ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #24 : เขียวหวานน่ารัก ~ 24 ~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3K
      46
      11 ธ.ค. 60


    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 24

    Fiction by 2nd Admin 

    .

    .

    .  

     

                เขียวหวาน : กินข้าวกลางวันหรือยัง?

                คริสคนดัง : กินแล้ว อุ่นโจ๊กที่นายต้มไว้ให้

                เขียวหวาน : แล้วกินยา?

                คริสคนดัง : เรียบร้อย *สติ๊กเกอร์ทำหน้าผะอืดผะอม*

                เขียวหวาน : *สติ๊กเกอร์หัวเราะสะใจ*

                คริสคนดัง : *สติ๊กเกอร์ทำหน้างอน*

                เขียวหวาน : เย็นนี้อยากกินอะไร จะหิ้วกลับไปให้

                คริสคนดัง : ไม่ต้องซื้อ รีบกลับมาก็พอ

                เขียวหวาน : *สติ๊กเกอร์ทำหน้าสงสัย*

                คริสคนดัง : ฉันจะโทรสั่งอาหารจากข้างนอก นายรีบกลับมากินด้วยกัน

                เขียวหวาน : เย็นๆ โน่นแหละ วันนี้มีเรียนเต็มวัน

                คริสคนดัง : ฉันจะรอ

                คนตัวขาวเม้มปากกลั้นยิ้มจนแก้มบุ๋ม ข้อความสุดท้ายที่เพิ่งอ่านผ่านสายตานั้นช่างดูเอาแต่ใจ แต่ทำไมอี้ชิงถึงหุบยิ้มไม่ได้ก็ไม่รู้ แค่นึกถึงสีหน้าอ้อนๆ ของคนหล่อก็อารมณ์ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น

                “แหมๆๆ คุยกับแฟนอยู่ล่ะสิ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะ” กระทั่งเพื่อนรักยังเย้าเอาได้ และเพราะไม่อยากถูกแซวให้มากไป อี้ชิงจึงทำไม่รู้ไม่ชี้กลบเกลื่อน

                “เปล่าซะหน่อย”

                “แก้มจะแตกอยู่แล้วยังจะเถียงอีก”

                “เราก็เส้นตื้นแบบนี้อยู่แล้วนี่”

                “เหรอออ? รุ่นพี่เค้าคงคุยสนุกมากเลยสินะ ตัวถึงได้บ้าจี้ยิ้มไม่หุบอยู่แบบนี้น่ะ”

                “บอกว่าเปล่าก็เปล่าไง เลิกแซวเราซักที”

                “ก็ด้าย ก็ด้ายย” ลู่หานแกล้งลากเสียงยานคางแล้วก็ต้องยกสองมือขึ้นเป็นเชิงว่ายอมแพ้เมื่อถูกเพื่อนตัวเล็กตวัดสายตาใส่ ตอนนี้ทั้งคู่นั่งเล่นกันอยู่ริมสนามฟุตบอลหลังอาหารมื้อกลางวัน จะว่าไป บอกว่านั่งเล่นก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เรียกว่านั่งฆ่าเวลาจะดีกว่า ตั้งแต่พ่วงเอาตำแหน่งแฟนคนดังไว้ด้วยแล้ว อี้ชิงก็ไม่ค่อยชอบเดินเพ่นพ่านให้เป็นเป้าสายตากับผู้คนในมหาวิทยาลัยซักเท่าไหร่ ลู่หานเองก็เลยต้องพลอยใช้ชีวิตสโลวไลฟ์ไปกับเพื่อนด้วย นี่ก็นั่งรอเวลาให้ถึงชั่วโมงบ่ายแล้วค่อยไปเรียนกัน

                “ว่าแต่ จงแดรู้หรือยังว่ารุ่นพี่ป่วย” นอกจากทั้งสองคนแล้วก็น่าจะมีเพื่อนในคณะรุ่นพี่ที่รู้ ถ้าเรื่องที่ว่าคนดังไม่สบายจนต้องขาดเรียนแพร่ออกไปโดยที่เจ้ากรมข่าวกรองไม่รู้ก่อน มีหวังคนใกล้ตัวอย่างอี้ชิงคงโดนบ่นยาวเป็นชั่วโมงแน่

                “ไม่รู้สิ ไม่ได้คุยกันเลย”

                “หมอนั่นก็ไม่เห็นโทรหาเราเหมือนกันแฮะ”

                “ไม่มีคำถามมาสองสามวันแล้วด้วย”

                “เงียบไปแบบนี้มันแปลกๆ โทรหาหน่อยดีกว่า” อี้ชิงพยักหน้าเห็นด้วยตามนั้น ลู่หานจึงหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเพื่อโทรออก รอสายอยู่ไม่นาน ประธานชมรมคนเก่งก็ตอบรับ เจ้าของเครื่องไม่ลืมกดปุ่มเปิดเสียงออกลำโพงให้เพื่อนรักฟังด้วยกัน

                “อันยองท่านประธาน ช่วงนี้ไม่มีงานให้ทำเลยเหรอ?”

                [พวกนายก็ไม่ยอมแวะมาที่ชมรมเลยนะ]

                “ก็ยุ่งๆ กันนี่นา นี่รุ่นพี่ก็ไม่สบาย อี้ชิงเค้าต้องคอยดูแล”

                [รุ่นพี่ไม่สบายเหรอ? เป็นอะไรมากหรือเปล่า?]

                “แค่หวัดธรรมดาน่ะ ดีขึ้นมากแล้ว”

                “ได้คนดูแลดี” แซวสำทับแล้วหัวเราะเมื่ออี้ชิงถลึงตาใส่

                [ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วล่ะ]

                “เออนี่ นายเลิกทำสกู๊ปคำถามไปแล้วเหรอ?”

                [ยังหรอก ฉันเช็คกระทู้อยู่ทุกวันแต่ไม่ค่อยมีคำถามน่าสนใจเท่าไหร่ นี่พวกนายไม่เข้าชมรมก็หัดเข้าไปเช็คคอมเม้นท์ในเวบเพจกันบ้างนะ จะได้รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น”

                “ก็บอกแล้วไงว่ายุ่งๆ กัน ว่าแต่ แล้วมันมีเรื่องอะไรกันล่ะ?”

                [ก็แฟนคลับรุ่นพี่ตอนนี้น่ะสิ ติดแฮชแท็กทีมอี้ชิงกับทีมรุ่นพี่แล้วก็เข้ามาคอมเม้นท์เถียงกันในกระทู้ โพสต์อะไรไปก็เป็นประเด็นให้ลากไปตีกันซะหมด ฉันเลยต้องพักสกู๊ปไว้ก่อน]

                “สงครามย่อยๆ เลยสินะ”

                [ประมาณนั้น แล้วทางนั้นเป็นยังไงบ้าง มีใครมาวุ่นวายกับอี้ชิงบ้างหรือเปล่า?] ลู่หานเหลือบตามองเพื่อนสนิทที่โคลงหัวน้อยๆ แต่ไม่ได้เอ่ยคำใด แล้วจึงเป็นฝ่ายตอบเสียเอง

                “หลังจากเรื่องคลิปเสียงก็ไม่เห็นมีใครกล้ามาหาเรื่องอี้ชิงอีกเลยนะ”

                [งั้นก็ดี ปล่อยให้เรื่องมันเงียบไปแบบนี้จนกว่าจะถึงวันแข่งกีฬากระชับมิตรก็แล้วกัน เอ้อ พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ นี่ลู่หาน วันนี้นายช่วยไปเก็บภาพซ้อมแล้วก็บทสัมภาษณ์กัปตันทีมบาสเก็ตบอลให้หน่อยสิ ฉันจะลงข่าวเรียกน้ำย่อยก่อนวันแข่งจริงซักหน่อย]

                “โหยย ไม่ได้หรอก วันนี้ฉันมีซ้อมบอล ขืนโดดล่ะก็มีหวังโดนไล่ออกจากทีมแน่”

                “แต่เราว่างนะ” อี้ชิงเสนอตัวอย่างกะตือรือร้น วันนี้ไม่ต้องนั่งรอกลับบ้านพร้อมใคร ขอเถลไถลซักวันนึงแล้วกัน ไม่ได้เล่นกับกล้องนานแล้วด้วย “เดี๋ยวเราไปถ่ายรูปแล้วก็อัดเสียงสัมภาษณ์กัปตันมาให้”

                “แหม เกือบลืมไปแล้วว่ามีเจ้าถิ่นอยู่ตรงนี้ด้วยทั้งคน” แซวไม่เลิกเลยโดนเอาศอกกระทุ้งพุงเป็นการเอาคืนเข้าให้ “เดี๋ยวก็ไม่ช่วยซะหรอก”

                “โอ๋ๆๆ ชิงชิงใจดี๊ดี ช่วยลูกกวางตาดำๆ หน่อยเถอะนะ”

                [ยังไงก็ได้ ให้คืนนี้ฉันมีข่าวไปลงในเวบเพจของชมรมก็แล้วกัน]

                จงแดวางสายไปแล้วลู่หานจึงเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋า ก่อนจะตั้งศอกท้าวคางตั้งอกตั้งใจมองหน้าเพื่อนสนิทที่กำลังวาดสายตามองสนามฟุตบอลที่ว่างเปล่าไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งอี้ชิงรู้สึกตัวหันมาเห็นเข้า คนตัวขาวย่นคอหนีแล้วหรี่ตาด้วยนึกระแวง

                “ยิ้มอะไรเสี่ยวลู่”

                “รู้ตัวไหมเนี่ยว่าแปลกไป”

                “แปลก? เราเนี่ยนะ?”

                “ก็ใช่น่ะสิ ลองจงแดถามมาแบบนี้ ถ้าเป็นตัวก่อนหน้านี้คงจะรีบบอกว่ามีปัญหาแล้วก็หาเรื่องยกเลิกข้อตกลงแฟนกำมะลอไปแล้วแน่ๆ”

                “จริงด้วยสิ งั้นเราโทรหาจงแดใหม่”

                “ไม่ทันละ ไม่เนียน” มือป้อมตะปบอีกมือที่กำลังทำท่าว่าจะล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา กลายเป็นลู่หานที่หรี่ตาจับผิดอาการอึกอักของเพื่อนเสียเอง

                “อะไรเล่า เราก็แค่... แค่ลืม”

                “ลืม? ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตัวงอแงสารพัดเพราะไม่อยากอยู่ใกล้รุ่นพี่ ทำไม? ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว?”

                “เปล่าซักหน่อย”

                “เปล่าเรื่องไหน? เปล่าเปลี่ยนใจหรือเปล่าไม่อยากอยู่ใกล้รุ่นพี่?”

                “ไม่รู้ ไม่รู้ ตัวก็เลิกถามเราซักที” นั่นไงล่ะ พอถูกไล่ต้อนมากๆ เข้าก็ทำงอนกลบเกลื่อน เจอไม้นี้เข้าไปลู่หานก็จำต้องถอย

                “ก็ด้าย ก็ด้ายย”

                รอดตัวจากการคาดคั้นของลู่หานมาได้ คนตัวขาวก็ลอบพรูลมหายใจไม่ให้เพื่อนเห็น หารู้ไม่ว่าท่าทีมีพิรุธนั้นได้ถูกดวงตาวิบวับของกวางเจ้าเล่ห์จับผิดไว้หมดแล้ว ดูท่าว่าคู่รักหลอกๆ ที่เป็นกระแสที่สุดในมหาวิทยาลัย กำลังจะกลายเป็นคู่รักกันจริงๆ ในเร็ววัน เจ้าตัวอาจจะยังไม่รู้ แต่ลู่หานยิ้มอย่างมั่นใจ จางอี้ชิงไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก ก็แค่... อาจจะเพิ่งรู้ใจตัวเอง ก็เท่านั้น

     

    .

    .

    .

     

                “กลับมาแล้ว”

                “มาช้าจัง” เสียงทุ้มพ้อทันทีที่เปิดประตูเปิดออก เจ้าของห้องยืนกอดอกรอท่าเหมือนรู้เวลา ทำไมจะไม่รู้ ก็เล่นไลน์มาถามทุกห้านาทีสิบนาที อยู่ไหนแล้ว ถึงหรือยัง ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่ยืนรอลิฟท์อยู่ข้างล่างนี่เอง นี่ก็รีบเสียจนไม่มีเวลาเก็บกล้องลงกระเป๋าแล้วนะ แต่ท่าทางจะรอนานจนหิว จางอี้ชิงยิ้มแหะ

                “โทษที พอดีมีธุระน่ะ แล้วนายเป็นไงมั่ง”

                “ไม่รู้สิ ดูให้หน่อย” บอกแล้วโน้มใบหน้าลงมาหาเสียจนใกล้ ที่ว่าให้ดูนี่คือยังไง ดูหน้าหล่อๆ เนี่ยเหรอ? อี้ชิงยังงงๆ กระทั่งดวงตาคู่คมเร่งเอา คริสเอียงคอน้อยๆ แล้วเลิกคิ้ว คนตัวเล็กถึงได้เข้าใจ ค่อยแตะหลังมือลงบนหน้าผากอีกฝ่ายเพื่อวัดไข้

                “ตัวไม่ร้อนแล้วนี่ ยังมึนหัวอยู่หรือเปล่า?” คริสส่ายหน้า เท่านั้นอี้ชิงก็ยิ้มออก สีหน้าคนป่วยดูดีขึ้นกว่าเมื่อตอนเช้ามาก คงกินยานอนพักอย่างที่บอกไว้จริงๆ เห็นแบบนี้แล้วค่อยโล่งใจหน่อย หายไวทันแข่งแน่ๆ

                “อาหารมารอแล้ว” บอกสั้นๆ แล้วคริสก็เดินนำไปที่โต๊ะอาหารหน้าส่วนครัว อาหารชุดหน้าตาน่ากินถูกจัดใส่จานวางละลานตาอยู่เกือบเต็มโต๊ะ คนที่กำลังหิวเห็นแล้วก็อดตาโตไม่ได้

                “โหหห น่ากินจัง”

                “กินเลยสิ” อี้ชิงพยักหน้า ปลดสายสะพายกล้องออกจากคอแล้ววางมันไว้บนโต๊ะก่อนจะนั่งลง พร้อมๆ กับที่เจ้ามือเองก็นั่งลงที่ฝั่งตรงกันข้าม อาหารมากมายไม่รู้จะชิมจานไหนก่อน คริสก็ช่วยตักใส่จานให้ทีละอย่าง ดูจากหน้าตาแล้วคงไม่ใช่อาหารจากโรงแรมเหมือนคราวก่อน น่าจะร้านอาหารแพงๆ แถวนี้แหละ แต่รสชาติไม่แพ้กันเลย

                “อื้ม อร่อยเหาะ” อี้ชิงยิ้มกว้าง และนั่นก็ทำให้คนที่นั่งตรงข้ามยิ้มตามเช่นกัน “ดีนะที่เก็บท้องไว้ ไม่ไปกินกับคนในทีม”

                “ทีม? ทีมไหน?”

                “ทีมบาสเก็ตบอลของนายไง พี่กัปตันชวนไปกินเนื้อย่างหลังซ้อมเสร็จ ชวนฉันด้วย” เรียวคิ้วเข้มกระตุกน้อยๆ ก่อนจะขมวดเข้าหากัน คริสวางช้อนส้อมลงแล้วมองคนที่เพิ่งจะส่งเบค่อนคำโตเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างจริงจัง

                “ไปทำอะไรที่นั่น?”

                “ไปทำข่าวแทนเสี่ยวลู่ ถ่ายรูปแล้วก็สัมภาษณ์พี่กัปตัน”

                “ใครให้ไป?”

                “ก็เสี่ยวลู่ไม่ว่าง”

                “แล้วใครใช้ให้นายไป” เพิ่งรู้สึกเอาตอนนี้ว่าเสียงทุ้มนั้นกระด้างนัก พอเหลือบตามองเห็นใบหน้าหล่อเรียบตึง อี้ชิงก็แทบจะกลืนเบค่อนไม่ลงคอ ค่อยๆ วางช้อนส้อมอย่างเงียบเชียบแล้วช้อนตาขึ้นมองตอบคนตรงหน้า ย้ำคำตอบด้วยความระมัดระวัง

                “บอกแล้วไงว่าไปแทนเสี่ยวลู่” สีหน้าคนมองยังคงเรียบนิ่ง และนั่นทำให้อี้ชิงหายใจไม่คล่องเอาเสียเลย ทั้งที่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ทำไมแค่น้ำเสียงดุๆ ก็ทำเอาใจคอไม่ดีได้ก็ไม่รู้ นานทีเดียวกว่าที่คริสจะยอมละสายตาแล้วผินใบหน้าไปทางกล้องตัวโปรดซึ่งอี้ชิงวางไว้ใกล้ๆ

                “ขอดูกล้องหน่อย”

                “อะไรนะ?”

                “รูปในกล้อง ขอดูหน่อยว่าถ่ายอะไรมาบ้าง”

                “ก็แค่รูปพี่กัปตันกับรูปซ้อมสิบกว่ารูป ไม่มีอะไรมากหรอก”

                “แต่ฉันอยากดู” พูดจาเอาแต่ใจด้วยน้ำเสียงทุ้มห้วน ไหนจะใบหน้าที่ยังนิ่งตึงไม่มีรอยยิ้ม นั่นทำให้คนตัวเล็กนึกต่อต้านขึ้นมา ชักสีหน้าดึงน้ำเสียงกลับไปบ้าง

                “ก็บอกว่าไม่มีอะไรไง”

                “ถ้าไม่มีอะไรก็ต้องดูได้สิ”

                “เอ๊ะนายนี่ยังไง” ยิ่งเถียงยิ่งไปกันใหญ่ ต่างฝ่ายต่างเอาชนะจนสุดท้าย ก่อนที่อี้ชิงจะทันได้ไหวตัว คริสก็คว้ากล้องแล้วลุกขึ้น “นั่นกล้องฉันนะ”

                “บอกแล้วไงว่าขอดู”

                “แต่ฉันไม่ให้ดูนี่ เอาคืนมานะ” มือเล็กพุ่งไปหมายจะแย่งคืน ก็คริสก็ไวกว่าจึงหลบได้ทัน สองครั้งสามครั้งจนอี้ชิงเริ่มโมโห “บอกให้เอาคืนมาไงเล่า”

                “ทำไมต้องหวงด้วย ฉันแค่ขอดูเอง”

                “ก็แล้วทำไมต้องอยากดูด้วยล่ะ”

                “ก็อยากรู้ว่านายถ่ายรูปอะไรมาบ้าง”

                “บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร”

                “ยังไงฉันก็จะดู”

                “ฉันไม่ให้ดู เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ” คราวนี้คนดังชูมือขึ้นจนสุด บอกให้รู้ว่าไม่ยอมกัน คนตัวเล็กกว่ายิ่งหงุดหงิดจนร้องฮึ่ยฮ่าย ถึงกับลืมตัวปีนขึ้นไปเหยียบบนเท้าอีกฝ่ายแล้วยืดแขนหมายให้สูงพอกัน แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายจึงต้องถอยออกมาตั้งหลัก “บอกให้เอาคืนมาไง!

                โมโหจนตัวโยนทว่าคริสยังคงนิ่ง และนั่นทำให้อี้ชิงตัดสินใจออกแรงอีกครั้ง

     

                ฟึ่บ!

     

                กระโดดขึ้นจนสุดตัวแล้วเอื้อมสุดแขน หมายดึงมืออีกฝ่ายให้ลงมา แต่เพราะความสูงที่ต่างกันมาก พอคริสเบี่ยงตัวเพียงนิดก็กลายเป็นว่าอี้ชิงเสียหลัก ร่างเล็กเซถลาทำท่าจะล้ม มือที่ยกขึ้นคว้าก็กลายเป็นปัด

     

                “... อ๊ะ”

     

                “ระวัง!

     

                หมับ!

     

                ตึง!

     

                ความไวของคริสไม่ใช่แค่หลบหลีก แต่ยังทันที่จะคว้าเอวบางก่อนที่ร่างเล็กจะล้มหน้าคว่ำไปเสียก่อน แต่นั่นหมายถึงว่ามือทั้งสองข้างของเขาว่างเปล่า ช่วงเวลาที่หวุดหวิดยังไม่ทำให้อี้ชิงละสายตาจากของรักของหวงได้ ดังนั้นแทนที่โล่งอกเพราะไม่เจ็บตัว หัวใจดวงเล็กกลับแทบแหลกสลายกับภาพที่เห็น

                “กล้องฉัน!

                คริสหันไปมองพร้อมๆ กับที่อี้ชิงขืนตัวออกจากอ้อมแขน คนตัวเล็กถลาลงไปทรุดนั่งกับพื้นข้างๆ กันกับที่เจ้ากล้องสีดำนอนแอ้งแม้งอยู่ สองมือเล็กค่อยๆ ประคองมันขึ้นมาจากพื้นอย่างทะนุถนอม ทว่ากลับมีชิ้นส่วนเล็กๆ ร่วงลงมา ทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวเพียงเท่านั้น มีเพียงเสียงถอนหายใจหนักยามที่คริสยกมือขึ้นบีบขมับ

                “นายไม่น่าแย่ง” เขาพึมพัมเบาๆ เข้าใจว่าคนตัวเล็กหวงกล้องมากแค่ไหน คริสเองก็ระวังแล้ว แต่เพราะแรงปัดเมื่อครู่ทำให้ของหลุดมือ ความผิดคริสเองที่วู่วามไปหน่อย

     

                หวงจนลืมตัว

     

                อี้ชิงยังนั่งหันหลังให้เขาทั้งที่สองมือประคองกล้องที่ไม่รู้สภาพอาการ เงียบไปนานจนคริสใจคอไม่ดีเลย เขาจึงถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะก้าวเข้าไปหา ค่อยวางมือลงบนไหล่เล็กพลางเรียกเสียงเบา

                “เขียวหวาน...”

                “อย่ามาโดนตัวฉันนะ!” แต่น้ำเสียงห้วนที่ตอบกลับนั้นทำเอาชะงัก ยิ่งเมื่ออี้ชิงหันกลับมาด้วยดวงตาแดงวาว หัวใจคริสก็กระตุกนัก “บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามายุ่งกับกล้อง”

                “ฉันขอโทษ จะซื้อใช้ให้”

                “ซื้อใหม่ก็ไม่เหมือนตัวนี้หรอก กล้องนี้มีตัวเดียวในโลก คนที่ดีแต่ใช้เงินฟุ่มเฟือยไปวันๆ อย่างนายไม่มีทางเข้าใจหรอก!” น้ำเสียงรุนแรงผิดกว่าทุกครั้งที่มีปากเสียงกัน ยิ่งปนมากับเสียงสะอื้นด้วยแล้ว ทันทีที่อี้ชิงลุกขึ้นและทำท่าว่าจะวิ่งเข้าห้อง คริสจึงต้องรีบคว้าตัวไว้

                “เดี๋ยวก่อนสิเขียวหวาน คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

                “ไม่คุย อย่ามายุ่งกับฉัน!”

                “ฉันขอโทษ”

                “ฉันไม่ยกโทษให้ ปล่อยนะ!” ร่างเล็กยังคงดิ้นขืนและเพราะกลัวเนื้อตัวขาวบางจะบอบช้ำ คริสจึงต้องยอมปล่อยแขนเล็กเป็นอิสระ ทว่าไม่อาจปล่อยให้หนีทั้งที่ยังโกรธกัน ทันทีที่อี้ชิงหันหลัง คนตัวสูงจึงคว้ากอดเอวบาง รั้งร่างเล็กเอาไว้กับตัว

                “ไม่เอาน่า เขียวหวาน”

                “ฉันไม่ได้ชื่อเขียวหวาน! เลิกเรียกฉันแบบนี้ซักที”

                “ฉันขอโทษ ขอโทษนะ ขอโทษ” พร่ำคำเดิมซ้ำๆ อยู่ที่ริมใบหู ยิ่งร่างเล็กดิ้นขึ้น คริสก็ยิ่งรัดอ้อมแขนให้ยิ่งแน่น กระทั่งได้ยินเสียงสะอื้นจากร่างเล็กที่หอบโยน น้ำอุ่นๆ หยดลงบนท่อนแขนคริสซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขารู้ว่าอี้ชิงยังโกรธ แต่คริสรออย่างใจเย็นกระทั่งร่างเล็กอ่อนลง อี้ชิงคงร้องไห้จนอ่อนแรง กระนั้นก็ยังตัดพ้อคนที่สวมกอดอยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น

                “กล้องฉัน... ฮึก นายทำมันพัง”

                “ฉันจะซ่อมให้”

                “ซ่อมไม่ได้หรอก เจ้าตัวนี้เก่ามาก ไม่มีอะไหล่แล้ว มัน... ฮึก ใช้ไม่ได้แล้ว” คริสพรูลมหายใจแล้วแนบแก้มกับข้างขมับขาวแผ่วเบา รู้แล้วว่าของสำคัญ หากรู้ว่าจะทำให้อี้ชิงร้องไห้หนักขนาดนี้ เขายอมให้ข้อมือตัวเองหักจะดีกว่า

     

    .

    .

    .

     

                “โถ ตาบวมเลยอ่ะ ร้องไห้ทั้งคืนเลยเหรอ” ลู่หานครางเสียงพลางลูบผมลูบแก้มเพื่อนตัวเล็กเบาๆ ด้วยความเห็นใจ

                ทั้งที่เป็นวันเสาร์ แต่เช้านี้ลู่หานต้องรีบตื่นแล้วออกมาพบเพื่อนที่ร้านที่ทำงานพิเศษให้ทันก่อนเวลาเข้างาน เพราะอี้ชิงโทรหาเขาเมื่อคืน ร้องห่มร้องไห้จนคุยกันแทบจะไม่รู้เรื่อง แต่ก็พอจับใจความได้ว่าเป็นเรื่องกล้อง ดูเหมือนว่ารุ่นพี่จะเผลอทำกล้องหล่นพื้นจนพัง เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ลู่หานเดาได้เลยว่าอี้ชิงจะทั้งโกรธทั้งเสียใจมากแค่ไหน แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ใบหน้าซีดเซียวทว่าดวงตาแดงช้ำ คงเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เผลอๆ นอนไม่พอด้วยซ้ำ ลู่หานไม่แปลกใจเลย ก็ขนาดเขาเองยังแทบไม่มีโอกาสจะได้จับกล้องสุดรักสุดหวงนั่น แล้วรุ่นพี่ดันมาทำพังไปแบบนี้

                “หมอนั่นบอกจะซื้อคืนให้ แต่ตัวเข้าใจใช่ไหม ไม่มีกล้องตัวไหนเหมือนตัวนี้แล้ว”

                “เข้าใจๆ ตัวใจเย็นๆ ก่อนนะ ขืนร้องไห้อีกตาช้ำแน่” ลู่หานลูบหลังปลอบเพื่อนพลางผงกศีรษะทักทายพี่สาวหนักงานร้านที่เดินผ่าน มองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าใกล้เวลาเข้างานแล้ว แต่อี้ชิงยังคร่ำครวญถึงแต่กล้องในมืออยู่เลย แบบนี้จะมีแก่ใจทำงานได้ยังไงกัน “ไหวไหม? ให้เราทำงานแทนได้นะ”

                ทว่าอี้ชิงส่ายหน้า สูดจมูกฟุดฟิดแล้วใช้ข้อนิ้วปาดหางตาเบาๆ

                “ไม่เป็นไรอ่ะ แต่ว่าเสี่ยวลู่ คืนนี้ให้เราไปค้างด้วยได้ไหม เรายังไม่อยากเห็นหน้าหมอนั่น”

                “นี่โกรธรุ่นพี่เขามากจนไม่อยากเห็นหน้าเลยเหรอ?”

                “มันก็... ไม่เชิง”

                “หมายความว่าไงไม่เชิง?”

                “ก็... ไม่ได้โกรธมากขนาดนั้น”

                “แล้วทำไมไม่อยากเห็นหน้า?” อาการหลบตานั้นมีพิรุธนัก ถ้ารุ่นพี่ถือวิสาสะหยิบกล้องแล้วทำหลุดมือจริงๆ อี้ชิงต้องโกรธมากๆ สิ แต่นี่ทำไมดูอึกอักนัก เหมือนว่ามีอะไรที่เขาพลาดไป “เดี๋ยวนะ เล่าให้ฟังซิ ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น รุ่นพี่เค้าทำกล้องหลุดมือได้ยังไง”

                อี้ชิงเหลือบตามองเขาแล้วก็ก้มลงมองกล้องในมือ เม้มปากน้อยๆ ก่อนจะสารภาพเสียงเบา

                “เราปัดมันเอง”

                “อะไรนะ?”

                “เราเผลอปัดตอนแย่งคืน ก็หมอนั่นไม่ยอมคืนให้ดีๆ เราก็เลยต้องกระโดด”

                “หมายความว่ารุ่นพี่ไม่ได้ทำมันหล่นเอง?” คนตัวเล็กพยักหน้า “ให้ตายเถอะจางอี้ชิง แล้วตัวก็มานั่งโมโหเค้า โทษว่าเค้าเป็นคนทำเนี่ยนะ”

                “แต่ถ้าหมอนั่นไม่ถือวิสาสะหยิบกล้องเรา เราก็ไม่ต้องแย่งจนมันหล่นพื้นหรอก”

                “เอาเถอะๆ ถือว่าผิดคนละครึ่งแล้วกัน” คนตัวเล็กงับปากไม่เถียงต่อ ลู่หานก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรแล้วก็คงเพิ่งคิดได้ว่ารุ่นพี่ไม่ได้ผิดคนเดียว แต่โวยวายเขาไปเสียขนาดนั้น คงละอายจนไม่กล้ามองหน้ากระมัง “แต่จู่ๆ จะให้หอบผ้าหอบผ่อนกลับมานอนที่หอ เราว่าไม่เหมาะ เรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่”

                “แต่เรายังไม่อยากเห็นหน้าเค้านี่”

                “งั้นเอางี้ คืนนี้เราไปนอนเป็นเพื่อน”

                “จริงนะ?”

                “อื้ม” ลู่หานพยักหน้า ลูบหลังเพื่อนเบาๆ พลางยิ้มปลอบ ตั้งแต่คบกันมา ยังไม่เคยเห็นเพื่อนเสียใจกับเรื่องไหนมากขนาดนี้มาก่อน ทำเอาเขาใจคอไม่ดีเลย จางอี้ชิงไม่เหมาะกับน้ำตาเลยสักนิด เขาที่เป็นเพื่อนสนิทยังคิดว่าจะทำทุกทางให้คนตัวขาวยิ้มได้ “เลิกเศร้าได้แล้ว เย็นนี้เลิกงานแล้วเราไปเดินถามตามร้านกล้องในตลาดกัน เผื่อจะซ่อมเจ้าตัวนี้ได้”

                ทั้งที่รู้ว่าไม่มีหวัง แต่ก็ยังให้ความหวัง ลู่หานเองก็รู้ว่าต่อให้ไล่ถามทุกร้านทั่วทั้งโซล ก็คงไม่มีร้านไหนซ่อมมันได้

                “อื้ม”

                แต่ทำยังไงได้ล่ะ เพราะรอยยิ้มของจางอี้ชิงน่ะ น่ารักที่สุด รุ่นพี่คริสเอง ก็คงเหมือนกันจริงไหม?

     

    .

    .

    .

     

                “รบกวนด้วยนะฮะรุ่นพี่” ลู่หานค้อมศีรษะด้วยความนอบน้อมผิดวิสัย ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้เรียบร้อยขนาดนี้ แต่นี่คือรุ่นพี่คริสคนดัง เจ้าของห้องชุดที่เขาจะมาอาศัยค้างคืนด้วย ซ้ำยังอุตส่าห์ลงมารอรับพวกเขาถึงหน้าคอนโดฯ ทั้งที่ตัวเองก็เพิ่งจะหายป่วย

                หลังจากที่ทั้งไลน์มาถามทั้งโทรตามนับเป็นสิบรอบ ลู่หานเพิ่งจะประสบความสำเร็จในการข่มขู่ให้อี้ชิงให้กดรับสายเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนนี่เอง ดูเอาเถอะว่าคนเขาเป็นห่วงแค่ไหน ขนาดบอกว่าจะดูแลให้เป็นอย่างดี พี่ก็ยังตื๊อจะไปรับให้ได้ พอไม่ให้ไปรับก็ออกมารอที่หน้าคอนโดฯแบบนี้ แต่เพื่อนรักตัวดีเขากลับทำเล่นตัว ไม่พูดไม่จา ซ้ำไม่ยอมมองหน้าแฟนตัวเองด้วยซ้ำ

                “หิวกันหรือเปล่า?” ความหมายคือทั้งสองคนแต่สายตานั้นมุ่งตรงไปที่คนตัวขาว ลู่หานสะกิดก็แล้ว เอาศอกกระทุ้งก็แล้ว แต่อี้ชิงก็ยังนิ่ง สุดท้ายเขาเลยต้องเป็นคนตอบเอง

                “หาอะไรกินในตลาดกันมาเรียบร้อยแล้วล่ะฮะ”

                “ฉันซื้อของกินเอาไว้ เผื่อดึกๆ จะหิวกัน”

                “ดีเลยฮะ ชิงชิงน่ะหิวบ่อย พุงถึงได้กลมแบบนี้” ยิ้มแล้วแกล้งเอามือลูบพุงเพื่อนเล่น หมายให้คนบ้าจี้หัวเราะบ้าง แต่อี้ชิงกลับเส้นลึกขึ้นมาเสียดื้อๆ ดึงมือเขาออกแล้วบอกเสียงเนือย

                “เราง่วงแล้ว” ก่อนจะเดินนำขึ้นคอนโดฯไปโดยไม่รอเจ้าของห้อง คนที่ได้ชื่อว่าแฟนจึงทำได้แค่มองตาม ลู่หานถอนลมหายใจเบาๆ ไม่โทษเพื่อนที่มีอาการเซ็งกะตายแบบนี้ ก็ในเมื่อเดินหาจนทั่วทั้งตลาดแล้วก็ยังไม่มีร้านไหนรับซ่อมกล้องให้เลย คงจะทั้งเหนื่อยทั้งท้อจนสิ้นหวัง

                “เป็นยังไงบ้าง” พอรุ่นพี่หันมาถาม ลู่หานจึงส่ายหน้าช้าๆ

                “อย่างที่คิด ไม่มีร้านไหนซ่อมได้เลย” ทั้งคู่เงียบกันไปก่อนจะถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกัน ตาคู่คมยังคงไม่ละจากร่างเล็กที่หยุดรอลิฟท์อยู่หน้าล็อปบี้ แววครุ่นคิดนั้นฉายให้เห็นแค่เพียงครู่ก่อนที่คนดังจะเอ่ยถามเสียงเครียด

                “กล้องนั่นสำคัญสำหรับเค้ามากใช่ไหม?”

                “ฮะ เท่าที่ทราบ”

                “ถ้าอย่างนั้น ช่วยอะไรฉันหน่อย”

     

    .

    .

    .

     

      

     

    ทู บี คอนตินิว...

     

      

    คนรอง: มันก็มีอยู่แค่นี้ ทำไมไม่ลงไปให้จบทีเดียวเลยก็ไม่รู้

    เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×