของคนแค่สองสามคน ในสายตาของคนทั่วไปนั่นคือการกระทำในนามของธนาคาร และถ้าต้องฟ้องร้องกันจริงๆ อุจิวะไม่รอดแน่”

     

                “แล้ว... คุณซาสึเกะไม่รู้ตัวเลยหรือครับ เป็นไปไม่ได้หรอกที่เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะรอดสายตาเขาไปได้” ซาอิพูดออกไปตามที่คิด ไม่มีทางหรอกที่คนอย่างอุจิวะ ซาสึเกะจะไม่รู้เรื่อง ชายคนนั้นเก่งอย่างกับปีศาจ มีสายตาที่กว้างไกลไม่แพ้ผู้เป็นพี่ แถมความสามารถด้านการปกครองยังเป็นเลิศ แค่สปาย... ทำไมคนๆนั้นจะไม่รู้ตัว?

     

    เป็นไปไม่ได้...

     

                “มันรู้สิ รู้มาตลอดนั่นแหละ” อิทาจิตอบเสียงเครียด คำตอบนั้นทำเอาคนฟังขมวดคิ้วอย่างสงสัย

     

    “แล้วทำไม...”

     

    “แต่มันไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงว่าทำไมคาสึจิต้องทำแบบนั้น ทั้งๆที่ตัวเจ้าคาสึจิเองต้องการจะให้ลูกสาวแต่งงานกับมันเพื่อให้ตำแหน่งรัฐมนตรีมั่นคงยิ่งขึ้น การจะมาบลัฟทำให้อุจิวะต้องล่มจมไปน่ะ ไม่ใช่ความคิดที่ดี แต่ตอนนี้มันก็รู้เหตุผลแล้วล่ะ คาสึจิทำแบบนั้นเพื่อบีบให้มันแต่งงานกับฟุรุคาวะ คาริน เพื่อแลกกับการที่คาสึจิจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือโดยใช้เส้นสายยกเลิกกระบวนการฟ้องร้องทั้งหมดและทำให้เรื่องเงียบไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น”

     

                “เพราะแบบนั้น... น้องชายของคุณถึงได้หย่ากับซากุระ แล้วไปแต่งงานกับฟุรุคาวะ คารินแทน... เพื่อรักษาธนาคารไว้” เจ้าของดวงตาสีนิลพูดเสียงขาดห้วง รู้สึกสงสารอดีตรุ่นน้องร่วมสถาบันจับใจ

     

                “ก็ไม่รู้สินะ ฉันก็ไม่คิดว่าเจ้านั่นจะโง่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่มันก็ไม่เคยบอกฉันเหมือนกันว่ามันกำลังคิดจะทำอะไร ว่าแต่แกเถอะ เรื่องที่ซาสึเกะมีเมียน่ะ ดันโซยังไม่รู้ใช่มั้ย?”

     

                “ครับ เจ้านั่นสงสัยก็จริง แต่ก็ยังไว้ใจให้ผมตามสืบเรื่องของซากุระอยู่ ผมบอกมันไปว่าเธอเป็นลูกสาวของพ่อครัวที่เพิ่งย้ายมาจากบ้านนอกเพราะแม่เสีย เธอก็เลยมาขออาศัยอยู่กับพ่อชั่วคราว แต่ก็ดูเหมือนดันโซจะไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว มันไม่ได้ให้คนสะกดรอยตามเธออย่างที่เคยบอกผมไว้ ซึ่งนั่นผมก็คิดว่าเป็นเรื่องโชคดีของเรา และก็ไม่ต้องห่วงว่าอิโนะจะเอาความลับนี้ไปบอกใคร เพราะผมลองซักกับเธอแล้ว แต่เธอก็ไม่บอกแม้กระทั่งผม คุณวางใจได้”

     

                “อืม เราก็คงช่วยได้เท่านี้ และตอนนี้ซากุระก็คงถูกไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น ถือว่าตัดปัญหาออกไปได้อีกหนึ่ง” อิทาจิสรุป สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือกลัวว่าดันโซจะรู้เรื่องคนรักของซาสึเกะ คนรัก... ที่เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา...

     

    เขาคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าคนอย่างซาสึเกะจะรักใครได้ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็น ผู้หญิงตอนที่เขาบังคับให้น้องชายสุดร้ายของตัวเองจดทะเบียนสมรสกับหญิงสาวนัยน์ตาเศร้าคนนั้น เขาคิดเพียงว่าหากซาสึเกะคิดจะเล่นตุกติกเรื่องการมีทายาท ก็ควรจะแก้เกมเอาไว้ก่อนเพื่อไม่ให้กฎหมายเอาผิดอะไรกับน้องชายของเขาได้หากมีการจ้างอุ้มท้องจริงๆ และก็เป็นการดัดนิสัยเจ้าจอมหยิ่งให้รู้จักเห็นถึงศักดิ์ศรีของคนอื่นบ้าง แต่ก็ไม่คิดว่านั่นมันจะทำให้ราชาไร้หัวใจอย่างซาสึเกะพบกับความรักที่ตามหามาตลอด เขาดีใจ... ที่ซาสึเกะมีคนรัก ความรักจะทำให้หัวใจที่หยาบกระด้างและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดนั้น ได้รับการเยียวยารักษา...

     

    เพียงแต่ความรักนั้นมาผิดเวลา...

    คนรักนั้นอยู่ผิดที่...

     

    มันถึงต้องจบลงอย่างเจ็บปวด

     

                “น่าขำนะครับ ทั้งผมทั้งคุณซาสึเกะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากต่างฝ่ายต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองนานหลายนาที ถึงปากจะบอกว่าขำ แต่ริมฝีปากกลับเหยียดยิ้มเย้ยหยันราวกับกำลังต่อว่าชะตาชีวิต น้ำเสียงที่เอ่ยสั่นเครือ... เจ็บปวด...

     

    “ทั้งๆที่ก็รู้ตัวดีอยู่แล้ว ว่าชีวิตนี้ต้องอยู่คนเดียว ไม่ควรรักใคร... แต่ก็ยังฝืนดันทุรัง สุดท้ายจุดจบมันถึงออกมาเป็นแบบนี้ ต้องทำร้ายคนที่รัก... ทำให้เขาร้องไห้ ต้องทำตัวเย็นชา โหดร้าย ทั้งๆที่อยากจะเข้าไปปลอบใจแทบขาด เป็นคนโง่ที่เอาแต่พร่ำเพ้อถึงความฝันที่เป็นไปไม่ได้ งี่เง่าจริงๆเลยนะครับ”

     

    อิทาจิไม่ได้ตอบอะไร ร่างสูงได้แต่หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า... นึกย้อนถึงต้นตอของความเจ็บปวดทั้งหมด ในใจรวดร้าวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

     

    ถ้าทำได้...

    เขาก็ไม่อยากให้คนตรงหน้าต้องมาเจ็บปวด...

    รวมถึงน้องชายของเขาด้วย...

     

    “อีกไม่นานเกมนี้ก็จะจบ คำสาบานของพวกเราจะสิ้นสุด และฉันสัญญา... ว่าจะทวงสิ่งที่แกเสียไปกลับคืนมาเอง”

     

     

    ยี่สิบสองปีก่อน...

     

                “คุณคะ... ฮึก...ฉันกับลูกจะอยู่ยังไง ฮือ... ใครมันทำกับคุณแบบนี้”

     

                หญิงสาวคนหนึ่งอุ้มลูกน้อยเพศชายวัยสามขวบ นั่งร่ำไห้อยู่หน้าโลงศพ...

     

    นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับซาอิ...

     

                เด็กชายวัยสามขวบที่ถูกอุ้มอยู่ไม่ได้มีท่าทีร้อนอกร้อนใจหรือแสดงอาการใดๆเลยสักนิดทั้งที่พ่อแท้ๆของตนเพิ่งจากไป แตกต่างจากมารดาที่ยังคงร้องไห้คร่ำครวญแม้เวลาจะล่วงผ่านมานานหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม อิทาจิในวัยสิบขวบนั่งเคารพศพอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เขาพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา...

     

    ความสูญเสีย...

     

    มันคือความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิด เบื้องหน้าเขา... ในโลงศพไม้แกะสลักอย่างดี คือร่างบอดี้การ์ดผู้ภักดีของบิดาที่เขาเห็นมาตั้งแต่เกิดนอนสงบอยู่... เป็นบอดี้การ์ดที่พ่อของเขาไว้ใจ และวางใจให้อารักขาบุตรชายคนเล็กของตระกูล ชายผู้นี้... คือคนที่ทำหน้าที่ปกป้องซาสึเกะ น้องชายเพียงคนเดียวของเขา ปกป้อง...

     

    จนตัวตาย...

     

    “ผมขอโทษครับ...” อิทาจิเอ่ยบอกหญิงสาวที่ดวงตาบวมช้ำเพราะร้องไห้อย่างหนัก ทันทีที่ได้ยินเสียงของคุณชายใหญ่แห่งอุจิวะ เธอก็หันมาจ้องหน้าเขาด้วยแววตาที่แข็งกร้าว

     

    “เพราะพวกแก! เพราะพวกแกไปสร้างศัตรูไว้ พวกมันถึงได้มาแก้แค้นและทำให้สามีของฉันต้องตาย!!!” เธอตวาดออกมาเสียงดัง เกรี้ยวกราด... เพราะหัวใจแหลกสลาย สองมือผอมบางโอบกอดลูกน้อยที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนไม่รับรู้เรื่องราวอะไร

     

    “เพราะพวกแก... ฮึก... พวกแกฆ่าเค้า”

     

    “ผมขอโทษ...” เด็กชายพึมพำบอก หัวใจรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัส คนที่รู้จักมักคุ้นกันมาเป็นสิบปีต้องมาตายจาก มิหนำซ้ำ... น้องชายเพียงคนเดียวที่เขารักยิ่งกว่าอะไรในโลกก็ยังหายไปแบบไร้ร่องรอย ไม่รู้ชะตากรรม... ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ไม่รู้... ว่าจะยังมีลมหายใจอยู่รึเปล่า?

     

    สูญเสีย...

     

    และหนึ่งสัปดาห์หลังจากวันนั้น อิทาจิก็ได้น้องชายของเขาคืน หากแต่ซาสึเกะที่กลับมา... กลับกลายเป็นเด็กที่ไร้ซึ่งรอยยิ้ม เนื้อตัวฟกช้ำไปด้วยร่องรอยของการถูกทารุณกรรม น้องชายของเขาไม่พูดกับใครอยู่เกือบปี กลายเป็นเด็กที่อยู่แต่ในโลกของตัวเอง... และน้องของเขา...

     

    กลายเป็นโรคเกลียดผู้หญิง

     

                แต่ความสูญเสียของโศกนาฏกรรมครั้งนั้นยังไม่จบ เพียงแค่วันเดียวหลังจากที่ซาสึเกะกลับมาอย่างปลอดภัย อิทาจิก็ได้รับข่าวร้าย ภรรยาของบอดี้การ์ดที่เสียชีวิตตรอมใจตายโดยทิ้งลูกน้อยวัยสามขวบไว้ เด็กคนนั้นไม่มีญาติพี่น้อง พ่อของเขาจึงพามาพักอยู่ที่คฤหาสน์ชั่วคราว เขาจำแววตาของเด็กน้อยในวันที่พ่อของเขาพากลับมาที่บ้านด้วยได้เป็นอย่างดี เด็กที่ไม่ร้องไห้เลยสักนิดในงานศพของพ่อ... เดินเตาะแตะมาหาเขาด้วยแววตาที่มุ่งมั่น

     

                “ซาอิ... จะแก้แค้น...”

     

                เป็นคำปฏิญาณของหนูน้อยที่เขาเข้าใจมาตลอดว่าไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของทั้งหมด... เขาสูญเสียน้องชายที่ร่าเริงไป และสูญเสีย...ทุกสิ่งทุกอย่างในเวลาถัดมา ในขณะที่เด็กชายตัวน้อยสูญเสียทั้งพ่อและแม่ คำมั่นของเด็กชายต่างวัยที่มุ่งจะแก้แค้นคนที่ช่วงชิงบุคคลอันเป็นที่รักไปยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

     

                หลังจากวันนั้นบิดาของเขาก็จัดการเป็นธุระหาครอบครัวอุปถัมภ์ให้เด็กน้อยที่เพิ่งกำพร้ามาหมาดๆ และก็ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้าง พ่อของเขามีเพื่อนที่เป็นมหาเศรษฐีอยู่ที่ชิคาโก้ซึ่งกำลังต้องการอุปการะเด็กสักคนเป็นบุตรบุญธรรมพอดี หนูน้อยจึงได้พ่อแม่บุญธรรมเป็นมหาเศรษฐี และใช้ชีวิตอยู่ที่ชิคาโก้จนกระทั่งจบม.ปลาย ซาอิย้ายมาเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศด้วยจุดประสงค์บางอย่างที่มีเพียงเขากับเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้

     

    แก้แค้น...

     

                เพื่อการแก้แค้นแล้วซาอิยอมลงทุนเข้าเรียนมหาลัยในประเทศในคณะที่เชื่อว่าจะถูกจับตามองจาก คนๆนั้นซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง ปลอมแปลงประวัติส่วนตัวโดยอาศัยความร่วมมือจากเขาที่ตอนนั้นเพิ่งจะลงจากตำแหน่งประธานใหญ่ของธนาคารอุจิวะพอดี

     

    จะด้วยความแค้นในใจหรือเพราะถูกฝึกมาก็ไม่อาจรู้ ซาอิกลายเป็นคนที่มีบุคลิกตายด้าน เรียนรู้ที่จะเสแสร้งแกล้งทำ หลอกล่อให้เหยื่อตายใจ เพื่อให้ง่ายต่อการทำหน้าที่เป็นนกสองหัว และเขาก็ทำสำเร็จเมื่อได้รับการติดต่อจากดันโซให้เข้าเป็นหนึ่งในเครือข่าย เขาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของดันโซมาสามปี สร้างผลงานให้เป็นที่ประทับใจ  ซื้อความไว้วางใจจนดันโซมอบหมายให้ทำงานใหญ่ นั่นคือการแทรกซึมเข้าไปในบริษัทอุซึมากิเพื่อขโมยข้อมูลด้านการเงินของบริษัทเล็กใหญ่ทั้งหลาย และก็เป็นเรื่องน่าขำที่ดันโซไม่เคยสงสัยอะไรเลย... เขาแสดงเป็นเด็กใจแตกที่เห็นแก่เงินได้อย่างสมบทบาท ดันโซคิดว่าจะสามารถซื้อเขาได้ด้วยเงิน...

     

    แต่เงินไม่มีค่าอะไรสำหรับเขาเลย...

     

    ที่พ่อบุญธรรมของเขามีมันก็มากพอที่จะทำให้เขาใช้ชีวิตได้สบายทั้งชาติโดยไม่ต้องทำอะไร ดันโซพลาดเองที่ไม่ได้ศึกษาชีวิตเบื้องหลังของเขาและเชื่อข้อมูลเท็จที่เขาสร้างขึ้น คนๆนั้นยังคงเชื่อว่าเขาคือลูกไก่ในกำมือ คือหุ่นเชิดที่จะชักไปทางไหนก็ได้ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าหุ่นเชิดตัวนั้น... มันกำลังจะแว้งกัด

     

                “การรอคอยที่ยาวนานของเรากำลังจะสิ้นสุด... ผมจะทำให้มันทรมาน... ให้สาสมกับที่มันเคยทำกับพ่อผม และก็คุณท่าน...” น้ำเสียงช่วงท้ายประโยคดูเศร้าสลด คุณท่าน ที่เขาหมายถึงก็คือ อุจิวะ ฟุงาคุ บิดาของอิทาจิที่เสียชีวิตไปเมื่อสิบสี่ปีก่อน เป็นผู้มีพระคุณที่รักและเอ็นดูเขาไม่ต่างจากลูกในไส้ แต่ฟุงาคุก็กลายเป็นเหยื่อจากผลพวงของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบสองปีก่อน

     

    จุดจบของชายคนนั้น...

    เป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันลืม... และไม่มีทางให้อภัยคนที่ทำ!

     

                “ฉันไม่อยากให้แกลงมือเอง”

     

                เสียงของอิทาจิแว่วเข้ามาในโสตประสาท ซาอิเงยหน้าขึ้นมองคนที่นับถือเหมือนพี่ชาย เขาหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลก่อนจะตอบ

     

                “คุณห้ามผมไม่ได้หรอกครับ”

     

                “ฉันไม่ได้ห้าม แต่กำลังขอ... ฉันก็รักแกเหมือนน้องชายของฉัน ฉันไม่อยากให้แกทำผิด ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของฉันเอง”

     

                “ผมพร้อมจะทำผิดมาตั้งนานแล้ว คุณน่ะ อยู่เฉยๆเถอะครับ” พูดด้วยเสียงหนักแน่น ก่อนจะถอนหายใจยาว ดวงตาสีนิลมองดูคนที่ยืนกอดอกพิงผนังอย่างเจ็บปวด แม้ว่าใบหน้าเรียบเฉยนั้นจะนิ่งสมกับเป็นอดีตผู้ยิ่งใหญ่ เป็นชายที่เก่งฉกาจจนไม่มีใครเทียบได้ หากแต่จังหวะการหายใจที่ถี่ราวกับคนเพิ่งออกกำลังกายมาทั้งที่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ทำให้รู้ว่าอิทาจิกำลังต่อสู้อย่างหนักกับการทรมานจากโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และถึงแม้ว่าที่อกข้างซ้ายของเขาจะฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจเอาไว้ แต่ก็มีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่มันทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

     

                “คุณทำมามากพอแล้ว มาก... จนต้องเสียหัวใจไป ที่เหลือผมจะจัดการเอง คุณพักเถอะครับ ไม่ว่าคุณจะกล่อมยังไงผมก็ไม่ยอมหรอก ทั้งคุณ ทั้งคุณซาสึเกะ ผมจะรัก...และปกป้องเหมือนที่พ่อของผมทำ”

     

                ดวงตาสีรัตติกาลมองใบหน้าลูกชายของอดีตบอดี้การ์ดอย่างอ่อนใจ การจัดการดันโซมันไม่ใช่สิ่งที่คนมีอนาคตอย่างซาอิควรจะทำ งานนี้มันเหมาะกับคนที่ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งอย่างเขามากกว่า

     

                “แล้วแกไม่คิดถึงคนที่แกรักเลยรึไง? เขาจะรู้สึกยังไงถ้าจู่ๆแกก็กลายเป็นคนชั่วที่มุ่งแต่จะแก้แค้น” อิทาจิหาวิธีหว่านล้อมอื่น เขาคิดว่ามันจะได้ผลหากยกเรื่องคนรักขึ้นมาอ้าง แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าเบาๆพร้อมกับยิ้มขมขื่น

     

                “ผมส่งเธอไปอยู่ต่างประเทศแล้วล่ะครับ...” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “พรุ่งนี้อิโนะจะไปฝรั่งเศสตามที่ผมตกลงกับคุณพ่อคุณแม่ของเค้าไว้ ผมติดต่อที่เรียน ที่ทำงาน ปูอนาคตของเธอไว้ที่โน่นหมดแล้ว เธอจะไม่รู้ข่าวคราวจากผม ไม่รู้ว่าผมเป็นคนบาป แต่ถึงจะรู้... เธอก็อาจจะไม่รู้สึกอะไร เพราะเธอคง...ตัดผมทิ้งจากใจไปแล้ว”

     

                “แกมันบ้า...” คนแก่กว่าร้องครางอย่างไม่เชื่อหู แทบไม่อยากจะจินตนาการถึงความเจ็บปวดที่คนตรงหน้าจะได้รับ

     

                “ก็อาจจะบ้าน้อยกว่าน้องชายของคุณ” ตอบกลับไปตามความจริง ก่อนเปลี่ยนเรื่องเพื่อหนีบรรยากาศแสนเศร้า

     

                “ทำไมวันนี้คุณถึงออกมาอยู่ข้างนอกได้ล่ะครับ? ผมจำได้ว่าคุณไม่ชอบไปไหนมาไหนตอนกลางคืน?”

     

                “ฉันก็ไม่ได้อยู่ติดบ้านขนาดนั้น แต่ก็ใช่ วันนี้ฉันออกมาข้างนอกเพราะบรรยากาศในบ้านมันไม่น่าพิสมัย” อิทาจิตอบด้วยเสียงเหนื่อยหน่าย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกเมื่อนึกถึงสภาพของใครบางคนที่บ้าน

     

                “คุณซาสึเกะ?”

     

                “อืม ก็อย่างที่แกบอก ตอนนี้มันคงกำลังบ้าได้ที่เลยล่ะ”

     

    .

    .

    .

     

     

                “ไม่เจอ!?!

     

    เสียงทรงอำนาจตะคอกเสียดังจนคนอยู่ปลายสายต้องยกโทรศัพท์ออกห่าง เหล่าลูกน้องผู้ภักดีต่างยืนตัวสั่นงันงกกันเป็นแถว ไม่เว้นแม้แต่เลขาคนสนิทอย่างจูโกะที่เป็นคนถือโทรศัพท์

     

    “ทำไมไม่เจอ? นี่นายกำลังจะบอกว่าเมียฉันไม่ได้กลับบ้านงั้นเหรอ!?!

     

                “คะ...ครับ” จูโกะรับคำเสียงสั่น “ผมไปรอภรรยาของคุณที่บ้านตามที่คุณสั่ง แต่ว่าผมก็ยังไม่เห็นเธอเลยครับ เธอ... ไม่ได้กลับมาที่นี่”

     

                “แล้วที่บ้านเพื่อนล่ะ บ้านเพื่อนที่พวกนายไปขนของตอนนั้น...”

     

                “คนที่เฝ้าอยู่ทางโน้นก็ติดต่อมาหาผมเหมือนกันว่ายังไม่เห็นเธอ มีแต่เพื่อนของเธอครับที่เข้าบ้านไป”

     

                “อะไรนะ!?!” ร่างสูงตะคอกอีกครั้งเหมือนคนสติแตก มือที่ถือโทรศัพท์สั่นพร่าไปหมด...

     

    “นี่มัน... จะห้าทุ่มแล้วนะ เธอต้อง... กลับไปอยู่ที่บ้านไม่ใช่เหรอ? เธอเคยบอกฉันเอง ว่าไม่มีที่ไป ไม่รู้จักใคร แล้วจะไปอยู่ที่ไหนได้...” พูดเหมือนตั้งคำถามกับตัวเองเสียมากกว่า ดวงตาสีรัตติกาลสั่นระริกไปด้วยความกลัว ก่อนที่ปลายสายจะเรียกคืนสติ

     

                “จะให้ผมทำยังไงครับคุณซาสึเกะ?”

     

                “ถามอะไรโง่ๆ ก็ตามหาสิ! หาตัวเมียฉันให้เจอ ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาให้เจอ!!! ถ้าหาไม่เจอก็อย่าเอาหน้ามาให้ฉันเห็น!!!” สั่งเสียงเฉียบก่อนจะกดตัดสาย จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง มือทั้งสองข้างทึ้งศีรษะอย่างคนเครียดจัด

     

    ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกัน?

     

                ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นกังวล เจ็บแปลบในใจจนน้ำตาแทบไหล แต่ก็ทำได้เพียงสะกดกลั้นไว้ไม่แสดงออกมา...

     

    เขาไม่ได้ตั้งใจ...

    ไม่ได้อยากจะทำให้เธอร้องไห้...

     

    แต่มันจำเป็น...

     

                มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง กดเปิดข้อความล่าสุดที่เพิ่งถูกส่งมาให้ตอนบ่ายสามโมง ดวงตาสีรัตติกาลไหววูบกับภาพที่ดูบาดตาภาพนั้น... ภาพภรรยาของเขาที่หมดสติกำลังถูกใครคนหนึ่งอุ้มเข้าโรงแรมไป เขาจำหน้าคนที่อุ้มได้ดี หมอนั่นคือเจ้าของสูทที่ซากุระหยิบติดมือกลับมาบ้านด้วย

     

    ซาบาคุ โนะ กาอาระ

    สูติแพทย์มือหนึ่งที่ควบตำแหน่งเจ้าของโรงแรมซึนะ

     

                แวบแรกที่เขาเห็นภาพนี้ อารมณ์หึงหวงก็ทำให้เขาบ้าไปชั่วขณะ แต่พอตั้งสติได้ว่าแม่คุณหมดสติแบบนั้นคงไม่ได้เต็มใจจะเข้าโรงแรมไปกับผู้ชายแน่ๆ อารมณ์โกรธเพราะพิษหึงหายไปเหลือเพียงความห่วงใยและกังวล เป็นห่วงว่าแม่ตัวดีของเขาจะถูกทำมิดีมิร้ายรึเปล่า เพราะถึงแม้ซาโซริจะยืนยันว่าเจ้าหมอหนุ่มหน้าดุคนนั้นมีเครดิตดี ไม่คิดจะเคลมคนมีเจ้าของแน่ แต่สัญชาตญาณของผู้ชายจะไว้ใจได้หรือ? ขนาดเขาเองที่ข่มอารมณ์ความต้องการของตัวเองได้เป็นอย่างดีก็ยังต้องพ่ายแพ้ย่อยยับ แล้วนับประสาอะไรกับคนธรรมดา?

     

                แค่คิดอารมณ์ทั้งหวงทั้งห่วงก็ผลักให้เขาผุดลุกขึ้น เตรียมจะไปชิงตัวภรรยาสาวกลับ แต่ทว่าที่ขาก็เหมือนมีตุ้มเหล็กหนักๆมาถ่วงไว้...

     

    ใครกันที่ส่งภาพนี้มาให้?

    แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเขากับคนในภาพเกี่ยวข้องกัน?

     

                แค่สองคำถามก็ทำเอาร่างสูงหมดแรงทรุดนั่งลงไปกับเก้าอี้อีกหน... มือเย็นเฉียบ ตัวชาวาบ สมองเบลอไปชั่วขณะ มือที่สั่นจับโทรศัพท์ไว้ไม่อยู่จนมันตกกระทบพื้น ภาพแสนบาดใจยังคงฉายอยู่ที่จอสี่เหลี่ยม เขาพยายามตั้งสติ คิดบวกลบคูณหารหาทางออก ตอนนี้มีคนที่ล่วงรู้ความลับของเขาแล้วและคนๆนั้นก็ไม่น่าจะมาดี การส่งรูปคนรักของเขาเข้าโรงแรมไปกับผู้ชายแบบนี้ จุดประสงค์ก็คือต้องการให้เขาเข้าใจผิด... และคนที่ต้องการให้เขาเข้าใจผิดจนต้องเลิกกับซากุระเพื่อมาแต่งงานกับตนก็มีแค่คนเดียว

     

    ฟุรุคาวะ คาริน!

     

    ผู้หญิงคนนั้นพูดอ้อมๆมาหลายครั้งเหมือนรู้ว่าเขามีภรรยาแล้ว ตอนนั้นทางออกเดียวที่เขาคิดได้ก็คือเออออไปตามน้ำ สวมหน้ากากแสดงละครโดยใช้สถานการณ์ที่เอื้ออำนวยให้เป็นประโยชน์ เขาตอบตกลงข้อเสนอของคาสึจิที่ว่าจะช่วยให้ธนาคารรอดจากการถูกฟ้องร้องโดยแลกกับการที่เขาจะต้องแต่งงานกับคาริน จากนั้นก็ชวนคารินไปที่บ้านโดยอ้างว่าจะคุยเรื่องแต่งงาน แต่ความจริงแล้วคือพาเธอไปชมการแสดงฉากใหญ่ที่มีเขาเป็นตัวเอก ตบตาว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับซากุระพร้อมกับไล่ออกจากบ้านโดยใช้รูปเจ้าปัญหานั้นเป็นชนวนเหตุ

     

    เขาทำสำเร็จ...

     

                หญิงสาวที่รักดุจแก้วตาดวงใจฝากรอยประทับที่แก้มก่อนจะเดินจากไป เขาทำใจแข็งแม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจ ถึงอยากจะวิ่งไปคว้าร่างเล็กมาโอบกอดแค่ไหนก็ทำเพียงยืนนิ่ง แสยะยิ้มชั่วร้าย ขับไสไล่ส่งให้เธอไปให้พ้นๆ...

     

    เจ็บปวด...

    แต่ทำอะไรไม่ได้...

     

    ร่างสูงไม่ได้ให้คนสะกดรอยตามเธอออกไปจากบ้านเพราะเกรงว่าคารินอาจจะไม่เชื่อว่าเขาไม่มีเยื่อใยกับเธอและคอยให้คนจับตาดูอยู่ เขาทำได้เพียงสั่งให้คนของตัวเองไปดักรอที่บ้านเก่าของเธอ โดยกำชับว่าให้ดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครติดตามเธอไป จากนั้นก็พาเธอไปอยู่ในที่ที่เขาเตรียมไว้ให้

     

    พาเธอออกจากสังเวียนที่เต็มไปด้วยอันตราย...

    ซ่อนเธอให้พ้นจากสายตาของคนคิดที่ร้าย...

     

    แต่เธอกลับหายไปจากสายตาของเขา...

     

    ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน?

    ไม่รู้ว่าเกิดอันตรายอะไรกับเธอรึเปล่า?

     

                ร่างสูงทึ้งศีรษะตัวเองอีกหน หัวใจถูกบีบรัดจนรู้สึกเจ็บไปหมด ทรมาน... จนต้องยอมปล่อยให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลลงมาเป็นทาง ให้หัวมีเพียงประโยคเดียวที่ต้องการจะพูดกับคนที่เดินจากไป...

     

    “ฉันขอโทษ...”     

     

     

     

     

                จุกอ่ะ แต่งไปจุกไป T^T ใครว่ามีแต่นางเอกรันทด เหล่าพระเอกทั้งหลายก็ไม่ต่างกันเลย สงสารทั้งพี่อิทาจิ อีตาซาอิ และก็บักเกะ อื้อหือ~ ชีวิตพวกเอ็งนี่เศร้ายิ่งกว่าละครหลังข่าว ดังนั้นศาลจะลดโทษให้พวกเจ้ากึ่งหนึ่ง =.,= แต่ช่วงนี้ก็กินมาม่าประชดชีวิตกันไปก่อนนะ

     

    ปล. เรื่องนี้อิเป็ดมันไม่ได้โง่นะ แต่มันน่าหมั่นไส้ น่าตบน่าเตะแค่นั้นเอง –[]-

               

               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×