ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #17 : เขียวหวานน่ารัก ~ 17 ~

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.9K
      39
      19 ธ.ค. 59



    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 17

    Fiction by 2nd Admin

    .

    .

    .

     

                แม้จะเลิกงานห้าโมงเย็น แต่อี้ชิงยังต้องนับและทำบัญชีเงินในเครื่องคิดเงินของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเปลี่ยนผลัด ดังนั้นกว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากร้านได้จริงๆ ก็ปาเข้าไปหกโมงกว่าแล้ว

                คริสจอดรถไว้ที่ร้านตามที่อี้ชิงบอกแล้วออกเดินด้วยกันไปที่ตลาดซึ่งอยู่ห่างออกไปแค่ห้านาทีเท่านั้น ฟ้ายังไม่มืดเท่าไหร่ตอนที่ไปถึง แต่ร้านรวงก็เริ่มออกมาตั้งกันเรียงรายตามสองข้างทางบ้างแล้ว เจ้าถิ่นพาผู้มาใหม่แวะชมแทบจะทุกร้านที่เดินผ่าน ส่วนใหญ่จะเป็นของกินเสียมากกว่า อาหารธรรมดาแต่พอถึงเวลาที่ท้องหิวก็ดูน่ากินนัก อย่างเช่นปลาหมึกย่างที่หั่นเป็นเส้นๆ หรือไส้กรอกชุบเกล็ดขนมปังทอดซึ่งคริสส่ายหน้าขอผ่าน เพราะเขาไม่ชอบของทอดของมันซักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงได้ต๊อกโบกีกับโอเด้งปลาบดร้อนๆ มากินแทน ในขณะที่สองมือของคนชอบกินขนมมีทั้งขนมปังปลาไส้ถั่วแดง มันฝรั่งเกลียวแท่งโตและโฮต๊อกโรยหน้าถั่ว แต่ทั้งอย่างนั้นก็ยังคอยสอดส่ายสายตามองสองข้างทางไปเรื่อยๆ เห็นอะไรน่ากินหน่อยก็เลี้ยวเข้าหา ออกจะตื่นเต้นกว่าคนที่ไม่เคยมาเห็นเลยด้วยซ้ำ

                “มาเดินที่นี่บ่อยหรือ?” คริสถามหลังจากจัดการโอเด้งหมดไปแล้ว เหลือแต่แป้งต๊อกที่ค่อนข้างเหนียวเลยต้องใช้เวลานานหน่อย แต่มืออีกข้างว่างได้ไม่นาน อี้ชิงก็ส่งปลาหมึกย่างมาให้ลองชิม

                “ก็นานๆ ที ถ้ามาก็ต้องมากับเสี่ยวลู่ แต่รายนั้นเค้ากิจกรรมเยอะ ไม่ค่อยมีเวลา”

                “แต่ตอนนี้นายมีฉัน อยากไปไหนก็บอก ฉันไปกับนายได้ทุกที่”

                “นายไม่ได้จะอยู่ที่นี่นานซักหน่อย อีกแค่เดือนกว่าๆ ก็ต้องกลับแล้ว”

                “อยากให้อยู่ตลอดไปไหมล่ะ?” คำถามนั้นมาพร้อมใบหน้าหล่อที่ยื่นมาใกล้ สายตาที่คนคิดน้อยมองไม่ออกว่าล้อเล่นหรือจริงจังนั้นจ้องนิ่ง ทว่ามีเพียงคิ้วบางที่ขมวดมุ่นน้อยๆ กับแก้มใสที่ตุ่ยออกเพราะขนมปังปลาที่เพิ่งกัดเข้าปากยังไม่ได้เคี้ยว ตาคู่ใสของคนไม่รู้ความหรือสู้แรงเร้าหรือใดๆ ได้ จึงเลี่ยงชำเลืองมองข้ามไหล่ของคนตัวสูงกว่า กระทั่งเห็นบางอย่างที่เปลี่ยนสีหน้างุนงงให้เป็นสดใส

                “อ๊ะ ข้าวโพดหวานนี่” ไม่ทันได้ยินเสียงถอนหายใจของคนที่รอคำตอบ คนตัวเล็กปรี่เข้าหาร้านข้างทางอย่างกะตือรือร้น ชี้นิ้วสั่งข้าวโพดสองฝักโตๆ จนคนที่เดินตามมาต้องส่ายหน้าทั้งรอยยิ้ม สองมือยังไม่ว่างก็หาอะไรมาเติมอีกแล้ว

                “กินหมดหรือนั่น?”

                “หมดสิ ฝักนี้กินเอง อีกฝักเอาไปฝากเสี่ยวลู่ หมอนั่นชอบ” คริสพยักหน้าแล้วหยิบเงินจะจ่ายให้ ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ อี้ชิงจึงยัดเยียดของกินทั้งหมดในมือให้คริสช่วยถือแล้วล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมากดรับ

                “ว่าไงเสี่ยวลู่”

                [เหวยๆ ชิงชิง อยู่หนายยยย~]

                “อยู่ตลาด ของกินเพียบเลย มาไหม?”

                [อยู่กับใครอ่ะ รุ่นพี่เหรอ?]

                “อื้อ”

                [หวายยยย งั้นไม่ไปหรอก ไม่อยากเป็นก้าง]

                “กินอะไรไหม เดี๋ยวซื้อไปฝาก”

                [ไม่เป็นไร จะโทรมาบอกพอดีว่าวันนี้มีนัดกับเพื่อน]

                “อีกแล้ว? เพื่อนหรือแฟนกันแน่เนี่ย”

                [เออน่า ทีตัวเองออกไปกับแฟนทุกวันเรายังไม่บ่นเลยนะ]

                “เราไม่ได้อยาก...!

                [ไปแล้วดีกว่า กินเผื่อด้วยน้า~ บ๊ะบาย] ปลายสายบอกลาอย่างอารมณ์ดีทว่าคนฟังกลับมุ่ยหน้า ก็รู้อยู่ว่าเขาไม่ได้อยากทำตัวติดกันกับคนดังเสียหน่อย ยังมาล้อกันอีก เดี๋ยวก็ให้อดข้าวโพดซะหรอก

                เสียงพ่อค้าบอกว่าข้าวโพดที่สั่งเรียบร้อยแล้ว อี้ชิงจึงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วหันไปรับพร้อมคำขอบคุณ กลิ่นหอมฉุยของข้าวโพดปิ้งที่ขึ้นจากเตาใหม่ๆ นั้นไม่ใช่แค่ทำให้อารมณ์ดีขึ้น แต่ยังหอมยั่วยวนเสียจนอดไม่ได้ที่กัดชิมทั้งที่ยังร้อน คนตัวเล็กเป่าปากแต่ยังมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า

                “อื้มมม อร่อยอ่ะ ชิมไหม?” คริสเอียงคอน้อยๆ พลางยกสองมือที่ยังถือของกินของใครก็ไม่รู้ขึ้นให้เห็น อี้ชิงถึงได้หัวเราะแหะ “โทษที มาๆ ฉันถือเอง”

                “ไม่เป็นไร ฉันถือให้ นายป้อนสิ” คนตัวเล็กร้องหือพลางกรอกตามองไปรอบๆ ที่นี่มันกลางตลาด จะให้มายืนป้อนของกินกัน คนมองแย่ แต่พอหลุบมองสองมือของอีกฝ่ายที่ทั้งถือทั้งหิ้วของกินเอาไว้เต็มแล้วก็บุ้ยปาก ตอนที่ซื้อก็ซื้อเพราะอยากกินเลยไม่ทันคิด ตอนนี้ถ้าให้ถือเองหมดนี่คงไม่ไหวแน่ ไหนๆ ก็ใจดีเลี้ยงขนมแล้วยังอาสาถือของให้อีก ถ้าอย่างนั้นจะป้อนให้ถือว่าเอาใจหน่อยก็แล้วกัน คิดแล้วก็ห่อปากเป่าลมใส่ฝักข้าวโพดสองสามทีพอให้อุ่น ก่อนจะยื่นให้อีกฝ่ายได้กัดชิมถึงปาก

                “อร่อยไหม?” มองหน้าคนป้อนแล้วคริสก็ยิ้ม ยิ้มตามพลางพยักหน้า

                “อืม”

     

     

                แชะ!

     

                “โอ๊ะ ลืมปิดเสียงกล้องแฮะ” นิ้วเล็กป้อมรีบสไลด์หน้าจอเพื่อตั้งค่ากล้องมือถือเป็นพัลวันทั้งที่ไม่จำเป็น ก็ในตลาดน่ะคนเยอะแล้วก็เสียงดังออกขนาดนี้ คนที่ถูกแอบถ่ายคงไม่ได้ยินเสียงชัตเตอร์แน่

                “ใครหรือครับ?” ลู่หานยิ้มให้แววตาใสซื่อของรุ่นน้องที่มาด้วยกันอย่างนึกเอ็นดูนัก วันนี้ทีมฟุตบอลของเขามีซ้อมที่มหาวิทยาลัย ทีมเชียร์ก็เช่นกัน พอเลิกซ้อมแล้วก็เลยทำเนียนชวนเซฮุนผู้น่ารักมาเดินเล่นแล้วก็หาอะไรกินต่อ ไม่คิดว่าจะมาเจอเพื่อนรักกำลังเดทกับแฟนที่นี่ ซ้ำยังมีโมเม้นท์น่ารักๆ ให้น่าเก็บรูปไปฝากคิมจงแดอีก

                “เพื่อนน่ะ มาเที่ยวกับแฟน”

                “แล้วทำไมต้องแอบถ่ายรูปล่ะครับ?”

                “ดูดีๆ สิ รุ่นพี่ที่ตัวสูงๆ นั่น จำได้ไหมว่าใคร” เพราะความสูงที่ค่อนข้างห่าง รุ่นน้องจึงต้องโน้มใบหน้าลงมาหาจนคางแทบจะเกยไหล่ ตาคู่เรียวนั้นมองตรงไปข้างหน้าตามที่นิ้วป้อมชี้บอกพลางพยักหน้าน้อยๆ

                “อ๋อ รุ่นพี่แลกเปลี่ยนที่มาจากแคนาดา”

                “ใช่! แล้วก็นะ เพื่อนพี่เป็น...” ลู่หานชะงักเพียงเพราะหันกลับมาเจอใบหน้าด้านข้างของรุ่นน้องซึ่งอยู่ใกล้แทบจะชิดปลายจมูก ตาคู่กลมจึงหลงมองสันจมูกโด่งสวยและแนวกรามได้รูปจนไม่อาจละสายตาได้ ใกล้กันขนาดนี้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของผิวอ่อนวัยพาให้หัวใจเต้นระรัวเสียจนสมองมิอาจกลั่นกรองคำพูดให้ไกลกว่าที่คิด “เป็นแฟน... กันไหม?”

                “ครับ?” ยิ่งเมื่อหน่วยตาเรียวรีนั้นหันมาประสานในระยะที่หากหายใจแรงเพียงนิด ปลายจมูกของทั้งคู่ก็อาจปะทะกัน แต่เพียงชั่วอึดใจ แพขนตายาวที่กระพริบไหวก็ดึงสติรุ่นพี่ให้เป็นฝ่ายถอยห่างก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อน

                “เอ่อ หมายถึง สองคนนั้นเค้า... เป็นแฟนกันน่ะ”

                “ครับ ผมจำได้ เคยเห็นในเวบเพจของชมรมหนังสือพิมพ์ออนไลน์ ไม่ยักรู้ว่าเป็นเพื่อนพี่ลู่”

                “รูมเมทกันน่ะ แต่ที่จริงก็สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว” ใบหน้าอ่อนเยาว์ยามที่ตั้งอกตั้งใจฟังนั้นน่าเอ็นดูนัก ช่างซักช่างไซ้ แต่ก็ไม่ทำให้คนช่างพูดอย่างลู่หานเบื่อได้เลย

                “แล้วทำไมต้องแอบถ่ายรูปด้วยล่ะครับ”

                “งานชมรมน่ะ ข่าวที่ว่าสองคนนี้เป็นแฟนกันกำลังเป็นที่สนใจ ถ้ามีรูปหวานๆ ไปลงต้องมีคนเข้ามากดไลค์เยอะขึ้นแน่ๆ แต่อี้ชิงเค้าขี้อาย เข้าไปขอตรงๆ คงไม่ยอมหรอก”

                “แล้วถ้าเค้าไปเห็นทีหลัง จะไม่โกรธแย่หรือครับ?”

                “ไม่หรอก ชิงชิงน่ะใจดี ไม่เห็นเคยโกรธใครซักที มีงอนๆ บ้างแต่ง้อแป๊บเดียวก็หายแล้ว” ริมฝีปากได้รูปเผยอออกน้อยๆ ยามเจ้าตัวพยักหน้า ก่อนจะคลี่เป็นรอยยิ้มหวานเช่นเดียวกับวาจาที่พาให้คนฟังต้องใจสั่น

                “เพื่อนพี่ลู่นี่ น่ารักเหมือนพี่ลู่เลยนะครับ”

     

    .

    .

    .

     

                “อ่ะ น้ำแตงโมปั่น”

                คริสเอียงคอมองแก้วพลาสติกในมือเล็กก่อนจะรับมาพิจารณาน้ำแข็งปั่นสีแดงซีดในนั้นต่อ ท่าทางที่ค่อยๆ ดูดน้ำจากหลอดในทีแรกเหมือนไม่ค่อยมั่นใจในรสชาติมันเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าให้คนที่อุตส่าห์เดินไปซื้อมาให้ได้ยิ้มชื่น

                “อร่อยดี”

                “เดินไปอีกหน่อยมีน้ำทับทิมด้วย อยากชิมมั้ย?”

                “แล้วแต่นาย” นั่นเพราะทั้งคู่ต่างมีแก้วน้ำอยู่ในมือตัวเอง จะซื้ออีกเพราะความอยากก็คงได้ แต่หลังจากเดินชมตลาดกันมาพักใหญ่ๆ ของกินก็เริ่มพร่องเพราะอี้ชิงจัดการเองเกือบทั้งหมด ขืนดื่มน้ำเข้าไปเยอะคงแน่นท้องเกินไปแน่ ยังเหลือข้าวโพดปิ้งที่เพิ่งกัดกันไปคนละคำสองคำนั่นอีก

                “นี่ อย่าถืออย่างเดียวสิ ต้องกินด้วยนะ เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอก” คนตัวเล็กเพยิดหน้าพลางคะยั้นคะยอ คงเพราะเริ่มจะอิ่มแล้วถึงได้หาเรื่องเกี่ยง แต่คริสมองฝักข้าวโพดในมือแล้วส่ายหน้า

                “ยังร้อนอยู่เลย”

                “จริงอ่ะ? ไหนดูซิ” อี้ชิงไม่เชื่อคริสก็ส่งให้ลอง แต่ไม่ยอมปล่อยมือจากฝักตอนที่มือเล็กจับทับลงเพื่อประคองให้เข้าใกล้ปาก ก่อนจะห่อริมฝีปากแตะเม็ดข้าวโพดอย่างระมัดระวัง “ไม่ร้อนซักหน่อย”

                “ไม่เหรอ?”

                “ไม่อ่ะ นี่ไง” บอกไม่เชื่อก็กัดให้ดูด้วย แต่จู่ๆ คริสก็ยื่นหน้าเข้ามาแทบจะพร้อมกัน แก้มเบียดแก้มจนอี้ชิงร้องอื้อ ทีตอนให้กินก็บอกว่าร้อน แล้วตอนนี้จะมาแย่งกันทำไม!

                “อืม ไม่ร้อนจริงๆ ด้วย” ยังมีหน้ามายิ้มกริ่ม ข้าวโพดน่ะไม่ร้อนหรอก แต่คนกินเนี่ยแหละที่ร้อนไปทั้งหน้า อี้ชิงมุ่ยหน้าทั้งที่แก้มยังตุ่ย ปล่อยมือคืนฝักข้าวโพดให้แล้วหันหลังเดินนำออกไปก่อนด้วยความเคือง

     

     

                หลังจากเดินวนรอบตลาดกันอยู่พักใหญ่ จากที่ฟ้ายังไม่มืดจนตกค่ำ นอกจากจะได้กินอิ่มท้องสมใจแล้ว อี้ชิงยังได้ถุงเท้าคู่ใหม่ไปห้าคู่ ส่วนคริสก็ได้สร้อยข้อมือแฮนด์เมดไปสองสามเส้น พอใจแล้วถึงได้พากันเดินกลับ แต่ระหว่างทางที่ผ่านสวนสาธารณะอี้ชิงก็โอดว่าเดินไม่ไหว ขอแวะเข้าไปนั่งพักก่อน

                “ฮ้าาาา อิ่มชะมัด” เจอม้านั่งยาวตัวแรกในสวน ร่างเล็กก็ทิ้งตัวลงนั่งพร้อมเอนหลังไปกับพนักในสภาพผึ่งพุงเต็มที่ เห็นอย่างนั้นแล้วคริสก็ยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะเข้ามานั่งลงข้างๆ กัน “นายอิ่มไหม?”

                “อืม”

                “กินน้อยกว่าฉันอีก ไหนบอกว่าหิวไง”

                “ที่กินไปนั่นก็เยอะแล้ว ขืนกินอีกได้อ้วนจนวิ่งไม่ไหวแน่”

                คนกินเยอะกว่าเบะปากด้วยหมั่นไส้ แค่ต๊อกโบกี โอเด้ง แล้วก็ข้าวโพดอีกหนึ่งฝัก ไส้กรอกเลือดปิดท้ายนั่นเขาก็แทบจะกินคนเดียวด้วยซ้ำ แค่นี้บอกว่าเยอะ งั้นที่เขากินไปทั้งหมดนั่นคืออะไร จะว่าเขาอ้วนก็พูดตรงๆ ก็ได้นะ

                “เออนี่ ฉันซื้อนี่มาด้วย” อี้ชิงล้วงลงไปในถุงที่ถือมาด้วยอย่างนึกขึ้นได้ ตอนเดินไปซื้อน้ำเขาแวะซื้อของโปรดมาด้วย กะว่าจะเอาไว้กินปิดท้ายหลังจัดการของคาวเสร็จ หยิบขนมในห่อพลาสติกที่มีรูปทรงคล้ายหัวกระต่ายขึ้นมาแล้วส่งให้คริสหนึ่งห่อ “โมจิสตอเบอรี่ เคยกินไหม?”

                คริสส่ายหน้า พิจารณาห่อพลาสติกใสที่มีรูปตากับปากและผูกหูกระต่ายสีแดงในมือ เขาไม่เห็นสตอเบอรี่ในนั้น มีแต่ก้อนแป้งสีขาวออกน้ำตาลอ่อนๆ หน้าตาเหมือนโมจิธรรมดาทั่วไป จะน่ารักก็ตรงแพ็คเกจเนี่ยแหละ

                “อร่อยเหรอ?”

                “อื้อ ลองชิมดูสิ ข้างในนี้เป็นสตอเบอรี่ทั้งลูกเลยนะ ฉันชอบมากเลย แต่ที่ชอบมากกว่าก็เจ้าหูกระต่ายของมันนี่แหละ น่ารักดีเนอะ เสียดายที่เก็บไว้ได้ไม่นาน ไม่อย่างนั้นฉันไม่กินหรอก จะเอาไว้ดูเล่น” ท่าทางที่นิ้วเล็กจับหูแดงๆ ของมันเล่นด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้านั้นบอกให้รู้ว่าอี้ชิงเอ็นดูเจ้าโมจิกระต่ายนี้มากแค่ไหน คนมองก็เช่นกัน

                “เก็บห่อมันไว้สิ”

                “ถ้าไม่มีโมจิอยู่ข้างในก็ไม่น่ารักหรอก กระต่ายก็ต้องตัวขาวๆ ฟูๆ อ้วนกลมแบบนี้ถึงจะน่ารัก”

                “อ้อ มิน่าล่ะ”

                “มิน่าอะไร?”

                “เปล่า” คริสส่ายหน้า แต่รอยยิ้มที่ผุดขึ้นมุมปากนั้นน่าสงสัยเกินไป

                “ยิ้มแบบนี้ต้องแอบว่าฉันในใจแน่ บอกมาเลยนะ มิน่าอะไร?”

                “บอกว่าเปล่าไง” คริสยังปฏิเสธทั้งที่หัวเราะขำ คนร้อนตัวก็ยิ่งหัวร้อนใหญ่

                “จะบอกว่าฉันอ้วนเหมือนโมจิใช่หรือเปล่า” ชอบว่าเรากินจุอยู่เรื่อย นี่จะล้อว่าตัวกลมเหมือนขนมโมจิสินะ อี้ชิงไม่ยอมแพ้ คริสหันหนีก็ยังตามไปคาดคั้น

                แต่กลับต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ใบหน้าหล่อก็หันมา นิ้วเล็กที่ชี้หน้าเค้าเมื่อครู่ถูกจับยึด คนตัวโตกว่าออกแรงรั้งเพียงนิด ใบหน้าของทั้งคู่ก็แทบจะชิดกัน

                “จะบอกว่านายน่ารักเหมือนกระต่ายต่างหาก” เสียงทุ้มว่าไม่พ้นปลายจมูก ลมหายใจอุ่นที่รินรดผิวแก้มราวกับเวทมนต์เสกให้ร่างเล็กร้อนผ่าวไปทั้งร่าง ตาคู่สวยกระพริบปริบอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ ก่อนจะเบิกกว้างเมื่อรู้ตัวว่าเขาแทบจะถูกดึงให้ขึ้นไปนั่งบนตัก ตาสบตาได้ไม่นาน มือเล็กอีกข้างก็ออกแรงดันเพื่อช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้นจากการประชิดแบบไม่ตั้งตัวเช่นนี้

                คริสยอมปล่อยกระต่ายน้อยหลุดมือไปง่ายๆ นั่นเพราะเขาไม่อยากรังแกให้อีกฝ่ายตื่นตูมไปเสียก่อน

                กลับมานั่งที่เดิมได้ อี้ชิงก็ถดตัวไปจนติดริมสุดของม้านั่ง หันหน้าหนีคนที่เหมือนจะกระเถิบตามมากระซิบถามที่ข้างหู

                “พอใจหรือยัง?” น้ำเสียงทีเล่นทีจริงนั้นทำให้คนที่กำลังตัวร้อนต้องมุ่ยหน้า รู้ตัวแล้วว่าโดนแกล้งอีกแล้วแน่ๆ ถึงได้ตอบเสียงห้วนโดยไม่มองหน้าคนถาม

                “ยัง” แต่คนขี้แกล้งยังไม่เลิกตอแย กางแขนกั้นเหมือนจงใจให้เขาหมดทางหนี

                “แล้วต้องทำยังไง?”

                “ถอยไปห่างๆ หน่อยสิ”

                “ทำไม?”

                “ก็ฉันไม่ชอบ”

                “ไม่ชอบอะไร?”

                “ก็...!” และทันทีที่อี้ชิงหันไปเผชิญหน้า นัยน์ตาแวววาวและยิ้มร้ายก็รออยู่ก่อนแล้ว ตาคู่ใสมองสบได้ไม่นานก็เลี่ยงหลบ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่พ้นอกกว้างกับแนวคางได้รูปของคนที่ไม่ยอมห่าง ซ้ำยังเหมือนจะยิ่งโถมตัวเข้ามาเบียด อี้ชิงไม่มีที่เหลือให้ถอยหนีแล้ว อึดอัดเสียจนหัวใจเต้นระรัว หายใจแทบไม่ทัน “...สีผมนาย”

                “หืม?”

                “สีผม ฉันไม่ชอบ มันแสบตา” ตอบส่งๆ ไปอย่างนั้น เขากำลังจะเป็นลมหากว่าคริสไม่ยอมถอย อี้ชิงแค่อยากหลุดพ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัดนี้เสียที

                “สีผมงั้นเหรอ?” เรียวคิ้วได้รูปเลิกขึ้นน้อยๆ เหมือนไม่เชื่อในคำตอบนั้น แต่อี้ชิงจะไม่รอให้ถูกถามซ้ำแน่ ได้โอกาสที่อีกฝ่ายปล่อยมือเพื่อจับเส้นผมสีสว่างของตัวเอง สูดลมหายใจเข้าจนลึกเพื่อรวบรวมพลังก่อนจะลุกขึ้น บังคับเสียงให้สั่นน้อยที่สุดตอนที่บอก

                “กลับกันเถอะ ฉันง่วงแล้ว”

     

                คริสถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกบ้าง มองตามแผ่นหลังเล็กของคนที่รีบจ้ำราวกับจะหนีแล้วก็คลี่ยิ้มบาง

     

                ฉันตามนายมาถึงนี่ ไม่ปล่อยให้หนีไปไหนได้อีกแน่

     

     

     

     

     

                อี้ชิงนึกสงสัยอยู่แล้วเชียว เมื่อวานนี้ทั้งวันไม่เห็นจงแดส่งคำถามสำหรับทำสกู๊ปมาให้ ถามลู่หานก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พอเซ้าซี้มากๆ เข้าก็หนีไปนอนเสียอย่างนั้น ผิดสังเกตุกันทั้งคู่ อี้ชิงน่าจะเอะใจแต่ก็ไม่เลย เวบเพจของชมรมก็ไม่เคยเข้าไปเช็ค จนเช้าวันรุ่งขึ้นนั่นแหละ ถึงได้รู้

                “ทำไมพวกนายทำกับฉันแบบนี้เนี่ยยยย” คนตัวขาวโอดครวญแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างสิ้นหวังหลังจากได้เห็นรูปและแคปชั่นที่โพสต์ลงในเวบเพจซึ่งประธานชมรมเปิดให้ดูด้วยตัวเอง ยิ่งรู้ว่าเป็นฝีมือเพื่อนสนิทที่ซุ่มแอบถ่ายรูปเขาตอนเผลอ อยู่ใกล้กันแท้ๆ แต่ไม่ยอมบอกซักคำ หักหลังกันชัดๆ! คิมจงแดก็อีกคน เขียนแคปชั่นแซวแรงอย่างกับข่าวเม้าท์ดาราแบบนี้ บรรดาแฟนคลับคนดังเห็นเข้าคงได้ตามมาแหกอกเขาถึงหน้าคณะแน่ “ตายแน่ๆ คราวนี้ฉันตายแน่ๆ”

                “อย่างอแงเลยน่าอี้ชิง แบบนี้ก็ดีแล้วไง ตอกย้ำให้คนรู้กันไปเลยว่าคู่รักคนดังน่ะสวีทกันแค่ไหน พวกสาวๆ จะได้ถอดใจแล้วเลิกยุ่งกับรุ่นพี่กันซักที แผนเราจะได้สำเร็จไง” อี้ชิงเงยหน้าขึ้นชำเลืองตามองหนุ่มแว่นแล้วเบะปาก เช่นเดียวกับสายตารู้ทันของเพื่อนรักซึ่งหลบไปยืนข้างหลัง ทำมาเป็นอ้างแผน อย่างคิมจงแดน่ะ ยอดไลค์ในเพจชมรมย่อมสำคัญกว่าเรื่องอื่นใดทั้งนั้น

                “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่แอบถ่ายกันแบบนี้มันไม่แฟร์เลยอ่ะ”

                “ทำไมจะไม่แฟร์? อ้าวนี่ตกลงว่าที่นายไปเดทกับรุ่นพี่เนี่ยเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เพื่องานชมรมหรอกเรอะ?”

                “ไม่ใช่แบบนั้น แต่พวกนายน่าจะบอกกันก่อน อย่างน้อยให้เลือกรูปเองก็ยังดี ที่ลงไปพวกนี้น่ะมัน...” แค่เดินข้างกันยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่รูปตอนป้อนขนม ไหนจะรูปแก้มชนกันตอนที่กัดข้าวโพดอีก โอยยย เห็นตอนนี้ยังหน้าร้อนเลย

                “ทำไม ไม่เชื่อฝีมือลู่หานรึไง?” อี้ชิงตวัดตามองพร้อมย่นจมูกใส่เพื่อนตัวดียืนยิ้มเผล่อยู่ข้างหลังจงแดนั่น เข้าใจหาที่มั่นนักนะ “เอาน่า ฉันลงรูปไปตั้งแต่เมื่อคืน จนถึงตอนนี้ก็มีแต่คนกรีดร้องด้วยความอิจฉา ยังไม่เห็นมีคอมเม้นท์ขู่ฆ่านายเลย คงไม่มีอะไรหรอก”

                รวมหัวกันซะขนาดนั้น อี้ชิงจะทำอะไรได้ นอกจากปึงปังออกมาจากห้องชมรมด้วยความหัวเสีย ไล่ลู่หานที่ตามมาง้อให้กลับคณะตัวเอง ส่วนตัวเขาก็เดินมาอีกทาง ที่จริงแล้วอี้ชิงก็ไม่ได้โกรธอะไรจริงจังอะไรนักหรอก แต่เขาเซ็งมากกว่า ตั้งแต่มีเรื่องคริสคนดังเข้ามา ชีวิตเขาก็วุ่นวายไปหมด จากที่เป็นแค่คนทำข่าว กลับต้องกลายมาเป็นข่าวเสียเอง จากที่เป็นแค่คนธรรมดาไม่มีใครสนใจ ต้องมากลายเป็นแฟนคนดังที่คนทั้งมหาวิทยาลัยคอยจับตามอง ทั้งลู่หานและจงแดดูสนุกกับเรื่องนี้จนอาจจะลืมนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเขาหลังจากที่คริสกลับไปแล้ว พวกแฟนคลับคงรุมหัวเราะเยาะคนที่ถูกแฟนทิ้ง ทุกที่ที่เขาเดินผ่านจะต้องมีแต่เสียงซุบซิบนินทา จนกว่าจะมีเรื่องใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นกว่าเข้ามานั่นแหละ คนถึงจะลืมเรื่องนี้ได้ แล้วระหว่างนั้นล่ะ เขาจะต้องใช้ชีวิตท่ามกลางสายตาเยาะหยันไปอีกนานแคไหนกัน คิดแล้วอี้ชิงก็ถอนหายใจแรงจนคอตก

                เงยหน้าขึ้นอีกที ร่างของสามสาวเพื่อนร่วมคณะก็ปรากฏขึ้นบนทางข้างหน้าไม่ไกลนัก อี้ชิงไม่อยากทักทายพวกเธอจึงผินใบหน้าเมินมองไปทางอื่นเสีย แต่แทนที่พวกเธอจะทำแบบเดียวกัน แค่หางตาอี้ชิงก็เห็นว่าพวกเธอมองมาที่เขาแล้วจงใจเดินมาใกล้ ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากัน เขาจึงเป็นฝ่ายหลบไปข้างทางเสียเอง นึกว่าจะแค่เดินสวนกันไป แต่ก็เปล่า พวกเธอกลับตามมาดักหน้าเขาไว้ อี้ชิงเลี่ยงไปอีกทาง สามสาวก็ยังตามมาอย่างจงใจ สุดท้ายพอรู้แน่ว่าคงไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ อี้ชิงจึงเป็นฝ่ายหยุดให้ เขาถอนหายใจเนือยๆ มองพวกเธอทีละคนอย่างสังเกตุท่าที อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นไพล่อกอย่างท้าทายเช่นทุกครั้งที่หาเรื่องกัน แต่เมื่อรออยู่ซักพักก็ยังไม่มีใครพูดอะไร อี้ชิงจึงเป็นฝ่ายพูดก่อน

                “พวกเธอไปเล่นที่อื่นเถอะ ฉันไม่มีอารมณ์”

                “หาว่าพวกเราไร้สาระขนาดนั้นเลยรึไง?”

                “ถือว่าเป็นแฟนคนดังแล้วจะทำตัวหยิ่งยโสยังไงก็ได้สินะ” นั่นไงล่ะ จงใจหาเรื่องกันจริงๆ ด้วย อี้ชิงถอนหายใจอีกครั้ง ว่าเสียงเนือย

                “มีเรื่องอะไรก็ว่ามา”

                “ไปเดทกับรุ่นพี่มาสองวัน คงสนุกมากเลยล่ะสิ”

                “สนุกมากจนอยากจะอวดให้คนรู้กันทั่วทั้งมหาลัยเลยสินะ”

                “รูปพวกนั้นน่ะ ไม่ได้แอบถ่ายหรอก นายจงใจให้เพื่อนถ่ายมาอวดพวกเราใช่ไหมล่ะ?”

                “คิดกันได้ยังไงเนี่ย?” อี้ชิงล่ะไม่อยากจะเชื่อ พวกสาวๆ ช่างมโนอันนี้เขารู้ แต่ใส่ร้ายคนอื่นได้เป็นตุเป็นตะแบบนี้ อี้ชิงก็เพิ่งจะเคยเจอกับตัวนี่แหละ “นี่ถามจริงๆ เถอะ พวกเธอไม่เบื่อกันบ้างหรือไง?”

                “เบื่อสิ นายมันน่าเบื่อจะตาย จืดชืด หน้าตาก็แสนธรรมดา”

                “ไม่รู้รุ่นพี่เลือกเข้าไปได้ยังไง” ยังมาทำหน้าแหยงใส่อีก อี้ชิงถึงกับกรอกตาเอือมๆ

                “ฉันหมายถึงเบื่อที่ต้องคอยหาเรื่องฉันต่างหาก”

                “ว่าไงนะ?!”

                “ฉันอยู่ของฉันดีๆ แต่พวกเธอก็คอยตามมากระแนะกระแหน เอาแต่พูดไปเรื่อย สุดท้ายก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา ไม่เหนื่อยบ้างรึไงนะ” อาจเป็นเพราะอี้ชิงกำลังหงุดหงิด เขาเหนื่อยหน่ายกับเรื่องหลอกๆ พวกนี้เต็มที เหนื่อยที่จะต้องเก็บงำ เบื่อที่จะต้องเสแสร้ง ทั้งที่ทุกคนรวมหัวกันวางแผน แต่กลับมีแค่เขาคนเดียวที่ต้องมาเจอเรื่องกวนใจแบบนี้ทุกวัน ลู่หานมีเรื่องสนุกให้ทำ ส่วนจงแดก็ได้ข่าวใหญ่เรียกเรทติ้งให้ชมรม แล้วเขาล่ะ? เขาได้อะไรบ้างนอกจากต้องเสียความสงบในชีวิตไป

                “หนอย! คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? นึกว่าพวกเราอยากยุ่งกับนายนักรึไง?!”

                “นายมันชอบทำตัวน่าหมั่นไส้ ก่อนหน้านี้ก็บอกว่าไม่ชอบไม่อยากยุ่ง แต่กลับใช้งานบังหน้าเพื่อเข้าหาเค้า จีบเค้าจนได้เค้าเป็นแฟนแต่บอกว่าไม่ได้ทำอะไร”

                “อยากเด่นอยากดังจนต้องใช้รุ่นพี่เป็นเครื่องมือเลยสินะ ถ้านายไม่ได้รักรุ่นพี่จริงแล้วไปยุ่งกับเค้าทำไม? อยากให้พวกเราอิจฉาจนต้องทำร้ายจิตใจรุ่นพี่แบบนี้ จิตใจนายทำด้วยอะไรกัน?!”

                ถูกว่าเอาฉอดๆ แบบนี้จางอี้ชิงก็ถึงกับผงะ เขาไม่เคยคิดหาเรื่องใครก่อนแท้ๆ แต่กลับถูกระรานไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งนึกถึงคนต้นเหตุที่มีแต่คนคอยปกป้อง อี้ชิงก็ยิ่งเหลืออด

                “ใช่! ฉันไม่ได้รักหมอนั่น นึกว่าฉันอยากเป็นแฟนคนดังมากรึไง?! ถ้าไม่ใช่เพราะแฟนคลับอย่างพวกเธอ ชีวิตฉันก็คงไม่ต้องวุ่นวายแบบนี้หรอก!” ตวาดเสียงดังกลับอย่างที่ไม่เคยคิดทำแล้วอี้ชิงก็เดินปึงปังออกมาจากตรงนั้น ปล่อยให้สามสาวยืนอึ้งอยู่เป็นครู่ด้วยไม่นึกว่าคนที่เคยแม้แต่วิ่งหนีพวกเธอโดยไม่มีเหตุผล จะระเบิดอารมณ์เป็น

                แต่การต่อว่าไม่ได้ทำให้พวกเธอรู้สึกกลัวหรือเข็ดหลาบ ตรงกันข้าม หนึ่งในนั้นกลับเหยียดยิ้มร้าย เธอล้วงลงไปในกระเป๋าสะพายใบเล็กเพื่อหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา ก่อนจะปรายตามองเพื่อนอีกสองคนที่ค่อยๆ บิดริมฝีปากสีแดงสดในลักษณะเดียวกัน

                “พวกเธอได้ยินที่หมอนั่นพูดไหม?”

                “ได้ยินสิ ชัดเจนเลยล่ะ”

                “แล้วถ้ารุ่นพี่ได้ยินเข้า จะว่ายังไงกันนะ?”

     

    .

    .

    .

     

                เสียงเป่าปากเริ่มดังตั้งแต่ที่คริสเดินเข้ามาในโรงยิมฯ กระทั่งวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ในที่พักข้างสนาม เพื่อนร่วมทีมก็ยังโห่แซวกันไม่เลิก หนุ่มหล่อเพียงยิ้มรับเท่ๆ ไม่ห้ามปรามอะไร เขาถูกกัปตันแซวตั้งแต่เมื่อเช้าตอนที่มาถึง ถึงได้รู้ว่าเป็นเพราะกระทู้ล่าสุดที่ชมรมหนังสือพิมพ์ออนไลน์เพิ่งลงไปเมื่อคืน ยิ่งเห็นเครดิตบนรูปถ่ายแล้วก็อยากเห็นหน้าแฟนตัวเล็กนัก ป่านนี้จะอาละวาดเพื่อนสนิทไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้

                “ถึงว่าสิ เมื่อวานซ้อมเสร็จชวนไปกินหมูกะทะด้วยกันก็ไม่ไป ที่แท้ก็แอบไปสวีทกับแฟนสองต่อสองนี่เอง”

                “น่าอิจฉาจังน้า เพิ่งมาได้ไม่ถึงเดือนก็มีแฟนแล้ว แถมน่ารักซะด้วย ฉันซะอีก อยู่มาสามปียังไม่มีใครมาจีบซักคน”

                “กัปตันก็อย่าโหดนักสิ สาวๆ ที่ไหนเห็นเข้าก็กลัวจนวิ่งหนีหมด”

                “อาจจะไม่ใช่เรื่องโหดก็ได้นะ ต้องดูหน้าด้วยว่าหล่อสู้คริสได้หรือเปล่า”

                “ปากหรือนั่นที่พูด” คริสกับคนอื่นๆ พากันหัวเราะเมื่อกัปตันยกขายาวๆ ขึ้นไล่เตะลูกทีมปากเสียทีละคนจนหลบแทบไม่ทัน เพราะไม่ใช่เวลาซ้อมปกติของทีม ที่สมาชิกมารวมตัวกันได้บางส่วนก็เพราะไม่มีเรียนช่วงเช้า หรือบางคนก็เข้าเรียนสาย ดังนั้นจึงไม่มีแฟนคลับมาคอยเชียร์อย่างหนาตาเหมือนช่วงเย็น แต่กระนั้นก็ยังมีบางคนที่รู้ข่าวและตามมาคอยเฝ้า อย่างสามสาวที่ประสานเสียงตะโกนเรียกชื่อรุ่นพี่สุดหล่อมาจากท้ายสนามนั่น

                “รุ่นพี่คริสคะ”

                เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียกและพบว่าเป็นคนที่เขาเริ่มคุ้นหน้าบ้างแล้ว ปกติพวกกองเชียร์จะไม่ตะโกนชื่อเขาแบบนี้นอกจากเวลาซ้อมแข่ง เห็นได้ชัดว่าพวกเธอจงใจเรียกเขา

                “พวกแฟนคลับนายอีกแล้ว ฉันไปคุยให้ไหม?” กัปตันเสนอเพราะเกรงว่าคริสจะรำคาญ แต่เขาส่ายหน้า

                “ไม่เป็นไร นั่นเพื่อนร่วมคณะเขียวหวาน ฉันจัดการเอง”

     

                เห็นหนุ่มหล่อเดินตรงมาสามสาวก็ดีใจจนแทบเต้น แม้ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นจะไร้ซึ่งรอยยิ้มยินดีใด แต่ก็หาได้แสดงความรำคาญออกมาให้เห็น การเรียกร้องความสนใจนั้นถือว่าได้ผล แต่ที่พวกเธอลุ้นมากกว่าก็คือผลจากของที่อยู่ในมือตอนนี้

                “มีอะไร?” เสียงทุ้มถามขึ้นทันทีที่เดินมาถึง สามสาวอยากจะยืนจ้องหน้าหล่อๆ ให้นานๆ เพราะไม่บ่อยนักที่คนดังจะเปิดโอกาสให้ใกล้ชิดได้เช่นนี้ แต่ก็ต้องอดใจไว้ ในเมื่อการมาครั้งนี้ยังมีจุดประสงค์อื่นที่สำคัญกว่า

                “เรามีบางอย่างให้รุ่นพี่ฟังค่ะ” ไม่รอช้าไปกว่านั้น หนึ่งในพวกเธอยกมือข้างที่ถือสมาร์ทโฟนขึ้นมาให้หนุ่มหล่อเห็นว่าเป็นโปรแกรมสำหรับฟังเพลง ก่อนจะจิ้มนิ้วที่หน้าจอเพื่อเล่นคลิปซึ่งเปิดรอไว้

     

                “ใช่! ฉันไม่ได้รักหมอนั่น นึกว่าฉันอยากเป็นแฟนคนดังมากรึไง?! ถ้าไม่ใช่เพราะแฟนคลับอย่างพวกเธอ ชีวิตฉันก็คงไม่ต้องวุ่นวายแบบนี้หรอก!

     

                “จำได้ไหมคะว่าเสียงใคร?”

                คิ้วหนาที่ขมวดขึงนั้นบอกชัดว่าคริสรู้จักเจ้าของเสียงนั้น สามสาวลอบมองตากันแล้วก็ยิ้ม

                “พวกเธอไปเอามาจากไหน?”

                “นี่ของจริงนะคะ พวกเราไม่ได้ตัดต่ออะไรเลย”

                “เราก็แค่แซวเรื่องที่เค้าไปเดทกับรุ่นพี่มาเมื่อวาน แต่อาจจะแรงไปหน่อย อี้ชิงเค้าก็เลยโมโห”

                “แต่ถึงกับพูดแบบนี้เนี่ย ใจร้ายจังนะคะ” แสร้งตีสีหน้าว่าเห็นใจไปอย่างนั้น ทว่าสายตากลับลอบมองสบกันอย่างมีแผน ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเครียดขึง นัยน์ตาคมดุนั้นวาววับและแข็งกร้าว สามสาวก็ยิ่งถูกใจนัก นึกกระหยิ่มในใจว่าไม่เสียแรงที่แอบอัดเสียงจางอี้ชิงเอาไว้ พวกเธอหมายแค่ให้แฟนคนดังยอมสารภาพว่าจงใจถ่ายภาพหวานๆ พวกนั้นมาอวด ไม่คิดเลยว่าจะได้ฟังเรื่องที่น่าสนใจกว่า

     

                กล้าบอกว่าไม่รักทั้งที่เป็นแฟนกัน รุ่นพี่ได้ยินเองแบบนี้จะต้องโกรธมากแน่ๆ

     

                งานนี้นายเสร็จแน่ จางอี้ชิง!

     



     

     

     

    ทู บี คอนตินิว...

     

     

      

    คนรอง: งานเข้าเขียวหวานแล้วจ้าาาา ยาวแล้วจ้าาาา  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×