ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ending [ทำมือ] ◦แพศยา◦

    ลำดับตอนที่ #7 : #ผู้หญิงแพศยา :: Episode 7 [อัปครบ]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19.64K
      2.49K
      22 พ.ย. 61


    -E P I S O D E 07-


    Pah Describe

    คำพูด ท่าทาง รวมถึงสายตาที่เกลใช้มองผม...มันยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

    เธอเห็นผมเป็นเพียงผลประโยชน์ที่พร้อมจะทิ้งขว้างเมื่อถึงเวลา

    เราต่างเริ่มต้นความสัมพันธ์นี้ด้วยเหตุผลของตัวเอง

    ผมเห็นความเห็นความจำเป็นบางอย่างในตัวเธอ ส่วนเกล...เธอเป็นผู้หญิงอ่านยาก ดังนั้นผมจึงไม่เคยรู้ว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไร

    เชื่อไหมว่าหลายปีที่ผ่านมา ผมรู้จักเพียงชื่อของเธอ อายุของเธอ และนิสัยของเธอ แต่ภายใต้ใบหน้าเย่อหยิ่งและเเสนเย็นชานั้นมีอะไรเคลือบแฝงไว้...ผมไม่รู้จริงๆ

    ย้อนไปในตอนที่เราตกลงเป็นแฟนกัน เกลบอกผมว่า ฉันไม่ได้รักนายนะ แต่นายน่าสนใจดี

    ตอนนั้นผมไม่คิดจริงจัง เกลเห็นผมเป็นอะไรมันไม่สำคัญอยู่เเล้ว เพราะผมสนเเค่ว่าการมีเธอเป็นของตัวเองจะทำให้ใครบางคนอกแตกตาย นั่นคือจุดหมายเดียวที่ผมมี หมดสนุกกับเรื่องนี้เมื่อไหร่ค่อยเขี่ยเธอทิ้งซะ

    แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมได้รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่เธอก้าวเข้ามาในชีวิต ได้เข้าใจว่าผมมีผลประโยชน์กับเธอยังไงในฐานะเเฟนปลอมๆ ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่เกลเริ่มมีอิทธิผลต่อหัวใจผม

    เธอแทรกซึมเข้ามาในความรู้สึกผมอย่างแนบเนียน ทำให้ผมเหมือนเหยื่อหน้าโง่ตัวหนึ่งซึ่งถูกล่อลวงด้วยบางสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่รับรู้มันด้วยสัญชาตญาณและจิตใต้สำนึก

    รู้ตัวอีกที ผมก็กลายเป็นของเธอ

    ทั้งหัวใจ ทั้งความคิด และแทบทุกอย่าง

    ตอนนี้...ผมคือไอ้ผาที่เสียเธอไปไม่ได้

    โชคดีหน่อยที่เกลยังไม่ได้เดินจากไปไหน เธอยังมาหาผม ยังสัมผัสผม ยังมองหน้าผม...

    “ฉันไม่ไปไหนหรอก”

    “ไม่ไปไหนจริงๆ ก็ดี” หลังจากปล่อยให้เกลใช้นิ้วเกาคางเหมือนหมาโง่กับเจ้าของผู้สูงส่ง ผมก็คว้ามือบางไว้ ก่อนจรดริมฝีปากบนนิ้วนางข้างขวาของเธอ

    ดีแล้วเกล...

    อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือใครเลย ฉันไม่อยากกลายเป็นอีกคน...คนที่เธอไม่รู้จัก

    เกลยืนนิ่งและหลุบตามองการกระทำของผมอย่างเฉยชา กระทั่งผมเลิกดื้อดึง เจ้าตัวจึงเดินจากไปโดยที่ผมยังคงมองเธออยู่แบบนี้

    ผมรู้ว่าเกลระแคะระคายในตัวผม เธอฉลาดพอจะมองออกว่าผมกำลังปิดบังบางสิ่งไว้

    ซึ่งใช่ ที่เธอคิด...มันถูกต้องทั้งหมด

    ผมรู้ว่าใครทำให้เธอเจ็บตัว รู้ว่าใครทำให้เธอเกิดอุบัติเหตุจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด

    รู้...แต่บอกไม่ได้

    กึง

    เสียงเหมือนมีอะไรตกทำให้ผมต้องกระชากตัวเองออกจากภวังค์ความคิด ครั้นเมื่อหันกลับไปมองจึงพบว่าเจ้าของเสียงคือไอ้เเพน

    มันทำไขควงตกพื้น...

    “อะไรมึง” ผมถามไอ้เด็กมอมแมมที่ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนถึงทำไขควงหลุดมือได้

    “เปล่าฮะ” ไอ้แพนปฏิเสธแล้วรีบหยิบไขควงขึ้นมา จากนั้นก็หันไปสนใจงานตรงหน้าต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ผมเฝ้ามองมันอยู่พักหนึ่งแล้วเกิดคำถามขึ้นมาในใจ

    แต่ก็ช่างเถอะ...ถ้ามันอยากบอกอะไรก็คงจะบอกเอง

    End Describe

     

    Gale Describe

    “เกล กลับบ้านช้าอีกแล้วนะ”

    ฉันกลับถึงบ้านเวลาหกโมงครึ่ง รองเท้ายังไม่ได้ถอดวางบนชั้นดีๆ ก็ถูกสายตาตำหนิของพ่อทิ่มแทงตั้งแต่แรก แถมยังพูดเหมือนฉันไปเถลไถลที่ไหนไกล ทั้งๆ ที่ตอนนี้มันเพิ่งหกโมงครึ่งเท่านั้น

    ต้องกลับตอนเที่ยงมั้งถึงจะพอใจ

    “รถติดนิดหน่อยค่ะ” ฉันอธิบายสั้นๆ เพราะอยากให้ท่านเลิกใช้สายตาจับผิดกันสักที ระหว่างนั้นไม่ลืมชำเลืองตามองอาหารบนโต๊ะที่ถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย

    “อย่าหาว่าพ่อยุ่งเลยนะ” เมื่อฉันก้าวเท้าเข้าไปด้านในและเตรียมขึ้นห้องไปนอนพักให้หายเหนื่อย พ่อก็ฉุดฉันไว้ด้วยประโยคแฝงนัยยะ “แต่พ่อไม่อยากให้เราขับรถเองอีกแล้ว พ่อเป็นห่วง”

    “...” ฟังน้ำเสียงอ่อนโยนเจือความเจ็บปวดนั้นโดยไม่หันไปมอง ฉันรับรู้ได้จากหัวใจว่าท่านกำลังรู้สึกอย่างที่ปากว่าจริงๆ 

    อาจทำไปตามหน้าที่ก็ได้

    อย่างน้อยฉันก็เป็นลูกของเมียเก่า

    “เดี๋ยวพ่อหาคนขับรถส่วนตัวให้ เอาไหม” ท่านถามฉันราวกับต้องการความคิดเห็น

    “ไม่เป็นไร ขอบคุณนะคะ” ฉันหันกลับไปยิ้มอย่างเฉยชา...ก่อนก้าวเท้าขึ้นบันไดโดยไม่สนใจเสียงเรียกของพ่อที่เบาลงเรื่อยๆ ตามระยะทาง

    ขอบคุณนะที่ทำเหมือนเป็นห่วงกัน

    แม้จะเป็นแค่เศษเสี้ยว...แต่อย่างน้อยก็ทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองยังพอมีค่าบ้างในสายตาท่าน

     

    “เอย์ กินข้าวหน่อยลูก”

    ฉันงีบไปประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถูกเสียงจากห้องข้างๆ ปลุกให้ตื่นขึ้น

    ใช่...ห้องของเอย์

    เขายังถูกพ่อกักบริเวณอยู่ จำไม่ได้เหมือนกันว่าผ่านมากี่วันแล้ว แต่เจ้าตัวไม่ได้ออกไปไหนเลย มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ไป

    ถ้าถามว่าการตัดสินใจของพ่อมันส่งผลกระทบต่อการเรียนของเอย์ไหม ถ้าคิดถึงความเป็นจริง แน่นอนล่ะว่ามันส่งผลด้านลบโดยตรง

    แต่เมื่อตระหนักถึงความจริงอีกข้อ...ฉันพบว่าการลงโทษในครั้งนี้แทบจะไร้ความหมาย

    พ่อเป็นรุ่นน้องของคณบดีประจำคณะ รู้จักแม้กระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษาของหมอนั่น

    พอเอย์ไม่ได้ไปเรียน ท่านแค่ให้เหตุผลว่าป่วยหรือมีธุระ ทำเรื่องลาอาทิตย์เดียวก็ไม่ได้ทำให้เอย์เสียเปรียบเรื่องคะแนน แฟร์สุดๆ ไปเลยว่าไหม

    แบบนี้ไม่เรียกว่าการลงโทษด้วยซ้ำ

    เหมือนเอย์ได้นอนอยู่บ้านสบายๆ เรียนก็ไม่ต้องไปเรียน กินแล้วก็นอน ใช้ชีวิตชิลๆ ไม่ต้องมีเรื่องปวดหัว

    “เอย์ไม่ค่อยหิวครับแม่” เสียงเอย์ดังแทรกเข้ามาถึงห้องฉัน เหมือนเขากำลังคุยกับสายธาร

    ฉันถอนหายใจทิ้งแล้วหยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ขึ้นมากด จังหวะที่ล็อกอินเข้าไปเช็กเฟซบุ๊กก็อดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อพบว่ามีรูปหนึ่งปรากฏขึ้นมาหน้าไทม์ไลน์ เป็นรูปของเอย์...

    รูปไม่ชัดเท่าไหร่ แต่แน่ใจว่าเขาไม่ได้สวมเสื้อ

    เอย์ถ่ายติดแค่เสี้ยวหน้ากับไหปลาร้า พร้อมแคปชั่น ไม่สบาย อยากได้คนดูแล  

    ยอดไลก์เกือบสองพัน ไหนจะคอมเม้นต์หลักพันซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสาวๆ

    ฉันเลื่อนดูคอมเม้นต์ผ่านๆ กระทั่งเจอคอมเม้นต์หนึ่ง...

    Mameaw :: น้องเอย์~ พี่อาสาเช็ดตัวให้ได้นะ บอกพิกัดมาค่ะ

    มะเหมี่ยว...เพื่อนฉันเอง

    ใครหล่อมันก็อ่อย ก็ยั่วไปทั่วแหละ เรื่องปกติ

    “ไม่ได้นะลูก ต้องกินสักคำสองคำ จะได้กินยาแล้วนอนไงครับ” สายธารเป็นเจ้าของประโยคนี้

    “งั้นให้พี่เกลมาป้อน”

    “...” ฉันชะงัก

    “เอย์อยากให้พี่เกลมาป้อน สัญญาจะ กินไม่ให้เหลือเลยครับ” 

    “อย่ารบกวนพี่เกลเลยลูก แม่เห็นพี่เขากลับมาจากมอก็เข้าห้องเลย คงจะเรียนหนัก” เป็นสายธารที่หาข้ออ้างให้ฉัน แต่คิดเหรอว่าคำพูดพวกนั้นจะทำให้เอย์เลิกดื้อดึงได้

    “แต่เอย์อยากให้พี่เกลมาป้อนนี่...” แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เพราะเมื่อสายธารไม่ยอมทำตามที่ตัวเองต้องการ เอย์ก็เริ่มใช้ไม้ตาย นั่นคือลูกอ้อนซึ่งนานๆ ทีจะงัดออกมาใช้

    ขนาดฟังจากอีกฟากของห้อง ฉันยังรู้สึกขนลุกกับน้ำเสียงออดอ้อนของเขาเลย

    “เจ้าเด็กคนนี้!” ระดับเสียงของสายธารดังขึ้นอีกหน่อย

    “นะครับแม่ ให้พี่เกลมาป้อนเอย์หน่อย เอย์จะไม่ดื้อถ้าได้พี่เกลมาดูแล”

    “กับแม่น่ะอ้อนได้อ้อนดี ทำไมกับพี่เกลแม่ไม่เห็นเราคุยดีๆ กับพี่เขาเลย” สายธารถามเสียงอ่อนอกอ่อนใจ 

    จริงๆ ฉันพอจะมองออกว่ามันอยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสนิทสนมกับฉัน แต่ก็ทำได้แค่ฝันเท่านั้น

    ผ่านจุดที่เคยรักและไว้ใจมาแล้ว พอมันพังไม่เป็นท่า ให้กลับไปคุยดีๆ เหมือนคนปกติทั่วไปยังยาก นับประสาอะไรกับการทำตัวสนิทสนมกลมเกลียวกัน

    เรื่องฝืนธรรมชาติไม่ใช่ของถนัดฉันหรอกนะ

    “ก็พี่เกลชอบดุเอย์” เขายกความผิดทั้งหมดให้ฉัน “ชอบทำหน้ายักษ์ สาดพลังด้านลบกระแทกหน้าเอย์ตลอด”

    “พูดเบาๆ หน่อยลูก เดี๋ยวพี่มาได้ยินอีกจะแย่” สายธารปรามลูกชายสารเลวราวกับเป็นกังวลในความสัมพันธ์ของเราสองคน “งั้นเดี๋ยวแม่ไปถามพี่เกลให้...”

    และท้ายประโยคนั้น น้ำเสียงที่เคยปกติก็แผ่วเบาลงจนแทบจับใจความไม่ได้

    รู้สินะว่าถ้ามาตามฉันด้วยตัวเองคงหนีไม่พ้นถูกฉันตวาดไล่เหมือนหมูเหมือนหมาแน่

    ฉันนอนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายอยู่บนเตียงเหมือนเดิม จนกระทั่งราวๆ สิบนาทีผ่านไป...ความเงียบงันทั้งหมดก็ถูกเสียงเคาะประตูทำลายจนหมดสิ้น

    “...” ฉันเหลือบมองที่มาของเสียงอย่างเฉยชา ก่อนจะเคลื่อนสายตากลับมาเหมือนเดิม

    ก๊อกๆ!

    เมื่อฉันไม่ตอบสนองต่อการมาของใครบางคน ประตูห้องที่ถูกปิดสนิทก็ถูกเคาะอีกสองครั้งด้วยความรุนแรงที่มากกว่าครั้งก่อน รับรู้ได้ถึงความหงุดหงิดผ่านเสียงนั้น

    จนกระทั่ง...

    “เกล เปิดประตูให้พ่อ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากอีกฟากของบานประตู

    ไม่ใช่อีสายธาร แต่เป็นพ่อ...

    “...” ฉันถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็เดินเนือยๆ ไปเปิดประตูให้ท่าน

    “พ่อเคาะเรียกเราตั้งหลายที สาบานสิว่าไม่ได้ยิน” เมื่อประตูถูกเปิดออก พ่อที่ยืนทำหน้าดุอยู่ก่อนแล้วก็ยิงคำถามใส่ฉันอย่างเชี่ยวกราดเหมือนรู้ว่าที่ปล่อยให้รอนานมันเกิดจากการเพิกเฉย ไม่ใช่เพราะไม่ได้ยิน

    “ค่ะ” ฉันตอบสั้นๆ ขณะมองหน้าท่านไปด้วย “พ่อมีอะไรหรือเปล่า?”

    “น้องมันไม่สบาย ไปดูน้องหน่อย” อะไรนะ

    ปฏิกิริยาแรกของฉันคือขมวดคิ้วมุ่นเป็นโบว์...

    จริงๆ ไม่ได้ตกใจสิ่งที่ท่านบอก แต่หงุดหงิดที่สายธารเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับฉันโดยตรง

    การที่พ่อเป็นคนมาพูดเอง มันหมายความว่าฉันต่อต้านอะไรไม่ได้ไง

    “แล้วทำไมเกลต้องไปดู มันแค่ไม่สบาย ไม่ได้จะตาย” ฉันเหลือบตามองประตูห้องข้างๆ

    “เกล!” และคำพูดนั้นไม่น่ารักเลยในสายตาพ่อ “ไม่รู้เหรอว่าเอย์มันอยากสนิทกับเราขนาดไหน อย่างน้อยก็เทคแคร์น้องหน่อย เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ”

    “พ่อพูดเหมือนลืมเลยนะคะว่าอะไรทำให้หมอนั่นถูกกักบริเวณ?” 

    ถึงเอย์ไม่ได้ตบหน้าฉันจริงๆ แต่เพราะเขายอมรับไม่ใช่หรือไง...พ่อถึงโมโหแล้วสั่งกักบริเวณเขาเป็นอาทิตย์

    “พ่อรู้ว่าน้องไม่ได้ทำ”

    “...”

    “แต่น้องยอมรับเอง และเราก็อยากให้มันเป็นแบบนี้ ยังจะต้องการอะไรอีก?”

    “...” คำถามของพ่อทำให้ฉันนิ่งไป ท่านรู้มาตลอดสินะ...

    ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเอย์ถึงนอนสบายอกสบายใจอยู่ในห้อง ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนอะไร

    ในเมื่อนี่มันไม่ใช่การลงโทษตั้งแต่แรก

    “อย่าให้พ่อต้องพูดซ้ำ” จบประโยคนั้น พ่อก็ส่งสัญญาณผ่านสายตาเหมือนอยากให้ฉันเข้าห้องไปดูอาการเอย์ตั้งแต่ตอนนี้

    ถามว่าหงุดหงิดไหมที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ แน่นอนว่าหงุดหงิด แต่ฉันรู้ว่าการทะเลาะกับพ่อเป็นอะไรที่น่าเบื่อกว่า แถมตอนนี้ฉันก็เหนื่อยๆ ด้วย เลยคิดว่าเลี่ยงๆ หน่อยสักวันสองวันน่าจะเป็นการดี

    เมื่อรู้ว่าทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ฉันเลยยกมือเสยผมลวกๆ เเล้วเดินไปที่ห้องเอย์อย่างจำใจ...

    เมื่อสองเท้าหยุดเคลื่อนไหวตรงหน้าประตูห้อง ฉันลองหันไปยังจุดที่พ่อเคยยืน ถึงได้พบว่าท่านเดินจากไปแล้ว ทิ้งฉันไว้กับสถานการณ์ที่พยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด

    ก๊อก...

    ฉันหันกลับมาในไม่กี่วินาทีให้หลัง ก่อนเคาะประตูห้องเอย์เพียงครั้งเดียวเพื่อให้เขารู้ว่าฉันกำลังจะเข้าไป ไม่รอให้มีการขานรับเกิดขึ้นฉันก็หมุนลูกบิดแล้วก้าวเท้าเข้าไปด้านในทันที

    ตึง...

    จังหวะที่ฉันระบายความคุกรุ่นด้วยการเหวี่ยงประตูให้มันปิดอย่างรุนแรง เป็นจังหวะเดียวกันที่สองตาสะท้อนเข้ากับร่างสูงซึ่งนั่งสูบบุหรี่อยู่ริมเตียง เขาหันหน้ามาทางนี้เหมือนรู้อยู่แก่ใจว่าฉันต้องมาหาแน่ 

    และใช่ ช่วงบนของร่างกายไม่มีสิ่งใดห่อหุ้ม มันเปล่าเปลือยโชว์กล้ามเนื้อเรียงตัวสวย

    “เอย์กำลังรออยู่เลย” คำทักทายแรกของเอย์ทำให้ฉันเลือดขึ้นหน้า แต่จำเป็นต้องข่มกลั้นไม่ให้ตัวเองสติแตก

    ป่วยนะ แต่นั่งสูบบุหรี่สบายใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ตอแหลอีกแล้วสินะ ไอ้เวรนี่...

    “ก็ยังไม่ตาย” ฉันกวาดสายตามองสารรูปเอย์ตั้งแต่ศีรษะจดเท้า “เหอะ...”

    แน่ใจแล้วว่าเอย์ยังสามารถจัดการตัวเองได้ ไม่ได้พิกลพิการจนกินข้าวเองไม่ได้ ฉันจึงหมุนตัวเตรียมกลับห้อง แต่...

    หมับ!

    รวดเร็วพอๆ กับอัตราการเต้นของหัวใจ...ท่อนแขนแข็งแรงก็ตรงเข้ามาตวัดโอบรอบใต้ทรวงอกเป็นการรั้งไม่ให้ฉันก้าวเท้าหนีไปไหน ก่อนลมหายใจร้อนผ่าวเจือกลิ่นบุหรี่จะกระซิบถามชิดใบหูว่า

    “จะไปไหน” วูบหนึ่งฉันรับรู้ได้ถึงคมฟันของอีกฝ่าย “อยู่ป้อนข้าวป้อนน้ำคนป่วยก่อน ตัวก็ยังไม่ได้เช็ดเลยนะพี่เกล...” 

    “มือด้วนหรือไง?” ฉันถามพร้อมทั้งพยายามสลัดท่อนแขนของเขาออกไป 

    “ไม่ด้วน” เขาตอบอย่างดื้อด้าน “แต่กอดเธออยู่”

    “เพื่อนเล่นนายเหรอเอย์ ปล่อย” 

    ฉันหมุนตัวจนเผชิญหน้ากับเขาได้สำเร็จ ทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที...เอย์ก็ดันฉันติดกับบางสิ่งด้วยความว่องไว ก่อนจะได้คำตอบในเวลาต่อมาว่าแผ่นหลังกำลังสัมผัสกับความเย็นเยียบของประตูห้อง

    แกรก...

    เสี้ยววินาทีนั้น เอย์ถือโอกาสใช้มือข้างที่ยังคีบบุหรี่ลงกลอนห้องเหมือนเป็นการบอกกรายๆ ว่าฉันหมดทางหนีแล้ว

    “ฉันไม่เล่น” เอย์ใช้มือข้างที่เคยโอบรัดเชยปลายคางฉันขึ้นเพื่อให้มองสบตาตรงๆ “แต่เอาจริง”

    “เหม็นบุหรี่ จะอ้วก!” ฉันเบี่ยงหน้าไปอีกทางเมื่อเอย์ขยับเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นบุหรี่ฉุนจัด ส่วนหนึ่งคงเพราะเขายังคีบบุหรี่ไว้ในมือด้วย กลุ่มควันที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบๆ เลยลอยเข้าจมูกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ตุบ

    ปฏิกิริยาของฉันทำให้เอย์ต้องปล่อยบุหรี่ที่ถูกไฟเผามอดไปเพียงครึ่งเดียวลงพื้น แล้วรู้ไหมว่าเขาทำยังไงต่อจากนั้น?

    “ทิ้งแล้ว” เขามองหน้าฉัน...มองด้วยสายตาที่ดูดื้อดึง “หายเหม็นยัง”

    “...” ได้ยินเต็มสองหูว่าเขาถามอะไรออกมา แต่เพราะฉันสนใจแค่การหาทางออกไปจากที่นี่จึงไม่ได้ตอบเขา

    การเพิกเฉยของฉันส่งผลให้เอย์ต้องใช้ตัวช่วย และตัวช่วยที่ว่าคือการบีบคางฉัน...บังคับให้ฉันหันกลับไปมองตามที่ต้องการ

    “ฉันถาม ไม่ได้ยินเหรอ?” นัยน์ตาเอย์เต็มไปด้วยประกายไฟ “หายเหม็นยัง”

    “...”

    “ไม่เหม็นแล้วจูบได้ไหม”

    เจอคำถามซึ่งมาพร้อมระยะห่างที่ลดลงเรื่อยๆ ยากมากที่จะห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต...

    เวลาเอย์ไม่สบาย เขาจะขี้อ้อนผิดหูผิดตา ชอบถึงเนื้อถึงตัว ขอกอด ขอสัมผัส ขอจูบอยู่ร่ำไป

    เขาไม่ค่อยนอนซมอยู่บนเตียงเท่าไหร่ แต่อุณหภูมิร่างกายร้อนผ่าวเป็นสิ่งที่พอจะพิสูจน์ได้

    เกล...ซุกหน่อย

    ซุกทำไม อึดอัด

    เอย์ขอซุกหน่อย...รู้สึกไม่ดีเลย อยากอยู่ใกล้ๆ

    ภาพตอนที่เอย์เอาแก้มซุกเนินอกแทรกเข้ามาในหัวทันที...ก่อนเหตุการณ์ล่อแหลมหลังจากนั้นจะดำเนินต่อไปจนเสื้อผ้าฉันไม่มีติดตัวเลยสักชิ้น

    ก็แค่อดีต

    ตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกัน

    “นายน่าจะรู้ว่าคำถามนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับคนแปลกหน้า” 

    พอภาพในอดีตย้อนเข้ามาในหัว ความทรงจำเน่าๆ ที่พยายามสลัดทิ้งก็พร้อมใจกันถาโถมเข้ามาไม่หยุด มันคือเหตุผลที่ฉันเลือกใช้คำพูดแบบนั้นกับเอย์

    “คนแปลกหน้าที่ไหนอยู่บ้านเดียวกัน?” เอย์ถามพร้อมทั้งเค้นแรงบริเวณปลายคาง

    “แม่นายหน้าด้านเข้ามาเอง” ฉันจ้องลึกเข้าไปในตาเขา ดวงตาคู่นั้นที่ฉันเคยหลงไหล...แต่ตอนนี้ความรู้สึกดีๆ ไม่หลงเหลือเลยแม้แต่เศษละออง

    ไม่เลยสักนิดเดียว

    “เลิกพูดถึงแม่ฉันแบบนั้นสักที” ปกติเอย์จะโกรธเมื่อฉันพูดถึงสายธารแบบนั้น แต่ครั้งนี้...เหมือนเขาแค่เหนื่อยหน่ายกับมัน แน่นอนว่าฉันเองก็เหนื่อยไม่ต่างกันที่เห็นมันและเขาอยู่ทุกวันในบ้านหลังนี้ บ้านที่แม่ฉันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมันขึ้นมา

    “ไม่อยากให้พูดก็ไสหัวไปซะสิ” เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันกับการขับไล่ไสส่งแม่ลูกสองคนนี้ ซึ่งสุดท้ายแล้วพวกมันก็ยังหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อไปเสมือนบ้านหลังนี้เป็นบ้านของตัวเอง

    ไม่ได้รู้สึกไปเองหรอกว่ายิ่งพ่อโอ๋มากเท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งลำพองตนมากขึ้นเท่านั้น 

    “ไม่อยากทะเลาะ” เอย์ถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ส่งผลให้ลมหายใจร้อนผ่าวอันเจือด้วยกลิ่นบุหรี่เป่าระลงมาบริเวณปลายจมูก ไม่เพียงเท่านั้น...เอย์ยังเปลี่ยนมาสอดมือเข้าไปใต้กลุ่มผมฉัน ออกแรงขยุ้มช่วงท้ายทอยเป็นการบังคับให้ฉันขยับเข้าไปใกล้อย่างช่วยไม่ได้

    ฉันขืนตัวเต็มที่ แต่เรื่องพละกำลังฉันสู้เอย์ไม่ได้อยู่แล้ว

    รู้ตัวอีกทีปลายจมูกเราสองคนจึงชนกัน...

    “แต่อยากจูบฉัน?” เป็นคำถามที่ไม่มีความเอียงอายใดๆ ทั้งสิ้น

    “ถ้าได้มากกว่านั้นก็ดี” ปลายนิ้วของเอย์ออกเเรงบริเวณท้ายทอยฉันคล้ายกับเป็นการนวดเน้น สายตาลุ่มลึกที่ซ่อนความรู้สึกชนิดหนึ่งยังคงสะท้อนภาพฉันอย่างใกล้ชิด และด้วยความที่ระยะห่างมีเพียงน้อยนิด กลิ่นบุหรี่ที่ยังคงคละคลุ้งจึงทำให้ฉันเวียนหัวจนอยากอาเจียนออกมาซะให้รู้แล้วรู้รอด

    “คนเกลียดกันเขาไม่ทำเเบบนี้ เผื่อนายอยากรู้" ฉันเตือนสติเขา 

    "ก็เพราะไม่มีคนเกลียดกันที่ไหนเขาทำกันไง เอย์ถึงอยากทำ" คำพูดของคนป่วยทำให้ฉันต้องจิกเล็บลงกลางฝ่ามือ "หรือเธอเกิดขี้ขลาดขึ้นมา"

    "นายควรเเยกเเยะระหว่างขี้ขลาดกับขยะเเขยงให้ออกนะเอย์" 

    "ขี้เกียจเเยกแยะ" เขาดื้อด้านเเละน่าตบ

    "..."

    "จะจูบเเล้ว"

    เพล้ง!!

    สิ้นคำพูดนั้น...เสียงเหมือนมีอะไรสักอย่างหล่นกระเเทกพื้นก็ทำให้เอย์ชะงักทุกความคิดและทุกการกระทำ ฉันอาศัยจังหวะนั้นผลักเขาออกทันที และวินาทีที่เปิดประตูออกไป...ความสงสัยทั้งหมดก็ถูกไขกระจ่างเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงคือสายธาร

    มันอยู่ตรงหน้าประตูห้อง ท่าทางตื่นตกใจ บนพื้นมีเศษแก้วแตกกระจายเต็มไปหมด

    ได้ยินหมดเลยสินะ...

    “พวกเธอ...” สายธารพยายามจะพูดอะไรสักอย่างในขณะที่สองตายังคงมองฉันสลับกับลูกชายตัวเองอย่างมีคำถาม “แม่ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ”

    หลังจากเว้นช่องว่างไประยะหนึ่ง ในที่สุดสายธารก็เลือกที่จะเอ่ยขอโทษ ตอนแรกฉันคิดว่ามันคงกำลังบอกเอย์ แต่การที่มันหยุดสายตาไว้ที่ฉันเป็นสิ่งสุดท้ายช่วยการันตีว่าเมื่อกี้มันจงใจแทนคำว่า แม่กับฉัน

    ฉันมีแม่คนเดียว ทำไมยัยนี่ต้องเสนอหน้าอยากจะเป็นแม่คนที่สองของฉันทุกที

    ด่าเท่าไหร่ไม่เคยจำ

    “เมื่อกี้ได้ยินทั้งหมดเลยใช่ไหม?” ฉันไม่สนคำขอโทษ อยากรู้แค่ว่ามันได้ยินบทสนทนาของฉันกับเอย์หรือเปล่า

    จริงๆ ก็ไม่น่าถามหรอก เพราะถ้ามันไม่ได้ยินก็คงไม่ตกใจจนทำแก้วหล่นแตกแบบนี้

    “ได้ยินอะไร แม่ไม่ได้ยิน” สายธารส่ายหน้าสองครั้ง ส่วนคำตอบนั้นเบาบางยิ่งกว่าลม ฟังดูก็รู้ว่ากำลังโกหก

    “สาบาน?” ฉันเลิกคิ้วแล้วแค่นหัวเราะในคอ

    ถ้าหากสายธารเข้าใจว่าเอย์และฉันมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน มันคงอยู่ไม่สุขแน่ ในเมื่อมันเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ในฐานะเมียใหม่พ่อ ถ้านับถือกันตามความเป็นจริงมันก็มีศักดิ์เป็นแม่ฉัน ส่วนเอย์...คือน้องชายของฉัน

    ถึงไม่ได้เป็นด้วยสายเลือด แต่การที่พี่กับน้องรู้สึกแบบนี้ต่อกันมันไม่ถูกต้องอยู่แล้ว

    แม้ว่าความสัมพันธ์ของเราจะจบลงไปตั้งนานแล้ว แต่ถ้าสายธารเข้าใจแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน...

    “พี่เกล พี่อย่าเซ้าซี้แม่” เอย์ที่ยืนอยู่ด้านหลังแทรกขึ้นมาเหมือนกลัวว่าแม่ตัวเองจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเราสองคนเข้า

    จะกลัวอะไรล่ะ หนักกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว

    “เซ้าซี้เหรอ?” ฉันมองดูเอย์ที่เดินออกไปนอกห้องแล้วย่อตัวลงเพื่อจัดการกับเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น ฉันเพิ่งเห็นชัดๆ ว่าความคมของเศษแก้วนั้นบาดผิวในบริเวณใต้ตาตุ่มของสายธาร มีเลือดไหลออกมาพอประมาณ “ทำไมไม่บอกไปล่ะนายทำอะไรกับฉันบ้าง”

    “...” เอย์กำลังใช้ปลายนิ้วปัดเศษแก้วออกจากเท้าสายธารชะงักทันที ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองฉัน และสายตาคู่นั้นราวกับตั้งคำถามกรายๆ ว่า เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?

    “เอย์ทำอะไรเกลเหรอ บอกแม่ได้นะ เดี๋ยวแม่ตักเตือนให้” สายธารนี่...แสดงบทนางเอกเก่งยิ่งกว่าดาราอีกนะ

    “ลูกชายแกข่มขืนฉัน” ทั้งครั้งเเรก ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และทุกครั้ง...มันไม่เคยเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจของฉันเลย

    'อะ เอย์ อย่าทำแบบนี้เลยนะ'

    'เกลน่ารักเองทำไม เอย์ไม่ทนเเล้ว'

    'แต่นี่มันห้องน้ำโรงเรียน...'

    'เซ็กส์...ทำที่ไหนก็เหมือนกัน'

    'เอย์...'

    ยังจำได้อยู่เลย 

    จำได้แม้กระทั่งวินาทีที่เขาเลิกกระโปรงนักเรียนขึ้นแล้วรูดกางเกงซับในของฉันลงไปกองที่ข้อเท้า 

    รวมถึงภาพที่เขาเอาแต่ใจกับฉันในทุกช่วงเวลา

    “...” สายธารเงียบเมื่อเจอคำตอบจากปากฉัน

    “น้องชายที่น่ารักทำกับพี่สาวแบบนี้ แกลองใช้สมองอันชาญฉลาดคิดดูสิว่ามันถูกต้องไหม”

    “กะ เกลพูดอะไร แม่ไม่เข้าใจ...” หลังจากได้ฟังความจริงจากปากฉันและช็อกไปพักหนึ่ง ในที่สุดมันก็เค้นเสียงอ่อนแรงออกมาเหมือนไม่เชื่อที่หูได้ยิน สองตาวาวระริก ท่าทางคล้ายคนลมจับพร้อมทรุดลงพื้นได้ตลอดเวลา

    ข้อดีหนึ่งเดียวที่ฉันเห็นในตัวสายธารคือ...มันเป็นคนมีความอดทน ไม่ค่อยมีปากมีเสียง

    แต่ฉันมั่นใจว่าตัวเองมองคนไม่ผิด อีนางเอกละครน้ำเน่าตรงหน้านี่แหละ...ร้ายยิ่งกว่าใคร

    ก็ลองมาเจอกับฉันหน่อย

    “หยุดทำตัวหน้าโง่ได้แล้วสายธาร ยอมรับมาเถอะว่าเมื่อกี้แกได้ยิน” ฉันมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอย่างสมเพช 

    ป่านนี้ในอกมันคงเดือดปุดยิ่งกว่าน้ำถูกต้มแล้วมั้ง ดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่ามันไม่อยากทนสักเท่าไหร่ แต่ในบ้านหลังนี้...การทำตัวดีๆ ให้พ่อพอใจถือเป็นสิ่งที่ควรทำ

    “แม่ไม่...” แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังคงปฏิเสธหัวชนฝา “แม่...”

    “พอเถอะครับ” เอย์หยัดตัวขึ้นจากจุดที่มีเศษแก้วแตกกระจาย เขาหันหน้ากลับมาแล้วจ้องหน้าฉันตรงๆ

    ลึกลงไปในแววตาคู่นั้น ฉันเห็นเปลวไฟขุมหนึ่งกำลังลุกโชน

    “เราไม่ได้ทำแบบนั้นจริงๆ หรอกใช่ไหมเอย์?” สายธารกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึกหลังจากตั้งคำถามกับลูกชายตัวสูงใหญ่ในสภาพเปลือยท่อนบน “ที่เกลพูด...”

    “เดี๋ยวเราค่อยคุยกันนะครับ แม่ลงไปรอข้างล่างก่อน เอย์จะเก็บเศษแก้วแล้วลงไปทำแผลที่เท้าให้” เอย์พยายามรบเร้าให้สายธารไปจากตรงนี้ ซึ่งฉันคิดว่าส่วนหนึ่งคงเพราะเขาไม่อยากให้ฉันพูดอะไรมากไปกว่านี้

    กลัวเหรอ...กลัวความจริงจะแดงไปถึงหูแม่งั้นสิ

    ทีตอนทำเรื่องเลวๆ ไม่เห็นเคยกลัว

    “ไม่อยู่ฟังความจริงอีกหน่อยเหรอ?” ฉันยิ้มเย็นขณะมองหน้าสายธารสลับหน้าเอย์

    ถึงจะยิ้ม แต่เรื่องนี้กำลังบาดลึกเข้าไปในขั้วหัวใจ

    คิดถึงเหตุการณ์นั้นทีไร ฉันเหมือนจะหายใจไม่ออกทุกที ทั้งเจ็บทั้งทรมาน บางทีก็อยากตายจากโลกนี้ไปให้มันจบๆ

    แต่หลังจากผ่านมรสุมเหล่านั้นมาแล้ว ฉันก็พบว่าตัวเองควรมีชีวิตอยู่ต่อไป และรอดูความพังพินาศของไอ้เลวทุกตัวที่ทำระยำกับฉันไว้

    ย้ำ...พวกมันทุกตัว

    “พี่เกลกลับไปนอนได้แล้ว พี่พูดไม่รู้เรื่อง” เอย์คงเดาได้ว่าฉันต้องทำอะไรเกินความคาดหมายจึงใช้โทนเสียงกดต่ำน่ากลัว แถมยังพยักพเยิดหน้าไปทางห้องของฉัน

    ฉันฟังที่เขาพูดรู้เรื่อง แต่ไม่ได้เดินไปไหน...เพียงแค่ขยับเข้าไปใกล้สองแม่ลูกตรงหน้าประตู อยากให้เรื่องนี้ซึมไปถึงกะโหลก และฝังลึกลงไปในก้านสมอง

    “ฉันเคยแท้ง”

    “...”

    “ได้ยินไหม ลูกชายแกเคยทำฉันท้อง และฉันก็แท้ง”

    ไอ้เรื่องเคยท้องน่ะใช่ แต่เรื่องแท้ง...มันไม่ใช่ความจริงหรอก

    ความจริงคือ...ฉันคลอดเด็กออกมาแล้ว แล้วเอย์ก็เป็นคนฆ่าเขากับมือ

    ถ้าคิดว่านี่คือเรื่องที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตฉันแล้วล่ะก็...บอกเลยว่ามันยังไม่ใช่ทั้งหมด

    เขาทำกับฉันยิ่งกว่านั้น ทำฉันเจ็บกว่านั้น

    ...ทำฉันเกือบตาย

    “เกลพูดอะไรลูก...” เมื่อได้ฟังความจริงชวนช็อก สองตาของสายธารก็คล้ายกับจะพร่าเบลอ เช่นเดียวกันกับน้ำเสียงที่แหบแห้งราวกับไม่ได้ดื่มน้ำมานาน

    ฉันมองปฏิกิริยาของมันด้วยสายตาชนิดหนึ่ง ลึกลงไปแล้วไม่ได้รู้สึกสะใจที่เห็นมันแสดงท่าทีแบบนั้นหรอก เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่พูดไปมันก็ตอกย้ำว่าฉันเคยผ่านช่วงเวลาแบบไหนมาบ้าง

    ผ่านมาแล้ว...

    ใช่ มันผ่านมานานแล้ว แต่ทุกครั้งที่ภาพพวกนั้นย้อนกลับเข้ามาในหัว จะให้ปฏิเสธว่าไม่ปวดร้าวเลยก็ไม่ใช่

    ยังคงเจ็บอยู่เสมอ ที่ตรงนี้ ตรงหน้าอกด้านซ้ายของฉัน

    “พูดความจริงไง” ฉันคงระดับเสียงให้เป็นปกติดีทั้งที่บาดแผลในใจเริ่มปรากฏออกมา ขณะนั้นฉันแอบมองเอย์ที่หยัดตัวขึ้นเต็มความสูง คล้ายว่าเขากำลังช็อกจนไม่รู้วิธีพูดไปชั่วขณะ

    เขาคงช็อกที่ฉันใจกล้าหน้าด้านพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดต่อหน้าสายธาร แล้วยังเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน

    เราต่างก็รู้เรื่องเด็กคนนั้น เด็กที่เกิดมาได้ไม่ทันไรก็ถูกพรากลมหายใจไปด้วยฝีมือของพ่อแท้ๆ

    แต่เรื่องแท้ง เขาไม่เคยรู้มันก็ถูกแล้ว ฉันแค่กุขึ้นมาเพราะอยากให้สายธารตกใจ 

    มีอยู่ไม่กี่ทางสำหรับความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น หนึ่ง...ตกใจจนช็อกตาย สอง...ละอายใจจนต้องเลิกกับพ่อ และสาม...ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ต่อไปเพราะยังอยากอยู่ในบ้านหลังนี้ในฐานะภรรยาสุดที่รักของพ่อ

    ลองเดากันดูไหมว่าเรื่องมันจะมาบรรจบลงที่ตรงไหน?

    “ไม่จริงใช่ไหมเกล แม่ว่า...” สายธารหน้าซีดเผือดเหมือนถูกรีดเลือดออกจากร่างกาย เนื้อตัวสั่นสะท้านอย่างน่าสมเพช แต่หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวมันก็ขยับเข้ามา คว้ามือทั้งสองของฉันไปบีบ...เป็นการบีบที่แนบแน่นยิ่งกว่าครั้งไหน “เกลบอกแม่มาว่าที่พูดเมื่อกี้เป็นเรื่องโกหก”

    กึก...

    ฝ่ามือของฉันถูกเรี่ยวแรงจากมือเล็กๆ บีบจนได้ยินเสียงกระดูก

    อ้อ...ใช้ความรุนแรง?

    “...” ฉันมองหน้าสายธารตรงๆ โดยปราศจากความเกรงกลัว ไม่ได้สลัดฝ่ามือของมันออกทั้งๆ ที่ความรุนแรงบริเวณดังกล่าวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนรู้แล้วว่าอีนี่จงใจใช้ความรุนแรงกับฉัน

    “บอกแม่สิเกล...” น้ำเสียงที่สายธารใช้กับฉันในตอนนี้ขัดแย้งกับการกระทำอย่างสิ้นเชิง และฉันรู้ว่ามันกำลังข่มขู่ฉันผ่านแรงจิก ไหนจะแววตาที่ค่อยๆ แข็งกร้าวและน่ากลัว

    ยิ่งกว่านั้น มันยังไม่หยุดแทนตัวเองว่า 'แม่' กับฉันอีก

    กึก...

    เมื่อไม่ตอบสนองอะไรนอกจากการมองหน้า ฝ่ามือฉันก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บอีกหนึ่งระดับจากปลายเล็บที่ต่อให้ไม่ได้แหลมคมอะไรมาก แต่เมื่อออกแรงกดลงมาอย่างต่อเนื่อง มันก็ทำให้ฉันได้แผลและเลือกซิบกลับมาเป็นของแถม

    นึกว่าจะเล่นบทนางเอกละครได้นานกว่านี้

    เผยธาตุแท้ออกมาเร็วกว่าที่คิดนะ

    “ฉันไม่เคยมีแม่เป็นอีตัว” ฉันกดเสียงพร้อมกับสลัดฝ่ามือมันออกด้วยความรุนแรงที่มากยิ่งกว่า ก่อนจะ...

    เพียะ!

    ใช้หลังมือฟาดเต็มแก้มซีกขวาของมัน “แล้วอย่ามาริอ่านมาข่มฉัน ทำอะไรเจียมกะลาหัวหน่อย แกไม่ใช่เจ้าของที่นี่ ไม่ใช่เจ้าของพ่อรวมถึงฉันด้วย

    “เกล!” เสียงนี้เป็นของเอย์ที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างฉันและสายธาร เขามองฉันด้วยสายตาลึกลับราวกับกำลังส่งคำเตือนบางอย่าง แต่ฉันไม่กลัวและจ้องเขากลับ “อย่าให้มันมาก”

    “คนที่ควรพูดคำนั้นควรเป็นใคร ลองคิด” ฉันสวนกลับ และไม่ลืมมองหน้าสายธารด้านหลังเอย์ด้วย

    แก้มข้างนั้นบวมเป่ง มีคราบเลือดเล็กน้อยเปรอะบริเวณใกล้เคียง

    ใช่ นั่นไม่ใช่เลือดของมัน แต่เป็นเลือดจากหลังมือฉัน...ซึ่งเกิดจากการที่มันใช้เล็บจิกฉันนั่นล่ะ

    “เรื่องของเราก็ส่วนเรื่องของเรา อย่าเอามาลงกับแม่ฉัน” วูบหนึ่ง เหมือนฉันเห็นความเจ็บปวดผ่านแววตาที่ถูกความแข็งกร้าวปกคลุมไว้

    เรื่องของเราเหรอ?

    กล้าพูดออกมาได้ยังไง กระดากอายบ้างไหม

    “เอย์” ฉันเรียกชื่อเขา “คำว่า เรามันไม่มีอีกต่อไปแล้ว”

    “...”

    และบางที ฉันคิดว่ามันไม่มีคำว่า เราตั้งแต่แรกแล้ว...

    ---

    MA-NELL'S ZONE

    หูยยยยย เม้นต์ไหมแบบนี้

    ติดเเท็ก #ผู้หญิงแพศยา


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×