ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] มายชิง ~☆❤

    ลำดับตอนที่ #10 : มายชิง ตอน 10 ::: เอาชนะ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 359
      6
      21 พ.ค. 59


    [Fic] มายชิง

    ตอน 10เอาชนะ

    Fiction by 2nd Admin

     

     

                เพราะมีเวลาซ้อมน้อยเต็มที สมาชิกทีมบาสเก็ตบอลเฉพาะกิจของโรงเรียนจึงถูกนัดให้ต้องเข้ามาซ้อมในวันอาทิตย์ด้วย ตอนที่คริสมาถึงก็พบว่าแฟนคลับของคิมกวังยอนปีหนึ่งยังคงมานั่งเชียร์กันอย่างหนาแน่นเช่นเมื่อวาน ถึงจะไม่ค่อยชินนักแต่เขาก็หาได้ใส่ใจ อย่างน้อยสายตาหลายสิบคู่นั้นก็ไม่ได้จับจ้องอยู่ที่เขา อาจจะมีบ้างที่มองผ่านตอนที่เขาต้องรับส่งลูกกับรุ่นน้อง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คริสรู้สึกประหม่าเลยแม้แต่นิด บางทีการทำตัวไม่ให้เป็นจุดเด่นนักก็อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับเขาก็ได้

                แต่ที่ลำบากหน่อยก็เห็นจะเป็นชิงน้อยที่ต้องระเห็จมาอยู่ในที่พักนักกีฬาเหมือนเมื่อวาน มุมตรงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยิ่งตัวเล็กๆ อย่างชิงด้วยแล้ว ถ้าไม่คอยหันซ้ายหันขวาก็จะมองได้ไม่ทั่วสนาม แต่เจ้าตัวเล็กก็น่ารักมากที่ไม่บ่นอะไรเลย

    “คริสสู้ๆ” ปากเล็กจู๋นี่แหละ กำลังใจสำคัญยิ่งกว่ากองเชียร์ทั้งสแตนด์นั่นนัก คริสปัดนิ้วกับหูนุ่มเบาๆ แทนคำขอบคุณ วางเพื่อนตัวจ้อยไว้บนห่วงที่ห้อยกระเป๋าพร้อมกำชับเป็นอย่างดีแล้วถึงได้ลุกขึ้น เดินเข้าไปในสนามซึ่งตัวเล่นหลักอีกสี่คนกำลังยืดเส้นยืดสายกันอยู่

                “รู้สึกเหมือนอยู่ในสวนสนุกเลยแฮะ มีทั้งหัวฟ้าหัวแดง เหมือนพวกตัวตลกโบโซ่ไม่มีผิด” เสียงหัวเราะหลังมุกตลกร้ายนั้นดังไม่เบาเลย แน่นอนว่าสองแฝดมังกรกับพรรคพวกกำลังสนุกปากกับการเหน็บแนมคนอื่น คริสหยุดมองอยู่เพียงห่างๆ เมื่อพบว่าเหยื่อคราวนี้ไม่ใช่เขาเช่นทุกครั้ง กลับกลายเป็นสมาชิกร่วมทีมอีกสองคนซึ่งกำลังวอร์มอัพด้วยการซ้อมรับส่งลูกกันอยู่

                กวังยอนกับวอนซิกหยุดสิ่งที่ทำแล้วมองหน้ากัน ก่อนที่ทั้งคู่จะกระตุกยิ้ม และคนที่ย้อมผมเป็นสีฟ้าทั้งหัวก็พูดขึ้น

                “งั้นฉันคงต้องเตรียมเศษเงินเอาไว้แล้วล่ะ”

                “เอาไว้ทำไมฮะ?”

                “เพราะในสวนสนุกมีพวกเล่นจำอวดอยู่ด้วย ว่าแต่ กล่องใส่เงินอยู่ไหนล่ะ?” สายตาที่ปรายมองบอกให้รู้ว่าประโยคสุดท้ายนั้นจงใจถามใคร สองแฝดที่รู้ตัวว่าถูกแขวะกลับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันและปรี่เข้าจะเล่นงานเพื่อนร่วมทีม แต่ก็พอดีกับที่เสียงนกหวีดของผู้คุมซ้อมดังขึ้นและห้ามทัพไว้ทัน

                คริสเห็นเหตุการณ์นั้นโดยตลอด เพียงแต่ไม่มีอารมณ์สนุกพอที่จะเข้าไปยืนอยู่ข้างใครทั้งนั้น ดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีใครพร้อมที่จะเป็น ทีมเดียวกัน เลยซักคน เขาส่ายหน้าช้าๆ พร้อมปล่อยลมหายใจทิ้ง ก่อนจะเดินไปรวมตัวกับสมาชิกคนอื่นๆ ที่ถูกโค้ชเรียกให้ไปตั้งแถว ใช้เวลาในการวอร์มอัพร่างกายอยู่สิบนาที โค้ชซึงฮวานก็บอกกติกาสำหรับการซ้อมในวันนี้

    “ต้าหลงกับวอนซิก เสี่ยวหลงกับอี้ฟาน กวังยอนกับ... เอ่อ นายแล้วกัน แล้วก็นายสองคน” นักเล่นตัวหลักทั้งห้ากับคนที่ลงเป็นตัวสำรองอีกสาม ทั้งแปดคนถูกแบ่งเป็นสี่ทีม “วันนี้เราจะซ้อมรับส่งและชู้ตลูกระยะใกล้กัน แต่ละทีมให้เริ่มสตาร์ทจากเส้นโยนโทษฝั่งตรงข้าม วิ่งเลี้ยงลูกและสลับส่งให้เพื่อนในทีมไปจนถึงใต้แป้นของอีกฝั่งแล้วชู้ตลูก วิ่งกลับมาต่อแถวแล้วเริ่มต้นใหม่ วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเวลา”

    “นับคะแนนมั้ยครับ?” ต้าหลงยกมือขึ้นถาม ไม่วายปรายตามองหนุ่มหัวฟ้าคู่ปรับใหม่ที่ตอนนี้ต้องกลายมาอยู่ทีมเดียวกัน

    “แน่นอนอยู่แล้ว ทีมที่แพ้จะต้องทำความสะอาดสนามในวันนี้”

    “ผมไม่อยากถูสนาม ขอเปลี่ยนคู่ได้มั้ยครับ?” คราวนี้เป็นแฝดคนน้องที่ยกมือบ้าง ส่งยิ้มเยาะหยันให้คนที่อยู่ทีมเดียวกัน และคริสก็ได้แต่ถอนใจ

    “ฉันเป็นโค้ช และฉันเป็นคนเลือกทีม ถ้าไม่อยากทำตามก็ให้ไปเล่นที่อื่น” แต่น้ำเสียงเฉียบขาดและใบหน้าจริงจังนั้นทำให้สองแฝดตัวแสบต้องเจื่อนยิ้ม มองหน้ากันแล้วก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เพื่อนร่วมทีมตัวเองด้วยความเจ็บใจ

    แต่คริสชินชาเกินกว่าจะใส่ใจ แรงกระแทกที่ไหล่พร้อมเสียงกระซิบขู่ไม่ให้ทำตัวเป็นตัวถ่วงนั่นก็ด้วย พอโค้ชซึงฮวานสั่งเตรียมพร้อมเขาก็เดินไปเตรียมตัวที่ฝั่งตรงข้ามของสนามเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ตั้งแถวเรียงกันเป็นคู่ตามลำดับ และเมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น จุนมยอนก็ส่งลูกให้ทีมแรกออกสตาร์ท

    ต้าหลงกับวอนซิกออกตัวด้วยความเร็วที่สูสีกัน แรงที่รับส่งบอลนั้นก็ด้วย ขนาดว่าคนที่ยืนเตรียมพร้อมอยู่ข้างหลังยังได้ยินเสียงหวีดหวิวของลูกบาสที่ลอยผ่านอากาศกับเสียงปะทะอย่างแรงของเนื้อฝ่ามือตอนที่รับลูก ถือว่าเป็นทีมที่ถูกคู่มากทีเดียว ทีมแรกวิ่งไปได้ครึ่งทางโค้ชก็เป่านกหวีดสั้นๆ ปล่อยทีมที่สอง คริสซึ่งรับลูกจากจุนมยอนได้ก็ออกวิ่งในทันทีเช่นเดียวกับเสี่ยวหลง เขาเลี้ยงบอลและส่งให้เพื่อนร่วมทีมตามกติกา เสี่ยวหลงรับลูกไปแล้วก็ทำแบบเดียวกัน แต่แรงตอนที่ส่งลูกกลับมาให้คริสนั้นไม่เบาเลย ยิ้มสะใจบนใบหน้าอีกฝ่ายนั้นบอกชัดว่าจงใจแกล้งกัน แต่คริสยังคงเลี้ยงลูกและวิ่งต่อ สลับกันรับส่งกระทั่งถึงใต้แป้น เสี่ยวหลงก็เป็นคนชู้ตลูกแรกและได้แต้มไป แต่แทนที่จะตามไปเก็บลูกซึ่งกระดอนออกไปนอกสนาม เขากลับวิ่งกลับไปต่อแถวใหม่แล้วปล่อยให้คริสทำหน้าที่นั้น เพื่อนร่วมทีมจำเป็นก็ได้แต่ส่ายหน้า และทันทีที่กลับไปถึงจุดเริ่มต้นอีกครั้งก็ยังถูกเหน็บแนมด้วยน้ำเสียงยียวน

    “ฉันว่านายมันอ่อน ที่ผ่านการคัดเลือกมาได้ก็เพราะว่าฟลุ้ค” คริสเพียงปรายตามองแล้วตอบเสียงเรียบ

    “จะคิดยังไงก็ช่าง”

    “นายน่าจะออกจากทีมไปซะ เพื่อนฉันเล่นดีกว่านาย เค้าจะได้เป็นตัวจริง” ถอนหายใจโดยไม่ตอบโต้อะไรอีก คริสออกวิ่งเมื่อได้ยินเสียงนกหวีดอีกครั้ง ทั้งคู่ยังรับส่งลูกอย่างแม่นยำ และทั้งที่คราวนี้เขาควรจะได้เป็นฝ่ายชู้ตทำแต้มบ้าง แต่เสี่ยวหลงกลับไม่ยอมส่งลูกให้เมื่อใกล้ถึงใต้แป้นของอีกฝั่ง แฝดมังกรผู้น้องทำผิดกติกาโดยการชู้ตลูกออกไปทั้งที่ยังไม่เข้าเขตโยนลูกโทษด้วยซ้ำ

     

    ฟึ่บ!

     

    “บอกแล้วว่านายมันอ่อน” ยังมีหน้ามาเยาะเย้ยกัน แล้วก็เป็นอีกครั้งที่คริสต้องวิ่งไปเก็บลูกที่ตัวเองไม่ได้ชู้ตไป เขาเริ่มหงุดหงิดแต่ก็ยังเก็บกดอารมณ์นั้นไว้ วิ่งกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่โดยไม่มีปากเสียง แต่ดูเหมือนเสี่ยวหลงจะไม่พอใจแค่การค่อนแคะเขา ที่คริสไม่เห็นคือสายตามาดร้ายที่มองมา และเขาไม่เคยคิดว่าการวางเฉยนั้นยิ่งเป็นการยั่วยุให้ฝ่ายตรงกันข้ามอยากเอาชนะ และเมื่อถึงตาที่ทีมเขาถูกปล่อยตัวอีกครั้ง วิ่งออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว การรับบอลลูกแรกจากเพื่อนร่วมทีมก็ทำเอาคริสแทบเสียหลัก แรงส่งนั้นแรงกว่าทุกครั้ง และยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ การรับส่ง จนถึงครึ่งสนามที่เขาถึงกับต้องชะงักฝีเท้าที่กำลังวิ่งแล้วดึงเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อตั้งรับ ไม่อย่างนั้นคงถูกบอลอัดจนหงายหลังไปแล้ว แต่เสี่ยวหลงยังไม่หยุดแค่นั้น

    ทั้งคู่มาถึงเขตใต้แป้นซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่จะชู้ตลูกได้ และคริสก็เข้าใจว่าแฝดมังกรผู้น้องคงไม่ยอมปล่อยลูกให้เขาเช่นเคย ยิ่งอีกฝ่ายก็ตั้งท่าให้เข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น คริสจึงละสายตาจากเพื่อนร่วมทีมแล้วเงยหน้าขึ้นมองที่เหนือห่วงแทน หารู้ไม่ว่าเพียงเสี้ยววินาที ลูกชู้ตนั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายจากห่วงบนแป้นมายังฝั่งตรงข้ามกันแทน

     

    ฟึ่บ!

     

    คริสไม่รู้ตัวเลยตอนที่ลูกบาสพุ่งตรงมาหาด้วยความเร็วสูง มันเร็วเกินกว่าเขาจะตั้งรับได้ทัน และบอลก็กระแทกเข้าที่ใบหน้าเขาอย่างจังจนร่างสูงใหญ่ล้มลงกระแทกพื้นไม้ของโรงยิมฯเสียงดังสนั่น

     

    ตึง!

     

    ปี๊ดดดด!

     

    โค้ชซึงฮวานเป่านกหวีดหยุดเกมในทันที แล้วรีบวิ่งมาดูอาการเด็กในทีม

    “เป็นอะไรมั้ย?” คริสตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า แว่นตาหลุดกระเด็นไปไหนแล้วไม่รู้

    “แค่ชาๆ ครับ” เขาจับใบหน้าตัวเองที่ถูกแรงอัดทำให้ชาไปหมด แต่ยังรู้สึกถึงเลือดอุ่นๆ ที่ไหลออกมาทางจมูก จุนมยอนเห็นอย่างนั้นก็รีบเอาผ้าขนหนูมาซับให้

    “เล่นแรงไปนะเสี่ยวหลง” โค้ชตำหนิเพื่อนร่วมทีมของคริสด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกรู้สา เบ้ปากแล้วยักไหล่

    “เขาไม่ระวังเอง ผมส่งลูกให้แต่เขาไม่มอง”

    “แต่นายตั้งท่าจะชู้ต”

    “ก็ผมเปลี่ยนใจ ผมได้มาสองแต้มแล้ว หมอนี่ควรได้ชู้ตบ้าง”

    “พวกนายไม่ได้คุยกันก่อนรึไงว่าใครจะชู้ต?” คราวนี้โค้ชมองหน้าเด็กทั้งสองสลับกัน เสี่ยวหลงยังคงตีสีหน้าว่าไม่ผิด และสุดท้ายก็เป็นคริสที่พูดขึ้น

    “ผมผิดเองที่ไม่มอง” โค้ชหรี่ตามองเขาด้วยแววตำหนิ แต่คริสเองก็ไม่ได้หลบ เขาผิดเองจริงๆ ที่ไม่จับตามองฝ่ายตรงข้ามให้ดี ไม่อย่างนั้นคงไม่เปิดโอกาสให้เสี่ยวหลงทำให้เขาล้มไม่เป็นท่าแบบนี้แน่

    “เอาเถอะ นายไปพักก่อน จุนมยอน มาซ้อมแทนที”

    “ค.. ครับ?” ผู้จัดการทีมคนเก่งซึ่งตามไปเก็บแว่นมาคืนให้เพื่อนถึงกับยกนิ้วขึ้นชี้หน้าตัวเองแล้วย้อนถามเผื่อว่าอาจารย์จะเอ่ยชื่อผิด เข้าใจว่าขาดคริสก็คือขาดคู่ซ้อม และถึงการรับส่งลูกมันจะดูง่ายๆ แต่เขาเองก็ไม่เคยเล่นบาสฯมาก่อนเลยนะ

    “เอ่อ แต่โค้ชครับ” แต่ก่อนที่จุนมยอนจะทันได้ทักท้วง ใครคนหนึ่งก็ยกมือขึ้น “จุนมยอนไม่เคยเล่น แล้วเสี่ยวหลงก็แรงเยอะมาก”

    ต้าหลงบอกข้อเท็จจริงแต่ยังเลี่ยงที่จะเสนอความคิดเพราะเกรงจะถูกตำหนิเหมือนก่อนหน้า แต่ดูเหมือนโค้ชเองก็จะเข้าใจได้ดี ในเมื่อคนที่ยังนั่งมึนอยู่บนพื้นสนามนี่แหละคือหลักฐาน ถึงจะยังก้ำกึ่งระหว่างจงใจกับไม่เจตนา แต่ซึงฮวานก็ไม่อยากให้เด็กคนไหนต้องมาเจ็บตัวอีก

    “โอเค สลับคู่กัน จุนมยอนคู่กับต้าหลง เสี่ยวหลงไปคู่กับวอนซิกแล้วกัน”

     

    ช่วยกันพาคริสไปส่งถึงที่พักนักกีฬาและอยู่ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นจนแน่ใจดีแล้วว่าเลือดกำเดาหยุดไหล โค้ชก็สั่งให้จุนมยอนกลับไปซ้อมกับคนอื่นๆ ในสนาม แต่ตัวโค้ชเองยังอยู่ที่นั่น ดูเหมือนจะคุยอะไรกันอยู่ด้วย เพราะเป็นห่วงกลัวว่าเพื่อนจะโดนดุ เด็กหนุ่มถึงได้เอาแต่ชะเง้อคอมองออกไป ไม่สนใจคู่ซ้อมเลยซักนิด กระทั่งถูกเสียงทุ้มค่อนขอดเอา

    “เป็นห่วงแฟนมากรึไง? น่าเสียดายนะ โค้ชให้นายมาเป็นคู่ซ้อมฉัน เลยอดไปดูแลหมอนั่น” จุนมยอนเลื่อนสายตามามองค้อนคนที่ยิ้มเยาะแล้วก็แกล้งส่งลูกให้แรงๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ต้าหลงสะเทือนเลยสักนิด

    “นายดูสะใจนะที่เห็นเพื่อนเจ็บ”

    “สะใจสิ แต่หมอนั่นไม่ใช่เพื่อนฉัน” อาการยักไหล่นั้นน่าหมั่นไส้นัก จุนมยอนรู้ว่าสองแฝดชอบหาเรื่องคริสมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่เคยจะตอบโต้ ไม่รู้ว่าการรังแกคนที่ไม่อยากสู้กลับนี่มันน่าสนุกตรงไหน

    “ทำไมถึงไม่ชอบอี้ฟาน?” ต้าหลงมองตอบสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยนั้น เมื่อยิ้มเยาะเมื่อครู่จางหาย ใบหน้าคมเข้มก็ดูจริงจังขึ้น เขาเอาแต่จ้องหน้าคนที่ถามอยู่นานกว่าจะพูดขึ้น

    “นายไม่ต้องรู้หรอก”

     

    เลือดกำเดาหยุดไหลแล้ว คริสมองเพื่อนร่วมทีมที่กำลังซ้อมกันอยู่ในสนามแล้วก็หันมาบอกโค้ชซึ่งยังอยู่กับเขา

    “ผมซ้อมต่อได้นะครับ”

    “นายแน่ใจเหรอ?”

    “ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ต้องใช้แว่นผมก็มองเห็น” เก็บเศษแว่นที่เลนส์แตกไปข้างหนึ่งลงกระเป๋า โชคดีที่มันแตกตอนที่หล่นกระทบพื้น ไม่ใช่ตอนที่อยู่บนหน้าเขา ไม่อย่างนั้นเศษเลนส์อาจจะทำอันตรายต่อดวงตายิ่งกว่านี้ก็ได้

    “แต่ฉันว่าวันนี้นายกลับไปก่อนดีกว่า”

    “แต่โค้ชครับ...”

    “นายเล่นบาสเพราะอะไร?”

    “.....?”

    “ฉันรู้ว่านายเข้ามาร่วมทีมเพราะเอาชนะต้าหลงได้ ฉันอยู่ที่นี่วันที่นายสองคนแข่งกัน ฉันรู้ว่าตอนที่นายชู้ตลูกสุดท้ายนั่น นายไม่ได้ฟลุ้ค นายมีฝีมือ มีทักษะ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมนายถึงต้องซ่อนมัน”

    คริสยังคงนิ่งไม่ยอมตอบ ยิ่งโค้ชใช้น้ำเสียงคาดคั้น เขาก็ยิ่งเลี่ยงสายตาหลบ

    “ฉันเคยเจอเด็กหลายคนที่คิดว่าการทำตัวเป็นจุดเด่นจะทำให้เพื่อนไม่ชอบหน้าแล้วก็หาเรื่องกลั่นแกล้ง แต่การแกล้งทำตัวเป็นคนขี้ขลาดน่ะ มันไม่ทำให้คนอื่นเลิกยุ่งกับนายหรอกนะ นายก็เห็นอยู่แล้ว ฉันไม่ได้ยุยงให้นายไปทะเลาะกับใคร แต่นายต้องแสดงให้คนอื่นๆ เห็นว่านายมีดี ไม่ให้ใครมาดูถูกนายได้ นั่นต่างหากที่จะทำให้ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับนาย ถ้านายยังนิ่งอยู่แบบนี้ ไม่ตอบโต้อะไรกลับไปบ้าง นายอาจจะคิดว่าตัวเองทนไหว แต่เคยนึกถึงคนที่เชื่อมั่นในตัวนายบ้างหรือเปล่า? คนที่ฝากความหวังไว้กับนาย คิมจุนมยอนที่พานายมาร่วมทีมเค้าจะผิดหวังแค่ไหนที่เห็นนายล้มลงไปแบบนั้น?”

    คริสเบนสายตากลับไปมองในสนามอีกครั้ง จุนมยอนกำลังวิ่ง เทียบกับคนอื่นๆ แล้ว จุนมยอนตัวเล็กกว่าและวิ่งไม่เร็วเลย ไม่คล่องแคล่วด้วย รับลูกได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ได้ยินเสียงต้าหลงตะโกนบ่นอยู่ไกลๆ หัวหน้าห้องผู้ใจดีต้องมาลำบากเพราะเขาแท้ๆ คริสไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เลย

    “ผม... แค่...”

    “นายอยากเล่นบาสจริงๆ หรือเปล่า? นายเข้าร่วมทีมเพราะว่าอยากเล่น หรือแค่เล่นได้?” เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากแน่น ยังคงนิ่งเงียบเช่นเคย ซึงฮวานจึงได้แต่ถอนใจ “นายกลับไปคิดดูให้ดี แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาตอบฉัน”

     

    .

     

    .

     

    .

     

    อาการนิ่งเงียบนั้นใช่ว่าเขาเมินเฉยเสมอไป คริสดูเหมือนคนที่ไม่ใส่ใจใคร แต่เขาไม่ใช่คนที่จะละเลยความรู้สึกคนอื่น โค้ชซึงฮวานใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็มองเขาออกทุกอย่าง ทั้งที่รู้ว่าสองแฝดจงใจแกล้งและทำผิดกติกาอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าว กลับปล่อยให้เลยตามเลย นั่นคงเป็นเพราะอยากจะดูปฏิกิริยาโต้ตอบ ซึ่งคริสก็ไม่เคยแม้แต่จะแสดงท่าทีฮึดฮัดให้ใครเห็นด้วยซ้ำ แต่การกลั่นแกล้งกลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในวันนี้ที่เขาเจ็บ เด็กหนุ่มเลื่อนมือขึ้นลูบปลายจมูกตัวเองในขณะที่ปล่อยสายตาให้เหม่อลอยไปตลอดทางที่อยู่ในรถไฟฟ้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกรังแก แต่เพราะว่าอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ไม่ว่าจะบาดแผลเล็กใหญ่แค่ไหนมันก็เป็นของเขาคนเดียว เขาคนเดียวที่ต้องเจ็บ... อย่างนั้นไม่ใช่หรือ?

    เด็กหนุ่มกลับถึงห้องพักในสภาพที่อ่อนล้าเต็มที เขาถอดรองเท้าผ้าใบทิ้งไว้หน้าประตูแล้วก้าวยาวๆ มาที่เตียง ล้มตัวนอนพร้อมปล่อยลมหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ ก่อนจะยกแขนขึ้นหนุนศีรษะตัวเองไว้ต่างหมอน ตอนนั้นเองที่เจ้าตัวเล็กคลานต้วมเตี้ยมออกมาจากช่องกระเป๋าซึ่งคริสวางไว้ข้างตัวแล้วตะเกียกตะกายปีนขึ้นไปนั่งจุมปุ้กอยู่บนอกของเด็กหนุ่ม

    “คริส เจ็บหรือเปล่า?” คริสผงกหัวขึ้นมองเพื่อนตัวจ้อยแล้วยิ้มบาง เพิ่งคิดได้ตอนนี้ว่าไม่ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วมาพักใหญ่ เจ้าตัวเล็กคงรับรู้ได้ว่าเขาไม่สบายใจและมีเรื่องให้ต้องคิด ถึงไม่ยอมโผล่หน้าออกมาชวนคุยเหมือนทุกวัน เขาเกลี่ยนิ้วกับหูนุ่มสีชมพูที่พับตกลงมาข้างหนึ่งแล้วส่ายหน้าน้อยๆ

    “ไม่หรอก”

    “แต่จมูกคริสแดงมากเลยนะ” นิ้วเล็กๆ จิ้มจึ้กบนปลายจมูกตัวเองแล้วขมวดคิ้ว ท่าทางเป็นกังวล “เราเห็นน้ำมูกสีแดงๆ ไหลออกมาด้วย”

    “ตอนนี้ไม่มีแล้ว เห็นมั้ย?”

    “แต่จมูกยังแดงอยู่เลย” เจ้าตัวเล็กยังไม่ยอมคลายใจง่ายๆ คริสจึงช้อนมือกอบเอาก้อนนุ่มจากอกย้ายมาวางบนพื้นเตียงแล้วพลิกตัวตะแคงหันหน้าเข้าหา

    “งั้นก็เป่าให้หน่อยสิ”

    “เป่าแล้วจะหายเจ็บเหรอ?”

    “ตอนเด็กๆ เวลาที่ฉันหกล้ม คุณพ่อก็จะเป่าให้” หูที่พับตกลงนั้นตั้งขึ้น ดวงตากลมเล็กเป็นประกายขึ้นมา ชิงน้อยอมลมจนเต็มแก้มแล้วถัดก้นเข้าหา ก่อนจะเป่าฟู่ใส่ปลายจมูกโด่งอย่างแรงจนคริสต้องหรี่ตาทั้งที่หัวเราะขำ เจ้าตัวเล็กยังเป่าลมปู้ดๆ ซ้ำอีกหลายครั้งจนหอบแฮ่กแต่ก็ไม่ยอมหยุด ถึงปากเล็กจู๋นั้นจะน่าเอ็นดูแค่ไหนแต่คริสก็ต้องห้ามในที่สุด

    “พอแล้ว เดี๋ยวก็ลมหมดตัวหรอก”

    “แต่จมูกคริสยังไม่หายแดงเลยนะ”

    “ไม่หายแดงหรอก แต่ฉันหายเจ็บแล้ว” เจ้าตัวขาวถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหงายท้องตึงอย่างหมดแรง คริสทั้งขำทั้งเอ็นดู พอแกล้งเอานิ้วเกาพุงนิ่มเบาๆ เจ้าตัวเล็กก็มีแรงดิ้นพราดๆ ก่อนจะกลิ้งตัวหนีไปให้ไกลเกินระยะที่คริสจะเอื้อมมือถึง พอเด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วพลิกตัวขึ้นนอนหงายเอามือหนุนศีรษะเช่นเดิม ชิงน้อยถึงได้กลิ้งกลับมาหา

    “พรุ่งนี้คริสจะเล่นบาสอีกมั้ย?”

    “ชิงอยากดูหรือเปล่าล่ะ?”

    “แล้วคริสอยากเล่นหรือเปล่า?”

    “เดี๋ยวนี้รู้จักยอกย้อนด้วยนะ”

    “ถ้าคริสไม่อยากเล่น เราไม่อยากดูแล้วก็ได้ เราไม่อยากเห็นคริสเจ็บ” คริสคลายยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าน่ารักม่อยลง เขาเกลี่ยปลายนิ้วกับหูยาวเบาๆ พลางเอ่ยเสียงอ่อน

    “ฉันไม่ได้เจ็บเพราะไม่อยากเล่นบาส”

    “แต่คู่แฝดรังแกคริส เราไม่ชอบเลย”

    “เค้าไม่ได้รังแก มันเป็นเกม ฉันพลาดเอง”

    “คริสเคยสัญญาแล้วว่าจะไม่เจ็บอีก” เรียวนิ้วยาวชะงัก มองสบดวงตากลมเล็กที่มักเป็นประกายอยู่เสมอ ยามนี้กลับหม่นหมองนัก และคริสเองที่ทำให้เพื่อนตัวเล็กผู้สดใสต้องกังวลใจ ชิงน้อยกำลังทวงสัญญาเขา เพราะไม่อยากให้เจ้าตัวเล็กต้องเสี่ยงทำอะไรที่อันตรายเพื่อปกป้องเขาอีก เขาจึงให้สัญญาว่าจะไม่แพ้ จะไม่ยอมให้ใครมารังแกเอาง่ายๆ แต่ตอนนี้ เขากำลังทำให้เพื่อนรักที่สุดต้องผิดหวัง เขาไม่ใส่ใจตัวเอง ยอมให้คนอื่นทำร้ายเอาได้ โค้ชซึงฮวานพูดถูก เขาเองที่คิดว่าไม่เป็นไร แต่เขาลืมนึกถึงคนที่คอยเป็นห่วงเขาไปได้ยังไงกันนะ คริสถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นนั่ง ประคองกอบเอาร่างนุ่มนิ่มมาไว้ในอุ้งมือแล้วยกขึ้นในระดับที่ดวงตามองสบ

    “ขอโทษนะ ฉันไม่น่าลืม” คริสเคยสูญเสียคนที่รักมากที่สุดไปจนไม่คิดว่าในโลกนี้ยังมีใครให้เขาควรต้องแคร์อีก แต่คริสกลับลืมนึกถึงคนที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอด แม้ก่อนหน้านี้ชิงน้อยจะพูดไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยทิ้งเขาไปไหน เป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจและพูดคุยด้วยทุกวัน เป็นคนที่หัวเราะเมื่อเห็นเขามีความสุข เป็นคนที่เจ็บเมื่อเห็นเขาล้ม เป็นกระต่ายตัวเล็กๆ ที่พยายามปกป้องทั้งที่เขาตัวโตกว่า คริสอาจไม่รักตัวเองเท่าที่ควร แต่เขาควรรักเพื่อนคนนี้ให้ดีที่สุดไม่ใช่หรือ เด็กหนุ่มเคลียแก้มกับร่างเล็กนุ่มในมืออย่างแสนรัก “...ฉันจะไม่พลาดอีกแล้ว เชื่อฉันนะชิง”

     

    อย่างน้อยๆ เขาก็รู้แล้วว่าต้องทำเพื่อใคร

     

    “ฉันจะไม่มีวันทำให้นายต้องผิดหวังอีก”

     

    เพราะรอยยิ้มเล็กๆ นี้คือความสุขเดียวที่คริสมี และเขาจะรักษามันไว้ให้ดีที่สุด

     

    “คอยดูฉันนะชิง”

    “อื้อ”

     

    .

     

    .

     

    .

     

    หลังเลิกเรียนในวันจันทร์ ซึ่งเป็นเวลาซ้อมปกติของทีมบาสเก็ตบอล นักกีฬาบางส่วนและทีมสต๊าฟในสนามต่างหยุดกิจกรรมที่ทำและหันทุกสายตามาจับจ้องเด็กหนุ่มร่างสูงซึ่งเพิ่งเดินเข้ามาในโรงยิมฯ แม้แต่กองเชียร์บนสแตนด์ยังหันเหสายตาจากคนที่ชอบแล้วหันไปซุบซิบกันเซ็งแซ่ ใช่ว่าผู้ที่เข้ามาทีหลังนั้นจะเป็นคนแปลกหน้า แต่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่ถูกลูกบาสอัดหน้าจนล้มตึงและต้องออกจากการซ้อมกลางคันจะกล้ากลับเข้ามาที่นี่อีก แต่เด็กหนุ่มหาได้ใส่ใจสายตาเหล่านั้น กลับเดินตรงไปยังอาจารย์คุมซ้อมซึ่งกำลังดูแผ่นชาร์ทและปรึกษาอะไรบางอย่างกับคิมจุนมยอน ผู้เป็นหัวหน้าห้องและควบตำแหน่งผู้จัดการทีมเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาก่อน เจ้าของใบหน้าที่ดูใจดีอยู่เสมอค่อยคลี่ยิ้มให้เขา คริสยิ้มตอบก่อนจะพูดขึ้น  

    “ผมอยากเล่นบาสครับโค้ช”

    อาจารย์ซึงฮวานเงยหน้าขึ้นจากชาร์ทแล้วเลิกคิ้วน้อยๆ มองสบดวงตาของเด็กหนุ่มซึ่งยามนี้ไร้ซึ่งแว่นสายตาปิดบังแล้วย้อนถาม

    “แน่ใจนะ?”

    “ครับ” คริสพยักหน้าอย่างมั่นใจ แววตาของเขาก็เช่นกัน “แล้วผมก็จะไม่ยอมล้มอีก”

    ความมุ่งมั่นนั้นฉายชัดและเต็มเปี่ยมเสียยิ่งกว่าที่ผู้ควบคุมการซ้อมคาดคิดไว้ ซึงฮวานพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะยื่นมือไปตบไหล่หนาของเด็กหนุ่มแรงไม่เบา

    “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ จะรออะไร” คริสค้อมศีรษะให้พร้อมยิ้มกว้าง

    “ครับโค้ช”

     

    ผละออกมาแล้วก้าวต่อไปยังห้องพักนักกีฬาด้วยหัวใจที่ลิงโลด ความรู้สึกกะตือรือร้นนี้เหมือนเมื่อครั้งยามเด็ก ตอนที่พ่อของเขาชวนออกไปเล่นบาสด้วยกัน คริสมีเพียงความคิดที่ว่าเขาจะต้องสนุก และเขาจะต้องชู้ตลูกไม่ให้พลาด ในตอนนี้ก็เช่นกัน เด็กหนุ่มกระชับสายสะพายกระเป๋าพร้อมกับที่ยกอีกมือขึ้นกุมก้อนยุกยิกตรงกระเป๋าเสื้อไว้ หัวใจของเขาคงเต้นแรงจนชิงน้อยรู้สึกได้สินะ

    แต่ก่อนจะถึงที่หมาย สองแฝดกับเพื่อนในแก๊งค์ก็ก้าวมาดักหน้าไว้ แสร้งยกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้าเขาอย่างใจเย็น

    “ไม่มีแว่น จะมองเห็นมั้ยเนี่ย?” เสี่ยวหลงยิ้มเยาะและแฝดผู้พี่กับเพื่อนอีกสองก็ถล่มตามด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น ที่ผ่านมาคริสมักจะเดินหนีโดยไม่ใส่ใจ แต่ไม่ใช่ในวันนี้ เด็กหนุ่มคว้าข้อมือคู่ปรับไว้ เขาออกแรงบีบจนอีกฝ่ายเบ้หน้าก่อนจะกดยิ้มที่มุมปาก

    “ลองดูซักเกมมั้ยล่ะ? คราวนี้ฉันจะไม่ยอมให้นายทำแต้มอยู่คนเดียวแน่”

    ตาจ้องตาด้วยกระแสที่ท้าทายกันทั้งสองฝ่าย ต้าหลงกันฟันกรอดและพยายามบิดข้อมือ แต่คริสไม่ยอมปล่อย ยิ่งออกแรงมากขึ้นราวกับการปะทะกำลัง และต้าหลงซึ่งเห็นท่าไม่ดีก็ก้าวเข้ามาทำท่าจะเอาเรื่อง แต่แฝดคนน้องกลับยกมือห้าม พอคริสคลายแรง เขาก็กระชากมือตัวเองคืนมาได้ในที่สุด

    “แล้วฉันจะคอยดู” น้ำเสียงนั้นหาได้ดูแคลนเช่นทุกครั้ง มังกรผู้น้องรู้สึกชาที่ข้อมือจนต้องกำมือแน่น ทว่าแววตาที่ส่งไปให้อีกฝ่ายนั้นบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้หวั่นเกรง กลับแค่นยิ้มเหมือนได้เจอเรื่องน่าสนุก มองตามจนคริสคล้อยหลังไปแล้วถึงได้หัวเราะหึ เช่นเดียวกันกับแฝดผู้พี่

    “ต้องแบบนี้ ถึงจะสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย”

    “ชักสนุกซะแล้วสิ”

     

     

     

     

     

     

     

    จบตอน ^^

     

     

     

    คนรอง: อย่านึกว่าพูดเล่นนะ นี่ฟิคปีละตอนจริงๆ = =”

    ตั้งใจจะเขียนให้เป็นฟิคใสๆ ไหงกลายมาเป็นดราม่าเล็กๆ ได้ก็ไม่รู้ แหะๆๆ

    พระเอกเราถอดแว่นแล้วนะจ๊ะะะ (มีบางคนจำไม่ได้ว่าคริสใส่แว่นด้วยเหรอ? แนะนำให้กลับไปเริ่มอ่านตั้งแต่ตอนแรกใหม่)

    ตอนต่อไปจะพยายามไม่ให้เกินหนึ่งปี (เหรออออออ?) ^^”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×