คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : เขียวหวานน่ารัก ~ 22 ~
[Fic] เขียวหวานน่ารัก~♡
ตอนที่ 22
Fiction by 2nd Admin
.
.
.
คงเพราะเมื่อคืนก่อนนอนดื่มน้ำเยอะไปหน่อย
ตื่นมาเช้านี้อี้ชิงเลยต้องรีบร้อนลุกจากเตียงจนแทบจะกลิ้งตก ออกจากห้องนอนได้ก็วิ่งตรงไปยังห้องน้ำทันที
แต่กลับต้องชะงักอยู่แค่หน้าประตูเมื่อพบว่ามันเปิดไม่ได้ ออกแรงผลักเท่าไหร่ก็ไม่ออก
ลองเงี่ยหูฟังดูถึงได้ยินเสียงน้ำไหลในนั้น
ถึงจะรู้ว่ามีคนใช้อยู่แต่อารามร้อนใจจึงเผลอมือทุบประตูเสียงดัง
“เปิดประตูหน่อยยย” แต่เรียกหนึ่งครั้งยังไม่ขาน
ไม่แง้มบานประตูออกมาด้วยซ้ำ อี้ชิงเลยต้องเรียกซ้ำอีกสองครั้ง สามครั้งกว่าคนในนั้นจะสนใจ
“มีอะไร?”
คริสเปิดประตูออกมาในสภาพที่ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า เส้นผมสีดำเปียกลู่และมีน้ำหยด
เช่นเดียวกับเนื้อกายกำยำซึ่งมีน้ำเกาะพราว
คนตัวเล็กไล่สายตามองไปจนท่อนล่างซึ่งมีผ้าขนหนูพันทับอย่างลวกๆ ขมวดปมที่เอวสอบนั้นหมิ่นเหม่เสียจนน่ากลัวว่ามันจะเลื่อนหลุด
คนอาบน้ำก็ต้องแก้ผ้าอยู่แล้วสิ
แค่นี้ยังไม่ถือว่าโป๊ด้วยซ้ำ แล้วทำไมต้องรู้สึกเขินจนร้อนหน้าขนาดนี้ด้วยนะ
“จะมองอีกนานไหม?” เสียงทุ้มถามกวน
อี้ชิงถึงได้รู้ตัว ละสายตาจากแผงอกกว้างมามองหน้าคนถามแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีธุระต้องรีบทำ
“ฉันปวดฉี่ ขอเข้าก่อนนะ” พุ่งตัวหมายจะแทรกผ่านช่องว่างระหว่างประตูกับร่างสูงใหญ่เข้าไป
แต่ในทันทีคริสก็ขยับตัวมาขวาง
“ฉันใช้อยู่ นายไปใช้ในห้องฉัน”
คนตัวเล็กจิ๊ปากแล้วขมวดคิ้วฉับ ในห้องชุดนี้มีห้องน้ำสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ในห้องนอนใหญ่ซึ่งเป็นของคริส
ถึงไม่ได้ตกลงกันไว้แต่ก็เป็นอันเข้าใจว่าเจ้าของห้องต้องใช้ห้องน้ำส่วนตัว แล้วนี่จะมาแย่งใช้ห้องน้ำข้างนอกกับเขาทำไมกัน
“ไม่เอาอ่ะ นายก็กลับไปใช้ในห้องสิ”
“ใช้อ่างสระผมไม่สะดวก ฉันชอบใช้ฝักบัวมากกว่า”
“งั้นขอฉันเข้าก่อน” พุ่งตัวหาช่องว่างอีกครั้ง
คราวนี้แอบเอามือผลักพุงคนที่ยืนขวางเพื่อแหวกทาง แต่คริสกลับยิ่งเอาตัวบังประตูไว้จนแทบมิด
“ฉันยังอาบไม่เสร็จ”
“แต่ฉันปวดฉี่นี่!”
อี้ชิงซอยเท้าถี่ๆ ให้รู้ว่าอาการหนักจริง แต่รอยยิ้มที่มุมปากหยักนั้นฟ้องชัดว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้งกัน
“ก็บอกให้ไปใช้ในห้องไง”
“ฉันจะเข้าห้องนี้นี่! ถอยไปเลยนะ”
“เดี๋ยว!” คนตัวเล็กออกแรงผลักร่างที่ใหญ่โตกว่าโดยไม่ฟังเสียง
โถมทั้งตัวเข้าใส่จนคริสเสียหลัก เปิดช่องว่างให้แทรกตัวเข้าไปจนได้ แต่ทว่า...
“ระวัง!”
พรืด!
“อ๊ะ!”
น้ำที่หยดจากร่างสูงใหญ่นั้นเจิ่งนองอยู่หน้าประตู
ดังนั้นเมื่อเท้าเล็กก้าวข้ามไปด้วยความรีบร้อนจึงลื่นไถล อี้ชิงเสียหลักจนหน้าหงายและเกือบจะล้มก้นจ้ำเบ้า
หากว่าคริสไม่พลิกตัวมาช้อนแขนรับร่างไว้ได้ทัน
พรึ่บ!
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ม.. ไม่...” สั่นหน้าน้อยๆ แล้วตอบเสียงเบาเพราะยังขวัญเสียไม่หาย
ทั้งก่อนหน้านี้แล้วก็ตอนนี้ อาการใจเต้นแรงนั้นหาใช่เพียงตื่นตกใจที่รอดพ้นเรื่องเจ็บตัวมาได้อย่างหวุดหวิด
แต่เพราะเมื่อตั้งตัวได้ถึงรู้ ว่าร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันแค่ไหน แรงโอบที่รอบเอวนั้นพาให้แผ่นอกเปลือยเปล่าโน้มลงหา
และอี้ชิงที่ยังผวาก็กอดยึดต้นแขนอีกฝ่ายไว้มั่น
สองสายตามองสบกันในระยะที่ห่างเพียงแค่ปลายจมูก
คนตัวเล็กยังคงนิ่งงันกระทั่งละอองน้ำจากปลายเส้นผมนั้นหยดลงแก้มจึงสะดุ้งตัวน้อยๆ
ตาคู่ใสกวาดมองไปเรื่อยแก้เก้อกระทั่งรู้ตัวว่ามืออีกข้างนั้นคว้าเอาบางอย่างมาไว้ได้
อี้ชิงหลุบตามองถึงได้เห็นว่าเป็นผ้าขนหนูสีขาวที่อยู่ในมือ คงจะเผลอคว้ามาตอนที่กำลังจะล้ม
แต่เดี๋ยวก่อน
ผ้านี่มันคุ้นๆ อยู่นะ
มองมือที่ถือแล้วอี้ชิงก็ก้มลงมองช่วงตัวท่อนล่างของคนที่ยังประคองร่างตัวเองไว้
ตาคู่ใสเบิกโพลงเมื่อพบว่าท่อนขาของอีกฝ่ายนั้นเปลือยเปล่า
มองผ้าขนหนูในมืออีกครั้งแล้วก็มองหน้าคนที่เคยพันมันไว้เมื่อครู่
หน้าขาวยิ่งร้อนผ่าวเมื่อนึกภาพว่าขาของเขากำลังสัมผัสกับอะไร อี้ชิงหลับตาแน่นตอนที่ดีดตัวเองออกให้ห่าง
“อี๋ คนลามก!”
“เห้ย! เดี๋ยว!”
พรืดดด!
โชคร้ายที่ท่ายืนไม่ได้มั่นคงนัก
ดังนั้นเมื่อหลับหูหลับตาออกแรงดันอีกฝ่ายก็กลายเป็นว่าอี้ชิงเสียหลักล้มลงไปกองอยู่กับพื้นเสียเอง
ซ้ำยังดึงเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ติดมือมาด้วยอีก
พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงใหญ่ก็ยืนอยู่ตรงหน้าในสภาพเปลือยทั้งร่าง
ยิ่งสิ่งที่อยู่ในระดับสายตาบังคับให้ต้องเห็นยิ่งทำให้อี้ชิงต้องอ้าปากค้าง ตาคู่ใสเบิกกว้างในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ
ยกมือขึ้นกุมหน้าผากตอนที่พึมพัมเสียงรอดไรฟัน
“นายนี่มัน...”
“อ.. ไอ้บ้า! ทำไมไม่เอามือปิดตรงนั้นไว้เล่า!”
“นายก็เอาผ้ามาคืนฉันสิ”
“อย่าเข้ามานะ!” แค่คริสสืบเท้าเข้าหา
อี้ชิงก็โวยลั่น ยกผ้าขนหนูขึ้นบังสายตาตัวเองจากสิ่งที่ไม่ควรมองไว้ “ออกไปจากห้องน้ำเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“นายก็ออกไปสิ”
“นายนั่นแหละ!”
“แต่ฉันโป๊อยู่นะ”
“บอกว่าอย่าเข้ามาไงเล่า!”
“นายก็ออกไปก่อนสิ”
“โรคจิต! หันหลังไปก่อนไม่ได้รึไง!”
“ใครกันแน่ที่โรคจิต คืนผ้าฉันมาสิ”
“อ๊ากกก! อย่าเข้ามานะ
คนบ้า โรคจิต ออกไปเดี๋ยวนี้เลย! บอกว่าอย่าเข้ามาไงเล่า!”
“ให้ตายเถอะ นายนี่มัน...!”
.
.
.
“ฮ่าๆๆๆๆ โอ๊ย ขำอ่ะ
ขำจนปวดท้องไปหมดแล้วเนี่ย ทำไงดี”
“ไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะเสี่ยวลู่” เพื่อนรักส่งค้อนมาให้วงใหญ่
ลู่หานจึงต้องแสร้งทำเป็นกลั้นขำ แต่กระนั้นหน้ามุ่ยๆ ของคนขี้งอนก็ยังน่าเอ็นดูจนอดแซวไม่ได้
“โทษที ก็มันตลกนี่นา” ดูเอาเถอะ ความใสซื่อของจางอี้ชิง
เห็นรุ่นพี่โป๊เข้าหน่อยถึงกับเสียสติ โทรมาแต่เช้าบอกให้เขามารับ
ซ้ำยังให้โกหกรุ่นพี่ว่าต้องออกไปซื้อของเตรียมทำกิจกรรมด้วยกัน
โดนซักจนแทบจะหลุดปากสารภาพกว่าจะยอมปล่อยให้มาด้วยกันได้ มีแฟนทั้งหล่อทั้งขี้หวงขนาดนั้นยังทำตัวไร้เดียงสาอย่างกับสาวๆ
รุ่นพี่ทนมันเขี้ยวอยู่ได้ยังไงก็ไม่รู้ “แล้วเป็นไงบ้างอ่ะ ของรุ่นพี่ใหญ่มะ?”
“ลามก! ถามอะไรของตัวเนี่ย”
“เราหมายถึงกล้ามอกกล้ามท้องของรุ่นพี่เค้า
ก็ปกติใส่เสื้อไม่เคยเห็นนี่ ตัวนั่นแหละคิดอะไร หวายยย” คนตัวขาวกัดปากงอนๆ แล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง
ถึงอย่างนั้นก็ซ่อนแก้มแดงๆ ไม่พ้น เห็นแล้วลู่หานก็นึกอยากจะเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปหยิกเล่นให้หายมันเขี้ยวนัก
“โอ๋ๆๆ ไม่ล้อแล้วก็ได้ ว่าแต่
ใหญ่จริงป่ะ?”
“เสี่ยวลู่!”
“โอเคๆ ล้อเล่นหรอกน่า ตัวจะนอยด์ไปทำไม
รุ่นพี่เค้าก็เป็นผู้ชายเหมือนเรา อะไรๆ ก็ต้องเหมือนกันอยู่แล้ว ถึงจะใหญ่กว่า...
คือเราหมายถึงขนาดตัวน่ะ รุ่นพี่เค้าตัวใหญ่กว่าเราสองคนตั้งเยอะ แต่ถึงอย่างนั้น
ไอ้ที่ตัวเห็นมันก็น่าจะเหมือนกับที่ตัวเห็นทุกวันในกระจกไม่ใช่หรือไง”
“มันจะไปเหมือนกันได้ยังไงเล่า” จะให้พูดออกไปก็กระดากปาก
ก็เพราะตัวใหญ่ขนาดนั้นนั่นแหละ อะไรๆ มันก็เลย... ใหญ่ตามไปหมด เทียบกันได้ที่ไหน
แค่นึกถึงที่ตัวเองเห็นเมื่อเช้าก็ร้อนไปทั้งหน้าจนต้องยกมือขึ้นมาปิด “โอ๊ยยย เลิกพูดเรื่องนี้ซักที
จะเป็นตากุ้งยิงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“โอเคๆ เปลี่ยนเรื่อง
ตกลงว่ากลางวันนี้จะไปกินข้าวด้วยกันใช่ไหม?”
“อื้อ”
“ตามใจ จะหลบหน้าไปทำไมก็ไม่รู้
ยังไงเย็นนี้ตัวก็ต้องกลับไปกับรุ่นพี่อยู่ดี” อี้ชิงลดมือลงเปลี่ยนมาเป็นท้าวคางแล้วถอนหายใจแรงๆ
ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าจนใจ พอเป็นอี้ชิงแล้วก็น่าสงสาร แต่ทำยังไงได้ล่ะ อยู่บ้านเดียวกันกับแฟนก็ต้องทำตัวให้ชินไว้
ลู่หานกลับมองว่าเป็นเรื่องน่าเอ็นดูด้วยซ้ำ ถ้าเพื่อนเขาแก่แดดทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับร่างเปลือยของรุ่นพี่เลยนี่สิแปลก
นั่นรุ่นพี่คริสคนดังเชียวนะ สาวแท้สาวเทียมกว่าครึ่งมหาวิทยาลัยต้องอยากเห็นอย่างที่อี้ชิงได้เห็นแน่ๆ
น่าอิจฉามากกว่าน่าสงสารซะอีก คิดแล้วลู่หานก็อดจะเย้าเล่นไม่ได้
“จะว่าไปก็เสียดายเนอะ ตัวน่าจะถ่ายรูปเก็บไว้ให้จงแดเอาไปลงข่าว
รับรองสาวๆ ต้องขอบคุณในความใจกว้างของตัวแน่”
“อี๋ โรคจิตล่ะไม่ว่า”
“จะเก็บเอาไว้ดูคนเดียวรึไง?”
“ไม่ใช่ซักหน่อย!”
“หวายยยย หวงก็ไม่บอก”
“เสี่ยวลู่!
บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ”
“ฮ่าๆๆๆ”
ถึงจะจริงอย่างที่ลู่หานว่า หลบหน้าไปยังไงก็ไม่พ้น
แต่แค่ยืดเวลาไม่ให้ต้องเจอหน้ากันออกไปอีกซักชั่วโมงก็ยังดี ภาพที่เห็นเมื่อเช้านั้นติดตายิ่งกว่าหน้าหล่อๆ
ของคนดังเสียอีก อี้ชิงทนไปนั่งรอข้างสนามแล้วปล่อยให้ตัวเองจินตการแต่ภาพเดิมซ้ำๆ
ตอนที่คนตัวสูงซ้อมบาสเก็ตบอลไม่ได้หรอก
ถึงได้หาข้ออ้างหลบมาซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุด ทำการบ้านทำรายงานอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ไม่ได้ดูนาฬิกาว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่จนกระทั่งอุปกรณ์สื่อสารในกระเป๋าสั่นเป็นสัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้า
[ซ้อมเสร็จแล้วนะ]
คนตัวขาวอ่านไลน์แล้วเลิกคิ้วน้อยๆ
มองเวลาบนหน้าจอแล้วถึงได้ร้องอ๋อในใจ เย็นป่านนี้แล้ว
เขาวางโทรศัพท์ลงก่อนจะจัดแจงพับสมุดและหนังสือที่กางอยู่บนโต๊ะลงกระเป๋า
แต่เพียงไม่ถึงนาที อีกข้อความหนึ่งก็ตามมา
[จะให้ไปรับไหม?]
คราวนี้อี้ชิงขมวดคิ้วน้อยๆ ละความสนใจจากโทรศัพท์แล้วเร่งมือเก็บข้าวของให้เร็วขึ้น
แต่ไม่ทันไรโทรศัพท์ก็สั่น คราวนี้ยาวกว่าสองครั้งแรกอีก
คนตัวเล็กจิ๊ปากเมื่อเห็นชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอ เก็บสมุดเล่มสุดท้ายลงกระเป๋าแล้วลุกขึ้น
ยกเป้ขึ้นสะพายขณะที่ตวัดปลายนิ้วเพื่อรับสายที่โทรเข้า
“โทรมาทำไมเนี่ย?”
กระซิบเสียงเบาพลางเอามือป้องปากด้วยเกรงว่าจะรบกวนคนอื่นๆ ในห้องสมุด
แต่เสียงที่ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์นั้นไม่เบาเลย
[อ่านไลน์แล้วทำไมไม่ตอบ?]
“ฉันก็กำลังเก็บของอยู่นี่ไง”
หันมองซ้ายขวาแล้วอี้ชิงก็รีบรัวฝีก้าวเพื่อให้พ้นจากห้องสมุดโดยเร็ว
[ตกลงจะให้ไปรับไหม?]
“ไม่ต้องอ่ะ ฉันไปหาที่ลานจอดรถเอง”
[นานไหม?]
“ห๊ะ?”
[ถามว่านานหรือเปล่า
ถ้าอยู่ไกลจะได้ไปรับ]
“ฉันเดินไปเองได้ แค่นี้นะ”
เพราะไม่อยากให้คนดังต้องถ่อมารับให้วุ่นวาย
แต่ถ้าชักช้าเกินไปก็จะโดนบ่นเอาอีก อี้ชิงถึงได้รีบร้อนนัก ออกจากห้องสมุดมาได้ก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดมาจนถึงชั้นล่าง
กำลังจะวิ่งต่อแต่เท้าเล็กก็ต้องชะงักเมื่อมองไปเบื้องหน้า
ท้องฟ้าที่เคยสดใสกลับมืดครึ้ม ไม่ใช่เพราะอาทิตย์อ่อนแสงในยามเย็น แต่เพราะกลุ่มเมฆสีดำที่ลอยต่ำ
แน่นอนว่ามันอุ้มน้ำฝนเอาไว้เสียจนหนัก และทำท่าว่าจะปล่อยให้ตกออกมาเร็วๆ นี้
จางอี้ชิงได้แต่ครางเสียงอย่างขัดใจ นี่มันฤดูอะไรกันแน่เนี่ย อยู่ดีๆ ฝนก็ตั้งเค้าเสียอย่างนั้น
แต่ช่างเถอะ รีบไปให้ทันก่อนฝนจะลงเม็ดดีกว่า
แต่ครั้นก้าวเท้าออกนอกชายคาตึก
ฝนเม็ดแรกก็หยดลงบนผม ก่อนจะพรมลงมาเป็นสายจนคนที่กลัวเปียกต้องถอยกลับเข้ามาตั้งหลัก
เพียงครู่เดียวเม็ดฝนก็หนาขึ้นและตกลงมาแรงขึ้นจนดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ
อี้ชิงได้แต่กระทืบเท้าอย่างขัดใจ ให้ตายเถอะ ไม่ทันจนได้ ต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่นานหรือเปล่าก็ไม่รู้
เหลือบมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือแล้วก็ยิ่งร้อนใจ ไม่ได้ห่วงว่าคนที่รอจะรอนานหรอกนะ
แต่กลัวว่าจะต้องทนฟังเสียงบ่นนี่แหละ
“คิดแล้วว่านายต้องชักช้าจนฝนตก”
ร่างเล็กถึงกับสะดุ้งเมื่อเสียงที่นึกถึงนั้นมาดังอยู่ใกล้หู
หันไปมองก็เห็นร่างสูงใหญ่มายืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
แต่นั่นยังไม่น่าแปลกใจเท่ากับสภาพเปียกปอนไปทั้งตัว นึกว่าจะรออยู่ที่ลานจอดรถเสียอีก
ตาบ้านี่... ขี่มอเตอร์ไซค์ตากฝนเพื่อมาบ่นเขาถึงที่เลยหรือไงกัน
“บอกแล้วไงว่าเดินไปเองได้”
“จะเดินตากฝนไปหรือไง
เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
“ฝนหลงฤดู ตกแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หยุด”
เถียงเสียงเบาแล้วบู้ปาก ไม่รู้หรอกว่ามันจะหยุดตกตอนไหน แต่ปากมันไวเถียงไปก่อน
ที่ใต้ตึกตอนนี้คนไม่เยอะนักก็จริง แต่ก็พอจะได้ยินเสียงสาวๆ
หวีดร้องเบาๆ ก็ดูพ่อคนดังเขาสิ
รีบร้อนแค่ไหนถึงได้ออกมาทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดซ้อม เนื้อตัวก็เปียกปอนไปหมด นี่คงไม่ได้สวมหมวกกันน็อคด้วยกระมัง
ผมเผ้าถึงได้เปียกลู่เหมือนเพิ่งสระผมมาใหม่ๆ จะว่าไปสภาพก็...
เหมือนที่เห็นเมื่อเช้านี้ไม่มีผิด ต่างกันก็แค่... ตอนนี้... มีเสื้อผ้าอยู่ครบ
“อะไร?” คริสเลิกคิ้วถามเมื่อจู่ๆ
คนตัวเล็กก็กระเถิบตัวออกห่างไปสองช่วงก้าว
“เปล่า แค่รู้สึกร้อนๆ” และอี้ชิงก็ตอบพลางโบกมือเรียกลม
รู้ทั้งรู้ว่าไม่เข้าท่าเท่าไหร่ ฝนตกขนาดนี้อากาศจะไปร้อนอบอ้าวได้ยังไงกัน
แต่ตอนนี้หน้ามันร้อนไปหมด ให้ตายเถอะ อุตส่าห์ทำเป็นลืมๆ เรื่องเมื่อเช้าไปแล้ว ภาพลามกนั่นกลับเข้ามาในหัวเพราะตัวเปียกๆ
ของตาบ้านี่แท้ๆ เลย
ทนยืนรออยู่แค่ไม่กี่อึดใจฝนก็เริ่มซา
นาทีถัดมาก็หยุดสนิท ทว่าฟ้ายังดูครึ้มเหมือนพร้อมจะปล่อยฝนออกมาอีกระลอก แต่ก่อนจะต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่อีกรอบ
คริสก็พยักหน้าชักชวนว่าควรจะรีบออกไปก่อน รถมอเตอร์ไซค์จอดรออยู่หน้าตึกแล้ว
คริสส่งผ้าให้อี้ชิงเช็ดเบาะขณะที่ตัวเองเปิดกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบเสื้อแจ็คเก็ตขึ้นมา
“เอานี่ไป”
“อะไร?” อี้ชิงยังงงๆ
ตอนที่คริสส่งมันให้ แจ็คเก็ตหนังสีดำที่เจ้าตัวใส่อยู่ตลอดเวลาขี่รถ
เมื่อครู่ตอนที่ฝ่าฝนมาคงอยู่แต่ในกระเป๋าถึงไม่เปียกเลย
ว่าแต่ทำไมไม่สวมเอาไว้กันฝนล่ะ แล้วมาส่งให้เขาทำไมกัน
“ใส่ไว้
เผื่อมีละอองฝนจะได้ไม่เป็นหวัด” มองหน้าคนให้สลับกับเสื้อตัวใหญ่แล้วคนตัวเล็กก็สั่นหน้าระรัว
“ไม่เอาอ่ะ ฝนไม่ตกแล้ว
ไม่ต้องใส่ก็ได้” และนั่นก็ทำให้คนเป็นแฟนต้องจิ๊ปาก ถอนหายใจก่อนจะตีหน้าดุตอนที่ยัดเยียดมันให้เด็กดื้ออีกครั้ง
“จะใส่เองหรือให้ฉันใส่ให้?”
.
.
.
สี่ทุ่มกว่าแล้ว ฝนยังคงตกลงมาปรอยๆ
ไม่ขาดสาย อี้ชิงนั่งมองหยดน้ำที่เกาะบนกระจกหน้าต่างอยู่เพียงครู่ก็ปิดม่านลง ถอยกลับมานอนแผ่บนเตียงตามเดิม
เพราะทำการบ้านไปหมดแล้วตอนที่อยู่ในห้องสมุด
พอกลับมาถึงห้องชุด อาบน้ำทำตัวให้อุ่นแล้วก็โดดขึ้นเตียงเลย กะว่าจะเข้านอนแต่หัวค่ำ
แต่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่หลายตลบ เปิดเพลงฟังเปิดคลิปดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็แล้ว
จนดึกดื่นป่านนี้ก็ยังไม่รู้สึกง่วงเลย ซ้ำยังรู้สึกหิวทั้งๆ
ที่มื้อเย็นก็กินไปแล้ว ข่มตาหลับเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้
เพราะน้ำย่อยในกระเพาะมันเรียกร้องความสนใจจนน่ารำคาญ สุดท้ายอี้ชิงก็ยอมแพ้ ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินเนือยๆ
ออกจากห้องมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอนใหญ่ ละล้าละลังอยู่เป็นครู่กว่าจะตัดสินใจเคาะประตูได้
“นอนหรือยัง?”
เรียกเสียงเบาเพราะยังรู้สึกเกรงใจ
แต่คงเพราะเบาเกินไปจนคนข้างในไม่ได้ยิน ถึงไม่ลุกมาประเปิดประตูให้
อี้ชิงลองเคาะแล้วเรียกดูอีกครั้ง คราวนี้เสียงดังกว่าเดิม
เรียกแล้วรออยู่เกินอึดใจจนเกือบจะต้องตะโกนเรียกอยู่แล้ว สุดท้ายประตูก็เปิดออก
เจ้าของห้องเยี่ยมหน้าออกมาในสภาพสะลืมสะลือ ใบหน้าค่อนข้างซีด
ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ต่างจากที่อี้ชิงเคยเห็นในทุกวัน ชวนให้คิดไม่ได้ว่าการมาเคาะประตูในคราวนี้คงรบกวนคนที่กำลังหลับ
“โทษที นอนแล้วเหรอ?”
คริสสั่นหน้าแล้วถึงกับต้องเคาะสันมือกับข้างขมับ
ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“มึนๆ หัวนิดหน่อย เลยว่าจะพักสายตา
มีอะไรหรือเปล่า?”
“ฉันหิวน่ะ
ว่าจะลงไปหาอะไรกินข้างล่าง เลยจะมาขอคีย์การ์ด” คนตัวเล็กยิ้มแหะ กะว่าคงโดนบ่นเรื่องกินจุซ้ำยังหิวบ่อย
แต่ก็ช่างเถอะ ก็มันหิวจริงๆ นี่นา แต่ผิดคาดที่คริสไม่ว่าอะไรนอกจากถามเสียงอ่อน
“ข้างนอกฝนยังตกอยู่หรือเปล่า?”
“ยังปรอยๆ แต่ไม่เป็นไรหรอก
มินิมาร์ทอยู่ใกล้ๆ นี่เอง วิ่งไปแป๊บเดียว” บอกแล้วก็แบมือขอ แต่คริสมองแล้วสั่นหน้า
“อย่าลงไปเลย ทำอะไรง่ายๆ กินที่นี่เถอะ”
“ทำอะไรล่ะ? เอ้อ นายมีราเมงไหม?
ฉันต้มราเมงกินก็ได้”
“ดึกป่านนี้แล้ว กินราเมงเดี๋ยวก็ท้องอืดหรอก”
“ก็นายบอกง่ายๆ นี่ก็ง่ายสุดแล้วนะ”
คนหิวเริ่มจะชักสีหน้า ขอลงไปข้างล่างแค่แป๊บเดียวก็ไม่ได้ ต้มราเมงก็ไม่ได้
แล้วจะให้กินอะไรล่ะ
“มานี่มา”
สุดท้ายคริสก็คว้ามือเล็กพาเดินเข้าส่วนที่ใช้ทำครัว
เปิดตู้ชั้นลอยแล้วมองของในนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบซองพลาสติกทรงยาวออกมาหนึ่งซอง
แล้วจึงเลยไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบกระปุกซอส มะเขือเทศและหอมหัวใหญ่ วางของทั้งหมดลงบนเคาท์เตอร์ก่อนจะหันมาถามคนที่เอาแต่ยืนมอง
“ทำสปาเก็ตตี้เป็นไหม?”
คนตัวเล็กสั่นหน้าแล้วกระพริบตาใส คริสจึงเพยิดหน้าไปทางหม้อแก้วซึ่งวางอยู่ข้างๆ
เตาไฟฟ้า “ไปต้มน้ำไป”
อี้ชิงพยักหน้าแล้วทำตามอย่างว่าง่าย
ขณะที่คริสล้างมะเขือเทศแล้วนำมาหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ เช่นเดียวกันกับหอมหัวใหญ่
หลังจากนั้นจึงติดไฟแล้วตั้งกะทะลงบนเตาข้างๆ หม้อต้มน้ำ ใครจะคิดว่าคุณชายที่เติบโตในเมืองนอกเมืองนา
มีคนรับใช้มากมายแบบนั้นจะเข้าครัวเองซ้ำยังหั่นผักเป็น จางอี้ชิงถึงได้มองอย่างทึ่งๆ
“นายดูคล่องจัง”
“ตอนอยู่หอพักที่แคนาดา
ฉันต้องทำอาหารกินเอง นายเองก็เด็กหอ ทำอะไรไม่เป็นเลยหรือไง?”
“ก็หอพักที่ฉันอยู่เค้าห้ามทำอาหารนี่นา
หรือต่อให้ไม่ห้ามก็ขี้เกียจอยู่ดี แค่เรียนกับทำงานพิเศษก็เหนื่อยจะแย่ สั่งมากินหรือไม่ก็เดินไปกินที่ตลาดง่ายกว่า”
“อยากทำไหม? ฉันจะสอนให้”
อี้ชิงสั่นหัวดิก
“ไม่เอาอ่ะ ฉันชอบกินมากกว่า”
“ก็ว่างั้น”
“โอ๊ะ น้ำเดือดแล้ว”
“ใส่เส้นลงไป แค่สามนาทีนะแล้วรีบเอาขึ้น
ไม่อย่างนั้นมันจะเละ”
“โอเค”
“ระวังน้ำร้อนจะลวกมือ”
“รู้แล้วน่า”
อี้ชิงจับเวลาลวกเส้นสปาเก็ตตี้ตามที่พ่อครัวใหญ่สั่งเป๊ะๆ จากนั้นจึงยกขึ้นมาใส่จานพักไว้
ระหว่างนั้นคริสก็ผัดซอสปรุงสำเร็จรูปเสร็จพอดี
เขาหันมาจัดเส้นที่อี้ชิงพักไว้ในจานให้สวยงามก่อนจะราดซอสลงไป แต่งด้วยผักให้ดูน่ากินอีกนิดแล้วจึงเลื่อนจานนั้นไปตรงหน้าคนที่ทำตาวาวอย่างตื่นเต้น
“เสร็จแล้ว”
ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำ แต่หน้าตาดูดีเหมือนสั่งจากร้านไม่มีผิด
“โหหหห น่ากินจัง”
“อร่อยด้วย ชิมสิ” ไม่ต้องให้ชวนซ้ำสอง
อี้ชิงหันไปหยิบช้อนส้อมแล้วม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากไปหนึ่งคำ เคี้ยวช้าๆ
ก่อนจะส่งเสียงอื้ออ้าทำตาโต
“อื้ม เหมือนกินในร้านเลยอ่ะ
ซอสนี่อร่อยชะมัด”
“อร่อยเพราะฉันปรุงต่างหาก”
คนชิมย่นจมูกน้อยๆ
แล้วยิ้มแหะเมื่อคริสหยิบกระปุกซอสสำเร็จรูปเก็บเข้าตู้เย็นตามเดิม แล้วเดินนำไปที่โต๊ะอาหาร
ปล่อยให้อี้ชิงถือจานสปาเก็ตตี้เดินตามไปนั่งลงตรงข้ามกัน
“แล้วนายไม่กินเหรอ?”
“ฉันไม่ได้หิวตอนดึกเหมือนนายนี่”
“ไม่ใช่ว่าแอบใส่ยาถ่ายไว้ให้ฉันกินหรอกนะ”
คนตัวสูงยิ้มน้อยๆ หยิบกระดาษทิชชู่จากกล่องมาแผ่นนึงแล้วเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาเช็ดคราบซอสเหนือมุมปากอิ่มให้อย่างเบามือ
อ่อนโยน... เช่นเดียวกับรอยยิ้มและน้ำเสียง
“ฉันไม่แกล้งนายแบบนั้นหรอกน่า”
เพราะท้องหิวก็หนึ่ง
แต่เพราะอาหารอร่อยมากก็ด้วย เพียงไม่ถึงสิบห้านาที
อี้ชิงก็ตะแคงจานเพื่อกวาดสปาเก็ตตี้คำสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยวจนหมดแล้วยังแลบลิ้นเลียริมฝีปากเก็บคราบซอสให้เรียบ
ก่อนจะยิ้มอย่างสบายใจ
“ฮ้า อิ่มแล้วล่ะ”
คนที่ทำให้กินก็พลอยยิ้มตามไปด้วย
แต่เพียงครู่เดียว รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อก็ค่อยจางลง คริสสะบัดหัวแรงๆ
สองสามครั้งแล้วใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ ที่ข้างขมับ อี้ชิงเพิ่งสังเกตุตอนนี้เองว่าอาการหน้าซีดของคริสยังไม่หาย
ซ้ำมีเม็ดเหงื่อผุดซึมตามไรผมทั้งที่แอร์ในห้องก็ออกจะเย็น
ฉุกให้คิดว่านี่ไม่ใช่อาการของคนที่งัวเงียเพราะง่วงนอนแน่ๆ
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“รู้สึกมึนๆ น่ะ”
อี้ชิงยืดตัวข้ามโต๊ะแล้วเอื้อมมือไปแตะหน้าผากอีกฝ่ายด้วยความเคยชิน
เพราะถ้าเขาหรือลู่หานรู้สึกไม่สบาย อีกฝ่ายก็จะทำแบบเดียวกัน
และนั่นก็ทำให้รู้ว่าอุณหภูมิในตัวคริสนั้นสูงขึ้นอย่างที่คิด
“ตัวร้อนจี๋เลย เป็นไข้แน่ๆ
นายมียาแก้ไข้ไหม?”
“มีกล่องยาอยู่ในตู้ด้านบนนั่น”
มองตามนิ้วยาวที่ชี้ไปแล้วอี้ชิงก็กุลีกุจอลุกขึ้น
“ฉันไปหยิบให้”
กลับเข้าไปในส่วนครัวแล้วยืดมือขึ้นหมายจะเปิดประตูตู้ชั้นบนสุด
สูงขนาดนี้คริสคงเปิดได้สบาย แต่ไม่ใช่กับคนตัวเล็กๆ อย่างอี้ชิงเลย
เขย่งเท้าก็แล้ว ปีนพื้นต่างระดับตรงเคาท์เตอร์ก็แล้ว ยังทำได้แค่เกี่ยวปลายนิ้วกับที่เปิด
ไม่มีแรงดึงมันออกมา หันซ้ายหันขวาไม่เจอที่ตรงไหนให้ปีนป่ายได้อีกถึงได้เดินกลับมาลากเก้าอี้ที่โต๊ะอาหารไปตัวหนึ่ง
“ระวังนะ”
เสียงคริสเตือนซ้ำเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้อย่างอันตราย
แต่ดูเหมือนอี้ชิงจะมัวแต่สนใจที่จะเปิดตู้ให้ได้มากกว่า ดังนั้นพอทำสำเร็จและเห็นกล่องยาปฐมพยาบาลอยู่ในนั้น
คนตัวเล็กก็หยิบมันออกมาด้วยความดีใจ
“ได้แล้วนี่ไง อ๊ะ” หันหลังกลับเพราะลืมตัว
ผลก็คือเท้าเล็กขยับพลาดจนตกขอบ พาทั้งร่างเซล้มจนหล่นลงจากที่สูง
“ระวัง!”
หวือออ!
พลั่ก
ตึง!
อี้ชิงหลับตาแน่นตอนที่ปล่อยให้ทั้งร่างร่วงลงจากเก้าอี้อย่างช่วยไม่ได้
ในใจสั่นระรัวเมื่อนึกถึงความเจ็บตอนที่ตัวหล่นกระแทกพื้น แต่สุดท้ายเมื่อเสียงตึงตังสงบลง
ร่างเล็กกลับแทบไม่รู้สึกอะไร ผ่านไปหลายวินาทีอี้ชิงถึงได้กล้าลืมตาขึ้น
สิ่งแรกที่มองหาคือกล่องยาซึ่งกระเด็นไปไม่ไกล คนตัวเล็กพรูลมหายใจอย่างโล่งอก
ก่อนจะกลับมานึกสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงไม่รู้สึกเจ็บ หรือว่าเจ็บหนักจนไร้ความรู้สึกไปแล้วก็ไม่รู้
กระไอร้อนผะผ่าวที่เป่ารดผิวคางนั้นทำให้ต้องก้มลงมอง
ก่อนจะพบว่าเขาไม่ได้นอนอยู่บนพื้นอย่างที่คิด เป็นร่างกายใหญ่โตต่างหากที่รองรับอยู่เบื้องล่าง
“นาย...”
“บอกแล้วไงให้ระวัง” น้ำเสียงเหนื่อยอ่อนนั้นนำเอาลมหายใจอุ่นร้อนมารินรดผิวหน้า
ตาคู่สวยค่อยเบิกกว้างเมื่อเข้าใจในสถานการณ์ ก้มลงมองร่างตัวเองที่แนบชิดไปกับผิวกายร้อนรุ่มแล้วก็ขยับเนื้อตัวอย่างตื่นๆ
ทว่าคริสกลับรั้งร่างเล็กไว้กับตัวเมื่ออี้ชิงเริ่มขยับ
แม้จะดิ้นขืนแต่สุดท้ายก็นิ่งงัน สบตากันเพียงชั่วครู่ คนที่เขินอายก่อนก็เป็นฝ่ายเลี่ยงหลบ
คริสเลื่อนมือขึ้นแตะหน้าผากเนียนก่อนจะลามไล้ปรางแก้มนิ่มแผ่วเบา
ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มอย่างพึงใจเมื่อสัมผัสได้ถึงไอร้อนผะผ่าวบนผิวเนื้อแดงระเรื่อไม่ต่างกัน
“สงสัย นายคงติดไข้ฉันแล้วล่ะ”
ทู บี คอนตินิว...
คนรอง: เขียวหวานต้องฝันร้ายไปอีกหลายคืนแน่ๆ ><
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^
ความคิดเห็น